--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

แดงหน้ากกต.สลายแล้ว ประกาศชัยชนะ นัดเจอ20เม.ย

เมื่อเวลา 15.11 น.พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ประกาศกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง ว่า ได้เจรจากับผู้ใหญ่ ของ กกต. ให้รับทราบถึงความต้องการของคนเสื้อแดงว่าคดีเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ จะสอบสวนแล้วเสร็จเมื่อใด ทั้งนี้ผู้ใหญ่ ใน กกต.ชี้แจงว่า มีการตั้งคณะกรรมการ พิจารณาสำนวนจะเสร็จในวันที่ 30 เม.ย. แต่ตนแจ้งให้ทราบว่า คนเสื้อแดง อยากให้พิจารณาเสร็จสิ้นโดยเร็ว กกต. ถึงรับปากว่า สำนวนจะแล้วเสร็จในวันที่ 20 เม.ย. ทั้งที่ความจริงอยากให้เสร็จเร็วกว่านั้น แต่เดือนนี้มีวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ถึง 1 สัปดาห์ เร็วที่สุดคือวันที่ 20 เม.ย.

ซึ่งสร้างความดีใจให้กับผู้ชุมนุม ต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ จากนั้น นายอริสมันต์ ประกาศสลายการชุมนุมแยกย้ายกลับสะพานผ่านฟ้า และสี่แยกราชประสงค์ พร้อมนัดหมายให้คนเสื้อแดงมารวมตัวที่หน้า กกต.อีกครั้งในวันที่ 20 เม.ย. เพื่อร่วมรับฟังว่า กกต.จะตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ และถ้าไม่ยุบ เราก็จะตามไปยุบชีวิตกกต.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังผู้ชุมนุมสลายการชุมนุมหน้าสำนักงาน กกต.ปรากฎว่า พื้นที่ด้านหน้าเต็มไปด้วยขยะ ต้นไม้ประดับบริเวณด้านหน้าและด้านข้างกกต.โดนเหยีบเละ



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************

เหตุใดเสื้อแดงจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว

คำว่า “อย่ามาร์คดีกว่า” กลายเป็นศัพท์ฮิตทางการเมืองที่เข้าใจได้ว่า “อย่าตลบตะแลงดีกว่า” อันเกิดจากการพยายามแก้ตัวมากกว่าแก้ปัญหาชาติของอภิสิทธิ์ในการเจรจากับแกนนำเสื้อแดงที่ผ่านมา จะโรดแม็บหรือจะอะไรก็ตาม สรุปอภิสิทธิ์เป็นนายกที่ดีแต่พูดแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะได้เป็นนายกจากการจัดตั้งในค่ายทหาร ไม่สามารถสั่งการพรรคร่วมได้ ถูกข้าราชการทหารเลวตบทรัพย์ซ้ำซาก ล่าสุดซื้อเครื่องบินเฮลิคอร์ปเตอร์อีก2,000ล้านบาท ไม่รวมจะเตรียมทำงบผูกพันธ์ทางการทหารเป็นเวลา9ปีผลาญเงินนับพันนับหมื่นล้าน แทนที่จะจัดหาเครื่องอุปกรณ์ลงไปช่วยทหารชั้นผู้น้อย3จว.ชายแดนใต้ นี่แหละฉายานายกหุ่นเชิด หรือหล่อหลักลอย โกงกินงบประมาณแผ่นดินมโหฬาร ถูกจับได้คาหนังคาเขาไม่ว่าจะเป็นกอร์ปศักดิ์ไทยเข้มแข็ง การบริหารงานที่ล้มเหลว เก่งแต่กู้กับแจก ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน เกียร์ว่างคดีพธม.ยึดสนามบิน,ทำเนียบ,เอ็นบีที ปลากระป๋องเน่า ยาในกระทรวงสาธารณสุข คดี258ล้านยุบพรรคปชป. ต่างๆเหล่านี้ได้ทำให้รัฐบาลอำมาตย์ถูกไล่ล่ากลายเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยที่ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติตามภูมิลำเนานอกกรุงเทพได้ นับตั้งแต่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมา มาร์คม.7เป็นนายกที่หลอกตัวเอง และไม่ยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือวิกฤตของชาติในระยะโคม่า อภิสิทธิ์นายกหนีทหารที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย นอกจากรอฟังคำสั่งของอำมาตย์และลิ้มโกเต็กซ์เท่านั้น ต้องลักษณะเป็น “ทุรชน” อย่างแท้จริง และหากสั่งฆ่าปชช.รอบนี้อีกก็จะพัฒนากลายเป็น “ทรราชย์” ในที่สุด ดังตัวอย่างการถูกนำตัวขึ้นสู่ศาลโลก กรณีพลพรตอดีตผู้นำเขมร และนายบาชีร์อดีตปธน.ซูดานในอดีต

ตามที่ได้มีคลิปล่าสุดของจีนในการเข้าปราบปรามเสื้อแดงเมื่อสงกรานต์เลือดและเสียงพูดไทยไม่ชัดของทหารนายหนึ่งซึ่งเคยลือกันว่าขนมาจากริมชายแดนบางส่วนจึงพูดภาษาไทยไม่ได้เมื่อถามไปจึงเป็นเตมีใบ้นับเป็นความชั่วร้ายของคนชื่อประยุทธ์ที่หยามกองทัพเอาทหารนอกรีดเข้ามาร่วมวงอันถือเป็นการทำลายเกียรติยศของทหารชาตินักรบ และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แฉให้เห็นว่าทหารใช้กระสุนจริงสังหารปชช.โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยก่อนหน้านั้นได้มีการตั้งวอร์รูมโดยมีประยุทธ์และอภิสิทธิ์เป็นแม่งาน ทำให้มีคลิปเสียงอภิสิทธิ์สั่งฆ่าปชช.ออกเผยแพร่ในเวลาต่อมา ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานและอภิสิทธิ์ยอมรับว่าเป็นเสียงตนเองจริง ซึ่งคลื่นเสียงแม้จะขาดตอนเป็นช่วงเพราะผู้ที่นำออกมาได้ตัดบางส่วนออกไป ได้ทำให้อภิสิทธืไม่กล้าสั่งฟ้องจตุพรซึ่งเป็นผู้กล่าวหา เพราะเป็นความจริงล้วนๆ ภาพของอภิสิทธิ์ที่นั่งรับข้อความระหว่างการสนทนากับแกนนำเสื้อแดง ภาพของการแสดงอารมณ์โมโหและคอยแก้ตัวอย่างเสียมารยาท รวมทั้งยิ้มเยาะเย้ยเหมือนกับว่าตนเองนั้นเหนือกว่าในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีถึงความเป็นเด็กชายมาร์คคนนี้ มาร์คคงไม่รู้หรอกว่า คนที่เป็นกำแพงให้มาร์คนั้น หักหลังคนเอาตัวรอดมานักต่อนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนางเฒ่า หรือเจ๊นี ตีสองหน้าเจ้าของม็อปเหลือง กลัวโดนแฉเรื่องอุ้มฆ่าทูต ซาอุ จะเป็นแรงบีบให้มาร์คจำต้องทบทวนเรื่องการยุบสภาภายในระยะอันใกล้ในอีกทางหนึ่ง หาไม่อาจต้องตกเป็นแพะรับบาปนำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวและวงศ์ตระกูลยังไม่รู้ตัวอีกมาร์คเอ๋ยว่ากำลังถูกคนทรยศเจ้าเล่ห์หลอกใช้งานอยู่

การเรียกร้องของคนเสื้อแดงให้มีการยุบสภานั้น นับว่าเป็นสุภาพบุรุษและรอมชอมที่สุดแล้ว ทั้งยังเสนอให้ทำสัตยาบันเลิกแล้วต่อกันแถมให้อีก มาร์คยังไม่นำพา รู้ได้งัยว่าพท.จะชนะการเลือกตั้ง ในเมื่อเป็นเพียงการคาดเดา รัฐบาลได้เปรียบทุกประตูเพราะเป็นฝ่ายกุมสภาพ เหตุใดจึงกลัวเงาของคนเสื้อแดงตีตนไปก่อนไข้เล่า จะกลัวไปใยกับคำว่าพ่ายแพ้หากต้องแพ้ คืนทุนไปแล้ว อายุก็ยังน้อย โอกาสยังมีอีกมาก คืนอำนาจให้ปชช.มิเท่ากับชนะด้วยกันทั้งสามฝ่ายหรือ ปชช.ชนะ อภิสิทธิ์หากแพ้ก็ยังชนะใจกรรมการในเวทีทางการเมือง เสื้อแดงชนะ ก็หมดเงื่อนไขแยกย้ายกันกลับบ้าน จบด้วยความแฮปปี้เอนดิ้งไม่ชอบหรือ แต่เคยคิดเผื่อบ้างหรือไม่ว่า หากยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ปชป.เกิดพลิกชนะขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น ความสง่างาม ความมีเกียรติ และสามารถพูดได้เต็มปากว่าตัวข้ามาจากปชต.ที่พี่น้องทั้งชาติให้ฉันทานุมัตร อยากขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ ต้องกล้าคิดใหญ่ รู้แพ้รู้ชนะ บ้านเมืองจึงจะสงบสุข เสื้อแดงทุกคนเขาก็บอกแล้วถ้าปชป.ชนะก็เอาไปเลย เขาจะยอมรับผลการเลือกตั้งโดยดุษฎี ไปเชื่ออะไรกับคนแก่หลงอำนาจไม่รู้จักตัวเองอย่างนางเฒ่า และคนที่หมดประโยชน์บ้ากามชอบแบล็คเมล์ลคนอย่างลิ้มโกเต็กซ์ที่บูชาเงินเป็นพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงวิธิการ จึงมักทำแต่เรื่องที่สกปรกโสมม ลักลอบเป็นขู้กับเมียสุรเกียรติอวดอ้างเป็นราชบุตรเขย เอาผ้าอนามัยเปื้อนประจำเดือนไปตรึงร.5สร้างความเจ็บแค้นให้แก่ทหารนักรบเป็นอย่างมาก ออกมาพระปะน้ำมนต์ให้เหล่าสาวก จงรีบถอยซะก่อนที่จะหมดโอกาศน๊ะมาร์คน๊ะ อันนี้พูดกันด้วยเหตุและผล ทำใจให้เป็นกลาง ตั้งสติ แล้วลองหลับตาคิดดูอีกที จะดื้อไปทำไมในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว เป็นหัวโขน หากมิสามารถครองใจปชช.แล้วจะบริหารประเทศให้เดินหน้าไปได้อย่างไร

บูรพาพยัคฆ์คอสเมติกเก่งแต่กับปชช. กำลังถูกทหารเรือและตำรวจเขม่นที่ประยุทธ์ไปก้มหัวให้เทพเทือกราวกับตนเองเป็นผบ.ทางการทหารเสียเอง ทหารชั้นผู้น้อยพากันลาออกเพราะสุดทนที่ถูกสั่งให้ออกมาทำร้ายปชช. เจ้าหน้าก.ต่างประเทศลาออกยอมตกงานเพราะไม่สามารถทนเห็นพฤติกรรมของกษิตผู้ก่อการร้ายสากลที่ไล่ล่าทักษิณจนผิดธรรมเนียมปฎิบัติทางการทูตระหว่างประเทศ จนสวีเดน รัสเซีย มอนตราริโก และอื่นๆ ออกมาบอกว่าเป็นเสรีภาพในการพูดคุยของทักษิณที่สามารถทำได้ จรัลพันบาทบอกให้รับๆกันไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง โกงบัตรจนชนะผ่านแบบเฉียดฉิว(รธน.50ฉบับปีศาจคาบไปร์ทที่ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอและเหิมเกริมระบุให้ประธานองคมนตรีสามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนได้หวังตั้งตนเป็นใหญ่เหมือนขันทีจีนที่ละโมบและเหลิงอำนาจ) การสอบคัดเลือกนายอำเภอทุจริตข้อสอบรั่ว จ่าเพียรร้องขอชีวิตแต่อภิสิทธิ์กลับเพิกเฉย พลทหารอภินพเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาจากผลการผ่าศพของแพทย์ศิริราชระบุกระโหลกศรีษะส่วนหลังแตกในคืนวันที่อภิสิทธิ์และเทพเทือกเข้าไปในบ้านพัก แต่คณิตได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าลื่นหกล้มในห้องน้ำเสียชีวิตโดยญาติผู้ตายไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง โพล์ลธุรกิจบัณฑิตพบคนกรุงเทพต้องการให้มาร์คยุบสภาหรือลาออกเกือบ70% เสื้อแดงนับวันยิ่งเติบใหญ่ ต่อสู้อย่างมีเอกภาพและมีแบบแผนทำแต้มทิ้งห่างรัฐบาลอำมาตย์ไปเรื่อยๆ ได้แนวร่วมเพิ่มเติมขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพี่น้องอิสลามในกรุงเทพ กลุ่มชมรมผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างนับแสนคัน กลุ่มนักสื่อสารวิทยุทั่วประเทศ กลุ่มนักวิชาการจุฬาธรรมศาสตร์ กลุ่มสตรี ฯลฯ การเสนอให้ยุบสภาจึงนับเป็นทางออกที่ดีที่สุดและเบาที่สุดของอภิสิทธิ์แล้ว เหตุใดจึงไม่น้อมรับไว้ อย่าลืมว่าเทพเทือกสามารถหลบหนีไปกบดานทางภาคใต้ได้ แต่มาร์คจะหนีไปไหน ครอบครัวลูกเมียพ่อแม่จะอยู่กันอย่างไร ถ้ายังขืนยืนต้านมวลมหาประชาชนคนเสื้อแดงอยู่

จตุพรได้ตอบคำถามในการเจรจาครั้งที่2ไปแล้ว ถึง7เหตุผลที่รัฐบาลอำมาตย์จะต้อง”ยุบสภาภายใน15วัน”เพราะเหตุใด กระชับ จริงใจ และตรงไปตรงมาที่สุด จะไม่มีการนวดแป้งอีกต่อไป พ่อของภรรยามาร์คได้ขอร้องให้มาร์คยุบสภาด้วยความหวังดีเพราะเห็นว่าโอกาสข้างหน้ายังมีอีกมาก ชวนเองไม่พอใจอย่างมากที่มาร์คหนีไปหลบอยู่ตามค่ายทหารอันทำให้ภาพลักษณ์ปชป.เสียหายจนทำให้เกิดความแตกแยกกันเองภายในพรรค ผู้พิพากษาต้องใส่เสื้อเกราะ และให้ตำรวจเฝ้าอารักขาที่บ้านเพราะรู้ดีว่าตนเองตัดสินคดีความโดยมิชอบตกต่ำสุดขีดทั้งคดียึดทรัพย์ คดีชิมไปบ่นไป คดียุบพรรคทรท. พปช. ชท. และอื่นๆด้วยกระบวนพิจารณาอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในโลกใบนี้ ภาพนางเฒ่าให้คนก้มกราบ ภาพไปเยี่ยมกระเทยที่พัทยา ภาพนางเฒ่าตรวจแถวทหารหลังการรัฐประหาร 19 กันยา ภาพหนังสือที่นางเฒ่าเซ็นให้พลเอกปฐมพงษ์ขึ้นเวทีพธม. ภาพผบ.ชน.ต้องเข้าก้มกราบ หลักฐานที่ดินเขาสอยดาว รวมทั้งหนังสือและเทปลับสั่งศาลก้าวก่ายหน้าที่ไม่สมกับเป็นประธานองคมนตรีที่เป็นถึงตัวแทนฟ้า แต่กลับประพฤติตนไม่เหมาะสมขาดความเป็นกลาง ล้วนเป็นเหตุผลที่จะทำให้ต้องยกเลิกระบบองคมนตรีหรือขันทีในไทย ให้กลายเป็นเพียงที่ปรึกษาเพื่อลดทอนอำนาจและการสร้างภาพหลอกลวงปชช.ให้หลงซาบซึ้งกราบไหว้ โดยคงเหลือไว้เพียงบางคนที่จงรักภักดีและตั้งอกตั้งใจทำงาน ในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัว หากมีการผลัดเปลี่ยนการขึ้นแท่นของนายพลสายฟ้าในอนาคต นั่นเพราะบารมีทางการเมืองของอำมาตย์ได้หมดสิ้นไปแล้วและ ไม่มีผลต่อการชี้นำของประชาชนอีกโดยรวม แนวตั้งรับของอำมาตย์ล่มสลาย เห็นได้จากเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆ ไม่ได้มีการสะกัดคนเสื้อแดงอย่างจริงจัง อันถือได้ว่าทหารฝ่ายต่อต้าน "ลดปืนลงหมด" คงเหลือทหารที่อำมาตย์สั่งได้จริงราว 5,000 คน เท่านั้นที่อำมาตย์คิดว่า "มั่นใจได้" เทียบไม่ได้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่มีเป็นแสนเป็นล้านร่วมกับกำลังพลของทหารเรือ ตำรวจ และทหารนักรบบางหน่วย ลุกลามกลายเป็นสงครามระหว่างคนเสื้อแดงกับอำมาตย์ ระหว่างไพร่กับนายอย่างสมบูรณ์แบบ หาใช่สงครามระหว่างอำมาตย์กับทักษิณอีกต่อไปไม่

กรณ์ผู้มีใจพยาบาทได้ออกมาให้ข่าวว่าเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นโดยไม่ตะหนักถึงความเป็นจริงว่ามีโอกาศที่จะเกิดฟองสบู่อีกรอบในปี53นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเรื่องที่น่าอันตรายยิ่ง อันมีสาเหตุมาจากการปรับลดดอกเบี้ยจนลงต่ำเพื่อกระตุ้นการลงทุนภายในสหรัฐ ทำให้นักเก็งกำไรต่างพากันไปกู้ยืมเงินดอลล่าร์ของสหรัฐเพื่อไปลงทุนยังประเทศเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง ส่งผลให้ประเทศเกิดใหม่มีค่าเงินแข็งขึ้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับสูงขึ้น จนเริ่มมีความกังวลในเรื่องภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ เพราะเป็นเงินร้อนที่มาจากการกู้ยืมจากสหรัฐ และนับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการขยายตัวเป็นบวกอย่างก้าวกระโดดของเศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกของปี53 เงินทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่เอเชียได้ทำให้เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอย่างมีความผันผวน และอาจสวิงกลับได้จากกรณีข้อพิพาททางการเมืองที่กำลังร้อนระอุ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ปัญหามาบตาพุด ยังไม่รวมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมชั้นนำ30ชาติของโลกหนี้พุ่งเกิน100% เช่น ญี่ปุ่น, อิตาลี, กรีซ ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะลดลงของภาคเอกชนทั่วโลกช่วงปลายปี52 ได้ทำให้แต่ละรายลดกำลังผลิตและลดการสต็อกสินค้า แต่เมื่อได้รับการอัดฉีดจนทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ภาคเอกชนจึงได้หันกลับมาผลิตและสต็อกสินค้ากันอีกครั้ง จึงเกิดการสั่งซื้อวัตถุดิบและเดินเครื่องจักร ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่การกลับมาฟื้นตัวของสินค้าคงคลังและนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นอาจจะให้ภาพที่ลวงตา และเป็นการฟื้นตัวในระยะสั้น เพราะเมื่อระดับการสต็อคสินค้าใกล้เคียงกับอุปสงค์ ภาคเอกชนก็จะลดกำลังผลิตลง การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงตามไปด้วย

3เม.ย.53วันนี้ คนเสื้อแดงอาจประกาศยกระดับการต่อสู้ กลยุทธ์หนึ่งนั้นอาจจะเป็นการบอยคอยกลุ่มธุรกิจทุนที่สนับสนุนอำมาตย์อย่างเป็นทางการ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ฯลฯอย่างเข้มข้น เพราะถือเป็นกล่องดวงใจของอำมาตย์ แต่ก็ต้องฟังมติของพี่น้องปชช.คนเสื้อแดงกันอีกครั้งว่าเห็นชอบอย่างไร การบันทึกภาพเคลื่อนขบวนเสื้อแดงจากด้านบนโดยกูเกิ้ลเอิร์ทของสำนักข่าวต่างประเทศ อุบัติเหตุรถคนเสื้อแดงคว่ำไม่มีผลต่อการร่วมชุมนุมมีแต่โหมไฟแรงฟืน และขอไว้อาลัยด้วยความเคารพยิ่ง สภาพการเคลื่อนพลของคนเสื้อแดงนั้น แม้แต่สงครามเก้าทัพของพม่ายังเทียบเท่าไม่ได้ พื้นที่การรบไม่มีแนวหน้า ทั้งประเทศกลายเป็นสมรภูมิ ทักษิณจะต้องเยือกเย็น และทุ่มเทการทวิตเตอร์แต่ละครั้งให้กระชับ ใหม่สด มีน้ำหนัก ออกจากสมอง เบิกบาน และน่าสนใจอยู่เสมอในแต่ละครั้งที่ต้องออกมาพูด โดยตั้งทีมงานนำเสนอข้อมูลและไม่ควรพร่ำเพรื่อจนเกินไป ยกเว้นกรณีมีเรื่องเร่งด่วน ทักษิณต้องพูดออกจากใจแต่ก็ต้องระมัดระวังผลกระทบจากการพูดโดยเฉพาะเรื่องที่ล่อแหลมพึงหลีกเลี่ยงให้มาก ไม่อยากให้พลาดเป็นปลาตายน้ำตื้น ต้องทำการบ้านให้ดีในช่วงนี้ และควรปล่อยวางงานด้านอื่นๆเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อต่องานการต่อสู้ทางด้านการเมือง เพราะต้องแบ่งเวลาสำหรับพักตั้งสติและสมาธิเป็นบางช่วงด้วย นอกจากนั้นควรเพิ่มเครือข่ายสถานีวิทยุแต่ละจังหวัดของคนเสื้อแดงให้ครอบคลุมมากขึ้น และครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้แบบไม่มีใส่เกียร์ถอยจนกว่ารัฐบาลจะยุบสภาเท่านั้น ไม่ต้องคิดลังเลเป็นอย่างอื่น

การต่อสู้อย่างมีสติ ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์แห่งปชต.ที่ไม่ต้องการให้ใครมากดขี่เอารัดเอาเปรียบทำนาบนหลังคน ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่ทั่วโลกเฝ้าติดตามและคอยลุ้นเอาใจช่วย ทำให้เราได้พื้นที่ข่าวจากต่างประเทศช่วยตีแผ่เปิดโปงความล้าหลังหลงตัวเองของบรรดาเหล่าอำมาตย์ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นๆ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เราคนเสื้อแดงจะขอทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดที่มี ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะร่วมกันของพี่น้องผองเผ่าไทยทั้งประเทศ นำรธน.40ฉบับปชช.ที่ดีที่สุดกลับมาใช้ เพื่อประกาศก้องไปให้ทั่วฟ้าว่า ที่นี่ประเทศไทย ประเทศที่ประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ หาใช่ผู้หนึ่งผู้ใดดังที่ร.7ได้เคยกล่าวเอาไว้ก่อนสละพระราชอำนาจเมื่อ2475ที่ผ่านมาไม่ ขอดวงวิญญานวีรชนคนเดือนตุลา องค์เจ้าตาก องค์นเรศวร บรรพบุรุษชาวบ้านบางระจัน พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อ พระทรงเมือง องค์พระแก้วมรกต จึงปกปักพิทักษ์รักษาพี่น้องคนเสื้อแดงให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถอด

ที่มา.konthaiuk
************************************************

ข้ามให้พ้น “คนกรุงเทพฯ”

น่าเห็นใจคนกรุงเทพฯที่ประสบปัญหาจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไหนจะรถติด หนวกหูกับเสียงปราศรัยจากเวทีชุมนุม การค้าขาย การทำมาหากินในย่านที่มีการชุมนุม ไม่สะดวกเหมือนเดิมหรือมีอันต้องหยุดชะงักลง ไหนจะกลัวลูกระเบิด กลัวความรุนแรงสารพัดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อใด

แต่ดูเหมือนคนกรุงเทพฯจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงปัญหาการชุมนุมทางการเมืองได้ ในเมื่อกรุงเทพฯเป็น “ศูนย์กลาง” ของทุกสิ่งทั้งอำนาจการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สื่อ ฯลฯ ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่กรุงเทพฯ

น่าอัศจรรย์ไหมที่ข้าราชการในส่วนภูมิภาคไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายก็ต้องมุ่งสู่กรุงเทพฯ ชาวนา กลุ่มเกษตรกรรายย่อย สมัชชาคนจน กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน หมู่บ้าน หรือแม้แต่การทวงที่นาคืนจากการถูกรัฐละเมิดสิทธิ์อย่างกรณี ยายไฮ ขันจันทา ก็ต้องมุ่งสู่กรุงเทพฯ (และน่าจะเป็นการเดินทางเทียวไปเทียวมายาวนานที่สุดร่วม 30 ปี จึงได้รับความเป็นธรรม)

ในบรรดาความเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆนั้น “ความเป็นศูนย์กลางฉันทานุมัติทางการเมือง” ของคนกรุงเทพฯ นับว่า “ทรงอิทธิพล” อย่างสูงยิ่ง ดังตำนาน “สองนคราประชาธิปไตย” ที่ว่า “คนชนบทตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล”

แม้แต่กรณียายไฮ ถ้าเรื่องราวการเดินเท้าในระยะทางกว่า 20 ก.ม.จากหมู่บ้านไปอำเภอเพื่อยื่น “จดหมาย” (ที่เขียนด้วยมือ) ขอความเป็นธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวการมาร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯครั้งแล้วครั้งเล่าของหญิงชราขาวชนบทคนหนึ่งไม่ได้ออกรายการทีวีของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา และถูกนำเสนอผ่านสื่อกระแสหลัก คิดหรือว่ารัฐบาลจะ “รับรู้” และรับผิดชอบแก้ไข

เสียงของคนกรุงเทพฯ (ผ่านสื่อ) ที่แสดงออกถึงความสงสาร เห็นใจ และชื่นชมการต่อสู้ของยายไฮต่างหากที่ทำให้รัฐบาล “ได้ยิน” ลำพังเสียงของยายไฮล้วนๆ แม้จะเป็นเสียงตรง เสียงจริง เสียงความทุกข์ยากที่บริสุทธิ์ใสซื่ออย่างไรก็ไม่มีรัฐบาลไหนจะ “ได้ยิน” หรอกครับ

ในเมื่อกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของฉันทามติทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลสูงยิ่ง ที่อาจส่งผลกระทบในเรื่องใหญ่สุด เช่น เสถียรภาพของรัฐบาล ไปจนถึงเรื่องเล็กสุด เช่น การได้รับความเป็นธรรมของหญิงชราชาวชนบทคนหนึ่ง

เช่นนี้แล้วในด้านกลับคนกรุงเทพฯ จึงต้องมีต้นทุนที่จำเป็นต้องจ่าย นั่นคือความเดือดร้อนต่างๆนานาอันเกิดจาก “เสียง” จากทุกสารทิศ โดยเฉพาะเสียงของคนชนบทที่มาร้องขอ “ฉันทานุมัติ” จากคนกรุงเทพฯ เพื่อส่งผ่านให้รัฐบาล “ได้ยิน”

แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย คนกรุงเทพฯ มักจะถูกแย่งชิงฉันทามติจากฝ่ายขัดแย้งทางการเมืองฝ่ายต่างๆอยู่เสมอ เช่น การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลรัฐบาลใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักโหมประโคมอย่างเต็มที่ในด้านการวิเคราะห์ คาดการณ์ และการเตรียมการป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงก็เน้นภาพการชุมนุมอย่างสงบสันติ อหิงสา เน้นสงครามจิตวิทยาที่ต้องการดึงคนกรุงเทพฯ มาเป็นแนวร่วม

(แต่คนเสื้อแดงแทบไม่มีสัดส่วนในการนำเสนอข้อเท็จจริง “ความคิด” หรือข้อโต้แย้งฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายรัฐบาลที่ใช้ “ช่องหอยม่วง” นำเสนอบทวิเคราะห์ ความเห็น ข้อโต้แย้งของฝ่ายตนหรือฝ่ายสนับสนุนตนวันละหลายชั่วโมง)

แต่ละฝ่ายที่หยั่งเชิงกันไปมาต่างก็คอยเงี่ยหูฟังว่า คนกรุงเทพฯ จะเอายังไง? ที่รัฐบาลไม่ยอมยุบสภาใน 15 วัน ก็เพราะเชื่อมั่นว่า สามารถอธิบายเหตุผลให้คนกรุงเทพฯ ยอมรับได้ เหตุผลที่แท้จริงของคนเรือนแสนที่มาชุมนุมไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องใส่ใจวิเคราะห์อย่างจริงจัง

แต่ฝ่ายที่น่าเห็นใจคือฝ่ายที่มาชุมนุม เพราะนอกจากจะบากหน้ามาหารัฐบาลที่ไม่สนใจรับฟังปัญหา หรือ “วาระ” ที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว ยังจำเป็นต้องพยายาม “แสดงออก” เพื่อให้ได้ฉันทานุมัติจากคนกรุงเทพฯ อีกด้วย ซึ่ง “มาตรฐาน” ของการจะให้หรือไม่ให้ฉันทานุมัติของคนกรุงเทพฯนั้น ก็เอาแน่นอนไม่ค่อยได้

ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯเคยเห็นว่า รัฐบาลทักษิณแทรกแซงองค์กรอิสระกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับพิจารณาข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของทักษิณ แต่ครั้งนี้คนกรุงเทพฯ ไม่เห็นว่าอภิสิทธิ์แทรกแซงองค์กรอิสระกรณีเตะถ่วงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เรื่องรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท

ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯ ทนไม่ได้กับ “รายการความจริงวันนี้” ที่ยึดทีวีของรัฐเสนอทัศนะทางการเมือง “ข้างเดียว” แต่ปัจจุบันนี้คนกรุงเทพฯกลับเฉยๆกับการที่ทีวีของรัฐ “ช่องหอยม่วง” ถูกยึดเป็นสาขาหนึ่งของ ASTV ที่เอาการเอางานกับการให้ “ความรู้” และให้ “ปัญญา” แก่ประชาชนชาวไทย (ที่ยังโง่ ยังถูกทักษิณหลอก) และ “คลายปม” ปัญหาของประเทศด้วยการเสนอความเห็นทางการเมือง “โคตรข้างเดียว”

ผมไม่แน่ใจว่าที่แกนนำคนเสื้อแดงยกระดับการชุมนุมกดดันรัฐบาลมากขึ้นนั้น จะทำให้ได้รับฉันทานุมัติเพิ่มขึ้นจากคนกรุงเทพฯ และจะชนะก่อนสงกรานต์ดังที่ประกาศหรือไม่

ถ้ายังหวังฉันทานุมัติจากคนกรุงเทพฯ ทางที่เป็นไปได้คือยอมเจรจาต่อรองเรื่องเงื่อนเวลาในการยุบสภา และสิ่งที่ต้องทำก่อนยุบสภา

ไม่เช่นนั้นก็ต้องข้ามให้พ้น “คนกรุงเทพฯ” ด้วยการพักรบกลับไปตั้งหลักใหม่ ถ้านับจำนวนคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดเฉพาะภาคอิสานภาคเดียวก็มากกว่าคนกรุงเทพฯ มากแล้ว การกลับไปสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิดให้เหนียวแน่นมากขึ้นในหมู่ประชาชนภาคเหนือ ภาคอิสาน และที่อื่นๆ พร้อมกับร่วมกันคิดสร้างแนวทางในอนาคตว่าทำอย่างไรคนต่างจังหวัด คนชนบทจะต้องไม่วิ่งมาขอความเป็นธรรม ขอให้แก้ปัญหา ขอประชาธิปไตย ฯลฯ โดยต้องคอยอาศัยฉันทานุมัติจากคนกรุงเทพฯ อีกต่อไป

ทำอย่างไร “เสียง” หรือฉันทานุมัติของคนชนบทจะมีความหมายเท่าเทียม หรือถ่วงดุลเสียงหรือฉันทานุมัติของคนกรุงเทพฯได้มากขึ้น?

นี่เป็นปัญหาที่คนเสื้อแดงควรร่วมกันคิดในระยะยาว เพื่อทำให้ชัยชนะ (ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า) มีความหมายต่อการสร้างประชาธิปไตยที่จับต้องได้!

ที่มา.นักปรัชญาชายขอบ
************************************************

กกต.เครียดแดงกดดันหนักบี้กำหนดกรอบยุบปชป.

เสื้อแดง บุกกดดัน กกต. หนัก ลั่น พบ 5 เสือ กำหนดกรอบเวลาให้ชัดดำเนินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เมื่อใด ขู่ บุกเข้าไปหากไม่มาเจรจา...
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 5 เม.ย.​2553 กลุ่มเสื้อแดง ที่ไปถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถนนแจ้งวัฒนะ นำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา และ นายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำ ฯ​ได้ปราศรัย เรียกร้องให้ กกต. ออกมาให้คำตอบ ว่าจะดำเนินการคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร

ต่อ มาเวลา 12.00 น.​ เจ้าหน้าที่ กกต. ได้ออกมาพบกับผู้ชุมนุม โดยชี้แจงว่า กกต.จะดำเนินการให้ละเอียดรอบคอบที่สุด และเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม นายขวัญชัย กล่าวว่า ต้องการคำตอบว่าจะวินิจฉัยคดียุบพรรคเมื่อใด โดยให้กำหนดกรอบเวลาชัดเจน และ จะขอพบ กกต. เท่านั้น

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ กกต. ระบุว่า วันนี้ กกต.ไม่ได้มาประชุม ซึ่งนายขวัญชัย ไม่พอใจคำตอบดังกล่าว ประกาศไม่คุยกับเจ้าหน้าที่อีก พร้อมประกาศให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ และกล่าวว่า จะพบ 5 เสือ กกต. เท่านั้น โดยขู่ว่าหาก กกต.ไม่มา ที่นี่จะไม่ใช่ที่ทำงานของ กกต. อีกต่อไป และจะบุกเข้าไป


ที่มา.พิทักษ์ไทย..
*************************************************

"คาร์บอมบ์"บึ้มสนั่น"โพไซดอน" ใช้ทีเอ็นทีหนัก10ปอนด์ รถเละทั้งคันเจ็บ1 ปาเอ็ม67 ทีวีเอ็นบีทีซ้ำอีก

คาร์บอมบ์ในลานจอดรถ"โพไซดอน" สถานบริการอาบ อบ นวดชื่อดังย่านรัชดาภิเษก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ตำรวจระบุเป็นระเบิดทีเอ็นที หนัก 10 ปอนด์ ปาระเบิดใส่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืน วันที่ 5 เม.ย. ได้รับแจ้ง เหตุรถยนต์โตโยต้า โคโรน่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กอ 7048 เชียงใหม่ เสียหายยับเยิน จากเหตุระเบิดบริเวณลานจอดรถด้านข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก แรงระเบิดยังส่งผลให้รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน พศ 2602 กรุงเทพมหานคร กระจกด้านซ้ายทั้ง 2 บานแตกเสียหาย รวมทั้งกระจกของอาคารสถานบริการ ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อคือ นายคงเดช นำระนะ อายุ 49 ปี พนักงานรับรถของสถานบริการดังกล่าว ถูกสะเก็ดระเบิดที่ท้อง นำส่งโรงพยาบาลพระราม 9

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 23.30 น. เห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถคันดังกล่าวเข้ามาที่ลานจอดรถ นั่งอยู่ในรถ 10 นาที ก่อนเดินออกจากรถหายไปทางด้านหน้าร้าน หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ระบุเป็นคาร์บอมบ์ เนื่องจากตรวจสอบไม่พบว่ารถมีการติดตั้งแก๊ส ส่วนสาเหตุคาดเป็นการสร้างสถานการณ์ หรือเรื่องส่วนตัว เตรียมประสานตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดของสถานบริการดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าสามารถบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้ รวมทั้งเตรียมเชิญเจ้าของรถคาร์บอมบ์ที่แท้จริงมาให้ปากคำต่อไป

พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดรถยนต์บริเวณลานจอดรถข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดเป็นระเบิดทีเอ็นที น้ำหนักประมาณ 5-10 ปอนด์ เนื่องจากแรงของระเบิดทำให้รถเสียหายยับเยิน โดยระเบิดถูกวางไว้ในรถบริเวณที่พักเท้า เบาะหน้าด้านซ้าย เนื่องจากพบเขม่าดินปืนติดอยู่ที่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จากการสอบปากคำพยานแวดล้อม ได้เบาะแสคนร้ายที่ขับรถคันดังกล่าวเป็นชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น ผิวคล้ำ สวมแจ็กเกตสีดำ กางเกงขาสั้น

อย่างไรก็ตาม เตรียมประสานตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อตรวจสอบหาเบาะแสเจ้าของรถที่แท้จริง เนื่องจากรถคันดังกล่าวได้จดทะเบียนไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ และไม่มีการปลอมแปลงทะเบียน สำหรับสาเหตุยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งการสร้างสถานการณ์ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ เหตุคาร์บอมบ์ในลักษณะดังกล่าวคล้ายกับเหตุคาร์บอมบ์เมื่อ 9 ปีก่อนที่ สน.สุทธิสาร

ขณะที่ เวลาประมาณ 00.00 น. วันที่ 5 เม.ย. วันเดียวกัน ร.ต.ท.เฉลิมชัย ประสิทธิ์กุลไพศาล พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเอ็นบีที รุดไปตรวจสอบพร้อมพ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนวัฒน์ ผกก.สน.สุทธิสาร โดยระเบิดไปตกที่คูน้ำด้านนอกรั้ว ในที่เกิดเหตุพบกระเดื่องตกอยู่ ตรวจสอบพบเป็นกระเดื่องของระเบิดชนิดขว้าง เอ็ม 67 ห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 3 เมตรตกอยู่ สะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เก้าอี้นั่งสีขาวพัง ขณะเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารร่วมกันดูแลรักษาความปลอดภัย

จากการสอบสวนเบื้อง ต้นทราบว่า ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารสนธิกำลังรักษาการณ์อยู่บริเวณประตูทางเข้าเห็น คนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่จยย.ผ่านมาด้วยความเร็วก่อนจะปาระเบิดเข้าใส่

ทั้งนี้ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียงไม่มีกล้องวงจรปิด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ และผู้ลงมือเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกับเหตุระเบิดหน้าเอ็นบีทีครั้งก่อน เนื่องจากใช้ระเบิดชนิดเดียวกัน


ที่มา.พิทักษ์ไทย
*************************************************

รุนแรงที่ไม่ใช้กำลัง

คำขวัญติดปากข้อหนึ่งของสังคมไทย ช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือขอให้กลุ่มที่เผชิญหน้ากันอยู่อย่าใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา

ความรุนแรงที่กล่าวถึงนั้นพุ่งเป้าไปที่การใช้กำลังเข้าปะทะหรือเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสำคัญ
แต่ที่สังคมจะต้องระวังก็คือการใช้ความรุนแรงชนิดที่ไม่มีการใช้กำลัง แต่ก่อให้เกิดความเสียหายและบาดแผลแก่สังคมได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
ยกตัวอย่างเช่นการป้ายสีสาดโคลน ด้วยความเท็จหรือข้อเท็จจริงที่พูดไม่หมด
ไปจนกระทั่งถึงการใช้วาจาส่อเสียดยุยง หรือเหยียดหยามเหยียบย่ำอีกฝ่ายหนึ่ง


ความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลัง แต่แสดงออกด้วยท่าทีหรือวาจาเช่นนี้ ไม่ก่อแผลทางกายก็จริง แต่สร้างแผลในใจให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายกาจ
และสามารถก่อให้เกิดความเกลียดชังเป็นส่วนตัวต่อกันขึ้นมาได้โดยไม่ยาก ความเกลียดชังชนิดนี้ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกที่มีอยู่ในสังคมร้าวลึกจนยากจะประสานยิ่งขึ้น
เพราะการต่อสู้ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ จะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเครื่องของอารมณ์ความรู้สึก เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เหตุผลเข้าอธิบายหรือคลี่คลายได้อีก
ถึงวันนั้นแม้ต้องการประสานเยียวยาหรือเรียกหาความสมานฉันท์ก็อาจจะสายเกินการณ์


ฉะนั้น ถ้าตระหนักและเป็นกังวลอย่างแท้จริงว่าความรุนแรงจากการเผชิญหน้าทางการเมืองในปัจจุบันจะทำให้สังคมเดินหน้าเข้าสู่กลียุค
ก็จะต้องหยุดพฤติกรรมความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลังเหล่านี้ หรือลดการกระทำที่จงใจทำร้าย ดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายให้เหลือน้อยที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือบริษัทบริวาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือว่าจะเป็นกลุ่มพลังอื่นๆ ที่ต่างเรียกหาความสงบสันติ และยืนยันว่าตนเองหรือฝ่ายของตนยึดแนวทางอหิงสา

เพราะสถาานการณ์อันดีเลิศเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการป่าวประกาศ แต่ลงมือทำในทางตรงข้าม
เว้นเสียแต่ต้องการจะเห็นกลียุคเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย


ข่าวสดรายวัน
บทบรรณาธิการ
************************************************

ผลัดกันรุก

สถานการณ์พลิกกลับไปกลับมาระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับฝ่ายรัฐบาล

หลังการเจรจาเรื่อง "ยุบสภา" ผ่านไป 2 รอบเมื่อวันอาทิตย์และจันทร์ที่แล้ว

สองฝ่ายตอกหมุดข้อเรียกร้องของตนเองไว้ที่ 15 วันกับ 9 เดือน

ไม่มีใครยอมขยับถอยให้กัน

3-4 วันจากนั้นดูเหมือนรัฐบาลกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมไว้ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเดินยิ้มกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล

หลังหลบภัยเข้าไปอยู่ในค่ายทหารราบ 11 กว่าครึ่งเดือน

ขณะที่สถานการณ์ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เสื้อแดงบางส่วนส่อแววถอดใจหลังข้อเรียกร้องยุบสภาใน 15 วันไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล

นอกจากนี้หลายคนที่อยู่วงนอกเชื่อว่าการที่รัฐบาลออก มาโชว์ "โรดแม็ป" ระบุขั้นตอนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบสภา 6 ธ.ค.2553 และเลือกตั้งใหม่ 23 ม.ค.2554

อาจทำให้คนเสื้อแดงยิ่งรู้สึกหมดหวังในชัยชนะและจะค่อยๆ สลายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด

แม้กระทั่งวันสุกดิบก่อนการระดมพลใหญ่ครั้งที่ 3

บรรยากาศบริเวณเวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ ก็ดูเหี่ยวเฉา

ไม่ค่อยคึกคักเข้มแข็ง

ไม่มีการประกาศแนวทางการเคลื่อนพล "ดาวฤกษ์" ที่ชัดเจนเหมือนเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา

หลายคนมองว่าเสื้อแดง "หมดมุข" ไม่รู้จะเดินเกมกดดันรัฐบาลต่อไปอย่างไร

จนต่อเมื่อคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนบุกยึดสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. และยึดถนนวิภาวดีฯ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 11

ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ว่าคนเสื้อแดง "ลับลวงพราง" กับเขาเป็นเหมือนกัน

ที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าได้รับรายงานช่วงหัวค่ำว่ามีคนเสื้อแดงมารวมตัวกันแค่ 2 หมื่นกว่าคนนั้น

จากคนที่ไปเห็นมากับตา เขาบอกว่ามากกว่านั้นหลายเท่าตัว

ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องจำนวนคนมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ

เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์เคยพูดไว้เองว่าแม้จะมากันหนึ่งคนหรือแสนคน

รัฐบาลก็ต้องฟัง

เอาเป็นว่าจากสถานการณ์ในช่วงคืนวันเสาร์

ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ต้องกลับไปประเมินสถานการณ์กันใหม่หมด

รวมถึงเงื่อนไขยุบสภา

ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องนำกลับไปทบทวน อีกที

ประเด็นคือถึงจะไม่ใช่ 15 วัน

แต่ก็ต้องไม่ใช่ 9 เดือนแน่นอน


ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************

ไขปริศนา:ทำไมปัญญาชนไม่สามารถเข้าร่วมต่อสู้กับ"เสื้อแดง"

จากกระทู้ "ไขปริศนาทำไมนัก ศึกษา นักวิชาการ จึงไม่สามารถนำตัวเองเข้ามาร่วมกับเสื้อแดงได้ คำตอบคือ เสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์ ซึ่งเป็นความจริงอันปฎิเสธไม่ได้"
จากเว็บไซต์ คนเหมือนกัน

กลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยชนชั้นล่าง คนทำงาน คนวัยกลางคน ถึงแม้จะมีส่วนประกอบจาก"ปัญญาชนก้าวหน้า" บ้าง แต่ก็กระปริดกระปรอย ร่วมบ้างไม่ร่วมบ้าง แต่กำลังหลักที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มที่ได้กล่าวมาแล้ว หากถามเสื้อแดงเหล่านี้ถึงหลักการประชาธิปไตย หลายคนตอบไม่ได้ ถามถึงอุดมการณ์ แนวคิดทางการเมือง หรือลัทธิการเมืองยิ่งเข้าป่าไปใหญ่ "ป้าไม่รู้เรื่องหรอกหลานเอ๋ย"

"เสื้อแดง"ส่วนใหญ่จึงถูกตราหน้าว่าไร้อุดมการณ์ โง่ ถูกหลอกมา แนวทางต่อสู้ก็สะเปะสะปะ ตกลงจะล้มอะไรแน่ก็ไม่รู้ แล้วจะชนะยังไงยิ่งไม่รู้มากกว่าเสียอีก

ปัญญาชนก็เลยตั้งคำถามแก่ชาวเสื้อแดงว่า "มึงจะสู้ไปทำไมวะ?" ถ้าเสื้อแดงตอบคำถามให้ตรงใจพวกเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ออกมาร่วม

ก็ปัญญาชนผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ มีแนวทางประชาธิปไตย การต่อสู้ก็เพื่ออุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อมั่น แต่ตัวเองจริงๆก็ไม่เดือดร้อนอะไร จึงสามารถ"รอ"เงื่อนไขที่ตนคิดว่าถูกต้องตามหลักอุดมการณ์ของตนก่อนได้ "รอ"จนเสื้อแดงพัฒนาให้เท่าเทียมพวกเขาเสียก่อน "รอ"ให้เสื้อแดงฉลาดขึ้นเสียก่อน ตนจึงจะค่อยไปสมทบ

ด้วยความที่ปัญญาชนเหล่านั้นผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ จึงไม่อยากให้อุดมกาณ์ของตนแปดเปื้อนไป เพราะตนเองก็อยู่ในสังคมอุดมการณ์ อธิบายสรรพสิ่งด้วยอุดมการณ์นั่นเอง

ในสังคมอุดมการณ์เหล่านั้น ปัญญาชนเหล่านี้จึงต้องคอยระวังหลัง เพราะข้อหาว่า"โง่"มันเจ็บปวดรวดร้าว และเป็นเรื่องเป็นราวที่สุด

"ประชาธิปไตยที่กินได้" จากปากของทักษิณ ฟังแล้วดูโคตรจะไร้อุดมการณ์ แต่มันคือความจริงที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่แสวงหา ปัจจัยแรกคือเขาต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมามันเจ็บปวดมากมาย ความเจ็บปวดที่ต้องยอมทนมันมีมาก่อนการรัฐประหาร19กันยา มีมาก่อนทักษิณ มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่

การไม่ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม การถูกดูถูกเหยียดหยาม การไม่เห็นซึ่งตัวตน กดขี่สารพัด เป้าทั้งหมดพุ่งไปที่"อำมาตย์" ไม่ต้องมีการปลุกระดมใดๆ ไม่ต้องอ่านหนังสือวิชาการใดๆ ไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆ เพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรงจากระบบเฮงซวยนี้ ตัวจริงเสียงจริงจากผู้ถูกกระทำโดยไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆมาสนับสนุนเหตุผล!

ถามว่าแล้วทำไมต้องชูทักษิณ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ถกเถียงกันบ่อยครั้งในหมู่" ปัญญาชน" ปัญญาชนก็พัลวันพัลเกเถียงกันอยู่เรื่องความชอบธรรมหรือไม่ที่จะชูทักษิณ แต่ถ้าไปถามเสื้อแดงขนานแท้สักคน คำตอบที่ได้คือ "ก็กูจะเชียร์ มีอะไรมะ? พวกมึงจะเถียงกันเรื่องกูจะเชียร์หรือไม่เชียร์ใคร หรือ กูก้าวข้ามพ้นใครหรือกูจะไม่ก้าว มันไปหนักหัวใคร?"

"เสื้อแดง"ไม่แยแสกับหลักการ ไม่แยแสกับวาทะกรรมดัดจริต หรือกระแสสังคมมากมายนัก นั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องปรับตัว และต้องพัฒนาเพื่อเอาชนะให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ทุกวันนี้คือกระบวนการเรียนรู้จากชีวิตจริง พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าจะชนะไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆจึงพยายามให้ชนชั้นกลางเข้าใจและสนับสนุนพวกเขามากขึ้น

ความพ่ายแพ้สะสมเป็นบทเรียนและพัฒนาคุณภาพของพวกเขาต่อๆไป

ดังนั้นดังที่หลายๆคนเป็นห่วงว่าเสื้อแดงจะท้อ หรือจะยอมแพ้ ส่วนใหญ่มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง วัดจากความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของตนเป็นเกณฑ์ ความพ่ายแพ้ย่อมบั่นทอนอุดมการณ์เป็นธรรมดา แต่ถ้าคิดว่าคนเสื่อแดงสู้เพื่อ"ชีวิต" จริงๆ ไม่ใช่"เพื่อชีวิต"แบบแนวเพลง “คุณจะเห็นได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางท้อ ชีวิตพวกเขาแพ้มาตลอด คนมันชอกช้ำซ้ำซาก จะช้ำอีกสักสองสามทีมันจะเป็นไรไป ส่วนคนที่เคยชนะ สอบชนะ เรียนชนะ ชิงทุนชนะ มักจะกลัวความพ่ายแพ้นั่นเอง”

นักวิชาการ ปัญญาชน นักศึกษา จึงมีปัญหาในการร่วมกับเสื้อแดง เพราะเสื้อแดงมักจะทำอะไรโง่ๆให้คนติ เสื้อแดงไม่มีวาทะกรรมฉลาดๆ เสื้อแดงไม่มีอุดมการณ์ ตอบคำถามพวกเขาให้ตรงคำตอบที่ต้องการไม่ได้ และที่สำคัญเสื้อแดงมีแต่ความพ่ายแพ้ หนทางก็ปูด้วยความพ่ายแพ้! ไม่มีที่สำหรับผู้แสวงหาชัยชนะ!

ปัญญาชนมักจะพูดว่า ถ้าไม่มีหลักอุดมการณ์ ไม่ชี้เป้าหมายชัดเจน ก็จะเอาชนะไม่ได้ แล้วจะสู้ไปทำไม
ผมอยากจะท้าว่า แน่ใจนะ พนันกันมั๊ย แต่อีกสิบปีผมตามไปเก็บตังนะ….!!!


โดย ปืนลั่นแสกหน้า
ที่มา.ประชาไท
************************************************

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

นปช.เตรียมเคลื่อนขบวนพรุ่งนี้10โมงอุบสถานที่

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แถลงข่าวหลังเวทีราชประสงค์ ว่า ที่ประชุม นปช.มีมติอย่างเป็นทางการว่าจะปักหลักชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา โดยไม่กำหนดระยะเวลา พร้อมทั้งขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศให้มาร่วมการชุมนุมโดยในวันพรุ่งนี้ (5 เม.ย.) เวลา 10.00 น. จะแถลงว่าจะเคลื่อนไปที่ไหน อาจจะมีการเคลื่อนขบวนประชาชนส่วนหนึ่งออกจากแยกราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้าฯ ไปตามเส้นทางต่างๆ ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนด้วยรถจักรยานต์ และรถปิคอัพ แต่อาจจะคาบเกี่ยวกับเส้นทางที่ ศอ.รส.ประกาศห้าม ทั้งนี้เนื่องจาก ศอ.รส.ไม่มีสิทธิ์จะห้ามประชาชนในการเคลื่อนไหวโดยสันติและปราศจากอาวุธ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรธน. และที่ผ่านมาการเคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ ไม่เคยเกิดความรุนแรง ส่วนที่รัฐบาลขอให้ศาลมีคำสั่งย้ายที่ชุมนุม ยืนยันว่าเรายอมรับผลของการตัดสินวินิจฉี้ยของศาล แต่เมื่อไหร่ที่มีผลออกมา จะมีทีมกฎหมายของ นปช.ไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งทันที เช่นเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรฯเคยทำ

สำหรับกรณีที่ ศอ.รส.ระบุว่า ผู้ที่มาชุมนุมต้องได้รับโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2หมื่นบาทนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นปช.ไม่เคยกลัวและไม่รู้สึกหวั่นไหวไม่ว่าโทษจะกี่ปีก็ตาม เพราะถ้าเราไม่ออกมาต่อสู้วันนี้ก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอำมาตย์ต่อไปอีกกี่ปี หลังจากนี้จะยกระดับการเคลื่อนไหวให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่กำหนดระยะเวลา เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยังไม่ยอมยุบสภาก็จะต้องเผชิญการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่เข้มข้นขึ้นต่อไป

ส่วนที่มีการออกมาระบุว่าเกิดความเสียหายจากการเคลื่อนไหวของ นปช.หลายพันล้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้ ทั้งจากการยึดสนามบิน การยึดอำนาจ ซึ่งเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่ประเทศชาติตกอยู่ภายใต้อำมาตย์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กลุ่มนปช.จะส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า โรงแรม รวมถึงธุรกิจต่างๆ บริเวณแยกราชประสงค์ว่า กลุ่มเสื้อแดงจะอำนวยความสะดวกให้ได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางให้เข้าออก ซึ่งจะทำให้คนกรุงเทพฯหันมาสนับสนุนเรามากขึ้น

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะคำพูดของนายกฯกับการกระทำสวนทางกัน ปากบอกอยากเจรจา แต่สิ่งที่ทำคือใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงมาตลอด เมื่อรัฐบาลไม่จริงใจ การเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้น


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************

“วรเจตน์ ปะทะ สมเกียรติ” วิวาทะผ่านจอทีวีไทย โต้คดียึดทรัพย์ทักษิณ.ผู้มีจิตใจเป็นธรรม ย่อมเข้าใจได้


ปลายเดือนที่แล้ว เว็ปไซต์ ประชาชาติธุรกิจ กลายเป็นเวทีสุดฮอต ในการโต้เถียงทางปัญญาว่าด้วยเรื่อง คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน บัดนี้ ได้กลายเป็นวิวาทะ ที่ผู้คนให้ความสนใจ อย่างถล่มทลาย จากเดิมที่เป็นบทความทางวิชาการที่แห้งแล้ง วันนี้ กลายเป็นหัวข้อที่มีคนถกเถียงกันทั้งเมือง

เริ่ม จากบทวิเคราะห์ของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเพื่อนอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ถูก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักเศรษฐศาสตร์ จาก ทีดีอาร์ไอ. ลูบคม และมี นายประสงค์ เลิศรัตน์วิสุทธ์ คอลัมนิสต์ใหญ่มติชน นิติศาสตร์บัณฑิต ร่วมแจม ทำให้เกิดความคึกคักในการลับคมปัญญา

ก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอผ่าน มติชนสุดสัปดาห์ ให้ คู่ของ ดร. วรเจตน์ และ ดร. สมเกียรติ โต้กันบนเวทีเดียวกัน และประเด็นเดียวกัน ล่าสุด ทีวีไทย ทาบคู่วิวาทะไปขึ้นเวทีเดียวกัน ในช่วงสัปดาห์หน้า

ขณะที่ การโต้ตอบระหว่าง ดร. วรเจตน์ กับ ประสงค์ ก็ยังดำเนินอยู่

บ่ายวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ดร. วรเจตน์ ฝากบทความถึงนายประสงค์ ในหัวเรื่อง ความ (ไม่) สำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดียึดทรัพย์ทั้งคดี

งานนี้ ไม่ว่า จะเป็นแฟน ดร. วรเจตน์ หรือ เป็นแฟน คอลัมภ์ นายประสงค์ ก็ต้องอ่าน ....

@ ดร. วรเจตน์ ตอบ นาย ประสงค์

แม้ผมจะได้อธิบายความสัมพันธ์ของประเด็นการคงไว้หรือไม่คงไว้ซึ่งการถือครองหุ้นในชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับประเด็นที่ว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อกล่าวหาที่ฟ้องร้องกันในคดียึดทรัพย์มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ในบทความตอบคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ กรณีคำพิพากษายึดทรัพย์ประเด็น “ซุกหุ้น” และประเด็นดาวเทียม “ไอพีสตาร์” อย่างละเอียดพอสมควรแล้ว

แต่เมื่อได้อ่านบทความ “ความสำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” ต่อคดียึดทรัพย์” ที่คุณประสงค์เผยแพร่ในมติชนออนไลน์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 อีกครั้ง

ผมพบว่าคุณประสงค์ยังไม่พยายามเข้าใจประเด็นที่ผมนำเสนอ และในข้อเขียนดังกล่าวคุณประสงค์ยังแสดงความเป็นห่วงว่า สาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิพากษ์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรี

@ คุณประสงค์(ครับ) วางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ

ถ้าคุณประสงค์อ่านบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างวางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ

คุณประสงค์จะเห็นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นการถือครองหุ้นกับประเด็นว่าการกระทำของคุณทักษิณเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่นั้น กลุ่มห้าอาจารย์เขียนว่า “...อย่างไรก็ตามเมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว ประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญใดๆต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดีว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม สัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ตลอดจนกรณีการกู้เงินของรัฐบาลสหภาพพม่าจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ดังที่จะได้วิเคราะห์ต่อไปนี้...” (ข้อความที่ขีดเส้นใต้เป็นข้อความที่ผมต้องการเน้น เพื่อจะอธิบายต่อไป)

เรื่องนี้เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้วว่า ถ้าวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปเสียแล้ว ก็เป็นอันไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่

แต่หากวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปจริง ก็ยังไม่สามารถจะพิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากไม่ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำการ และการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรทำให้ร่ำรวยผิดปกติ

นั่นคือถ้าจะพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องได้ความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และ มีการกระทำที่ทำให้มีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติหรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งสองประเด็นนี้แม้จะเกี่ยวเนื่องกันในกรณีที่จะพิพากษายึดทรัพย์ แต่ก็เป็นคนละประเด็นกัน ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วในบทความที่เขียนตอบคุณประสงค์

@ ถือหุ้นหรือไม่ถือหุ้น ก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาในเนื้อหาของคดี

คุณประสงค์พึงสังเกตประโยคที่ว่า “เมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ซึ่งหมายความว่าเมื่อกลุ่มห้าอาจารย์ได้อ่านคำพิพากษาทั้งคดีแล้ว เห็นว่าการถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผลใดๆกับการพิจารณาในเนื้อหาของคดี

กล่าวคือ ไม่ว่าจะถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วในคดี ไม่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ใดๆตามข้อกล่าวหา

นั่นคือต่อให้ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางเนื้อหาแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์ก็เห็นว่าทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และการคงไว้ซึ่งหุ้นก็จะมีผลในทางกฎหมายเป็นประการอื่น ไม่ใช่การยึดทรัพย์

การที่คุณประสงค์เขียนว่า “ด้วยตรรกะเดียวกัน ถ้าสมมติว่า กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ให้แก่ชินคอร์ป (ซึ่งเป็นของบุคคลอื่น) แต่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ “ซุกหุ้น” ก็ไม่อาจยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณได้เช่นเดียวกัน...” จึงเป็นการสมมติแทนกลุ่มห้าอาจารย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง

เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ “ได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ไม่ได้เห็นเช่นนั้น กล่าวคือ เมื่อพิจารณาข้อกล่าวหา และข้อต่อสู้ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาฯทั้งหมดแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าไม่มีการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีที่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์แต่อย่างใด กลุ่มห้าอาจารย์จึงเห็นว่าประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดี

แน่นอนว่าถ้ากลุ่มห้าอาจารย์พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์ กลุ่มห้าอาจารย์ก็จำต้องพิเคราะห์ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” ให้ละเอียดและประเด็นนี้ย่อมจะเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญในการวินิจฉัย แต่เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยตลอดแล้ว กลุ่มอาจารย์ไม่เห็นเช่นนั้น ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” จึงไม่มีนัยสำคัญดังที่ได้อธิบายมาละเอียดพอสมควรแล้ว

คุณประสงค์สามารถโต้แย้งในทางตรรกะอย่างใดก็ได้ตามที่คุณประสงค์ต้องการ แต่จะสมมติประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์วินิจฉัยเป็นยุติไม่ตรงตามการสรุปของกลุ่มห้าอาจารย์ เพื่อใช้เป็นฐานกลับมาโต้แย้งกลุ่มห้าอาจารย์ไม่ได้

ผมมีข้อสังเกตว่า การพิเคราะห์ของคุณประสงค์อาจมีข้ออ่อนให้ผู้อื่นโต้แย้งได้ว่าคุณประสงค์เองมุ่งหมายที่จะให้มีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะยึดทรัพย์ได้นั้นจะต้องปรากฏในเบื้องต้นก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป คุณประสงค์จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และเมื่อวินิจฉัยเช่นนั้นได้แล้ว ก็ยังไม่พอ ยังจะต้องชี้ต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์ด้วย ผมเองไม่คิดว่าคุณประสงค์มีความมุ่งหมายเช่นนั้น แต่สาธารณชนก็อาจเข้าใจเจตนาของคุณประสงค์ไปเช่นนั้นได้

ทำไมสาธารณชนอาจจะเห็นเช่นนั้นได้ คำตอบย่อมอยู่ที่วิธีการนำเสนอของคุณประสงค์ เพราะแม้คุณประสงค์จะกล่าวว่าในการเขียนวิเคราะห์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์มีวัตถุประสงค์ (หลัก) เพียงเพื่อนำคำพิพากษาซึ่งมีความยาวและสลับซับซ้อน มาแยกแยะเป็นประเด็นๆให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น มิได้มุ่งวิพากษ์ในเชิงเหตุผลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาก็ตาม

แต่ถ้าดูจากลักษณะการพาดหัวเช่น “วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ลักไก่ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์...” สาธารณชนอาจมองได้ว่าคุณประสงค์ได้แสดงความเห็นในทางลบแล้ว คล้ายกับว่ามีการลับลอบส่งดาวเทียมขึ้นไป ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงในคดีก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ผมได้เรียนให้ทราบแล้วว่าประเด็นเรื่องการถือครองหุ้นนั้นเป็นประเด็นหลักของคดีในลักษณะอื่น ซึ่งผลของการฝ่าฝืนเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ไม่ใช่การยึดทรัพย์ ถ้าคุณประสงค์จะลองวางประเด็นเรื่องซุกหุ้นไว้ก่อน แล้วพิเคราะห์การกระทำในทางเนื้อหาล้วนๆ คุณประสงค์อาจจะได้มุมมองใหม่ๆในคดีนี้

คุณประสงค์อาจจะแย้งว่า การชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป จะเป็นเครื่องส่อแสดงที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นมูลเหตุจูงใจในการกระทำการเพื่อประโยชน์ของตน

ผมเห็นว่าเรื่องนี้คงมีผลเฉพาะในทางกฎหมายที่จะทำให้ยึดทรัพย์ได้เท่านั้น ในทางความเป็นจริง การที่หุ้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของบุตรหรือญาติใกล้ชิด ย่อมไม่ต่างกันมากนัก ถ้าจะเอื้อประโยชน์ก็เอื้อประโยชน์ได้เหมือนกัน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยในแง่ของมูลเหตุจูงใจในการกระทำ

ในมุมมองของผมซึ่งคิดประเด็นเหล่านี้มาแล้วอย่างละเอียดพอสมควร ผมได้พิเคราะห์เนื้อหาของคดี และเหตุผลของการดำเนินการต่างๆตามที่มีการกล่าวหา

ผมเห็นว่าการกระทำในทุกกรณีไม่ว่าเป็นเรื่องโทรคมนาคม ดาวเทียมไอพีสตาร์ หรือการให้เงินกู้แก้รัฐบาลสหภาพพม่าที่ปรากฏในคดียึดทรัพย์ เป็นการกระทำที่มีเหตุผลอธิบายในทางกฎหมายได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมเห็นด้วยกับวิธีการในการดำเนินงานดังกล่าวทุกประการในทางนโยบายหรือในทางการเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ประเด็นต่างๆเหล่านี้หากคุณประสงค์เห็นต่างออกไป เราก็สามารถอภิปรายโต้แย้งกันได้

สำหรับประเด็นที่คุณประสงค์กังวลว่าสาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิเคราะห์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น

ผมขอเรียนว่า อันที่จริงแล้ว มีอีกหลายประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการมีผลบังคับเป็นการเฉพาะของประกาศ คปค. อำนาจในการดำเนินการไต่สวนต่อไปของ คตส.หลังจากที่รัฐธรรมนูญฯ 2550 ใช้บังคับแล้ว อำนาจในการดำเนินการของ ปปช.ที่รับเรื่องมาจาก คตส. ฯลฯ

แต่กลุ่มห้าอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้ไว้ในบทวิเคราะห์ เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ต้องการเน้นไปที่ประเด็นเนื้อหาของคดีซึ่งแม้จะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง

แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีจิตใจที่เป็นธรรม จะไม่สามารถเข้าใจได้ เว้นแต่จะไม่พยายามเข้าใจ

@ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้

สิ่งที่กลุ่มห้าอาจารย์ต้องการก็คือให้สังคมได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงในคดี ให้วงการนิติศาสตร์ได้ถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของหลักวิชา ซึ่งหากการกระทำด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะทำให้ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้

และผมก็ขอบคุณคุณประสงค์ด้วยความจริงใจที่เชื่อว่าการที่กลุ่มห้าอาจารย์ออกบทวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวนี้ เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนและวงวิชาการนิติศาสตร์

หากสาธารณชนพิจารณาบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างมีโยนิโสมนสิการ คือ ทำให้ให้แยบคาย พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า แยกแยะพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบ ย่อมจะเห็นได้โดยปราศจากข้อกังขาเลยว่าบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้สรุปข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญและตลอดจนความเห็นของศาลในคำพิพากษาอย่างตรงไปตรงมาซึ่งหลายกรณีก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นจึงได้แสดงความเห็นของกลุ่มอาจารย์ว่าเราเห็นว่าอย่างไร มีแง่มุมที่เห็นแตกต่างจากศาลอย่างไร

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จดจารอยู่ในใจของกลุ่มห้าอาจารย์ แม้ว่าการวิเคราะห์คำพิพากษาในคดียึดทรัพย์นี้จะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด การกล่าวหาว่าร้าย การตำหนิประณาม จากผู้ที่เห็นต่าง ในสังคมที่ดูเหมือนว่าพื้นที่ของเหตุผลจะหดแคบลงไปทุกทีนี้


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************

ว่าด้วย เรื่อง ไพร่ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ .....ตรงเกินไปจนแสนระคายเคือง

เสื้อแดงบนถนนราชดำเนินและถนนราชประสงค์ เรียกตัวเองว่า ไพร่ เหตุใด คำว่า ไพร่ กลายเป็นความภาคภูมิใจ ไปได้ เสื้อยืดยอดนิยม สกรีน คำว่า ไพร่ บนหน้าอก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจหมื่นล้านแห่งไทยซัมมิท ก็นิยามตัวเองว่า เป็นไพร่ ล่าสุด “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ฟันธงว่า คำนี้ มันตรงประเด็นเกินไปจนแสนระคายเคือง


ในคอลัมภ์ของ”นิธิ เอียวศรีวงศ์”นักวิชาการอิสระ เขียน เรื่อง ชื่อสั้นๆ ว่า “ไพร่” คำที่มีความหมายลึก แห่งการต่อสู้ เราสรรหา มาให้ท่านผู้อ่านพินิจ

กลุ่มผู้ประท้วง นปช. นิยามตนเองว่าเป็น "ไพร่" ทำไมเขาจึงเลือกคำนี้ ผมไม่ทราบ แต่นับว่าน่าสนใจแก่ผมอย่างมาก เพราะความหมายของคำนี้ในภาษาไทย คลี่คลายไปสู่ความหมายเชิง "ประท้วง" ต่อสังคมที่ถือเอาลำดับขั้นของสถานภาพอย่างเคร่งครัดไม่นานมานี้เอง ในขณะที่ความหมายก่อนหน้านี้คือการให้ความชอบธรรมแก่การแบ่งสถานภาพก็ยังอยู่ และถูกใช้ในอีกเงื่อนไขหนึ่งอยู่บ้าง

เมื่อผู้ปราศรัยบนเวที ชี้หน้าผู้ร่วมชุมนุมทุกคนว่าพวกเราล้วนเป็น "ไพร่" ผู้ร่วมชุมนุมก็ไม่รู้สึกโกรธว่าถูกเหยียดให้ต่ำ แสดงว่าพวกเขารับรู้ความหมายใหม่ของคำนี้อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งในประจักษ์พยานว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นบ้านนอกขอกตื้อ ที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

ความหมายเดิมจริงๆ ของคำนี้ในภาษาไทยอาจพอแปลเทียบกับคำว่า "เสรีชน" ได้กระมัง เพราะในรัฐไทดำของลุ่มน้ำดำ (ซึ่งเป็นรูปแบบที่เชื่อกันว่ามีลักษณะเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐไทย-ลาว) เขาแบ่งประชาชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือพวก "ไท-ไต" ซึ่งมีสิทธิ์ถืออาวุธหรือเป็นทหาร, ถือครองที่ดินส่วนที่เป็นที่ราบลุ่ม, และใช้เครื่องมือการเกษตรบางชนิดได้ กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "ไป" หรือ "ปาย" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกับ "ไพร่" ในภาษาไทยกลางนั้นเอง

อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกที่เรียกรวมๆ ว่า "ข้า" คือกลุ่มคนที่ต่างชาติพันธุ์ออกไป และมีสิทธิ์ทางสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองด้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม "ไพร่" ที่ปรากฏในสมัยอยุธยา คงเรียกว่า "เสรีชน" ลำบากแล้วล่ะครับ ฝรั่งจัดคนเหล่านี้ไว้เป็นกลุ่มหนึ่งในพวก bondsmen คือคนที่มีพันธะบางอย่างกับคนอื่น

คนอื่นซึ่งไพร่ต้องมีพันธะด้วยนั้น เรียกรวมๆ ว่า "มูลนาย" ประกอบด้วยคนหลายประเภท นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน, ราชตระกูล, ขุนนาง, เจ้าเมืองท้องถิ่น, และคนที่เจ้าเมืองตั้งขึ้นเป็นขุนนางท้องถิ่น ไพร่มีภาระหน้าที่จะต้องส่งส่วยแก่มูลนาย ในรูปของส่วยแรงงาน หรือส่วยสินค้าก็ตาม ถ้าส่งให้หลวงก็เรียกว่าไพร่หลวง ถ้าส่งให้มูลนายอื่นก็เรียกว่าไพร่สม

พันธะอันนี้หมดไปในทางทฤษฎี เมื่อ ร.5 ทรงออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหารเข้ามาแทนที่ หมายความว่า เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ยังมีพันธะต้องเป็นทหารให้แก่กองทัพของหลวงในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็กลายเป็น "เสรีชน" ไปตลอดชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังใช้การเกณฑ์แรงงาน สืบมาโดยเปิดเผยหรือโดยการ "ขอร้อง" ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนถึงระยะแรกๆ ของการพัฒนาหลังการยึดอำนาจของ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ แล้ว

ฉะนั้น ว่ากันตามทฤษฎี ก็ไม่มีไพร่ในสังคมไทยอีกแล้วนับตั้งแต่นั้นมา แต่คำนี้ก็ยังถูกใช้อยู่ต่อมา หากในความหมายใหม่ หรือในจุดเน้นใหม่

ขอให้สังเกตนะครับว่า คู่ตรงข้ามของ "ไพร่" ในกฏหมายตราสามดวงที่ใช้กันมาตั้งแต่อยุธยาจนถึง ร.5 นั้น คือ "มูลนาย" ทั้งสองฝ่ายนี้ถึงจะร่วมวัฒนธรรมใหญ่กันก็จริง แต่ในรายละเอียดแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักความละเอียดซับซ้อนของวัฒนธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ดูละครกันคนละเรื่องและคนละแบบ, ผลิตและใช้วรรณกรรมกันคนละชนิด, ฟังเพลงก็คนละประเภทกัน, แม้แต่เนื้อหาของพระพุทธศาสนาที่ต่างฝ่ายต่างนับถือก็ไม่สู้จะเหมือนกันนัก ฯลฯ

ผมไม่แน่ใจว่า ต่างมีสำนึกเหยียดหยามวัฒนธรรมของกันและกันหรือไม่ เพราะในชีวิตจริงแล้ว ต่างอยู่ในโลกของตน มีความจำเป็นล่วงเข้ามาในโลกของอีกฝ่ายไม่มากนัก แต่แน่นอนว่ามีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไพร่ล่วงเข้ามาในโลกของมูลนาย วัฒนธรรมของไพร่ก็เป็นสิ่งน่าหัวร่อเยาะ หรือน่าเหยียดหยาม นับตั้งแต่อาหารการกิน, การแต่งเนื้อแต่งตัว, มารยาท, ไปจนถึงคุณค่าที่ยึดถือ

แต่ชีวิตที่ถูกแยกออกเป็นสองโลกนี้เริ่มอันตรธานไปในการปฏิรูปของ ร.5 ซึ่งยังสืบทอดอำนาจทางการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไว้ในหมู่พวก "มูลนาย" (หรือกลุ่มหนึ่งของพวก "มูลนาย") เหมือนเดิม แต่บัดนี้เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกจาก "มูลนาย" ให้กลายเป็น "ผู้ดี" แทน

คู่ตรงข้ามของไพร่ในภาษาไทยจึงกลายเป็น "ผู้ดี" ไป

ผมขอยกตัวอย่างการใช้คำว่า "ไพร่" ในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นตัวอย่าง

สำนวนว่า "ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร" นั้นมีความหมายอย่างไร ก.ศ.ร. กุหลาบไปเข้าใจว่า เมื่อพระอัครมเหสีจะประสูติพระราชโอรส-ธิดา ก็โปรดให้ตั้งพระมหาเศวตรฉัตรไว้เหนือที่ซึ่งจะมีพระประสูติกาล ฉะนั้น เมื่อสมเด็จฯ พระองค์นั้นทรงพระนิพนธ์พงศาวดารรัชกาลที่ 5 จึงได้ทรงอธิบายว่า ที่เข้าใจเช่นนั้นเป็นเพราะ ก.ศ.ร. กุหลาบ (ในพระนิพนธ์ไม่ได้ออกชื่อ) เป็น "ไพร่" ไม่รู้ธรรมเนียมเจ้า เพราะความหมายของสำนวนนี้ก็คือ ทรงพระราชสมภพเมื่อพระราชบิดาได้เสวยราชสมบัติแล้วเท่านั้น

(เช่น ร.2 ไม่ได้ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร เพราะขณะนั้นพระราชบิดายังมิได้ครองราชย์ แต่ ร.5 ใช่ เพราะพระราชบิดาได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว)

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วนะครับว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นสามัญชน ล่วงเข้ามาในพื้นที่ของ "ผู้ดี" คือพื้นที่ "วิชาการ" ซึ่ง "ผู้ดี" ในสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อันคนซึ่งปราศจากคุณสมบัติของ "ผู้ดี" จะเข้ามาไม่ได้

คุณสมบัตินั้นคือการศึกษา (ในความหมายกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะประกาศนียบัตร) อย่างหนึ่ง และความรอบรู้เจนจัดในขนบธรรมเนียมประเพณีของ "ผู้ดี" อีกอย่างหนึ่ง

ความหมายของ "ไพร่" จึงเคลื่อนไปจากประเภทของบุคคลที่ไม่ใช่ "มูลนาย" มาเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทที่ถือกันว่าเป็นมารยาท "ผู้ดี"

ความหมายนี้ยิ่งมีพลังมากขึ้น เมื่อความหมายของคำว่า "ผู้ดี" เองก็เริ่มเคลื่อนจากกำเนิด มาสู่คุณสมบัติอื่นซึ่งมนุษย์สามารถแสวงหาไขว่คว้ามาเป็นของตนได้ เช่นมารยาท

หนังสือ "สมบัติผู้ดี" พูดชัดเจนไปเลยว่า กำเนิดไม่ใช่เงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของ "ผู้ดี" แต่มารยาทและความประพฤติซึ่งอาจได้มาจากการอบรมสั่งสอนต่างหากที่จะแยก "ผู้ดี" ให้ออกจาก "ไพร่"

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยของไทย เป็นกระบวนการที่พยายามจะสืบทอดอำนาจของ "มูลนาย" ไว้ให้คงอยู่ในระบบใหม่ด้วย คำว่า "ผู้ดี" ซึ่งแม้จะไม่เน้นในเรื่องกำเนิด แต่ความหมายถึงอภิสิทธิชนอันมาแต่กำเนิดก็ยังแฝงอยู่ในคำนี้ เพราะคนที่จะเป็น "ผู้ดี" ได้ ก็ต้องเติบโตมาในวัฒนธรรมมูลนาย, ได้รับการศึกษาแผนใหม่ซึ่งมีต้นทุนไม่น้อย อีกทั้งต้องมีอิทธิพลที่จะดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานอันเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย

"ผู้ดี"จึงหมายถึงคนมีมารยาทอันงามและเป็นอภิสิทธิชน ในขณะที่ "ไพร่" ซึ่งเป็นตรงกันข้าม คือคนที่หยาบคาย, เป็นสามัญชนคนธรรมดา, ไม่มีอภิสิทธิ์ หรือว่ากันที่จริงแม้แต่สิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะพลเมืองก็มีไม่เต็ม

และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ถูกใช้ในความหมายเชิงประท้วง และผมคิดว่าหนึ่งในคนที่ทำให้ความหมายนี้ขยายไปจนเป็นที่รับรู้กันอย่างมากนั้น คือ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ สักสามทศวรรษมาแล้ว ที่คุณสุจิตต์แกล้งใช้คำนี้ในงานเขียนของตนหลายชิ้น (เช่น เสภาไพร่) จนกระทั่ง ใครๆ ก็สามารถประกาศตัวเป็นไพร่ได้ หากต้องการจะเน้นความเสียเปรียบ หรือความต่ำต้อยของตนเองอันเกิดจากระบบแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ระคายหูชนชั้นสูง เพราะเท่ากับย้ำความเป็นอภิสิทธิชนของพวกเขา ผมทราบมาว่าบางกลุ่มของชนชั้นสูงไม่อยากให้ใช้คำ "ไพร่" เอาเลย ยกเว้นแต่จะใช้เป็นศัพท์วิชาการ เพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมไทยในอดีต

แต่ "ไพร่" ก็เหมือนคำในภาษาทั่วไป คือมีชีวิตของมันเอง หากไม่ตายหรือถูกเลิกใช้ไปเสีย ก็เคลื่อนคลายความหมายไปได้เรื่อยๆ ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในปัจจุบันหากไม่ใช้ในความหมายของศัพท์วิชาการแล้ว "ไพร่" มักมีความหมายในเชิงประท้วงหรือประชดอย่างนี้แหละครับ

"ไพร่" ในความหมายว่าไร้มารยาทและไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเสียอีก ผมกลับไม่ค่อยได้ยินใครใช้

ดังนั้น เมื่อผู้ประท้วงเสื้อแดงเลือกคำว่า "ไพร่" มาใช้เรียกกลุ่มของตนเอง ผมจึงเห็นว่าเป็นการเลือกคำที่ชาญฉลาด เพราะ "ไพร่" คำเดียว แทนประเด็นที่เขาชุมนุมกันได้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็นความอยุติธรรม, สองมาตรฐาน หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการรักษาผลประโยชน์ตนเองอย่างมืดบอดของเหล่าอภิสิทธิชน

ก็จริงหรอกครับ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นวีรบุรุษของคนเสื้อแดงนั้น ก็เป็นอภิสิทธิชนคนหนึ่ง แต่ในทัศนะของคนเสื้อแดง คุณทักษิณเป็นอภิสิทธิชนที่ตกกระป๋อง เพราะระบบที่ไม่ยุติธรรม, สองมาตรฐาน และความเหลื่อมล้ำ อันเป็นระบบที่ทำให้ผู้ประท้วงต้องเป็น "ไพร่"

ยิ่งถ้ามองไปที่ "วาทกรรม" ของไพร่-ผู้ดี ไม่ใช่มองไปที่คำ ผมคิดว่ายิ่งตรงกับประเด็นการประท้วงมากขึ้น วาทกรรมคือข้อสรุปที่สมมติว่าเป็น "ความจริง" อันเกิดขึ้นจากชุดของเหตุผลและข้อเท็จจริงหนึ่ง วาทกรรม "ไพร่-ผู้ดี" ของวัฒนธรรมไทยนั้น คือการแบ่งสิทธิอย่างไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างคนที่สามารถสร้างสถานภาพอันสูงได้ผ่านการศึกษา กับคนที่ไม่สามารถทำได้อย่างนั้น

และก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นะครับ โอกาสของการศึกษานั้นกระจายไปในสังคมไทยอย่างเป็นธรรมหรือไม่เพียงใด หรือการศึกษาเป็นเพียงเครื่องมืออันหนึ่งในการสืบทอดสถานภาพแห่งอภิสิทธิชนจากชั่วอายุคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วอายุคนหนึ่งกันแน่ (สถานภาพที่สามารถสืบทอดถึงลูกหลานได้ก็คือ "ชนชั้น")

คนที่สะพานผ่านฟ้าฯ ใช้คำว่า "ไพร่" ได้ตรงประเด็นเป๊ะ จะผิดอยู่บ้างก็คือตรงเกินไปจนแสนระคายเคือ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************

***รัฐธรรมนูญลับลวงพราง***

ปีสองสี่เจ็ดห้า นานมา
ขอเปลี่ยนอำนาจมา ต่ำใต้
ปกเกล้าปิ่นประชา มอบทั่ว ชนนา
เลือกแต่งตัวแทนไว้ ร่วมสร้างรัฐบาล

ใจเบิกบานไพร่ฟ้า แดนสยาม
ชนชื่นธรรมนูญงาม ก่อเกื้อ
ตัวแทนทั่วเขตคาม เดินสู่ สภานา
ถ่ทไถ้ภ่ษีเผื้อ แต่งสร้างเมืองงาม

ยามราษฎร์ทุกข์เสื่อมเซร้า วิบัติ
บอกแก่ตัวแทนรัฐ ป่วยด้วย
รัฐบาลท่านผันผัด พูดผ่อน
งบบ่พอรอฉ้วย เมื่อหน้าเงินพอ

สอสอมันต่ำช้า รานกู
ปฏิวัติมันตกคู หยุดยั้ง
นายทหารใหญ่เป็นครู ครอบทั่ว
รบไล่รุกฉีกทั้ง ถ่มทิ้งธรรมนูญ

อาดูรมาเนิ่นช้า ประชา
พบแต่ความอัปรา พ่ายแฟ้
ธิปไตยแย่งไปมา คิดเบื่อ
ราษฎร์บ่นขวนกันแก้ แต่ได้ลวงพราง

รัฐธรรมนูญนี่นี้ ผีสาว
เขียนแต่งลวงอำพราง ชั่วช้า
การเมืองอ่อนเปราะบาง ตายง่าย
ยุบฆ่าพรรคมันถ้า เก่งท้าอมาตย์ชน


by ปติตันขุนทด
************************************************