เสธ.แดง ชี้บึมเมืองนนท์และกรมบังคับคดีเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คดียิงอาร์พีจีถล่มกลาโหม-กับยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุขและร.1 พัน 1รอ. ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล แนะทางลง นปช.ล่อทหารปราบ อัดทหารใหญ่สั่งล้อมรัฐสภา ปฏิเสธไปเขมรขนอาวุธและรับเงินป่วน
พล.ต.ขัต ติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิทหารบก เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ถึงเหตุลอบวางระเบิดสถานที่ราชการสำคัญในช่วงนี้ว่า มั่วค่อนข้างเยอะ มีบางคนใช้สถานการณ์ผสมโรง จากการสอบถามและดูลักษณะการวางระเบิดที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี และกรมบังคับคดีนั้น น่าเป็นจะเป็นมือคนทั่วไปและมุ่งเน้นเรื่องความแค้นส่วนตัว ส่วนการยิงอาร์พีจีถล่มกระทรวงกลาโหมและยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุขหลังประชุม ครม.รวมทั้งที่ ร.1พัน 1 รอ. เป็นการยิงเพื่อช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง สังเกตจากการยิงเพื่อทำลายระบบอำมาตย์ เป็นการแย่งซีนกันหว่างคนที่ต้องการช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ใช่เป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เชื่อว่าจะมีระเบิดลักษณะนี้อีกแน่นอน 100%
"ใหม่ๆผมก็โทษฝ่ายรัฐบาลทำ แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ พูดตรงๆ แกนนำก็ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ความจริงเสื้อแดงวันนี้มีคนช่วยถือหางมาก ทั้งสื่อและคนนอก ดังนั้นมันน่าจะจบได้แล้ว แต่วันนี้กลับไม่ใช่ รอเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้นที่จะชนะ แกนนำก็ยังดื้อ ผมเคยพูดว่าคนหายไปแล้ว 30% นายจตุพรก็โกรธไล่ออกนอกเวที มาวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเองเลือกที่จะให้แกนนำคนบ้านเลขที่ 111 ขึ้นนำ เพราะรู้ว่าแกนนำเดิมเอาไม่อยู่ จตุพรก็โกรธอาละวาด สำหรับวิธีการลงที่ดีที่สุดและไม่น่าเกลียดขณะนี้คือให้ทหารล้อมปราบ อย่างไรก็ตามผมจะอยู่เคียงข้าง เป็นทหารคนเดียวที่อยู่ข้างเสื้อแดง จะคอยต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
ส่วนเรื่องการนำกำลังทหารมาปิดล้อมรัฐสภาและสถานที่ราชการอื่นๆนั้น พล.ต.ต.ขัตติยะกล่าวว่า เป็นการสั่งการของทหารใหญ่บางคน เทหมดหน้าตัก ไม่ใช่นักรบ เพราะนักรบเขาให้ตำรวจทำหน้าที่ ทหารอยู่ในที่ตั้งเป็นผู้ช่วยตำรวจ ออกมายามจำเป็นเท่านั้น วันนี้ขนทหารมาหมดทั้งภาคใต้ กองทัพภาคที่ 1,2,3 ต้องอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลคอยคุ้มกัน วันนี้ประชาชนบางส่วนเกลียดทหาร ซึ่งจะทำให้เสียชาติเสียแผ่นดินได้ในอนาคต ดังนั้นขอให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายรีบกู้ภาพลักษณ์เรียกความเชื่อมั่นของทหาร กลับมาให้ได้
พล.ต.ขัตติยะยังกล่าวถึงกรณีถูกโจมตีว่าเดินทางไปชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อ ขน อาวุธและรับเงินมาเคลื่อนไหว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะไปจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี นครราชสีมา เพื่อท่องเที่ยวรำลึกความหลังสมัยเคยต่อสู้กับกัมพูชาช่วงปี 2525-2530 เท่านั้น พวกที่ออกมาระบุเช่นนี้ต้องการทำร้ายตนอย่างน่าละอาย
* โดย ไทยรัฐออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553
"เพื่อไทย"ระบุสื่อนอกตีข่าวรัฐจ้างทหารอยู่เป็นเพื่อน
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศต่อสถานการณ์การเมืองของไทย พบว่ามีสื่อหลายฉบับ นำเสนอข่าวประณามรัฐบาลไทยที่ใช้กำลังทหารให้มาเป็นพวก มาเล่นการเมือง ยกตัวอย่างที่เว็บไซด์ เวิร์ด เพลส ของประเทศอังกฤษ ที่นำเสนอและวิจารณ์การเมือง โดยระบุในหลายประเด็นว่า รัฐบาลใช้เงินซื้อทหารจากหน่วยหลักในกองทัพให้มาอยู่เป็นเพื่อน
นอกจากนี้ยังมีข่าวจากสื่อที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาลไทย พยายามนำเสนอว่า กลุ่มผู้ชุมนุมถูกจ้างให้มาประท้วง ต้องถามว่าแล้วที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลได้เพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้ทหารที่เข้ามาดูแลการชุมนุมในกทม.วันละ 300 บาท และยังทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กลัวทหารจะเหนื่อยจึงเพิ่มให้อีกคนละ1,000 บาท ในขณะที่ทหารในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 180 บาท จริงหรือไม่
“มีทหารที่อยู่ใน ราบ11 เขาโทรศัพท์มาบ่นกับผมว่าวันนี้บ้านเมืองเป็นอะไรไปแล้ว ที่เอาค่ายทหารเป็นที่นอน เวลาจะเข้าจะออกก็ไปเป็นขบวนเหมือนทอดผ้าป่า จนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ว่าจะเอาทหารอยู่เป็นพวกอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ส่วนที่นายสุเทพระบุ มีการให้เงินส.ส.15 ล้านบาท ไประดมคนมาประท้วง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะถ้าส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เงินคนละ 15 ล้านบาทจริง คงไม่เสียเวลาไปจ้างคนมาประท้วง แต่จะจ้างมือปืนไปยิงปากนายสุเทพ” นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
นอกจากนี้ยังมีข่าวจากสื่อที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาลไทย พยายามนำเสนอว่า กลุ่มผู้ชุมนุมถูกจ้างให้มาประท้วง ต้องถามว่าแล้วที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลได้เพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้ทหารที่เข้ามาดูแลการชุมนุมในกทม.วันละ 300 บาท และยังทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กลัวทหารจะเหนื่อยจึงเพิ่มให้อีกคนละ1,000 บาท ในขณะที่ทหารในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 180 บาท จริงหรือไม่
“มีทหารที่อยู่ใน ราบ11 เขาโทรศัพท์มาบ่นกับผมว่าวันนี้บ้านเมืองเป็นอะไรไปแล้ว ที่เอาค่ายทหารเป็นที่นอน เวลาจะเข้าจะออกก็ไปเป็นขบวนเหมือนทอดผ้าป่า จนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ว่าจะเอาทหารอยู่เป็นพวกอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ส่วนที่นายสุเทพระบุ มีการให้เงินส.ส.15 ล้านบาท ไประดมคนมาประท้วง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะถ้าส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เงินคนละ 15 ล้านบาทจริง คงไม่เสียเวลาไปจ้างคนมาประท้วง แต่จะจ้างมือปืนไปยิงปากนายสุเทพ” นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
"พีระพันธุ์" ยอมรับความยุติธรรมยังเข้าไม่ถึงคนทั้ง 60 ล้าน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงเหตุคนร้ายปาระเบิดที่กรมบังคับคดีว่า ได้สั่งกำชับทุกหน่วยงานให้เข้มงวดกวดขันมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ยังเกิดเหตุสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วน ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกำลังไม่เพียงพอในการดูแลสถานที่ราชการได้ครบทุกแห่ง ที่สำคัญรัฐบาลไม่สามารถสั่งห้ามการเดินทางผ่านหน้าสถานที่ราชการ ทำได้อย่างเดียวคือเฝ้าระวัง แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้มีการนำอาวุธสงครามออกมาใช้จำนวนมาก เชื่อว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทุกครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
สำหรับการตรวจสอบกระแสเงินจากต่างประเทศที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมีความผิดปกติของเงินที่ไหลเข้าประเทศจริง แต่ยังไม่อยากยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะยังไม่มีหลักฐานชัดเจน หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมกำลังเร่งขยายผลการสืบสวน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกมองว่ากลไกในกระทรวงยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดในการตรวจสอบซึ่งถือเป็นความลับในสำนวนคดี
ส่วนกรณีคนเสื้อแดงระบุว่ากลุ่มคนชั้นล่างไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้คนมาร่วมชุมนุม แต่ก็ยอมรับว่าความยุติธรรมคงไปไม่ถึงประชาชนทั้ง 60 ล้านคน วันนี้จึงต้องเริ่มวางกรอบและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเข้าถึงประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะการแก้ไขระเบียบกองทุนยุติธรรม
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาตนเองพยายามทำให้ระบบการรับเรื่องร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่บัตรสนเท่ห์ที่ไม่ลงชื่อ และเชื่อว่าการลงพื้นที่ตรวจสอบความเดือดร้อนจะทำให้ประชาชนรู้สึกดีที่ได้รับความสนใจจากหน่วยราชการ หากทำได้ในแนวทางนี้จะเกิดประโยชน์ในระยะยาว ทั้งนี้หากจะหยิบยกเรื่องความยุติธรรมมาเป็นประเด็นทางการเมือง ตนเองจะไม่ขอตอบโต้ ทุกคนควรหันกลับมาดูตัวเอง ประเทศก็เหมือนบ้าน เชื่อว่าทุกคนคงไม่ยอมให้บ้านของตัวเองมีปัญหา ถ้ามีปัญหาต้องทำให้บ้านมีความสุข อะไรที่ไม่ยุติธรรมขอให้นำมาว่ากันตามระบบ สู้กันด้วยพยานหลักฐาน ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
ส.ส.พท.บอยคอตเมินประชุมสภา

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ที่อาคารรัฐสภาว่า ตนได้เดินทางมาดูพื้นที่โดยรอบอาคารรัฐสภาอีกครั้งและยังเห็นว่ามีกำลังทหาร อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้สภาผู้แทนราษฎรประเทศไทยมีสภาพไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นค่ายกักกันของทหารไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความอับอายไปทั่วโลก ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่านายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อายบ้างหรือ โดยตนได้ไปพบนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและทราบว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของรัฐบาลให้ทหารมารักษาการที่ค่ายกักกันแห่งนี้ ดังนั้นถ้ารัฐบาลยังไม่ดำเนินการเอาสิ่งกีดขวางและนำกองกำลังทหารออกไปจากพื้นที่โดยรอบอาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน
“วันนี้ มันไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎรแล้ว มันเป็นค่ายกักกันของทหาร เจ้าหน้าที่บอกผมว่าเป็นเรื่องจริงที่มีการขอกำลังทหารให้มารักษาความปลอดภัย แต่ไม่ได้ขอไปจำนวนมากมายขนาดนี้ และการใช้กำลังทหารมากขนาดนี้มันไม่เหมาะสม เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสภาฯเลย เพราะผู้ชุมนุมประกาศชัดว่าจะไม่มาชุมนุมที่สภาฯ ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์กันได้ แต่รัฐบาลกลัวมากจนเกินไป” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว
พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า นอกจากนี้ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร จะเรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มาชี้แจงถึงการใช้กองกำลังและงบประมาณในการสร้างค่ายกักกันแห่งนี้ รวมไปถึงเรื่องการยิงเอ็ม 79 ไปยังถนนแพร่งภูธร บริเวณกระทรวงกลาโหม และค่าใช้จ่ายที่กรมทหารราบที่ 11 รักษา พระองค์ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีไปพำนัก ว่าใช้งบประมาณจากส่วนใดด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
อัญมินทร์ เรียบเรียง
"ทักษิณ"อ้างให้หมอฉีดยา บอกเจรจาเป็นเรื่องของสามเกลอ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิตข้อความผ่าน http://www.twitter.com/thaksinlive ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาว่ามีคนใช้ facebook ชื่อของเขา บอกกับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมให้กลับบ้าน ต้องเรียนว่ามารเยอะจริงๆมาในรูปแบบต่างๆจนตามไม่ทัน ขอบอกว่าไม่จริงและขอให้ร่วมสู้
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ทวิตอีกครั้ง โดยแจ้งว่าต้องให้หมอฉีดยาเพื่อจะได้พูดกับพี่น้องได้เร็วๆ ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ดันมาป่วยในช่วงสำคัญ อย่างไรก็ขอให้เข้มแข็งผนึกกำลังให้แข็งแรงนะ
"มีคนพูดว่าทำไมไม่เจรจา ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล แล้วก็ยังแย่ได้อีกเขาจึงขอให้ยุบสภา เพราะฉะนั้นการเจรจาหรือไม่เจรจาไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของสามเกลอและคนเสื้อแดงเขา ถึงแม้ว่าผมจะถูกรังแกอย่างเจ็บปวดแต่ยังเทียบไม่ได้กับความเสียหายของประเทศ/ประชาชนโดยรวมที่ต้องตกอยู่ในภาวะที่ประเทศเป็นเผด็จการอำมาตย์ รัฐบาลเป็นเพียงหุ่นเชิดกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง 2มาตรฐาน"
***********************************************
นอกจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตด้วยว่า ทหารเตรียมพร้อมปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคที่โลกทั้งโลกเขาพากันไปไกลแล้ว แถมยังมีสื่อสารมวลชนที่เป็นสถานีโปรปากานดามากกว่า
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ทวิตอีกครั้ง โดยแจ้งว่าต้องให้หมอฉีดยาเพื่อจะได้พูดกับพี่น้องได้เร็วๆ ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ดันมาป่วยในช่วงสำคัญ อย่างไรก็ขอให้เข้มแข็งผนึกกำลังให้แข็งแรงนะ
"มีคนพูดว่าทำไมไม่เจรจา ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล แล้วก็ยังแย่ได้อีกเขาจึงขอให้ยุบสภา เพราะฉะนั้นการเจรจาหรือไม่เจรจาไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของสามเกลอและคนเสื้อแดงเขา ถึงแม้ว่าผมจะถูกรังแกอย่างเจ็บปวดแต่ยังเทียบไม่ได้กับความเสียหายของประเทศ/ประชาชนโดยรวมที่ต้องตกอยู่ในภาวะที่ประเทศเป็นเผด็จการอำมาตย์ รัฐบาลเป็นเพียงหุ่นเชิดกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง 2มาตรฐาน"
***********************************************
นอกจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตด้วยว่า ทหารเตรียมพร้อมปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคที่โลกทั้งโลกเขาพากันไปไกลแล้ว แถมยังมีสื่อสารมวลชนที่เป็นสถานีโปรปากานดามากกว่า
5 พรรคร่วมทิ้ง "ปชป." ในกองทัพ แตะมือ-รับสัญญาณ "ทักษิณ"
หากรัฐบาลเกิดอุบัติเหตุต้อง "ยุบสภา" เลือกตั้งใหม่ โดยไม่มีโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ต้องตกที่นั่งลำบาก
ทางหนึ่งอาจโดนปิดล้อมจาก พรรคใหญ่ประชาธิปัตย์ ในเขตภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร
ทางหนึ่งโดนปิดประตู-ตีกัน-ผลักดัน จากพรรคที่มีภาพทรงอิทธิพลในอีสาน-เหนือ มี ส.ส.คาสภาผู้แทนราษฎร มากที่สุดถึง 183 คน จากพรรคเพื่อไทย
พรรคที่เป็นพรรคขนาดกลาง อาจ เล็กลง ได้จำนวนส.ส.เข้าสภาน้อยลง
ไม่ต้องนับพรรคขนาดเล็ก ที่ต้องหนีตายจากพรรคใหญ่ และหลบกระแสความนิยม "ทักษิณ" ในพรรคเพื่อไทย ทั่วทุกเขตเลือกตั้ง
การปรับตัวของบรรดา พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก จึงต้อง "รุก" ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่พายุใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง
ความพยายามของ "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ลงทุน-ลงแรง เป็น "หัวหอก" ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางออกหนึ่ง ที่จะก้าวพ้นจาก "กับดัก" เขตเลือกตั้งแบบ "เขตใหญ่เรียงเบอร์"
ในขบวนของ "บรรหาร" จึงมี "เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน แกนนำพรรคขนาดกลาง "ภูมิใจไทย"
ไม่ต้องนับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต้องเกาะขบวนพรรคร่วม เพื่อโหนกระแส "เขตเดียว-เบอร์เดียว" มาตั้งแต่ต้นขบวน
เช่นเดียวกับพรรคขนาดเล็ก-เก่า-แก่ อย่างพรรคกิจสังคม ที่มีส.ส.คาสภา 5 คน อยู่ในโควตาเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 ตำแหน่ง ที่ต้องร่วมวง-ดิ้นหนี จากระบบเลือกตั้งแบบเดิม
ไม่ต้องนับ พรรครวมใจชาติพัฒนา ของ ผู้ยิ่งใหญ่-โคราช "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่เพิ่งจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ภายใต้ร่มเงาหัวหน้าพรรค น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่เป็น "ตัวหลัก" ในการผนึกกำลังกับพรรคขนาดกลาง เพื่อรอดพ้นจากการเข้าโจมตีจากพรรคเพื่อไทย
ประสบการณ์ร่วมทุกข์-ร่วมสุข ของบรรดา 5 พรรคร่วมรัฐบาล ในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงออกดอก-ออกหนาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดนมรสุมโลหิต จากม็อบ "เพื่อไทย-เสื้อแดง" ที่รุกประชิดให้ "ยุบสภา"
ดังนั้น เมื่อพรรคใหญ่-กับพรรคใหญ่ 2 พรรค ทำสงครามครั้งสุดท้าย ผ่านสงครามตัวแทน "เสื้อแดง" บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนจึงหลบฝังตัวอยู่ "ใต้ดิน" บางส่วน "ข้ามฟ้า" ไปหลบร้อนในต่างประเทศ
แม้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเล่นเกม ส่งสัญญาณข้ามฟ้า เข้าถึงตัวแกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล แบบเรียงชื่อ-เรียงตัว ให้ 5 พรรค-พลิกขั้ว-ถอนตัว
ชื่อ สมศักดิ เทพสุทิน-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-ชัย ชิดชอบ จึงถูก "ทักษิณ" เรียกหา เพื่อให้องค์ประกอบของ "รัฐบาล" ทั้งพรรคภูมิใจไทย- ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนาและกิจสังคม โดดเดี่ยว "พรรคประชาธิปัตย์"
บรรดา "แกนนำ-ตัวจริง" ทิ้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ในกองทัพ ปฏิบัติการอยู่ใน ศูนย์บัญชาการ รักษาความสงบ "ศอ.รส." ในพื้นที่ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไม่ไยดี
ทุกพรรคร่วม ไม่มีพรรคใด กล้าปริปาก เรื่อง "เปลี่ยนขั้ว"
ทั้งไม่กล้าทิ้งประชาธิปัตย์ ทั้งไม่อยากปฏิเสธ "ทักษิณ"
จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ "เสื้อแดง"
ในขณะเดียวกัน ก็ยืนระยะ ไม่ใกล้-ไม่ห่าง จากพรรคประชาธิปัตย์
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จึง "เข้าใจได้-แต่ยากที่จะเชื่อ" เมื่อ "เนวิน" เลื่อนเวลาเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ แม้ "เนวิน" จะยืนยันว่าไปชมการแข่งขันฟุตบอล
การที่ "ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการใหญ่-ตัวหลัก ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่เคยปรากฏตัวที่ "ศอ.รส." จึงเป็นเรื่อง ที่แกนนำประชาธิปัตย์ ลอบมองอย่าง คลางแคลงใจ
ทั้งๆ ที่ การกำกับกระทรวงมหาดไทย-ผู้ว่าราชการจังหวัด-องค์การปกครองทั่วประเทศ จะอยู่ในมือ "ภูมิใจไทย" แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเสนอ ในการร่วมคิด-ร่วมแก้ปัญหา "ม็อบแดง" ที่ผุดทั่ว ทุกหัวเมือง
ระหว่างที่ประชาธิปัตย์กำลังชุลมุน กับ "ม็อบแดง" หลังฉากการต่อสู้ กลับมีเสียงเรียกโทรศัพท์ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" ถึงแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดึงตัว "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" ให้พ้นตัว "บรรหาร" พร้อมข้อเสนอกลางหน้าแล้ง-ร้อน ด้วยการเปิดตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" นอกทำเนียบ
เสียงคำ "ทาบทาม" ถูกกระจายเสียง-กึกก้อง ทั่วทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หางเสียงทอดไปถึงพรรคประชาธิปัตย์
จึงมีเสียงสะท้อนกลับ-มีนัยยะ "พรรคชาติไทยพัฒนายังรักษาสัจจะ คือ จับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ยังไม่มีความคิดเปลี่ยนขั้ว...ตอนนี้"
การชิงลงมือของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แตะมือไว้กับพรรคใหญ่ 2 พรรค แสดงความเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ในกระดานการเมือง ยิ่งทำให้ "เสธ.หนั่น-บรรหาร" ปั่นราคา-ค่างวดของพรรค ได้สูงลิ่ว
ทั้งหมดไม่พลาดสายตา ไปจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี- นายพินิจ จารุสมบัติ -นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่ทอด-สอดมอง ข้ามน้ำ-ข้ามแผ่นดิน มาจากประเทศญี่ปุ่น
หลังจากเคยลักลอบ-ลัดเลาะ ไปนัดพบหารือปัญหาการเมืองกับ "สุวัจน์-รวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่ฮ่องกง มาแล้วหลายวาระ
ส่วนพรรคกิจสังคม ของ "สุวิทย์ คุณกิตติ" ก็มีอันต้องติดภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างไม่อาจเลี่ยง ช่วงม็อบแดง-กระจาย จึงไม่มีใครเห็น "สุวิทย์" อยู่ในฐานบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล
ยามวิกฤติของรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเดี่ยว แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางนายพลแห่งกองทัพไทย
ฝ่ายรัฐบาลจึงมีเพียง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" และแน่นหนาไปด้วยเครือข่าย ใน 4 เหล่าทัพ
และยังมีทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น คำยืนยัน ไม่ยุบ-ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไปและจะเปิดโต๊ะเจรจา ของ "อภิสิทธิ์" จึงมี น้ำหนัก-หนาแน่น ไปด้วย มวลของ "ทหาร" แต่มวลแนวร่วมของ 5 พรรคร่วมนั้น แสนจืดจาง-เบาบาง
แม้บางพรรคจะพยายามส่งสัญญาณต่อสาธารณะ ในท่วงทำนองว่า "ยังคงเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ต่อไป" แม้มีทางเลือก อย่างลับๆ กับแกนนำใน "เครือข่ายทักษิณ"
ช่วงจังหวะทางการเมืองที่ร้อน-แล้ง เช่นนี้ การทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไว้กลางกองทัพ จึงเป็นทางเลือก-ทางลง ของ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ปลอดภัยที่สุด
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************
พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ต้องตกที่นั่งลำบาก
ทางหนึ่งอาจโดนปิดล้อมจาก พรรคใหญ่ประชาธิปัตย์ ในเขตภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร
ทางหนึ่งโดนปิดประตู-ตีกัน-ผลักดัน จากพรรคที่มีภาพทรงอิทธิพลในอีสาน-เหนือ มี ส.ส.คาสภาผู้แทนราษฎร มากที่สุดถึง 183 คน จากพรรคเพื่อไทย
พรรคที่เป็นพรรคขนาดกลาง อาจ เล็กลง ได้จำนวนส.ส.เข้าสภาน้อยลง
ไม่ต้องนับพรรคขนาดเล็ก ที่ต้องหนีตายจากพรรคใหญ่ และหลบกระแสความนิยม "ทักษิณ" ในพรรคเพื่อไทย ทั่วทุกเขตเลือกตั้ง
การปรับตัวของบรรดา พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก จึงต้อง "รุก" ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่พายุใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง
ความพยายามของ "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ลงทุน-ลงแรง เป็น "หัวหอก" ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางออกหนึ่ง ที่จะก้าวพ้นจาก "กับดัก" เขตเลือกตั้งแบบ "เขตใหญ่เรียงเบอร์"
ในขบวนของ "บรรหาร" จึงมี "เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน แกนนำพรรคขนาดกลาง "ภูมิใจไทย"
ไม่ต้องนับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต้องเกาะขบวนพรรคร่วม เพื่อโหนกระแส "เขตเดียว-เบอร์เดียว" มาตั้งแต่ต้นขบวน
เช่นเดียวกับพรรคขนาดเล็ก-เก่า-แก่ อย่างพรรคกิจสังคม ที่มีส.ส.คาสภา 5 คน อยู่ในโควตาเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 ตำแหน่ง ที่ต้องร่วมวง-ดิ้นหนี จากระบบเลือกตั้งแบบเดิม
ไม่ต้องนับ พรรครวมใจชาติพัฒนา ของ ผู้ยิ่งใหญ่-โคราช "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่เพิ่งจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ภายใต้ร่มเงาหัวหน้าพรรค น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่เป็น "ตัวหลัก" ในการผนึกกำลังกับพรรคขนาดกลาง เพื่อรอดพ้นจากการเข้าโจมตีจากพรรคเพื่อไทย
ประสบการณ์ร่วมทุกข์-ร่วมสุข ของบรรดา 5 พรรคร่วมรัฐบาล ในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงออกดอก-ออกหนาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดนมรสุมโลหิต จากม็อบ "เพื่อไทย-เสื้อแดง" ที่รุกประชิดให้ "ยุบสภา"
ดังนั้น เมื่อพรรคใหญ่-กับพรรคใหญ่ 2 พรรค ทำสงครามครั้งสุดท้าย ผ่านสงครามตัวแทน "เสื้อแดง" บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนจึงหลบฝังตัวอยู่ "ใต้ดิน" บางส่วน "ข้ามฟ้า" ไปหลบร้อนในต่างประเทศ
แม้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเล่นเกม ส่งสัญญาณข้ามฟ้า เข้าถึงตัวแกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล แบบเรียงชื่อ-เรียงตัว ให้ 5 พรรค-พลิกขั้ว-ถอนตัว
ชื่อ สมศักดิ เทพสุทิน-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-ชัย ชิดชอบ จึงถูก "ทักษิณ" เรียกหา เพื่อให้องค์ประกอบของ "รัฐบาล" ทั้งพรรคภูมิใจไทย- ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนาและกิจสังคม โดดเดี่ยว "พรรคประชาธิปัตย์"
บรรดา "แกนนำ-ตัวจริง" ทิ้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ในกองทัพ ปฏิบัติการอยู่ใน ศูนย์บัญชาการ รักษาความสงบ "ศอ.รส." ในพื้นที่ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไม่ไยดี
ทุกพรรคร่วม ไม่มีพรรคใด กล้าปริปาก เรื่อง "เปลี่ยนขั้ว"
ทั้งไม่กล้าทิ้งประชาธิปัตย์ ทั้งไม่อยากปฏิเสธ "ทักษิณ"
จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ "เสื้อแดง"
ในขณะเดียวกัน ก็ยืนระยะ ไม่ใกล้-ไม่ห่าง จากพรรคประชาธิปัตย์
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จึง "เข้าใจได้-แต่ยากที่จะเชื่อ" เมื่อ "เนวิน" เลื่อนเวลาเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ แม้ "เนวิน" จะยืนยันว่าไปชมการแข่งขันฟุตบอล
การที่ "ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการใหญ่-ตัวหลัก ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่เคยปรากฏตัวที่ "ศอ.รส." จึงเป็นเรื่อง ที่แกนนำประชาธิปัตย์ ลอบมองอย่าง คลางแคลงใจ
ทั้งๆ ที่ การกำกับกระทรวงมหาดไทย-ผู้ว่าราชการจังหวัด-องค์การปกครองทั่วประเทศ จะอยู่ในมือ "ภูมิใจไทย" แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเสนอ ในการร่วมคิด-ร่วมแก้ปัญหา "ม็อบแดง" ที่ผุดทั่ว ทุกหัวเมือง
ระหว่างที่ประชาธิปัตย์กำลังชุลมุน กับ "ม็อบแดง" หลังฉากการต่อสู้ กลับมีเสียงเรียกโทรศัพท์ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" ถึงแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดึงตัว "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" ให้พ้นตัว "บรรหาร" พร้อมข้อเสนอกลางหน้าแล้ง-ร้อน ด้วยการเปิดตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" นอกทำเนียบ
เสียงคำ "ทาบทาม" ถูกกระจายเสียง-กึกก้อง ทั่วทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หางเสียงทอดไปถึงพรรคประชาธิปัตย์
จึงมีเสียงสะท้อนกลับ-มีนัยยะ "พรรคชาติไทยพัฒนายังรักษาสัจจะ คือ จับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ยังไม่มีความคิดเปลี่ยนขั้ว...ตอนนี้"
การชิงลงมือของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แตะมือไว้กับพรรคใหญ่ 2 พรรค แสดงความเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ในกระดานการเมือง ยิ่งทำให้ "เสธ.หนั่น-บรรหาร" ปั่นราคา-ค่างวดของพรรค ได้สูงลิ่ว
ทั้งหมดไม่พลาดสายตา ไปจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี- นายพินิจ จารุสมบัติ -นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่ทอด-สอดมอง ข้ามน้ำ-ข้ามแผ่นดิน มาจากประเทศญี่ปุ่น
หลังจากเคยลักลอบ-ลัดเลาะ ไปนัดพบหารือปัญหาการเมืองกับ "สุวัจน์-รวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่ฮ่องกง มาแล้วหลายวาระ
ส่วนพรรคกิจสังคม ของ "สุวิทย์ คุณกิตติ" ก็มีอันต้องติดภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างไม่อาจเลี่ยง ช่วงม็อบแดง-กระจาย จึงไม่มีใครเห็น "สุวิทย์" อยู่ในฐานบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล
ยามวิกฤติของรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเดี่ยว แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางนายพลแห่งกองทัพไทย
ฝ่ายรัฐบาลจึงมีเพียง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" และแน่นหนาไปด้วยเครือข่าย ใน 4 เหล่าทัพ
และยังมีทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น คำยืนยัน ไม่ยุบ-ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไปและจะเปิดโต๊ะเจรจา ของ "อภิสิทธิ์" จึงมี น้ำหนัก-หนาแน่น ไปด้วย มวลของ "ทหาร" แต่มวลแนวร่วมของ 5 พรรคร่วมนั้น แสนจืดจาง-เบาบาง
แม้บางพรรคจะพยายามส่งสัญญาณต่อสาธารณะ ในท่วงทำนองว่า "ยังคงเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ต่อไป" แม้มีทางเลือก อย่างลับๆ กับแกนนำใน "เครือข่ายทักษิณ"
ช่วงจังหวะทางการเมืองที่ร้อน-แล้ง เช่นนี้ การทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไว้กลางกองทัพ จึงเป็นทางเลือก-ทางลง ของ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ปลอดภัยที่สุด
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************
บึ้มป่วนเย้ยรายวัน ปาเอ็ม67เขย่ากรุง-นนท์ หน้ารั้วกรมบังคับคดีบางขุนนนท์ สนั่นศาลากลางจังหวัด
บึ้มถล่มเย้ยอีก 2 แห่ง ศูนย์ราชการนนทบุรีห่างศาลากลางจังหวัดแค่ 150 เมตร ฝ้าเพดานอาคารเก็บสิ่งของเสียหาย ทั้งที่มีกำลังอส. ทหารปตอ.รักษาความปลอดภัยเข้ม ส่วนอีกแห่งข้างรั้วกรมบังคับคดีบางขุนนนท์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงเกิดเหตุระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จ.นนทบุรี เขตประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หลังจากก่อนหน้านี้ เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แห่งใหม่กลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม และเมื่อบ่ายวันที่ 22 มีนาคม เกิดเหตุมือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มกระทรวงสาธารณสุข สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นอกสถานที่ 2 ลูก
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.55 น. วันที่ 24 มีนาคม คนร้ายลอบวางระเบิด ไม่ทราบชนิด ที่บริเวณอาคารเก็บสิ่งของ-อุปกรณ์ ต่างๆ ของอุทยานมกุฎรมยสราญ ในศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งยังเป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร โดยจุดเกิดเหตุอยู่ทางเข้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ริมถนนทางเข้าออกประมาณ 150 เมตร เศษใบไม้กระจายเป็นวงกว้าง ข้างฝาอาคารเก็บสิ่งของมีคราบเขม่าดำแกือบทั้งแถบ ฝ้าเพดานแตกเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าในเขตอุทยานเสียหายอีก 1 หม้อ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ ไม่พบสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด
ต่อมา นายวิเชียร พุทธิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี พล.ต.ท.กฤษฎา พัน ธ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.สมศักดิ์ชัย อมรส่งเจริญ ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ไปตรวจที่เกิดเหตุ
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีอาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) 8 นาย พร้อมทหาร ปตอ.อีก 1 หมวด ประมาณ 12 นาย รักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณทางเข้าดังกล่าว ขณะระเบิดมี อส. 2 นาย ยืนอยู่ให้จุดเกิดเหตุ ทราบชื่อนายวรพจน์ ชูเทียน และนายชัชชัย ผลไม้ ดดยทั้งสองให้การว่าได้ยินเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว โดยไม่เห็นตัวคนร้ายว่าขว้างหรือวางระเบิดไว้ก่อนหน้าอย่างไร ทั้งนี้ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นายบุญจันทร์ สุมะนี รปภ.ประจำเทศบาลนครนนทบุรี ที่ดูแลรถยนต์เข้าออกศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่าก่อนเกิดเหตุเข้าไปหุงข้าวในอาคารเก็บสิ่งของดังกล่าว ก็ไม่พบสิ่งปกติใดๆเช่นกัน
ส่วนเหตุระเบิดอีกแห่งหนึ่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ต.พรชัย ศรีมูล พนักงานสอบสวนสบ.2 สน.บางขุนนนท์ ได้รับแจ้งเหตุระเบิด หน้ากรมบังคับคดีบางขุนนนท์ ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. เมื่อออกไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุพบ อยู่ริ่มสะพานคลองชักพระ หน้ารั้วกองบังคับคดี พบพงหญ้าบริเวณรั้วหลุดกระเด็น พื้นปูนซีเมนต์หน้ารั้วแตกกระจายเป็นหลุมกว้าง-ลึกประมาณ 10 คูณ 10 เซ็นติเมตร(ซม.) ต้นไม้บริเวณรอบๆพังเสียหาย เบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ตำรวจคาดว่าระเบิดที่คนร้ายใช้ขว้างเป็นชนิดเอ็ม 67 คล้ายเหตุระเบิดที่แขวงการทางธนบุรี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงเกิดเหตุระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จ.นนทบุรี เขตประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หลังจากก่อนหน้านี้ เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แห่งใหม่กลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม และเมื่อบ่ายวันที่ 22 มีนาคม เกิดเหตุมือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มกระทรวงสาธารณสุข สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นอกสถานที่ 2 ลูก
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.55 น. วันที่ 24 มีนาคม คนร้ายลอบวางระเบิด ไม่ทราบชนิด ที่บริเวณอาคารเก็บสิ่งของ-อุปกรณ์ ต่างๆ ของอุทยานมกุฎรมยสราญ ในศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งยังเป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร โดยจุดเกิดเหตุอยู่ทางเข้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ริมถนนทางเข้าออกประมาณ 150 เมตร เศษใบไม้กระจายเป็นวงกว้าง ข้างฝาอาคารเก็บสิ่งของมีคราบเขม่าดำแกือบทั้งแถบ ฝ้าเพดานแตกเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าในเขตอุทยานเสียหายอีก 1 หม้อ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ ไม่พบสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด
ต่อมา นายวิเชียร พุทธิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี พล.ต.ท.กฤษฎา พัน ธ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.สมศักดิ์ชัย อมรส่งเจริญ ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ไปตรวจที่เกิดเหตุ
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีอาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) 8 นาย พร้อมทหาร ปตอ.อีก 1 หมวด ประมาณ 12 นาย รักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณทางเข้าดังกล่าว ขณะระเบิดมี อส. 2 นาย ยืนอยู่ให้จุดเกิดเหตุ ทราบชื่อนายวรพจน์ ชูเทียน และนายชัชชัย ผลไม้ ดดยทั้งสองให้การว่าได้ยินเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว โดยไม่เห็นตัวคนร้ายว่าขว้างหรือวางระเบิดไว้ก่อนหน้าอย่างไร ทั้งนี้ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นายบุญจันทร์ สุมะนี รปภ.ประจำเทศบาลนครนนทบุรี ที่ดูแลรถยนต์เข้าออกศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่าก่อนเกิดเหตุเข้าไปหุงข้าวในอาคารเก็บสิ่งของดังกล่าว ก็ไม่พบสิ่งปกติใดๆเช่นกัน
ส่วนเหตุระเบิดอีกแห่งหนึ่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ต.พรชัย ศรีมูล พนักงานสอบสวนสบ.2 สน.บางขุนนนท์ ได้รับแจ้งเหตุระเบิด หน้ากรมบังคับคดีบางขุนนนท์ ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. เมื่อออกไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุพบ อยู่ริ่มสะพานคลองชักพระ หน้ารั้วกองบังคับคดี พบพงหญ้าบริเวณรั้วหลุดกระเด็น พื้นปูนซีเมนต์หน้ารั้วแตกกระจายเป็นหลุมกว้าง-ลึกประมาณ 10 คูณ 10 เซ็นติเมตร(ซม.) ต้นไม้บริเวณรอบๆพังเสียหาย เบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ตำรวจคาดว่าระเบิดที่คนร้ายใช้ขว้างเป็นชนิดเอ็ม 67 คล้ายเหตุระเบิดที่แขวงการทางธนบุรี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
"ปชป.-พท."ปะทะเดือด ฝ่ายค้านฉุนทหาร-ตร.สกัด ฟากรบ.โวยถูกขวางประชุม "เติ้ง-จิ๋ว"ต่างอ้างป่วยเจรจาล่ม
ส.ส.พท.ประท้วงไม่ร่วมประชุมสภา ขวางทางเข้าออก ยื่นคำขาด"ปธ.สภา"ถ้าไม่ถอนกำลังทหาร ตำรวจ สิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่รัฐสภาไม่ร่วมประชุม แจ้งเอาผิด"มาร์ค-สุเทพ-ชัย"ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ลงชื่อยื่นถอดถอนนายกฯผิดรธน. "เทพเทือก"ยันมีอำนาจตามกม. "อภิสิทธิ์"ไม่สนเดินหน้าต่อ ลั่นสัปดาห์หน้านำปท.สู่ภาวะปกติ "ชวน"เชื่อรบ.ไม่ปล่อยยืดเยื้อ
เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) นับร้อยซึ่งไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม หลังจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประกาศปิดถนน 8 สายบริเวณรอบอาคารรัฐสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาล 245 เสียงเปิดประชุมสภาได้ พร้อมผ่านฉลุย 3ร่าง กม.สำคัญ โดยต่างฝ่ายต่างขู่ ยื่นถอดถอนฝ่ายตรงกันข้าม ภท.เล็งแจ้งเอาผิดส.ส.พท.ขวาง ปชป.รวมชื่อถอดถอนด้วย วิปฝ่ายค้านขู่ยื่นถอด"อภิสิทธิ์"
วิปรบ.คาดพท.ร่วมประชุม25มี.ค.
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังปิดประชุมสภา นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เรียกประชุมวิปรัฐบาลเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อทันทีในเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมวิปรัฐบาล ประมาณ 1 ชั่วโมง โดย น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.กล่าวว่า ได้ซักซ้อมวาระการประชุมสภาวันที่ 26 มีนาคม โดยให้เตรียมตั้งกระทู้ถามรอไว้อีก 2 กระทู้ และมีการประเมินว่า ส.ส.ฝ่ายค้านน่าจะเข้าร่วมประชุมวันที่ 25 มีนาคม เพราะจะมีการถ่ายทอดสด หากฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมประชุมจะเสียเปรียบรัฐบาล แต่จะเข้ามาสร้างความปั่นป่วนมากกว่า สิ่งที่วิปรัฐบาลกังวลคือหลังปิดประชุม เพราะเกรงกลุ่มคนเสื้อแดงจะปิดล้อมสภา บางคนถึงกับเตรียมบันไดไว้ปีนออก
พท.นัดแถลงสื่อนอกวันนี้
ที่พรรคเพื่อไทย เวลา 12.30 น. นายวิทยา บุรณศิริ วิปฝ่ายค้าน พร้อม ส.ส.พท.กว่า 20 คน ร่วมแถลงภายหลังการประชุมส.ส.พรรคว่า ขอชี้แจงเหตุผลไม่เข้าร่วมประชุมสภาว่าสมาชิก พท. 99% มีความเห็นต่อการกระทำของทหารที่ไปปิดล้อมรัฐสภา เป็นการคุกคามอย่างยิ่งต่อฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งไม่สมควรเกิดขึ้น ดังนั้นพรรคจะส่งคณะ ส.ส.ไปพบนายชัย ในช่วงบ่ายวันที่ 24 มีนาคม เพื่อยืนยันเหตุผลตามหนังสือที่ได้ยื่นต่อประธานสภา ไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เพื่อให้ประสานไปยังนายอภิสิทธิ์สั่งการนำทหารและสิ่งกีดขวางออกไปให้พ้นเส้นทางที่ ส.ส.พท.จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ที่อาคารรัฐสภา
"จากนั้นจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างชาติอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. คณะส.ส.พท. จะเข้ายื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ ประจานการทำงานของนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้รัฐบาลพยายามผ่านกฎหมายโดยเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่ง พท.ไม่ยอมรับ โดยจะยื่นหนังสือปฏิเสธและตรวจสอบทางกฎหมาย พร้อมยื่นหนังถึงสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องของกฎหมายที่ผ่านสภาโดยเผด็จการต่อไป และขอให้จับตา พท.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อไป แต่ยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่งส.ส."
มีมติแจ้ง157 "มาร์ค-สุเทพ-ชัย"
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท.กล่าวว่า พท.มีมติให้ตนไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ และนายชัย ที่กองบังคับการกองปราบปราม ในข้อหากีดกันไม่ให้ตน และส.ส.เดินทางเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 310 เนื่องจากบุคคลทั้งสามถือว่ากระทำการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินการของทหารเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่การประชุมไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนไม่ปลอดภัย
นายประเกียรติ นาสิมา ส.ส.สัดส่วน พท.ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค กล่าวว่า การกระทำของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าแทรกแซงการทำหน้าที่ในสภาของ ส.ส.ตามมาตรารัฐธรรมนูญ 266 และ 268 ดังนั้นการฟ้องดำเนินคดีถือว่าเป็นไปโดยชอบธรรม
ลงชื่อยื่นถอดถอน"มาร์ค"วันนี้
"สำหรับการยื่นถอดถอนนายกฯ จะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ให้ ส.ส.ลงชื่อ 1 ใน 4 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นสมาชิกภาพของนายกฯ ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามกรณีที่ประธานวิปรัฐบาลจะถอดถอน ส.ส.พท.ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภา คิดว่าการไม่เข้าประชุมหนึ่งวันคงไม่ถูกถอดถอน เพราะตามข้อบังคับ ส.ส.ต้องขาดประชุมหนึ่งในสี่ คือ 25% และการจะให้เข้าไปโดยลอดรั้วลวดหนามจะไม่เข้าไปเด็ดขาด ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี เรายอมไม่ได้"
เวลา 15.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. พร้อม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ รับมอบอำนาจจาก นายสุรพงษ์ ส.ส.เชียงใหม่ พท. เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.แจ้งความดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ในข้อหาทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม มาตรา 310 และมาตรา 157 แ ละ นายชัย ความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมนำภาพถ่ายที่บริเวณรอบอาคารรัฐสภา แผ่นซีดี และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
ขณะที่ พ.ต.อ.พรศักดิ์ มอบหมายให้ พ.ต.ท.สุกรี สินเย็น พงส.(สบ 2) กก.1 บก.ป.รับเรื่องและสอบปากคำไว้ในเบื้องต้นก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
วิปค้านยัน"ชัย"ไม่ถอนไม่ร่วม
ก่อนหน้านี้ เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พท. รองประธานวิปฝ่ายค้าน นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พท. ร่วมกันแถลงทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ส่งหนังสือให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ให้พิจารณาสั่งยกเลิกให้ทหารตำรวจปิดล้อมรอบรัฐสภา นายไพจิตกล่าวว่า วิปฝ่ายค้านขอยื่นหนังสือทวงถามต่อนายชัย เพราะการอ้างว่าทหารตำรวจมารักษาความปลอดภัยประชุมสภา แต่วิปฝ่ายค้านเห็นว่า มีมากเกินความจำเป็น และหากนายชัยยังปล่อยให้ฝ่ายบริหารใช้มาตรการที่นำไปสู่ความวิตก อาจเลยเถิดไปจนเกิดการปฏิวัติ กลุ่มผู้มาชุมนุมไม่ได้มีความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐกลับทำให้พื้นที่สภากลายเป็นภาวะสงคราม ฉะนั้นขอให้เลิกโดยด่วน ซึ่งในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. ยังไม่มีการจัดระบบเข้าออกสภาตามปกติได้ พวกตนก็คงไม่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งรัฐบาลอาจกลัวเกินเหตุ จิตหลอน เชื่อว่าไม่มีใครจะมาทำรุนแรงเกินสภาพปกติของสภา
ด้านนายศักดากล่าวว่า รัฐสภาเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่เมื่อเช้าวันที่ 24 มีนาคม กลับติดป้ายให้เข้าได้เฉพาะ ครม. ส.ส. ส.ว. แถมมีลวดหนาม เครื่องกั้นเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ขณะที่นายชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาน่าอับอายไปทั่วโลก
"มาร์ค"ทำมึนไม่เข้าใจ พท.
ด้านนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะร่วมประชุมสภาตามปกติ ส่วนการปิดกั้นถนนและเส้นทางจราจรนั้นก็ยังคงเป็นมาตรการที่ทางประธานสภา และนายสุเทพจะหารือกันเพื่อให้สมาชิกปลอดภัย รัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้ลิดรอนสิทธิของสมาชิกฝ่ายค้าน ตรงกันข้ามต้องนำบทเรียนในอดีตที่สภาถูกปิดล้อมและเกิดความสูญเสียมาปรับมาใช้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เและคุ้มครองไม่ให้ประชาชนที่มาชุมนุมต้องเกิดการเผชิญหน้าและเกิดความความรุนแรง ส่วนที่ พท.มีมติจะไม่มาเข้าร่วมประชุมสภาจนกว่าจะถอนกำลังทหารออกไป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจ สิ่งที่ทำทั้งหมดเพื่อให้งานนิติบัญญัติเดินได้
เมื่อถามว่า พท.อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นประชาธิปไตยและกำลังมีการปฏิวัติเงียบเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ตรงไหนครับ ใครไปยึดอำนาจใคร ทุกคนก็มาใช้สภาทำหน้าที่ได้ตามปกติ ตรงข้ามกับการที่ขัดขวางเพื่อสมาชิกด้วยกันไม่ให้เข้ามาทำหน้าที่ตรงนั้นต่างหากที่ไม่เป็นประชาธิปไตย"
ลั่นเริ่มต้นสัปดาห์นำปท.สู่ปกติ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การออกมาตรการก็เป็นการปรึกษากันระหว่างประธานสภาและรองนายกฯสุเทพ ทุกอย่างทำเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้การประชุมสภาสามารถดำเนินการต่อได้"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับสัปดาห์หน้าก็คงต้องรอดูสถานการณ์การชุมนุม ถ้ายังประกาศว่าจะไปปิดล้อม หรือไปไล่ตามคนทำหน้าที่ รัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่ทำให้ทุกคนปลอดภัย สัปดาห์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำสังคมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ครม.ประชุมได้ สภาประชุมได้ ผู้ชุมนุมก็ชุมนุมต่อไปได้ในกรอบของกฎหมาย สมาชิกฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่ได้ แต่เมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจไม่ร่วมก็เป็นสิทธิ
วิปรบ.เมินถอนไร้เหตุผล
เมื่อถามถึงประเด็นขอเปิดอภิปรายร่วมรัฐสภา 179 และ การอภิปรายทั่วไป การเสนอญัตติตามมาตรา 161 รัฐบาลจะตอบรับหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็น 161 คงเดินอยู่แล้วเพราะญัตติของวุฒิสภาหากสมบูรณ์ก็จะแจ้งรัฐบาลมาอีกครั้งหนึ่ง พูดคุยกับนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ไปแล้วว่า ขอให้ส่งมาและรัฐบาลจะกำหนดวันที่เหมาะสม เข้าใจว่าจะต้องเป็นหลังไอพียู เมื่อถามว่า รัฐบาลจะเปิด 179 หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยัง เพราะเห็นได้ชัดว่า ส.ส.ฝ่ายค้านยังไม่พร้อมร่วม
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า ข้อเสนอของ พท.ให้ถอนกำลังทหารก่อนนั้น ถือว่าไม่มีเหตุผล เพราะรถถังก็เปิดทางให้ ส.ส.ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภา แต่ถ้าข้อเรียกร้อง พท.เพราะต้องการให้เกิดสีสันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"พผ."ปัดข้อเสนอนอกระบบ
ส่วนความเคลื่อนไหวการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน ควรมีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ร่วมกัน มีหัวหน้า 6 พรรคการเมืองร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งในวันพุธและวันพฤหัสบดีวอร์รูมจะอยู่ที่รัฐสภา ส่วนวันอื่นๆ จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นครั้งๆ ไป ต้องยอมรับว่าหากรัฐบาลมีแต่ยุทธศาสตร์เชิงรับจะทำให้เสียเปรียบ จึงจำเป็นต้องหารือร่วมกันว่ารัฐบาลจะรุกกลับได้อย่างไร
เมื่อถามว่าคิดว่าเป็นเกมของ ปชป.จับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นตัวประกันไม่ให้พลิกขั้วหรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ไม่ใช่การจับใคร มาจับตนไม่ได้หรอก ขณะนี้รัฐบาลก็ยังเป็นบึกแผ่นบริหารประเทศ จนขณะนี้ พผ.ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก พล.อ.ชวลิตประธาน พท.แต่อย่างใด แต่ถ้าติดต่อพร้อมพูดคุยด้วย แต่พรรคมีหลักการชัดเจนว่าถ้าเป็นกระบวนการนอกระบบและไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พรรคไม่ยอมรับ ข้อเสนอของ พท.ให้ยุบสภาถือเป็นเรื่องในระบบหรือไม่ หัวหน้า พผ.กล่าวว่า นอกระบบ หากจะเรียกร้องในระบบก็ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
บิ๊กภท.ยันยังพร้อมคุย "บิ๊กจิ๋ว"
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาลว่า คงไม่ได้เป็นเรื่องการตีกันไม่ให้พรรคร่วมนอกจากใจ ปชป. ยังทำงานร่วมกันเหนียวแน่น และไม่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมของ พล.อ.ชวลิตด้วย ขณะนี้ ภท.ยังไม่ได้รับการติดต่อมา หากติดต่อมาก็พร้อมพูดคุย ส่วนที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษก ภท.ระบุว่า พรรคไม่พร้อมจะเจรจากับ พล.อ.ชวลิตนั้น ไม่ทราบเรื่อง เพราะระชุมพรรควันที่ 23 มีนาคมไม่มีการพูดคุยประเด็นนี้
วอร์รูมคาดแดงยืดเยื้อเกินมี.ค.
เวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปิดห้องรับรองนายกรัฐมนตรี บนอาคารรัฐสภา 1 ชั้น 2 เป็นวอร์รูมติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ผู้เข้าร่วมประชุมมี นายสุเทพ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายชาญชัย หัวหน้า พผ. นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม แกนนำ ภท. และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา (รช.) แต่ไม่มีตัวแทนพรรคกิจสังคมเข้าร่วม
พล.ต.สนั่นให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า มีการวิเคราะห์ว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงอาจยืดเยื้อเกินเดือนมีนาคม ดังนั้น ทั้งตำรวจและทหารต้องระวังเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ระเบิดเอ็ม 79 นอกจากนี้นายกฯและนายสุเทพยังฝากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และกำชับให้รัฐมนตรีไปทำงานและลงพื้นที่ให้มาก ส่วนการเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลนั้นต้องเข้าให้ได้ แต่จะเข้าไปทำงานได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังยืนยันจะทำงานร่วมกับ ปชป. และจะประชุมวอร์รูมอีกครั้งที่รัฐสภาในวันที่ 25 มีนาคม
เผยนายกฯกำชับระวังปะทะ
นายชาญชัยกล่าวว่า ในที่ประชุมวอร์รูม นายกฯกำชับให้ระมัดระวังสถานการณ์ขณะนี้ เรื่องการเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนพรรคละ 2 คน มาเข้าร่วมประชุมวอร์รูม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวหลังการประชุมวอร์รูมพรรคร่วมนัดแรกว่า ที่ประชุมตกลงกันว่า แต่ละพรรคต้องกลับไปทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคตัวเองให้ลงพื้นที่อธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะมีบางฝ่ายพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้เกิดความสับสน
"สุเทพ"อ้างเลขาฯสภาขอรปภ.
เมื่อถามว่า การที่ทหารล้อมสภาทำให้ภาพรัฐสภาดูไม่สง่างาม นายสุเทพกล่าวว่า ขอชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหนังสือถึงตนและนายกฯ เพื่อขอให้รัฐบาลหามาตรการดูแลความปลอดภัยของ ส.ส. อาคารรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ไม่ให้ได้รับอันตรายจากการปิดล้อมสภา โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง บางครั้งมีเสียชีวิต นายชัยจึงแจ้งกับตนเป็นการส่วนตัวไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้นอีก
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านโจมตีว่าถูกจำกัดสิทธิประชุม และจะนำเรื่องร้องต่อยูเอ็นและศาลรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า ดีแล้ว จะได้พิสูจน์กันที่ยูเอ็น การที่ ส.ส.พท.ใช้รถยนต์ปิดทางเข้ารัฐสภาถือว่า เป็นการกระทำไม่ถูกต้อง ไม่มีอำนาจแต่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรัฐสภามีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้ วอร์รูมของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ มองว่าสามารถคลี่คลายได้เพียงต้องใช้เวลา
ชทพ.เผยพท.เลื่อนคุย "เติ้ง"
ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวยอมรับว่า พล.อ.ชวลิต ประธาน พท.ประสานหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ชทพ. ที่บ้านพักนายบรรหาร โดยมี พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้า พท. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค พูดคุยถึงสถานการณ์ทางการเมืองทั่วไป แต่นายบรรหารยังป่วยด้วยโรคงูสวัดอยู่ จึงไม่ต้องการพบปะกับใคร แต่ พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า อยากมาพบด้วยตัวเอง นายบรรหารจึงตอบรับในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯเช่นกัน ในเวลา 16.00 น. วันที่ 24 มีนาคม แต่ พท.ประสานกลับมาอีกครั้งเลิกนัดหมายเป็นวันอื่น ทำให้นายบรรหารระบุว่า ถ้าเป็นวันอื่นคงไม่สะดวกแล้ว เพราะมีภารกิจมาก
ด้านนายปลอดประสพกล่าวว่า การนัดหมายต้องเลื่อนออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก พล.อ.ชวลิตเกิดตาอักเสบอีก
ค้านปชป.ยื่นถอดถอนพท.
นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ชทพ. และวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณี ส.ส.ปชป.อ้างในฐานะวิปรัฐบาลมีมติประณามการไม่เข้าประชุมรัฐสภาของพรรคเพื่อไทย และจะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้เป็นความคิดส่วนตัว ไม่ใช่มติวิปรัฐบาล ตนพูดในที่ประชุมวิปรัฐบาลไปแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการยื่นถอดถอน เพราะสภาพรัฐสภาเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ปฏิวัติ น่าจะหาแนวทางอื่น ไม่ใช่เอารถทหารมาปิดถนน หรือเอาลวดหนามมาวางรอบอย่างนี้ ทำให้เห็นว่ามีความรุนแรงเพราะไม่มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยประเทศไหนทำกันอย่างนี้
ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************
เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) นับร้อยซึ่งไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม หลังจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประกาศปิดถนน 8 สายบริเวณรอบอาคารรัฐสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาล 245 เสียงเปิดประชุมสภาได้ พร้อมผ่านฉลุย 3ร่าง กม.สำคัญ โดยต่างฝ่ายต่างขู่ ยื่นถอดถอนฝ่ายตรงกันข้าม ภท.เล็งแจ้งเอาผิดส.ส.พท.ขวาง ปชป.รวมชื่อถอดถอนด้วย วิปฝ่ายค้านขู่ยื่นถอด"อภิสิทธิ์"
วิปรบ.คาดพท.ร่วมประชุม25มี.ค.
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังปิดประชุมสภา นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เรียกประชุมวิปรัฐบาลเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อทันทีในเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมวิปรัฐบาล ประมาณ 1 ชั่วโมง โดย น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.กล่าวว่า ได้ซักซ้อมวาระการประชุมสภาวันที่ 26 มีนาคม โดยให้เตรียมตั้งกระทู้ถามรอไว้อีก 2 กระทู้ และมีการประเมินว่า ส.ส.ฝ่ายค้านน่าจะเข้าร่วมประชุมวันที่ 25 มีนาคม เพราะจะมีการถ่ายทอดสด หากฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมประชุมจะเสียเปรียบรัฐบาล แต่จะเข้ามาสร้างความปั่นป่วนมากกว่า สิ่งที่วิปรัฐบาลกังวลคือหลังปิดประชุม เพราะเกรงกลุ่มคนเสื้อแดงจะปิดล้อมสภา บางคนถึงกับเตรียมบันไดไว้ปีนออก
พท.นัดแถลงสื่อนอกวันนี้
ที่พรรคเพื่อไทย เวลา 12.30 น. นายวิทยา บุรณศิริ วิปฝ่ายค้าน พร้อม ส.ส.พท.กว่า 20 คน ร่วมแถลงภายหลังการประชุมส.ส.พรรคว่า ขอชี้แจงเหตุผลไม่เข้าร่วมประชุมสภาว่าสมาชิก พท. 99% มีความเห็นต่อการกระทำของทหารที่ไปปิดล้อมรัฐสภา เป็นการคุกคามอย่างยิ่งต่อฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งไม่สมควรเกิดขึ้น ดังนั้นพรรคจะส่งคณะ ส.ส.ไปพบนายชัย ในช่วงบ่ายวันที่ 24 มีนาคม เพื่อยืนยันเหตุผลตามหนังสือที่ได้ยื่นต่อประธานสภา ไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เพื่อให้ประสานไปยังนายอภิสิทธิ์สั่งการนำทหารและสิ่งกีดขวางออกไปให้พ้นเส้นทางที่ ส.ส.พท.จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ที่อาคารรัฐสภา
"จากนั้นจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างชาติอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. คณะส.ส.พท. จะเข้ายื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ ประจานการทำงานของนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้รัฐบาลพยายามผ่านกฎหมายโดยเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่ง พท.ไม่ยอมรับ โดยจะยื่นหนังสือปฏิเสธและตรวจสอบทางกฎหมาย พร้อมยื่นหนังถึงสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องของกฎหมายที่ผ่านสภาโดยเผด็จการต่อไป และขอให้จับตา พท.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อไป แต่ยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่งส.ส."
มีมติแจ้ง157 "มาร์ค-สุเทพ-ชัย"
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท.กล่าวว่า พท.มีมติให้ตนไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ และนายชัย ที่กองบังคับการกองปราบปราม ในข้อหากีดกันไม่ให้ตน และส.ส.เดินทางเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 310 เนื่องจากบุคคลทั้งสามถือว่ากระทำการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินการของทหารเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่การประชุมไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนไม่ปลอดภัย
นายประเกียรติ นาสิมา ส.ส.สัดส่วน พท.ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค กล่าวว่า การกระทำของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าแทรกแซงการทำหน้าที่ในสภาของ ส.ส.ตามมาตรารัฐธรรมนูญ 266 และ 268 ดังนั้นการฟ้องดำเนินคดีถือว่าเป็นไปโดยชอบธรรม
ลงชื่อยื่นถอดถอน"มาร์ค"วันนี้
"สำหรับการยื่นถอดถอนนายกฯ จะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ให้ ส.ส.ลงชื่อ 1 ใน 4 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นสมาชิกภาพของนายกฯ ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามกรณีที่ประธานวิปรัฐบาลจะถอดถอน ส.ส.พท.ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภา คิดว่าการไม่เข้าประชุมหนึ่งวันคงไม่ถูกถอดถอน เพราะตามข้อบังคับ ส.ส.ต้องขาดประชุมหนึ่งในสี่ คือ 25% และการจะให้เข้าไปโดยลอดรั้วลวดหนามจะไม่เข้าไปเด็ดขาด ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี เรายอมไม่ได้"
เวลา 15.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. พร้อม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ รับมอบอำนาจจาก นายสุรพงษ์ ส.ส.เชียงใหม่ พท. เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.แจ้งความดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ในข้อหาทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม มาตรา 310 และมาตรา 157 แ ละ นายชัย ความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมนำภาพถ่ายที่บริเวณรอบอาคารรัฐสภา แผ่นซีดี และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
ขณะที่ พ.ต.อ.พรศักดิ์ มอบหมายให้ พ.ต.ท.สุกรี สินเย็น พงส.(สบ 2) กก.1 บก.ป.รับเรื่องและสอบปากคำไว้ในเบื้องต้นก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
วิปค้านยัน"ชัย"ไม่ถอนไม่ร่วม
ก่อนหน้านี้ เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พท. รองประธานวิปฝ่ายค้าน นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พท. ร่วมกันแถลงทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ส่งหนังสือให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ให้พิจารณาสั่งยกเลิกให้ทหารตำรวจปิดล้อมรอบรัฐสภา นายไพจิตกล่าวว่า วิปฝ่ายค้านขอยื่นหนังสือทวงถามต่อนายชัย เพราะการอ้างว่าทหารตำรวจมารักษาความปลอดภัยประชุมสภา แต่วิปฝ่ายค้านเห็นว่า มีมากเกินความจำเป็น และหากนายชัยยังปล่อยให้ฝ่ายบริหารใช้มาตรการที่นำไปสู่ความวิตก อาจเลยเถิดไปจนเกิดการปฏิวัติ กลุ่มผู้มาชุมนุมไม่ได้มีความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐกลับทำให้พื้นที่สภากลายเป็นภาวะสงคราม ฉะนั้นขอให้เลิกโดยด่วน ซึ่งในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. ยังไม่มีการจัดระบบเข้าออกสภาตามปกติได้ พวกตนก็คงไม่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งรัฐบาลอาจกลัวเกินเหตุ จิตหลอน เชื่อว่าไม่มีใครจะมาทำรุนแรงเกินสภาพปกติของสภา
ด้านนายศักดากล่าวว่า รัฐสภาเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่เมื่อเช้าวันที่ 24 มีนาคม กลับติดป้ายให้เข้าได้เฉพาะ ครม. ส.ส. ส.ว. แถมมีลวดหนาม เครื่องกั้นเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ขณะที่นายชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาน่าอับอายไปทั่วโลก
"มาร์ค"ทำมึนไม่เข้าใจ พท.
ด้านนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะร่วมประชุมสภาตามปกติ ส่วนการปิดกั้นถนนและเส้นทางจราจรนั้นก็ยังคงเป็นมาตรการที่ทางประธานสภา และนายสุเทพจะหารือกันเพื่อให้สมาชิกปลอดภัย รัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้ลิดรอนสิทธิของสมาชิกฝ่ายค้าน ตรงกันข้ามต้องนำบทเรียนในอดีตที่สภาถูกปิดล้อมและเกิดความสูญเสียมาปรับมาใช้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เและคุ้มครองไม่ให้ประชาชนที่มาชุมนุมต้องเกิดการเผชิญหน้าและเกิดความความรุนแรง ส่วนที่ พท.มีมติจะไม่มาเข้าร่วมประชุมสภาจนกว่าจะถอนกำลังทหารออกไป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจ สิ่งที่ทำทั้งหมดเพื่อให้งานนิติบัญญัติเดินได้
เมื่อถามว่า พท.อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นประชาธิปไตยและกำลังมีการปฏิวัติเงียบเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ตรงไหนครับ ใครไปยึดอำนาจใคร ทุกคนก็มาใช้สภาทำหน้าที่ได้ตามปกติ ตรงข้ามกับการที่ขัดขวางเพื่อสมาชิกด้วยกันไม่ให้เข้ามาทำหน้าที่ตรงนั้นต่างหากที่ไม่เป็นประชาธิปไตย"
ลั่นเริ่มต้นสัปดาห์นำปท.สู่ปกติ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การออกมาตรการก็เป็นการปรึกษากันระหว่างประธานสภาและรองนายกฯสุเทพ ทุกอย่างทำเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้การประชุมสภาสามารถดำเนินการต่อได้"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับสัปดาห์หน้าก็คงต้องรอดูสถานการณ์การชุมนุม ถ้ายังประกาศว่าจะไปปิดล้อม หรือไปไล่ตามคนทำหน้าที่ รัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่ทำให้ทุกคนปลอดภัย สัปดาห์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำสังคมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ครม.ประชุมได้ สภาประชุมได้ ผู้ชุมนุมก็ชุมนุมต่อไปได้ในกรอบของกฎหมาย สมาชิกฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่ได้ แต่เมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจไม่ร่วมก็เป็นสิทธิ
วิปรบ.เมินถอนไร้เหตุผล
เมื่อถามถึงประเด็นขอเปิดอภิปรายร่วมรัฐสภา 179 และ การอภิปรายทั่วไป การเสนอญัตติตามมาตรา 161 รัฐบาลจะตอบรับหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็น 161 คงเดินอยู่แล้วเพราะญัตติของวุฒิสภาหากสมบูรณ์ก็จะแจ้งรัฐบาลมาอีกครั้งหนึ่ง พูดคุยกับนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ไปแล้วว่า ขอให้ส่งมาและรัฐบาลจะกำหนดวันที่เหมาะสม เข้าใจว่าจะต้องเป็นหลังไอพียู เมื่อถามว่า รัฐบาลจะเปิด 179 หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยัง เพราะเห็นได้ชัดว่า ส.ส.ฝ่ายค้านยังไม่พร้อมร่วม
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า ข้อเสนอของ พท.ให้ถอนกำลังทหารก่อนนั้น ถือว่าไม่มีเหตุผล เพราะรถถังก็เปิดทางให้ ส.ส.ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภา แต่ถ้าข้อเรียกร้อง พท.เพราะต้องการให้เกิดสีสันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"พผ."ปัดข้อเสนอนอกระบบ
ส่วนความเคลื่อนไหวการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน ควรมีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ร่วมกัน มีหัวหน้า 6 พรรคการเมืองร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งในวันพุธและวันพฤหัสบดีวอร์รูมจะอยู่ที่รัฐสภา ส่วนวันอื่นๆ จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นครั้งๆ ไป ต้องยอมรับว่าหากรัฐบาลมีแต่ยุทธศาสตร์เชิงรับจะทำให้เสียเปรียบ จึงจำเป็นต้องหารือร่วมกันว่ารัฐบาลจะรุกกลับได้อย่างไร
เมื่อถามว่าคิดว่าเป็นเกมของ ปชป.จับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นตัวประกันไม่ให้พลิกขั้วหรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ไม่ใช่การจับใคร มาจับตนไม่ได้หรอก ขณะนี้รัฐบาลก็ยังเป็นบึกแผ่นบริหารประเทศ จนขณะนี้ พผ.ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก พล.อ.ชวลิตประธาน พท.แต่อย่างใด แต่ถ้าติดต่อพร้อมพูดคุยด้วย แต่พรรคมีหลักการชัดเจนว่าถ้าเป็นกระบวนการนอกระบบและไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พรรคไม่ยอมรับ ข้อเสนอของ พท.ให้ยุบสภาถือเป็นเรื่องในระบบหรือไม่ หัวหน้า พผ.กล่าวว่า นอกระบบ หากจะเรียกร้องในระบบก็ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
บิ๊กภท.ยันยังพร้อมคุย "บิ๊กจิ๋ว"
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาลว่า คงไม่ได้เป็นเรื่องการตีกันไม่ให้พรรคร่วมนอกจากใจ ปชป. ยังทำงานร่วมกันเหนียวแน่น และไม่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมของ พล.อ.ชวลิตด้วย ขณะนี้ ภท.ยังไม่ได้รับการติดต่อมา หากติดต่อมาก็พร้อมพูดคุย ส่วนที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษก ภท.ระบุว่า พรรคไม่พร้อมจะเจรจากับ พล.อ.ชวลิตนั้น ไม่ทราบเรื่อง เพราะระชุมพรรควันที่ 23 มีนาคมไม่มีการพูดคุยประเด็นนี้
วอร์รูมคาดแดงยืดเยื้อเกินมี.ค.
เวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปิดห้องรับรองนายกรัฐมนตรี บนอาคารรัฐสภา 1 ชั้น 2 เป็นวอร์รูมติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ผู้เข้าร่วมประชุมมี นายสุเทพ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายชาญชัย หัวหน้า พผ. นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม แกนนำ ภท. และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา (รช.) แต่ไม่มีตัวแทนพรรคกิจสังคมเข้าร่วม
พล.ต.สนั่นให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า มีการวิเคราะห์ว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงอาจยืดเยื้อเกินเดือนมีนาคม ดังนั้น ทั้งตำรวจและทหารต้องระวังเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ระเบิดเอ็ม 79 นอกจากนี้นายกฯและนายสุเทพยังฝากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และกำชับให้รัฐมนตรีไปทำงานและลงพื้นที่ให้มาก ส่วนการเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลนั้นต้องเข้าให้ได้ แต่จะเข้าไปทำงานได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังยืนยันจะทำงานร่วมกับ ปชป. และจะประชุมวอร์รูมอีกครั้งที่รัฐสภาในวันที่ 25 มีนาคม
เผยนายกฯกำชับระวังปะทะ
นายชาญชัยกล่าวว่า ในที่ประชุมวอร์รูม นายกฯกำชับให้ระมัดระวังสถานการณ์ขณะนี้ เรื่องการเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนพรรคละ 2 คน มาเข้าร่วมประชุมวอร์รูม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวหลังการประชุมวอร์รูมพรรคร่วมนัดแรกว่า ที่ประชุมตกลงกันว่า แต่ละพรรคต้องกลับไปทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคตัวเองให้ลงพื้นที่อธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะมีบางฝ่ายพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้เกิดความสับสน
"สุเทพ"อ้างเลขาฯสภาขอรปภ.
เมื่อถามว่า การที่ทหารล้อมสภาทำให้ภาพรัฐสภาดูไม่สง่างาม นายสุเทพกล่าวว่า ขอชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหนังสือถึงตนและนายกฯ เพื่อขอให้รัฐบาลหามาตรการดูแลความปลอดภัยของ ส.ส. อาคารรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ไม่ให้ได้รับอันตรายจากการปิดล้อมสภา โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง บางครั้งมีเสียชีวิต นายชัยจึงแจ้งกับตนเป็นการส่วนตัวไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้นอีก
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านโจมตีว่าถูกจำกัดสิทธิประชุม และจะนำเรื่องร้องต่อยูเอ็นและศาลรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า ดีแล้ว จะได้พิสูจน์กันที่ยูเอ็น การที่ ส.ส.พท.ใช้รถยนต์ปิดทางเข้ารัฐสภาถือว่า เป็นการกระทำไม่ถูกต้อง ไม่มีอำนาจแต่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรัฐสภามีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้ วอร์รูมของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ มองว่าสามารถคลี่คลายได้เพียงต้องใช้เวลา
ชทพ.เผยพท.เลื่อนคุย "เติ้ง"
ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวยอมรับว่า พล.อ.ชวลิต ประธาน พท.ประสานหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ชทพ. ที่บ้านพักนายบรรหาร โดยมี พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้า พท. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค พูดคุยถึงสถานการณ์ทางการเมืองทั่วไป แต่นายบรรหารยังป่วยด้วยโรคงูสวัดอยู่ จึงไม่ต้องการพบปะกับใคร แต่ พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า อยากมาพบด้วยตัวเอง นายบรรหารจึงตอบรับในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯเช่นกัน ในเวลา 16.00 น. วันที่ 24 มีนาคม แต่ พท.ประสานกลับมาอีกครั้งเลิกนัดหมายเป็นวันอื่น ทำให้นายบรรหารระบุว่า ถ้าเป็นวันอื่นคงไม่สะดวกแล้ว เพราะมีภารกิจมาก
ด้านนายปลอดประสพกล่าวว่า การนัดหมายต้องเลื่อนออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก พล.อ.ชวลิตเกิดตาอักเสบอีก
ค้านปชป.ยื่นถอดถอนพท.
นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ชทพ. และวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณี ส.ส.ปชป.อ้างในฐานะวิปรัฐบาลมีมติประณามการไม่เข้าประชุมรัฐสภาของพรรคเพื่อไทย และจะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้เป็นความคิดส่วนตัว ไม่ใช่มติวิปรัฐบาล ตนพูดในที่ประชุมวิปรัฐบาลไปแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการยื่นถอดถอน เพราะสภาพรัฐสภาเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ปฏิวัติ น่าจะหาแนวทางอื่น ไม่ใช่เอารถทหารมาปิดถนน หรือเอาลวดหนามมาวางรอบอย่างนี้ ทำให้เห็นว่ามีความรุนแรงเพราะไม่มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยประเทศไหนทำกันอย่างนี้
ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************
วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553
วิธีเอาชนะและฝังทักษิณแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ตอน นี้ผมไม่สนใจพรรคประชาธิปัตย์หรือพวกเสื้อเหลืองเท่าไหร่ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ใคร พวกเราก็รู้ การดำเนินกุศโลบายต่างๆ เพื่อทำลายทักษิณในช่วงสามปีนี้ แทนที่จะทำลายได้ แต่กลับสร้าง "ศรัทธา"ให้กับทักษิณมากกว่าที่จะทำลาย แม้วันนี้ทักษิณจะยังกลับประเทศไม่ได้ แต่ในเวลาไม่นานนัก ก็คงกลับได้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะเขามี "ประชาชนมหาศาล" อยู่ข้างเขา
Grand Strategy ว่าเอาไว้ว่า "ใครกุมหัวใจประชาชน คนนั้นครองประเทศ"
การได้อำนาจรัฐโดยเป็นปรปักษ์กับประชาชนค่อนประเทศ สุดท้ายก็ถูกทำลายไป
การใส่ร้ายป้ายสี โยนความผิดต่างๆ ให้ทักษิณแทนที่จะทำให้ประชาชนเกลียดทักษิณ แต่ผลออกตรงกันข้าม กลับไป "สะสมบารมี" ให้ทักษิณมากยิ่งกว่าเดิม เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" มารยิ่งมาก บารมียิ่งยิ่งใหญ่
หากคิดจะเอาชนะทักษิณให้ได้ ผมว่ามีวิธีเดียว หากเขาเชิญให้ผมเป็น "เสนาธิการใหญ่ ผมว่า "แผนการณ์ของผมสำเร็จ" อย่างขาวสะอาดด้วย
วิธีการเอาชนะทักษิณคือ "เราต้องชิงปฎิวัติประชาธิปไตย" ก่อนที่ทักษิณจะปักธงปฎิวัติประชาธิปไตยได้สำเร็จ
วันนี้ต้องยอมรับว่า ทำอย่างไรก็ไม่มีทางสู้ "กระแสประชาธิปไตยได้" ทำไม่ไม่ชิงธงดำเนินการก่อน ถึงอย่างไร พวกอำมาตย์ก็ไม่สามารถครองอำนาจได้ ต้องเสียมันไปในที่สุด
แทนที่จะให้ "ประชาชนมาแย่งมันไปจากมือเอง" (ซึ่งประชาชนต้องทำอยู่แล้ว" ทำไมเราไม่รีบให้เขาไปก่อน ก่อนที่จะถูกพวกเขาบังคับให้
ทำอย่างนี้นอกจากจะได้รับคำยกย่องสรรเสริญแล้ว ยังสามารถสยบศัตรูทางด้าน "ความศรัทธา" ลงไปได้อย่างสิ้นเชิง
ภารกิจหรือ "ธงนำ" ของทักษิณก็จะสูญสลายทันที แม้คนจะนับถือ แต่ก็ไม่ได้มากอย่างขณะนี้ ความนับถือก็จะลงไปยังคน "มอบประชาธิปไตย"ให้ทันที
กลยุทธ์นี้ก็แค่ทำใจให้ได้เท่านั้น ศรัทธายังอยู่ครบ และมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ผมยังไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขา "ขัดขวางไปทำไม" ขัดขวางไปก็โดนประชาชนทำลายอยู่ดี
ปฎิวัติประชาธิปไตย ต้องทำอย่างจริงใจนะครับ คนก็รู้เองว่า "จริงใจคืออย่างไร" ประชาชนยุคนี้เขารู้ท้น ไม่ยอมให้หลอกโดยง่ายหรอก
เช่น ออกมาประกาศเลยว่า สนับสนุนแก้ รธน. ตัดหมวดองคมนตรีออกไป อะไรต่างๆ เป็นต้น
อำนาจที่ถึงอย่างไรก็รักษาไว้ไม่ได้ แต่ "ศรัทธา" จะยังรักษาได้ หากทำอย่างนี้
เชื่อผมเถอะว่า วิธีอื่นๆ จะยิ่งไปเสริมสร้างบารมีและพลังให้กับทักษิณมากยิ่งขึ้น มนุษย์ยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะ "ศรัทธาแบบฝังใจ" กับคนที่เขารักอย่างมากด้วย
ยิ่งตามรังแก ตามล้างตามเช็ด เท่ากับหาเสียง เสริมบารมีทักษิณ เอา "พลังของเราไปให้ทักษิณ" มากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ทั้งแผ่นดินบารมีของทักษิณจะครอบครองหมดสิ้น
เพราะเขา "กุมใจประชาชน เขาจะยึดครองประเทศได้ต่อไป"
นั้นคือ "ที่มั่นทางยุทธศาสตร์ในโลกยุคนี้"
แต่เชื่อผมเถอะว่า "พวกเขาทำไม่ได้หรอก" เพราะเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งถืออาวุธไล่ฆ่าประชาชน ก็จะยิ่งแพ้ สงครามทางอุดมการณ์ ยิ่งถืออาวุธไล่ทำลายล้างฝ่ายประชาชน สุดท้ายก็จะแก้อยู่ดี
ชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็แพ้ทุกสมรภูมิ
by ลูกชาวนาไทย
********************************************************
Grand Strategy ว่าเอาไว้ว่า "ใครกุมหัวใจประชาชน คนนั้นครองประเทศ"
การได้อำนาจรัฐโดยเป็นปรปักษ์กับประชาชนค่อนประเทศ สุดท้ายก็ถูกทำลายไป
การใส่ร้ายป้ายสี โยนความผิดต่างๆ ให้ทักษิณแทนที่จะทำให้ประชาชนเกลียดทักษิณ แต่ผลออกตรงกันข้าม กลับไป "สะสมบารมี" ให้ทักษิณมากยิ่งกว่าเดิม เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" มารยิ่งมาก บารมียิ่งยิ่งใหญ่
หากคิดจะเอาชนะทักษิณให้ได้ ผมว่ามีวิธีเดียว หากเขาเชิญให้ผมเป็น "เสนาธิการใหญ่ ผมว่า "แผนการณ์ของผมสำเร็จ" อย่างขาวสะอาดด้วย
วิธีการเอาชนะทักษิณคือ "เราต้องชิงปฎิวัติประชาธิปไตย" ก่อนที่ทักษิณจะปักธงปฎิวัติประชาธิปไตยได้สำเร็จ
วันนี้ต้องยอมรับว่า ทำอย่างไรก็ไม่มีทางสู้ "กระแสประชาธิปไตยได้" ทำไม่ไม่ชิงธงดำเนินการก่อน ถึงอย่างไร พวกอำมาตย์ก็ไม่สามารถครองอำนาจได้ ต้องเสียมันไปในที่สุด
แทนที่จะให้ "ประชาชนมาแย่งมันไปจากมือเอง" (ซึ่งประชาชนต้องทำอยู่แล้ว" ทำไมเราไม่รีบให้เขาไปก่อน ก่อนที่จะถูกพวกเขาบังคับให้
ทำอย่างนี้นอกจากจะได้รับคำยกย่องสรรเสริญแล้ว ยังสามารถสยบศัตรูทางด้าน "ความศรัทธา" ลงไปได้อย่างสิ้นเชิง
ภารกิจหรือ "ธงนำ" ของทักษิณก็จะสูญสลายทันที แม้คนจะนับถือ แต่ก็ไม่ได้มากอย่างขณะนี้ ความนับถือก็จะลงไปยังคน "มอบประชาธิปไตย"ให้ทันที
กลยุทธ์นี้ก็แค่ทำใจให้ได้เท่านั้น ศรัทธายังอยู่ครบ และมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ผมยังไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขา "ขัดขวางไปทำไม" ขัดขวางไปก็โดนประชาชนทำลายอยู่ดี
ปฎิวัติประชาธิปไตย ต้องทำอย่างจริงใจนะครับ คนก็รู้เองว่า "จริงใจคืออย่างไร" ประชาชนยุคนี้เขารู้ท้น ไม่ยอมให้หลอกโดยง่ายหรอก
เช่น ออกมาประกาศเลยว่า สนับสนุนแก้ รธน. ตัดหมวดองคมนตรีออกไป อะไรต่างๆ เป็นต้น
อำนาจที่ถึงอย่างไรก็รักษาไว้ไม่ได้ แต่ "ศรัทธา" จะยังรักษาได้ หากทำอย่างนี้
เชื่อผมเถอะว่า วิธีอื่นๆ จะยิ่งไปเสริมสร้างบารมีและพลังให้กับทักษิณมากยิ่งขึ้น มนุษย์ยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะ "ศรัทธาแบบฝังใจ" กับคนที่เขารักอย่างมากด้วย
ยิ่งตามรังแก ตามล้างตามเช็ด เท่ากับหาเสียง เสริมบารมีทักษิณ เอา "พลังของเราไปให้ทักษิณ" มากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ทั้งแผ่นดินบารมีของทักษิณจะครอบครองหมดสิ้น
เพราะเขา "กุมใจประชาชน เขาจะยึดครองประเทศได้ต่อไป"
นั้นคือ "ที่มั่นทางยุทธศาสตร์ในโลกยุคนี้"
แต่เชื่อผมเถอะว่า "พวกเขาทำไม่ได้หรอก" เพราะเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งถืออาวุธไล่ฆ่าประชาชน ก็จะยิ่งแพ้ สงครามทางอุดมการณ์ ยิ่งถืออาวุธไล่ทำลายล้างฝ่ายประชาชน สุดท้ายก็จะแก้อยู่ดี
ชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็แพ้ทุกสมรภูมิ
by ลูกชาวนาไทย
********************************************************
อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น
อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น
Wed, 03/24/2010 - 14:37 | by พระอินทร์ | Vote to close topic
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้คงไม่ต่างไปจากบรรยากาศรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 นัก เพียงแต่ยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเสียงข้างน้อย ที่พยายามตะกายฟ้า จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ฟาก ฝั่งเดียวกับฝ่ายค้านขณะนี้หมุนกลับ 360 องศา ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติจนน้ำลายไหล
กองทัพงูเห่าภาคสองหรือปลาไหลใส่สเก็ตภาคพิศดารในนามกลุ่มสีน้ำเงินก็ผงาด ขึ้นในยุทธภพ จนทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่างๆรวมกระทั่งไปถึงชาวบ้านร้านช่องถึงกับตกตะลึงใน อำนาจวาสนาของเจ้าสำนักใหม่ที่สามารถกุมอำนาจบริหารกระทรวงสำคัญๆไว้ได้ หลายกระทรวง
อย่างไรก็ตาม การทำงานหาได้ราบรื่นไม่เนื่องด้วยสาเหตุแห่งที่มาของอำนาจนั้นไม่ชอบมาพากล ผิดกฎแห่งจรรยาบรรณยุทจักรบู๊ลิ้มเป็นยิ่งนักจนถึงกับทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่าง ชาตินำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สง่างามของเจ้าสำนักอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ความไม่สง่างามแห่งที่มาหนึ่งบวกกับความพยายามของการดำเนินการต่างๆในการที่ จะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการกล่าวหาอย่างรุนแรงผ่านกระบอกเสียงจากสื่อของรัฐด้วยการโหมประโคม ข่าวทำลายอย่างต่อเนื่องด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
ความพยายามของกลุ่มสีน้ำเงินที่มีโอกาสเข้าไปคุมกระบอกเสียงและสร้างสื่อ ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นทีวีดาวเทียม วิทยุคลื่นหลัก รวมไปถึงวิทยุชุมชน และสื่อหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ ที่มุ่งโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลด้วยสโลแกนปกป้องสถาบันในรหัส “แผนปฏิบัติการดาวสยาม”
การขับเคลื่อนต่างๆทั้งฝ่ายความมั่นคงรวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีที่ได้ไฟเขียว แกมบังคับจากมหาอำมาตย์ใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศ กลับยิ่งทำให้มหาอำมาตย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น บาดแผลเหวอะหวะน่าขยะแขยงชวนขนลุก
การวางแผนการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าไม่จงรักภักดีจากอำนาจรัฐ ที่พยายามกระทำต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ โหมประโคมยุยงควบคู่ไปกับกลุ่มสีเหลืองที่มีสื่อทีวีดาวเทียมอยู่ในมือ กลับไม่สามารถทำลายกลุ่มคนเสื้อแดงลงได้ อีกทั้งยิ่งทำให้คนเสื้อแดงได้รับความเห็นใจจากสังคมและประชาชนมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งบัณฑิตหางเครื่องอำมาตย์ก็ออกมาตอบรับปกป้องมหาอำมาตย์อย่างบ้าคลั่ง เหมือนคนเสียสติ ไม่เว้นแม้กระทั่งบัณฑิตที่ได้รับการขนานนามว่ากวีรัตนโกสินทร์ก็ยัง อุตส่าห์ออกมาเลียก้นอำมาตย์ด้วยคำพูดที่ว่า “บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
รวมไปถึงการดูถูกเหยียดหยามจากผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่เหยียดหยามคนที่มาร่วมชุมนุมว่า “เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย” และคำพูดก้าวร้าวระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันเวรกรรมตามทันเป็น อัมพาตก็ได้พูดว่า “คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
การลดทอนความเป็มนุษย์จากประโยคคำพูดทั้งระดับกวีรัตนโกสินทร์ ผู้ประกาศข่าวหรือนักวิชาการระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างภูวดล ปากชักโครก ยิ่งทำให้การขับเคลื่อนของคนในชนบทชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีตัวตนใน สังคมจริง
สิ่งที่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนนั่นคือการที่พวกเขาบุกเข้ามาเหยียบเมือง หลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ซึ่งเราก็คงเห็นได้จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2553 นี้
อย่าเข้าใจว่าคนในชนบทนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจและการรับรู้ทางการเมือง พวกเขาเข้าไปมีส่วนปฏิบัติการทางการเมืองทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและ ระดับชาติมาโดยตลอด เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการ เมือง
วันนี้สงครามแห่งชนชั้นได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้หลัง 2475 เป็นต้นมา กว่า 78 ปีของชนชั้นไพร่ที่ถูกกดทับด้วยวิถีชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรม จารีต ความเชื่องมงาย และระบบการศึกษาที่ยิ่งเรียนยิ่งโง่
ความรู้สึกที่ถูกกระทำมาตลอดเวลายาวนานทั้งถูกกดขี่กดทับและถูกละเมิด อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้คนชั้นกลางในเมืองและพี่น้องที่เดินทางมาจากชนบทได้แสดง ศักยภาพให้อำนาจรัฐได้เห็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสื่อและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
การหลั่งเลือดของตัวเองเพื่อยืนยันการต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธถูกดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดจากคอลัมภ์นิสต์หนังสือพิมพ์บาง ฉบับ ASTV และเครือข่ายเนชั่นก็รวมหัวปลุกระดมยุยงให้สังคมเข้าใจผิดถึงการเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่คนเสื้อแดงแสดงออกตลอดกว่า 10 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ ทั้งที่เขามาพร้อมด้วยความโกรธแค้นอยากจะระเบิดความรุนแรงเพื่อระบายสิ่งที่ เขาถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยมโนสำนึกในการควบคุมตนเอง และด้วยความอดกลั้นของพวกเขาจึงต่อสู้ด้วยสันติวิธี อหิงสา และปราศจากอาวุธ
แต่สิ่งที่ผู้ชุมนุมกลับได้รับ คือ การยั่วยุจากฝ่ายอำนาจรัฐด้วยการกล่าวหาต่างๆ นานาว่าจะก่อความรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่หุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน รวมถึงผู้นำกลับต้องเข้าไปทำงานอยู่ในค่ายทหาร
อย่างนี้จะไม่เรียกว่ารัฐประหารแล้วจะเรียกว่าอะไรดี หรือควรจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการเช่นนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางออกทางลงที่ดีที่สุดและบอบช้ำน้อยที่สุดในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการคืน อำนาจให้ประชาชน
รัฐสภาของไทยถูกล้อมกรอบด้วยกำลังทหาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเดินเข้าไปทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมี เกียรติเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก จนที่สุดส.ส.ฝ่ายค้านก็บอยคอตไม่เข้าประชุมสภาหากไม่มีการถอนกำลังทหารออกไป จากรัฐสภา
ความเป็นคนจน คนชั้นกลาง และความเป็นไพร่ของเราเป็นเรื่องที่เรามีความภาคภูมิใจที่สุดของศักดิ์ศรี ความเป็นไพร่ ซึ่งยังดีกว่าผู้ที่เหยียดไพร่และหยามคนชั้นล่างมาตลอดเพราะคนพวกนั้นหรือ อีกชื่อว่าอำมาตย์ เป็นพวกที่มีภยันตรายมากที่สุดของสังคม
ดังนั้น การประกาศสงครามทางชนชั้นครั้งนี้ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางความคิดของ มนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นจากการกดขี่ ขูดรีด ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงความเป็นอิสระชนของชนทุกชั้นที่เท่าเทียมกัน
วันที่ 27 มีนาคม 2553 ที่จะถึงในไม่กี่วันข้างหน้านี้ พี่น้องประชาชนในสังคมไทยทั้งหลายต้องออกมาให้มากที่สุดเพื่อแสดงพลังให้ อำนาจรัฐได้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีความต้องการทาง สังคมในแนวทางเดียวกันว่าพวกเราต้องการความเป็น “เสรีชน”
****************************************************
Wed, 03/24/2010 - 14:37 | by พระอินทร์ | Vote to close topic
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้คงไม่ต่างไปจากบรรยากาศรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 นัก เพียงแต่ยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเสียงข้างน้อย ที่พยายามตะกายฟ้า จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ฟาก ฝั่งเดียวกับฝ่ายค้านขณะนี้หมุนกลับ 360 องศา ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติจนน้ำลายไหล
กองทัพงูเห่าภาคสองหรือปลาไหลใส่สเก็ตภาคพิศดารในนามกลุ่มสีน้ำเงินก็ผงาด ขึ้นในยุทธภพ จนทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่างๆรวมกระทั่งไปถึงชาวบ้านร้านช่องถึงกับตกตะลึงใน อำนาจวาสนาของเจ้าสำนักใหม่ที่สามารถกุมอำนาจบริหารกระทรวงสำคัญๆไว้ได้ หลายกระทรวง
อย่างไรก็ตาม การทำงานหาได้ราบรื่นไม่เนื่องด้วยสาเหตุแห่งที่มาของอำนาจนั้นไม่ชอบมาพากล ผิดกฎแห่งจรรยาบรรณยุทจักรบู๊ลิ้มเป็นยิ่งนักจนถึงกับทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่าง ชาตินำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สง่างามของเจ้าสำนักอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ความไม่สง่างามแห่งที่มาหนึ่งบวกกับความพยายามของการดำเนินการต่างๆในการที่ จะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการกล่าวหาอย่างรุนแรงผ่านกระบอกเสียงจากสื่อของรัฐด้วยการโหมประโคม ข่าวทำลายอย่างต่อเนื่องด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
ความพยายามของกลุ่มสีน้ำเงินที่มีโอกาสเข้าไปคุมกระบอกเสียงและสร้างสื่อ ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นทีวีดาวเทียม วิทยุคลื่นหลัก รวมไปถึงวิทยุชุมชน และสื่อหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ ที่มุ่งโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลด้วยสโลแกนปกป้องสถาบันในรหัส “แผนปฏิบัติการดาวสยาม”
การขับเคลื่อนต่างๆทั้งฝ่ายความมั่นคงรวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีที่ได้ไฟเขียว แกมบังคับจากมหาอำมาตย์ใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศ กลับยิ่งทำให้มหาอำมาตย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น บาดแผลเหวอะหวะน่าขยะแขยงชวนขนลุก
การวางแผนการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าไม่จงรักภักดีจากอำนาจรัฐ ที่พยายามกระทำต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ โหมประโคมยุยงควบคู่ไปกับกลุ่มสีเหลืองที่มีสื่อทีวีดาวเทียมอยู่ในมือ กลับไม่สามารถทำลายกลุ่มคนเสื้อแดงลงได้ อีกทั้งยิ่งทำให้คนเสื้อแดงได้รับความเห็นใจจากสังคมและประชาชนมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งบัณฑิตหางเครื่องอำมาตย์ก็ออกมาตอบรับปกป้องมหาอำมาตย์อย่างบ้าคลั่ง เหมือนคนเสียสติ ไม่เว้นแม้กระทั่งบัณฑิตที่ได้รับการขนานนามว่ากวีรัตนโกสินทร์ก็ยัง อุตส่าห์ออกมาเลียก้นอำมาตย์ด้วยคำพูดที่ว่า “บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
รวมไปถึงการดูถูกเหยียดหยามจากผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่เหยียดหยามคนที่มาร่วมชุมนุมว่า “เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย” และคำพูดก้าวร้าวระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันเวรกรรมตามทันเป็น อัมพาตก็ได้พูดว่า “คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
การลดทอนความเป็มนุษย์จากประโยคคำพูดทั้งระดับกวีรัตนโกสินทร์ ผู้ประกาศข่าวหรือนักวิชาการระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างภูวดล ปากชักโครก ยิ่งทำให้การขับเคลื่อนของคนในชนบทชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีตัวตนใน สังคมจริง
สิ่งที่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนนั่นคือการที่พวกเขาบุกเข้ามาเหยียบเมือง หลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ซึ่งเราก็คงเห็นได้จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2553 นี้
อย่าเข้าใจว่าคนในชนบทนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจและการรับรู้ทางการเมือง พวกเขาเข้าไปมีส่วนปฏิบัติการทางการเมืองทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและ ระดับชาติมาโดยตลอด เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการ เมือง
วันนี้สงครามแห่งชนชั้นได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้หลัง 2475 เป็นต้นมา กว่า 78 ปีของชนชั้นไพร่ที่ถูกกดทับด้วยวิถีชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรม จารีต ความเชื่องมงาย และระบบการศึกษาที่ยิ่งเรียนยิ่งโง่
ความรู้สึกที่ถูกกระทำมาตลอดเวลายาวนานทั้งถูกกดขี่กดทับและถูกละเมิด อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้คนชั้นกลางในเมืองและพี่น้องที่เดินทางมาจากชนบทได้แสดง ศักยภาพให้อำนาจรัฐได้เห็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสื่อและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
การหลั่งเลือดของตัวเองเพื่อยืนยันการต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธถูกดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดจากคอลัมภ์นิสต์หนังสือพิมพ์บาง ฉบับ ASTV และเครือข่ายเนชั่นก็รวมหัวปลุกระดมยุยงให้สังคมเข้าใจผิดถึงการเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่คนเสื้อแดงแสดงออกตลอดกว่า 10 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ ทั้งที่เขามาพร้อมด้วยความโกรธแค้นอยากจะระเบิดความรุนแรงเพื่อระบายสิ่งที่ เขาถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยมโนสำนึกในการควบคุมตนเอง และด้วยความอดกลั้นของพวกเขาจึงต่อสู้ด้วยสันติวิธี อหิงสา และปราศจากอาวุธ
แต่สิ่งที่ผู้ชุมนุมกลับได้รับ คือ การยั่วยุจากฝ่ายอำนาจรัฐด้วยการกล่าวหาต่างๆ นานาว่าจะก่อความรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่หุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน รวมถึงผู้นำกลับต้องเข้าไปทำงานอยู่ในค่ายทหาร
อย่างนี้จะไม่เรียกว่ารัฐประหารแล้วจะเรียกว่าอะไรดี หรือควรจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการเช่นนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางออกทางลงที่ดีที่สุดและบอบช้ำน้อยที่สุดในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการคืน อำนาจให้ประชาชน
รัฐสภาของไทยถูกล้อมกรอบด้วยกำลังทหาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเดินเข้าไปทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมี เกียรติเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก จนที่สุดส.ส.ฝ่ายค้านก็บอยคอตไม่เข้าประชุมสภาหากไม่มีการถอนกำลังทหารออกไป จากรัฐสภา
ความเป็นคนจน คนชั้นกลาง และความเป็นไพร่ของเราเป็นเรื่องที่เรามีความภาคภูมิใจที่สุดของศักดิ์ศรี ความเป็นไพร่ ซึ่งยังดีกว่าผู้ที่เหยียดไพร่และหยามคนชั้นล่างมาตลอดเพราะคนพวกนั้นหรือ อีกชื่อว่าอำมาตย์ เป็นพวกที่มีภยันตรายมากที่สุดของสังคม
ดังนั้น การประกาศสงครามทางชนชั้นครั้งนี้ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางความคิดของ มนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นจากการกดขี่ ขูดรีด ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงความเป็นอิสระชนของชนทุกชั้นที่เท่าเทียมกัน
วันที่ 27 มีนาคม 2553 ที่จะถึงในไม่กี่วันข้างหน้านี้ พี่น้องประชาชนในสังคมไทยทั้งหลายต้องออกมาให้มากที่สุดเพื่อแสดงพลังให้ อำนาจรัฐได้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีความต้องการทาง สังคมในแนวทางเดียวกันว่าพวกเราต้องการความเป็น “เสรีชน”
****************************************************
นปช.จับทหารแดงเทียมโชว์เวที จี้ผู้บังคับบัญชามารับตัว
เมื่อเวลา 19.50 น. ที่หลังเวทีปราศรัย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. แถลงถึงกรณีที่การ์ดนปช.จับตัวผู้ต้องสงสัยที่บริเวณสวนมิสกวัน ว่า การ์ด นปช.ได้พบบุคคลต้องสงสัย จึงขอตรวจสอบพบว่าเป็นจ.ส.อ.สรศักดิ์ ประยูรศร สังกัด ม.พัน 4 รอ. ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาหาข่าวในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งหากมาหาข่าวธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ จ.ส.อ.สรศักดิ์ กลับติดบัตรสมาชิก นปช. ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าไม่เคยสมัครเป็นสมาชิก นปช. แต่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาจาก พล.1 ดังนั้นตนขอสงวนสิทธิ์ในการควบคุมตัวเพื่อรอส่งกลับให้ผู้บังคับบัญชาคือ เสธ.ซัน ทหารนายยศนายพัน
"ต้องการพูดคุยกับผู้บังคับบัญชา ว่าเหตุใดจึงออกบัตรปลอมอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เจตนาของหน่วยงานราชการ แต่เป็นการกระทำของคนที่เป็นศัตรูกัน อย่างนี้แหละที่เรียกว่าแดงปลอม หรือแดงเทียม แล้วหากปล่อยไปเช่นนี้หากมีคนพกบัตรอย่างนี้แล้วเอาไปก่อเหตุก็เป็นการทำลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง" นายณัฐวุฒิ กล่าวพร้อมกับนำตัวจ.ส.อ.สรศักดิ์ ขึ้นเวที เพื่อเรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชามารับตัว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
"ต้องการพูดคุยกับผู้บังคับบัญชา ว่าเหตุใดจึงออกบัตรปลอมอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เจตนาของหน่วยงานราชการ แต่เป็นการกระทำของคนที่เป็นศัตรูกัน อย่างนี้แหละที่เรียกว่าแดงปลอม หรือแดงเทียม แล้วหากปล่อยไปเช่นนี้หากมีคนพกบัตรอย่างนี้แล้วเอาไปก่อเหตุก็เป็นการทำลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง" นายณัฐวุฒิ กล่าวพร้อมกับนำตัวจ.ส.อ.สรศักดิ์ ขึ้นเวที เพื่อเรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชามารับตัว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
พรางเป้า! ปัดผิดไอ้โม่ง!

สิ่งที่ยืนยันว่า ส.หัวจุกตัวแสบนั้น แสบจริงๆ ก็คือ ในการเสนอโยกย้ายแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรนั้น ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยกับการให้โยกย้าย พ.ต.อ.สมเพียรตามที่ขอย้ายมาดังนั้นในวันที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.ต.อ.สมเพียร จึงรู้สึกเจ็บช้ำใจเป็นยิ่งนัก ขนาดผ่านไปแล้ว ยังมีการไปดึงชื่อออกเปลี่ยนชื่อใหม่กันได้หน้าด้านๆ จะไม่ให้แค้นใจแทนจ่าเพียรได้อย่างไรเพราะ พล.ต.อ.อดุลย์เอง ก็ได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษด้ามขวานทอง” ดูแลปัญหาภาคใต้มาตลอด จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
แม้ว่าการจากไปของ “จ่าเพียรขาเหล็ก” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา อาจจะสายเกินไปสำหรับการได้รับการยกย่องจากสังคมไทยว่า เป็น “วีรบุรุษที่แท้จริง” เพราะเป็นการได้รับการสดุดี ก็เมื่อไม่สามารถที่จะได้ยิน ได้ฟัง หรือมีรอยยิ้มแห่งความปิติอีกต่อไปแล้วแต่อย่างน้อยก็ยังดีสำหรับสังคมไทย ที่มีการลุกขึ้นมาให้คุณค่ากับบุคคที่ทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง และดีสำหรับสังคมสีกากี โดยเฉพาะกับบรรดาตำรวจที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อผดุงความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพราะทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากในขณะนี้ ว่าเกิดอะไร
ขึ้นกับระบบยุติธรรมระหว่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กับ ผู้พิทักษ์นักการเมือง...ทำไมจึงแตกต่างกันสุดขั้วนัก นายตำรวจดีๆ อย่างแท้จริงต้องซมซานเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอความเป็นธรรมในช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ แต่กลับไม่ได้รับการไยดี จนต้องกลับไปประสบชะตากรรมเช่นที่หวั่นเกรงเพราะคนทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้กันทั่วว่า “จ่าเพียร” ถูกหมายหัว... แต่คนบนหอคอยงาช้าง นักการเมืองที่เสวยอำนาจ ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยไยดีดังนั้นการเสียชีวิตของ
พ.ต.อ.สมเพียร หรือจ่าเพียร จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์แห่งความจริงที่ดีสำหรับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ นั่งเป็นประธาน คณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) โดยที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกิจการตำรวจเพียงแต่ว่าในวันนี้ที่คนไทยสะเทือนใจไปทั่ว แต่วิญญูชนจอมปลอมบางคน จนวันนี้ก็ยังคงไม่รู้สึกใดๆ จากเรื่องนี้เลย แม้แต่กระทั่ง
ประโยคที่สะเทือนใจประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่ว่า“หรือจะให้ผมเป็นพลตำรวจเอกตอนที่ผมเสียชีวิตแล้ว”ก็ไม่ได้ทำให้นักการเมืองบางกลุ่มเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมาได้เลย ทั้งๆ ที่นั่นคือการประจานพฤติกรรมการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการตำรวจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แท้ๆความอัปลักษณ์ของระบบบริหารในการที่จนป่านนี้ยังไม่สามารถแต่งตั้ง ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.ตัวจริงได้ รวมทั้งความเป็นจริงที่ว่า พล.ต.อ. ปทีป ตัน
ประเสริฐ ก็คงเป็นได้แค่รักษาราชการแทนไปจนกระทั่งเกษียณอายุยังไม่ทุเรศอัปลักษณ์เท่ากับว่า การจากไปของวีรบุรุษที่แท้จริงอย่าง “จ่าเพียร” ทำให้เห็นชัดว่ามีผลประโยชน์มากมายมหาศาลเกิดขึ้นในกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจยุคนี้โผรายชื่อ หรือกระดาษรายชื่อโยกย้าย ที่ควรจะเป็นแค่ “เปเปอร์” ธรรมดาๆ ที่ไม่ควรจะต้องให้ตำรวจดีๆ ต้องตายไปนั้น เมื่อมาเจอความหน้าหนาระดับกำแพง หรือ “วอล” ยังต้องเรียกพี่จึงกลายเป็นเสมือน “วอลเปเปอร์” แห่ง
เครือข่ายอำนาจ ที่ทำให้การโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจในยุคนี้ปั่นป่วนวุ่นวายสุดจะคณานับและเป็นต้นเหตุให้นายตำรวจดีๆ ที่มีผลงานมาชั่วชีวิต ควรที่จะได้กลับไปอยู่กับลูกเมีย กลับไปนั่งจิบน้ำชาในช่วงบั้นปลายหลังเกษียณ กลับต้องมาเสียชีวิตสังเวยผลประโยชน์โยกย้ายแต่งตั้งของเครือข่ายโยงใยนักการเมืองโดยเฉพาะขณะนี้ที่กระฉ่อนไปทั่วภาคใต้ และกำลังกระฉ่อนฉาวไปทั่วประเทศ ก็คือ มีการพูดถึงไอ้โม่งตัวแสบที่เป็นคนดึงชื่อของ พ.ต.อ.สมเพียร ออกจากโผปักษ์
ใต้ มีนกกรงหัวจุก ที่สร้างชื่อเสียง หน้าตา บารมีให้กับเศรษฐีแต่ในเครือข่ายนักการเมืองขั้วอำนาจปัจจุบัน มีตัวแสบชื่อ ส. ไม่รู้ว่าชอบเลี้ยงนกกรงหัวจุกหรือเปล่า แต่คนชอบเรียกเป็น “ส.หัวจุก” ซึ่งก็ไม่ได้มีคุณงามความดีเท่านกกรงหัวจุกสักนิด แต่กลับสามารถกอบโกยสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้เป็นนายได้อย่างมหาศาลเพราะมีดีกรีเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น นิยมและคลั่งไคล้ในศิลปะวอลเปเปอร์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้เข้ามาในเครือข่ายผลประโยชน์การเมือง และ
การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในรัฐบาลชุดนี้ทั้งๆ ที่หากดูประวัติแล้ว อยู่กับใครก็ยาก ขนาดส่งไปทำหน้าที่ให้คอยช่วยเหลือเลขาฯ ของคนที่มีตำแหน่งในกรุงเทพฯ หรือ กทม. ก็ยังออกลายจนอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนที่ถูกยัดเข้าไป ก็ประกาศปาวๆ ว่าเป็นระดับ “มือขวา” ของคนที่มีอำนาจ ที่อยู่ใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์แถมยังเคยปรากฏภาพจับไม้จับมือกับนายอภิสิทธิ์ ให้เห็นกันแว๊บๆ ด้วยเหมือนกัน คนทั่วไปใครฟังหรือบังเอิญเห็น... ก็มักจะเชื่อว่าใหญ่จริงที่สำคัญเป็นที่รู้กัน
ทั่วว่ามีอิทธิพลในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ เพราะมี “แบ็ค” ดี ก็เหมือนมี “วอลเปเปอร์” สีสันสดสวยฉาบทา ลบความเลอะเทอะที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่ยืนยันว่า ส.หัวจุกตัวแสบนั้น แสบจริงๆ ก็คือ ในการเสนอโยกย้ายแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรนั้น ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยกับการให้โยกย้าย พ.ต.อ.สมเพียรตามที่ขอย้ายมาดังนั้นในวันที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ทำหน้าที่เป็น
ประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.ต.อ.สมเพียร จึงรู้สึกเจ็บช้ำใจเป็นยิ่งนัก ขนาดผ่านไปแล้ว ยังมีการไปดึงชื่อออกเปลี่ยนชื่อใหม่กันได้หน้าด้านๆ จะไม่ให้แค้นใจแทนจ่าเพียรได้อย่างไรเพราะ พล.ต.อ.อดุลย์เอง ก็ได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษด้ามขวานทอง” ดูแลปัญหาภาคใต้มาตลอด จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรฉะนั้นการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.สมเพียร ก็มาจากฝีมือของ ส.หัวจุกตัวแสบ ที่มีกำแพงผนังให้พิงอย่างมั่นคงนั่นเองแถมเมื่อเรื่องบานปลาย ยังใช้วิชา
มารกลบเกลื่อน ปล่อยข้อมูลไปว่า จ่าเพียรจะขอไปอยู่ที่ สภอ.กันตัง ซึ่งหากทุกคนมุ่งเป้าไปตรงนี้ ก็จะเจอแต่แพะ!! ไม่มีวันที่จะสามารถพิสูจน์ได้เลยว่า มีการใช้เงินใช้ทองเพื่อเขี่ยจ่าเพียร!! เพราะในความเป็นจริง จ่าเพียรหรือ พ.ต.อ.สมเพียร ไม่ได้ขอโยกย้ายไปที่ สภอ.กันตัง!!!แสบมั้ยล่ะไอ้จุก จู้ฮุกกรู ปล่อยม่านควันตัดตอนเสียอย่างนั้นแหละดังนั้นยังไม่สาย หากนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็น ประธาน ก.ตร. จะไถ่บาปด้วยการแค่ตรวจสอบดูว่า จริงๆ
แล้วจ่าเพียร ขอโยกย้ายไปลงที่ไหน??แล้วก็ดูว่า ใครมาเสียบแทนตรงนั้น หากมือสะอาดจริงอย่างที่สร้างภาพ ก็จะสืบย้อนต่อไปได้แล้วว่า มีเรื่องผลประโยชน์กันจริงหรือไม่???ถ้าไม่จริง ทำไมจึงมีการดึงชื่อ พ.ต.อ.สมเพียรออกในวินาทีสุดท้ายถ้านายอภิสิทธิ์ แน่จริง และไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์คนรอบข้างจริง... งานนี้เชือดให้ดูกันทั้งประเทศหน่อยเป็นไร!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)