ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ไปตั้งแต่วันที่19 กันยายน 2549 แต่ก็ยังไม่พ้นเวรพ้นกรรมจากการตามล้างตามล่าของฝ่ายที่กลัวว่า...ทักษิณ จะกลับมาเมื่อกลัวทักษิณก็ต้องหาทางขจัดให้ได้ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยการอ้างเหตุต่างๆ นานา...เพื่อให้คนรู้สึกเกลียดชังทักษิณ...เพื่อให้ลืมอดีตผู้นำที่เคยครอง อำนาจมาร่วม 6 ปีแต่การอ้างเหตุต่างๆ นั้น หาข้อพิสูจน์อะไรที่ชัดเจนได้แค่ไหน เมื่อล่วงเวลาไปกว่า 3 ปี ประชาชนที่เฝ้าดูคงคิดได้เอง...ซึ่งก็อาจจะมีบางส่วนที่สงสัยว่า...จริงๆ แล้วทักษิณทำอะไรผิดเพราะการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยทั้งระบบเพื่อกำจัด ทักษิณไม่ให้อยู่ในอำนาจ
ต่อไปนั้น ควรต้องพิสูจน์ตามมาให้ได้ว่า...มีการกระทำความผิดอย่างชัดเจนโดยปราศจากข้อ สงสัย ดังเช่นที่ยกมากล่าวหากันผลการพิสูจน์ที่ผ่านมา...ยังมีนํ้าหนักที่น้อยเกิน ไปหรือเปล่า กับสิ่งที่ประชาชนต้องเสียไป ทั้งเวลา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ระบบความสามัคคีในชาติแถมยังได้ความแตกแยกในสังคมตามมาอีกต่างหากประชาชนบาง ภาคส่วนจึงเริ่มจะรู้สึกว่า...การกล่าวหาที่ผ่านมานั้น ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไรนักแถมยังรู้สึกเพิ่มเติมต่อไปว่า...ความไม่เป็นธรรม นั้น มีการ
เลือกปฏิบัติกับบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ใช่พวกด้วยอยากให้ประเทศชาติมีความ สามัคคี...แต่ปกครองแบบแบ่งแยก เลือกข้างเลือกพวกใช้ระบบที่เรียกว่า “สองมาตรฐาน”หรือเลือกปฏิบัติอย่างนี้ก็คงทำให้มีความมั่นคงในชาติไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ได้กินหญ้าเมื่อคนกลุ่มหนึ่งยังกลัวทักษิณก็คงต้องหาทางขจัด กันต่อไป...ด้วยเหตุที่บ่งบอกออกมาให้เห็นรางๆ แล้วว่า...ถ้าทักษิณกลับมาก็คงกระทบกระเทือนความมั่นคงหรือเสถียรภาพของ รัฐบาลปัจจุบันเป็นอย่างมากใครบาง
คนหรือหลายคนคงตระหนักแล้วก็คงตระหนกตกใจพร้อมทั้งรู้สึกกลัวการสูญเสีย อำนาจที่ถือครองอยู่เพราะคงประเมินได้ว่า...หากยุบสภาแล้วให้ประชาชนเลือก ตัวแทนกันอีกครั้งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเลือกใครหรือพรรคใดให้มาบริหาร ประเทศทุกคนคงรู้ว่า...เสียงประชาชนคือ “ เ สียงสวรรค์”และคงรู้ถึงความรู้สึกของเสียงส่วนใหญ่จึงต้องหาทางครองอำนาจต่อ ไป ไม่อยากคืนอำนาจให้กับประชาชนถึงกับยกเหตุผลมาอ้างว่า สุจริตไม่โกงกิน ไม่หวงแหน
อำนาจ แต่ปากที่พ่นคำพูดออกมานั้นจะตรงกับจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึงหรือไม่ขาเท่า นั้นที่จะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะ “ปากกล้าขาสั่น” นั่นเองปัญหาทุกวันนี้...ถ้ามีการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นคนเลือกตามวิถีทางประชาธิปไตยความสมานฉันท์ก็จะได้กลับมา แต่กลัวกันมากก็เลยอ้างว่า...ต้องให้สมานฉันท์ก่อนจึงจะคืนอำนาจให้ประชาชน พูดเหมือนกับไม่รู้ว่า...การไม่ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนนั่นแหละ คือ เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการ
แตกแยกอยู่ทุกวันนี้การกล่าวหาเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังคงเป็นความคาด หวังของใครบางคนที่อยากจะหยุดทักษิณ เช่น การใช้เรื่องยึดทรัพย์ครอบครัวคุณทักษิณ โดยเฉพาะทรัพย์ทที่ ได้มาจากการขายหนุ้ ให้เทมาเส็กมีการใช้อำนาจของกฎหมาย ป.ป.ช.ไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าประมาณ 76,000 ล้านบาทโดยตั้งข้อกล่าวหาว่า...เป็นทรัพย์ที่ได้มาในลักษณะรํ่ารวยผิดปกติ รํ่ารวยผิดปกติ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทรัพย์สิน
เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้มาโดยชอบอาศัยข้อกฎหมายของ ป.ป.ช.แล้วตั้งข้อกล่าวหาว่าเงินขายหุ้น 76,000 ล้านบาท(รวมเงินปันผล) นั้น...เป็นเงินที่ควรถูกยึดเข้าหลวง เพราะถือว่า รํ่ารวยผิดปกติปัญหาตรงนี้อาจจะมีผลกระทบตามมา เพราะถ้าใครดูบัญชีเป็น ก็คงทราบว่าหุ้นประมาณ 1,487 ล้านหุ้น ของครอบครัวคุณทักษิณที่ขายให้เทมาเส็กเมื่อวันที่23 มกราคม 2549 นั้น คือ หุ้นชินคอร์ปหุ้นชินคอร์ปที่ขาย
นั้น...ครอบครัวคุณทักษิณถือครองมาตั้งแต่ก่อนเล่นการเมือง ด้วยจำนวนที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเพียงราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เท่า นั้นเมื่อทราบว่าหุ้นชินคอร์ปมีมาแต่เดิม...จำนวนไม่ได้เพิ่มขึ้น...แต่ต่อ มาภายหลังได้ขายให้กับเทมาเส็ก จนได้เงินกว่า7 หมื่นล้านบาทก็เป็นการเพิ่มขึ้นในมูลค่าของทรัพย์สินหาใช่การเพิ่มขึ้นในตัว ทรัพย์สินไม่ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี...เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับการรํ่ารวยผิดปกตินั้น
เป็นเรื่องของจำนวนทรัพย์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติมิใช่ทรัพย์มีจำนวนเท่า เดิมแล้วต่อมาทรัพย์นั้นมีคนมาซื้อในราคาที่สูงขึ้นก็กล่าวหาว่า รํ่ารวยผิดปกติถ้ามองอย่างนี้หลายคนก็อาจจะคิดว่า...บางคนคงอิจฉาคุณทักษิณ หรือบางคนกลัวคุณทักษิณจะกลับมาจึงคิดว่า...ถ้าหมดเงิน ประชาชนก็คงไม่นิยม เมื่อไม่นิยม ก็คงกลับมาไม่ได้ประชาชนก็คงจะลืมคุณทักษิณการตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดเงิน ที่มาจากการขายหุ้น ถ้ามองเฉพาะจำ นวนหุ้นก็น่าจะอ่อนไปด้วยหลักการความ
คิดเพราะบ่งบอกไม่ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างไร มีเพียงแค่ราคาขายต่อหุ้นเท่านั้นที่ทำให้มูลค่าขายเพิ่มขึ้นถ้าย้อนไปในวัน ที่ซื้อขายหุ้นเกิดราคาขณะนั้นอยู่ที่ 24.75 บาทต่อหุ้น แทนที่จะเป็น 49.25 บาทต่อหุ้น เงินที่ขายหุ้นโดยรวมก็คงลดประมาณครึ่งหนึ่งวันนี้ก็คงตั้งข้อกล่าวหาว่า ...คุณทักษิณรํ่ารวยผิดปกติด้วยเงินประมาณ 38,000ล้านบาทหรือถ้าวันนั้นขายหุ้นชินคอร์ปในราคาหุ้นละ 98.50 บาท เงินขายหุ้นโดยรวมที่จะตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดทรัพย์ก็คงจะ
เป็นประมาณ 152,000 ล้านบาท ใช่หรือไม่ด้วยตัวอย่างที่สมมติราคาหุ้นให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ก็คงเพียงพอให้พี่น้องผู้อ่านได้มีหลักคิดแล้วใช่ไหมครับว่า...การยึดทรัพย์ ครั้งนี้มีหลักเกณฑ์ในการคิดมูลค่าความเสียหายเป็นไปโดยชอบหรือไม่อ่านมาถึง ตรงนี้...ยังคิดว่า “ทฤษฎี:-)กินหญ้า...ม้ากินแกลบ” นั้นจะใช้ได้หรือไม่ กับข้อกล่าวหารํ่ารวยผิดปกติแล้วจะยึดทรัพย์จากการขายหุ้นทั้งหมดพี่น้องผู้ อ่านลองไปคิดดูก็แล้วกันถ้าส่วนหนึ่งของเงินที่จะยึดนั้นมีเงินปันผลด้วย
คนที่ดึงดันออกมาอธิบายทฤษฎี:-)กินหญ้า ม้ากินแกลบ ต่อไปก็น่าจะต้องพิจารณาให้ครบถ้วนตามไปด้วยเพราะชินคอร์ปเป็นบริษัทมหาชน ที่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นด้วยตามหลักการจ่ายเงินปันผล...บริษัทจะต้องจ่ายให้ กับผู้ถือหุ้นทุกๆ คนด้วยจำนวนที่เท่ากัน จึงเป็นการยุติธรรมมิใช่หรือ ที่จะต้องตามไปเรียกเก็บเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ได้รับไปในงวด เดียวกันกับครอบครัวคุณทักษิณและที่สำ คัญ...
บริษัทที่เป็นคู่กรณีเรื่องแปรสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามติคือ เอ
ไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทที่ชินคอร์ปถือหุ้นเอไอเอสจึงเป็นคู่กรณีโดยตรงกับทีโอทีที่ มีข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ และเรื่องยังอยู่ที่อนุญาโตตุลาการ หาใช่ชินคอร์ปไม่ที่เขียนมาข้างต้น...ไม่ใช่จะมองว่าที่ผ่านมาคุณทักษิณ ทำอะไรก็ถูกไปทั้งหมด แต่เห็นว่า การ “กลัวคุณทักษิณ” นั้นก็ควรจะตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผลเพราะคุณทักษิณ ก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิได้รับความเป็นธรรม...ใช่ไหมครับ?!
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ที่มา.บล็อกพันทิป
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ถอดรหัส"คุณหมอพรทิพย์"ดึงดันใช้ จีที 200 "สินค้าเทวดา" ราคาสูงลิ่ว 2 ล้านต่อเครื่อง? ทั้งที่ผลทดสอบ
ไม่ผ่าน กระทั่งนายกฯสั่งห้ามซื้อเพิ่ม แต่ทำไมหมอพรทิพย์ ถึงมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น "ประชาชาติธุรกิจ"ตามไปดูว่าเธอนั่งทับอะไรอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ?
ภายหลังจากคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจวัตถุระยะไกล Global Technical (จีที 200) ซึ่งมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานได้สรุปผลว่าเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพและรายงานต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 โดยนายกฯได้มอบให้คณะกรรมการฯไปทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่นำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้งานแต่ยังมีความเชื่อว่าเครื่องมือมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ต้องจัดซื้อเพิ่มเติมอีกต่อไป
ขณะที่ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าเครื่องมือชนิดดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป แต่จะไม่สั่งซื้อเพิ่มเติม โดยอ้างว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สถาบันใช้งานได้ดี เพียงแต่ไม่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์หลักในการเก็บกู้ระเบิด
เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่เห็นผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชุดคุณหญิงกัลยา "ไม่มีความหมาย"
คำถามก็คือเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดหรือสารเสพติด ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง จีที 200 และ อัลฟ่า 6 ว่าจัดซื้อเมื่อไหร่ จำนวนเท่าใด และ ซื้อจากใคร?
มีเพียงข้อมูลที่หลุดรอดออกมาตามหน้าสื่อระบุว่า จัดซื้อ อัลฟ่า 6 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 จาก บริษัท เอ เอส แอล เอ็ม เทรดดิ้ง จำกัด (นางธัญจิรา สมบูรณ์ศิลป์ เจ้าของ ) จำนวน 2 เครื่อง ราคาเครื่องละ 447,000 บาท รวม 894,000 บาท
แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงทั้งหมด
เท่าที่"ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้
ในระหว่างเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2552 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อเครื่องมือตรวจสอบ "ร่องรอยวัตถุระเบิด" และ "ร่องรอยสสาร" อย่างน้อย 5 ครั้ง ได้แก่
วันที่ 14 ก.ย.2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง และ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะจำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 5,348,000 บาท
วันที่ 22 ต.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ ซื้อเครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท
วันที่ 25 ธ.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะยี่ห้อ SMITHS จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 2,999,000 บาท
วันที่ 30 เม.ย. 2552 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะ ยี่ห้อ SMITHS จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 3,200,000 บาท
วันที่ 26 ส.ค. 2552 ซื้อเครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด (นายเอนก จงเสถียร เป็นกรรมการ -นางสาวอรวรรณ ศรีสุข ถือหุ้นใหญ่ นายเอนกเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง) วงเงิน 1,900,000 บาท
น่าสังเกตว่าเป็นการจัดซื้อจากเอกชน คือบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีนายธงชัย ล่ำซำ ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในเครือข่ายเดียวกับบริษัทผู้จำหน่ายหวยออนไลน์ชื่อดังซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
และยังพบว่าบางรายการ อาทิ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท ,เครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ เครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด วงเงิน 1,900,000 บาท
หากคิดราคาเฉลี่ยต่อเครื่อง ตกเครื่องละเกือบ 2 ล้านบาท
ถ้าเทียบกับการจัดซื้อเครื่อง จีที 200 ในหน่วยงานอื่นอย่างกรมสรรพาวุธกองทัพบก จัดซื้อ เกือบ 500 เครื่อง เครื่องละ 900,000 บาท (จัดซื้อจำนวนมาก) กรมราชองครักษ์ ที่จัดซื้อ จีที 200 เพียง 3 เครื่อง เครื่องละ 1.2 ล้านบาท
เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อในราคาสูงกว่าหน่วยงานอื่น (ถ้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน)
แทบไม่มีใครรับรู้ข้อมูลดังกล่าว และเข้าไปตรวจสอบว่าผิดปกติหรือไม่
ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ออกมาการันตีถึงประสิทธิภาพเครื่องจีที 200 ในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่าใช้งานได้ดีคล้ายเป็นสินค้าเทวดา
ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า "คุณหญิงหมอ" กำลังนั่งทับอะไรอยู่หรือไม่?
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ภายหลังจากคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจวัตถุระยะไกล Global Technical (จีที 200) ซึ่งมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานได้สรุปผลว่าเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพและรายงานต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 โดยนายกฯได้มอบให้คณะกรรมการฯไปทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่นำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้งานแต่ยังมีความเชื่อว่าเครื่องมือมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ต้องจัดซื้อเพิ่มเติมอีกต่อไป
ขณะที่ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าเครื่องมือชนิดดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป แต่จะไม่สั่งซื้อเพิ่มเติม โดยอ้างว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สถาบันใช้งานได้ดี เพียงแต่ไม่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์หลักในการเก็บกู้ระเบิด
เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่เห็นผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชุดคุณหญิงกัลยา "ไม่มีความหมาย"
คำถามก็คือเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดหรือสารเสพติด ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง จีที 200 และ อัลฟ่า 6 ว่าจัดซื้อเมื่อไหร่ จำนวนเท่าใด และ ซื้อจากใคร?
มีเพียงข้อมูลที่หลุดรอดออกมาตามหน้าสื่อระบุว่า จัดซื้อ อัลฟ่า 6 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 จาก บริษัท เอ เอส แอล เอ็ม เทรดดิ้ง จำกัด (นางธัญจิรา สมบูรณ์ศิลป์ เจ้าของ ) จำนวน 2 เครื่อง ราคาเครื่องละ 447,000 บาท รวม 894,000 บาท
แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงทั้งหมด
เท่าที่"ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้
ในระหว่างเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2552 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อเครื่องมือตรวจสอบ "ร่องรอยวัตถุระเบิด" และ "ร่องรอยสสาร" อย่างน้อย 5 ครั้ง ได้แก่
วันที่ 14 ก.ย.2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง และ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะจำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 5,348,000 บาท
วันที่ 22 ต.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ ซื้อเครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท
วันที่ 25 ธ.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะยี่ห้อ SMITHS จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 2,999,000 บาท
วันที่ 30 เม.ย. 2552 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะ ยี่ห้อ SMITHS จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 3,200,000 บาท
วันที่ 26 ส.ค. 2552 ซื้อเครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด (นายเอนก จงเสถียร เป็นกรรมการ -นางสาวอรวรรณ ศรีสุข ถือหุ้นใหญ่ นายเอนกเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง) วงเงิน 1,900,000 บาท
น่าสังเกตว่าเป็นการจัดซื้อจากเอกชน คือบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีนายธงชัย ล่ำซำ ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในเครือข่ายเดียวกับบริษัทผู้จำหน่ายหวยออนไลน์ชื่อดังซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
และยังพบว่าบางรายการ อาทิ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท ,เครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ เครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด วงเงิน 1,900,000 บาท
หากคิดราคาเฉลี่ยต่อเครื่อง ตกเครื่องละเกือบ 2 ล้านบาท
ถ้าเทียบกับการจัดซื้อเครื่อง จีที 200 ในหน่วยงานอื่นอย่างกรมสรรพาวุธกองทัพบก จัดซื้อ เกือบ 500 เครื่อง เครื่องละ 900,000 บาท (จัดซื้อจำนวนมาก) กรมราชองครักษ์ ที่จัดซื้อ จีที 200 เพียง 3 เครื่อง เครื่องละ 1.2 ล้านบาท
เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อในราคาสูงกว่าหน่วยงานอื่น (ถ้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน)
แทบไม่มีใครรับรู้ข้อมูลดังกล่าว และเข้าไปตรวจสอบว่าผิดปกติหรือไม่
ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ออกมาการันตีถึงประสิทธิภาพเครื่องจีที 200 ในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่าใช้งานได้ดีคล้ายเป็นสินค้าเทวดา
ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า "คุณหญิงหมอ" กำลังนั่งทับอะไรอยู่หรือไม่?
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
** AP เผยรถชนขบวนเสด็จพระเทพฯที่บังกลาเทศทรงปลอดภัยดี **
ข่าวด่วน :19 กพ. 2553 06:20 น.
สำนักข่าวเอพี รายงานโดยอ้างถ้อยแถลงของนายฮาบิบุลเลาะห์ ซาร์เคอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของบังคลาเทศว่า
รถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงคันหนึ่ง ได้พุ่งเข้าชนรถยนต์คันหนึ่งในขบวนเสด็จของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร
ในระหว่างเสด็จเยือนบังคลาเทศเมื่อวันพฤหัสบดี โดยเหตุร้ายเกิดขึ้นในเขตทันกาอิล ห่างจากกรุงธาการ์ไปทางเหนือ 72 กิโลเมตร
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรไม่ได้ทรงรับบาดเจ็บ และไม่ได้ประทับในรถยนต์คันที่ถูกชน แต่มีเจ้าหน้าที่สถานฑูตไทยเสียชีวิต 1 คน
สำนักข่าวแห่งชาติ "บังคลาเทศ ซังแบด ซังสทา" รายงานว่า ที่ปรึกษาคนหนึ่งของสถานเอกอัครราชฑูตไทยในกรุงธาร์กา
ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลคอมไบน์ มิลิทารี่ ในกรุงธาการ์
ขณะที่สำนักข่าว"เดอะ ยูไนเต็ตนิวส์ ออฟ บังคลาเทศ รายงานว่า ขบวนรถพระที่นั่งกำลังเดินทางกลับกรุงธาการ์
หลังจากทรงเสด็จเยือนหลายโครงการ ด้านสาธารณสุขในภาคเหนือของบังคลาเทศ
รายงานข่าวระบุว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร เสด็จบังคลาเทศในฐานะหนึ่งในทีมวิจัยของโรงเรียนสาธารณสุขบลูมเบิร์ก
มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์ ในรัฐแมรี่แแลนด์ของสหรัฐฯ และ รายงานข่าวระบุว่า กองงานในพระองค์ฯ ได้ยืนยันรายงานข่าว
เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้
****************************************************************************
สำนักข่าวเอพี รายงานโดยอ้างถ้อยแถลงของนายฮาบิบุลเลาะห์ ซาร์เคอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของบังคลาเทศว่า
รถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงคันหนึ่ง ได้พุ่งเข้าชนรถยนต์คันหนึ่งในขบวนเสด็จของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร
ในระหว่างเสด็จเยือนบังคลาเทศเมื่อวันพฤหัสบดี โดยเหตุร้ายเกิดขึ้นในเขตทันกาอิล ห่างจากกรุงธาการ์ไปทางเหนือ 72 กิโลเมตร
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรไม่ได้ทรงรับบาดเจ็บ และไม่ได้ประทับในรถยนต์คันที่ถูกชน แต่มีเจ้าหน้าที่สถานฑูตไทยเสียชีวิต 1 คน
สำนักข่าวแห่งชาติ "บังคลาเทศ ซังแบด ซังสทา" รายงานว่า ที่ปรึกษาคนหนึ่งของสถานเอกอัครราชฑูตไทยในกรุงธาร์กา
ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลคอมไบน์ มิลิทารี่ ในกรุงธาการ์
ขณะที่สำนักข่าว"เดอะ ยูไนเต็ตนิวส์ ออฟ บังคลาเทศ รายงานว่า ขบวนรถพระที่นั่งกำลังเดินทางกลับกรุงธาการ์
หลังจากทรงเสด็จเยือนหลายโครงการ ด้านสาธารณสุขในภาคเหนือของบังคลาเทศ
รายงานข่าวระบุว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร เสด็จบังคลาเทศในฐานะหนึ่งในทีมวิจัยของโรงเรียนสาธารณสุขบลูมเบิร์ก
มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์ ในรัฐแมรี่แแลนด์ของสหรัฐฯ และ รายงานข่าวระบุว่า กองงานในพระองค์ฯ ได้ยืนยันรายงานข่าว
เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้
****************************************************************************
** คนโชคดี !! (ที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร) **
ต้องนับว่าในประดาคนโชคดีทั้งหลาย คงจะไม่มีใครโชคดีไปกว่า..นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย..
ที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
วันที่ 26 กัมภาพันธ์ 2553 จะมีการพิพากษา..เกี่ยวกับทรัพย์กองโต 7 หมื่น 6 พันล้านของเขา..
ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..เรื่อง จีที 200 อุปกรณ์ตรวจหาราคาแพงเกิดมีการตรวจสอบขึ้นมา และปรากฏว่ามันเป็นอุปกรณ์ลวงโลก
กล่าวคือ..มันเป็นของต้มตุ๋นที่ถูกสร้างขึ้นมา และขายออกไปในหลายประเทศทั่วโลก..โดยเฉพาะกับประเทศไทย
อังกฤษผู้สร้าง.. เครื่องมือนี้ขึ้นมา ก็ห้ามจำหน่ายห้ามขายและดำเนินคดีกับ..นักต้มตุ๋นไปแล้ว
เอฟบีไอ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ดำเนินคดีกับแก๊งค์ลวงโลกแก๊งค์นี้เช่นกัน
สำหรับประเทศไทย..ลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นผู้ซื้อสินค้าลวงโลก จีที 200 ในราคาที่แพงที่สุดในโลก..เพิ่งจะกล้ารับความจริงว่า..
มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้ และแทบจะทุกกระทรวงทบวงกรมต่างซื้อหากันมาใช้งานมากที่สุด
ก็กับทหาร..และมากที่สุดก็ทหารที่เป็น คมช.เงินหลายพันล้านที่เอาไปซื้อหาสินค้าที่ใช้ไม่ได้ ราคาที่แพงเกินกว่าความเป็นจริง..
ผู้ซื้อเหล่านั้นจะตอบคำถามของผู้ที่จะต้องกระทำการสอบสวนอย่างไร..
เงินทอนและค่าคอมมิชชั่นและคอร์รัปชั่น..จะเปิดโผเปิดตัวมันออกมาหรือไม่
หากยึดทรัพย์ของ ทักษิณ ชินวัตร ในความผิดที่กำกวม และจะไม่ยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและจำนนต่อหลักฐานความเป็นจริงเช่นไร
ป.ป.ช..องค์กรอิสระ จะกล้าล้วงคองูเห่าและเอาผู้เรืองอำนาจและเคยเป็นรัฐฐาธิปัตย์เป็นผู้ต้องหาและนักโทษได้อย่างไร
ค.ต.ส.จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหรือไม่...
ทั้งสิ้นทั้งปวงกลายเป็นประโยชน์กับทักษิณ ชินวัตร..ที่จะพิสูจน์และยืนยันว่า..เคราะห์กรรมและการยึดทรัพย์ของเขานั้น..
เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อทำลายเขาจากศรัทธาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย..
แต่ในความผิดที่ชัดแจ้งกว่า..กลับถูกละเลยปิดหูปิดตามองไม่เห็น
แล้วเรื่องเงินจากเช็ค ไม่ถึง 2 ล้าน..เพราะกลัวการตรวจสอบหลายใบ..ที่จ่ายจากนักธุรกิจไปยัง บุคคลสำคัญ
ยิ่งทั้ง ค.ต.ส..ทั้ง ป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไร..และจะนำไปสู่การยึดทรัพย์อีกหรือไม่..
ถ้าทำคุณธรรมก็สว่างไสว ถ้าไม่จัญไรอัปปรีย์ก็คลุมเมือง
โดย: พญาไม้
***************************************************************************
ที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
วันที่ 26 กัมภาพันธ์ 2553 จะมีการพิพากษา..เกี่ยวกับทรัพย์กองโต 7 หมื่น 6 พันล้านของเขา..
ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..เรื่อง จีที 200 อุปกรณ์ตรวจหาราคาแพงเกิดมีการตรวจสอบขึ้นมา และปรากฏว่ามันเป็นอุปกรณ์ลวงโลก
กล่าวคือ..มันเป็นของต้มตุ๋นที่ถูกสร้างขึ้นมา และขายออกไปในหลายประเทศทั่วโลก..โดยเฉพาะกับประเทศไทย
อังกฤษผู้สร้าง.. เครื่องมือนี้ขึ้นมา ก็ห้ามจำหน่ายห้ามขายและดำเนินคดีกับ..นักต้มตุ๋นไปแล้ว
เอฟบีไอ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ดำเนินคดีกับแก๊งค์ลวงโลกแก๊งค์นี้เช่นกัน
สำหรับประเทศไทย..ลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นผู้ซื้อสินค้าลวงโลก จีที 200 ในราคาที่แพงที่สุดในโลก..เพิ่งจะกล้ารับความจริงว่า..
มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้ และแทบจะทุกกระทรวงทบวงกรมต่างซื้อหากันมาใช้งานมากที่สุด
ก็กับทหาร..และมากที่สุดก็ทหารที่เป็น คมช.เงินหลายพันล้านที่เอาไปซื้อหาสินค้าที่ใช้ไม่ได้ ราคาที่แพงเกินกว่าความเป็นจริง..
ผู้ซื้อเหล่านั้นจะตอบคำถามของผู้ที่จะต้องกระทำการสอบสวนอย่างไร..
เงินทอนและค่าคอมมิชชั่นและคอร์รัปชั่น..จะเปิดโผเปิดตัวมันออกมาหรือไม่
หากยึดทรัพย์ของ ทักษิณ ชินวัตร ในความผิดที่กำกวม และจะไม่ยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและจำนนต่อหลักฐานความเป็นจริงเช่นไร
ป.ป.ช..องค์กรอิสระ จะกล้าล้วงคองูเห่าและเอาผู้เรืองอำนาจและเคยเป็นรัฐฐาธิปัตย์เป็นผู้ต้องหาและนักโทษได้อย่างไร
ค.ต.ส.จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหรือไม่...
ทั้งสิ้นทั้งปวงกลายเป็นประโยชน์กับทักษิณ ชินวัตร..ที่จะพิสูจน์และยืนยันว่า..เคราะห์กรรมและการยึดทรัพย์ของเขานั้น..
เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อทำลายเขาจากศรัทธาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย..
แต่ในความผิดที่ชัดแจ้งกว่า..กลับถูกละเลยปิดหูปิดตามองไม่เห็น
แล้วเรื่องเงินจากเช็ค ไม่ถึง 2 ล้าน..เพราะกลัวการตรวจสอบหลายใบ..ที่จ่ายจากนักธุรกิจไปยัง บุคคลสำคัญ
ยิ่งทั้ง ค.ต.ส..ทั้ง ป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไร..และจะนำไปสู่การยึดทรัพย์อีกหรือไม่..
ถ้าทำคุณธรรมก็สว่างไสว ถ้าไม่จัญไรอัปปรีย์ก็คลุมเมือง
โดย: พญาไม้
***************************************************************************
** กรรมทันตา !! **
รู้กันทั่วประเทศแล้ว..ว่า..เครื่องค้นหา วัตถุระเบิด ที่ชื่อว่า “จีที 200” ..ด้วยผลของการตรวจ จากกระทรวงวิทยาศาสตร์
ที่ทำแบบลับๆ ล่อๆ..บัดนี้ “ผลสอบ” ประกาศออกมาแล้วว่า “ไม่เวิร์ก”!!
หากยังดันทุรังที่จะให้ “ทหาร” ใช้ “จีที 200” เพื่อหาวัตถุระเบิดต่อไป ก็ไม่ต่างกับให้ทหารอุ้ม “มัจจุราช” กระเตงเข้าสะเอวไปด้วย
ที่แน่ๆ มีคน “เป็นศพ” ก่อนที่จะเจอระเบิดซะด้วยซ้ำ!!จะใครซะอีก..ก้อ.. “หมอผ่าศพ” ผมหางนกแซงแซวเปรี้ยวสุดนี่แหละ
เพราะมั่วเมี่ย การันตีว่า “คุณภาพคับแก้ว”..ทั้งๆ ที่ประเทศอังกฤษ ยกเลิกการใช้ “กระบอกข้าวหลาม” นี้ไปนานแล้ว พร้อมทั้ง
“เรียกคืนกลับ” จากอิรักทั้งหมด!!
แต่ประเทศไทย กลับเร่งซื้อแบบระรัว?? เมื่อปี 48. รัฐบาลทักษิณ ซื้อมา 4 เครื่อง..ราคาเครื่องละ 20,000 บาท
ถึงรัฐบาล สุรยุทธ์ สั่งเพิ่มมาเป็น 500 เครื่อง ตกเครื่องละ70,000 บาท มาถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อปีที่แล้ว สั่งมาอีก 2,000 เครื่อง
ราคาเครื่องละเท่าไหร่ ไม่กล้าเขียนตัวเลขลงไป เพียงแต่ว่า “ล็อตนี้” ยังส่งมาไม่ครบ “2,000 เครื่อง” เท่านั้นเอง!!
เมื่อเรื่องมัน “แดง” ขึ้นมาอย่างนี้จะมีผลอันใดเกิดขึ้น..จากการที่ “ล้วงลึก” ลงไป ถึงตัว ผู้จัดจำหน่าย ไอ้เจ้าเครื่อง จีที 200 นี้ ..
ปรากฏว่า “ไอ้โม่ง” ดันกลายเป็น “นักการเมือง” อีกแฮะ!!
เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ “ลำดับที่ 58” ส่วนจะสังกัด “พรรค” ใด นั้นไปสืบหากันเอาเอง..
สรุปว่างานนี้ ทั้ง ทหาร รัฐบาล นักการเมือง บริษัทเอกชน รวมหัวกันปู้ยี้ปู้ยำเงินของชาติอย่างไม่อายฟ้าดิน!!
ความจริงมันย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น..ใครก่อกรรมทำชั่วไว้อย่างไร.. สวรรค์ก็ต้องมีตา และฟ้าก็ต้องมีการลงโทษ!!
ตอนนี้ “กลืนไม่เข้า” แถม “คายก็ไม่ออก” เพราะมัน “คาปาก” ห้อยปลิ้นอยู่อักษรย่อ “จีที” ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า
มาจากคำ “กรรมตามทันตา” ใช่มั้ย ไอ้ฮึ่ด!!
ที่มา:konthaiuk
*************************************************************************
ที่ทำแบบลับๆ ล่อๆ..บัดนี้ “ผลสอบ” ประกาศออกมาแล้วว่า “ไม่เวิร์ก”!!
หากยังดันทุรังที่จะให้ “ทหาร” ใช้ “จีที 200” เพื่อหาวัตถุระเบิดต่อไป ก็ไม่ต่างกับให้ทหารอุ้ม “มัจจุราช” กระเตงเข้าสะเอวไปด้วย
ที่แน่ๆ มีคน “เป็นศพ” ก่อนที่จะเจอระเบิดซะด้วยซ้ำ!!จะใครซะอีก..ก้อ.. “หมอผ่าศพ” ผมหางนกแซงแซวเปรี้ยวสุดนี่แหละ
เพราะมั่วเมี่ย การันตีว่า “คุณภาพคับแก้ว”..ทั้งๆ ที่ประเทศอังกฤษ ยกเลิกการใช้ “กระบอกข้าวหลาม” นี้ไปนานแล้ว พร้อมทั้ง
“เรียกคืนกลับ” จากอิรักทั้งหมด!!
แต่ประเทศไทย กลับเร่งซื้อแบบระรัว?? เมื่อปี 48. รัฐบาลทักษิณ ซื้อมา 4 เครื่อง..ราคาเครื่องละ 20,000 บาท
ถึงรัฐบาล สุรยุทธ์ สั่งเพิ่มมาเป็น 500 เครื่อง ตกเครื่องละ70,000 บาท มาถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อปีที่แล้ว สั่งมาอีก 2,000 เครื่อง
ราคาเครื่องละเท่าไหร่ ไม่กล้าเขียนตัวเลขลงไป เพียงแต่ว่า “ล็อตนี้” ยังส่งมาไม่ครบ “2,000 เครื่อง” เท่านั้นเอง!!
เมื่อเรื่องมัน “แดง” ขึ้นมาอย่างนี้จะมีผลอันใดเกิดขึ้น..จากการที่ “ล้วงลึก” ลงไป ถึงตัว ผู้จัดจำหน่าย ไอ้เจ้าเครื่อง จีที 200 นี้ ..
ปรากฏว่า “ไอ้โม่ง” ดันกลายเป็น “นักการเมือง” อีกแฮะ!!
เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ “ลำดับที่ 58” ส่วนจะสังกัด “พรรค” ใด นั้นไปสืบหากันเอาเอง..
สรุปว่างานนี้ ทั้ง ทหาร รัฐบาล นักการเมือง บริษัทเอกชน รวมหัวกันปู้ยี้ปู้ยำเงินของชาติอย่างไม่อายฟ้าดิน!!
ความจริงมันย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น..ใครก่อกรรมทำชั่วไว้อย่างไร.. สวรรค์ก็ต้องมีตา และฟ้าก็ต้องมีการลงโทษ!!
ตอนนี้ “กลืนไม่เข้า” แถม “คายก็ไม่ออก” เพราะมัน “คาปาก” ห้อยปลิ้นอยู่อักษรย่อ “จีที” ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า
มาจากคำ “กรรมตามทันตา” ใช่มั้ย ไอ้ฮึ่ด!!
ที่มา:konthaiuk
*************************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
"ทักษิณ"ชี้อนาคตอำมาตย์ต้องถอย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กล่าวในรายการทอล์คอะราวด์เดอะเวิล์ด ผ่านสถานีโทรทัศน์พีเพิ่ลชาแนล ว่า เป็นช่วงที่ต้องเล่าความจริงหลังถูกกล่าวหามาด้านเดียว เมื่อ 6 มค.หลังชนะเลือกตั้งได้รับโปรดเกล้า 9 กพ. 2544 เป็นนายกฯ ซึ่งตนจำได้แม่นว่าเป็นสิ่งสำคัญคือจะเป็นรัฐบาลที่ไมรู้จักคำว่าาเหน็ดเหนื่อยประชาชนคงเห็นแล้วเดินทางไปต่างประเทศเพื่อประชุมเป็นส่วนมากและทำงานตลอดไม่ใช่เอาแต่พูด และตนจะไม่เป็นผู้นำตามกม.แต่ถือว่ามีหน้านำพาประเทศให้สู่ความมั่งคั่งและเป็นผู้นำการบริหารทางจัดการองค์กรคือประเทศด้วย
หลังตั้งรัฐบาลผสมซึ่งคงรู้ว่าเป็นระบบโควต้า แต่คำนึงถึงนโยบายถือเป็นสัญญาประชาคม ต้องทำให้ได้และขอรับผิดชอบในส่วนไปสัญญาไว้ ก่อนสัญญาก็ต้องมั่นใจว่าเราทำได้ ถือเป็นความสวยงามตามระบอบประชาธิปไตยที่ผูกโยงไปกับประชาชน เมื่อเราไปเสนอว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ หากเป็นคนของประชาชนจริงประชาชนจะรักไม่ต้องคอยให้อำมาตย์ดูแล ต้องยึดประชาชนเป็นหลัก ในอนาคตอำมาตย์ต้องถอย
ระบบโควต้ามีการต่อรองแน่นอน เช่นวันนี้ปชป.ต้องอาศัยพรรคร่วม ปกติกระทรวงดี ๆ พรรคร่วมไม่เคยได้แต่วันนี้ต้องให้พรรคร่วม เห็นได้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์นายกฯไปไหนมีคนนับหมื่นแล้วจะไปเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้อย่างไร และยังถูกพรรคร่วมขี่คอเช่นนี้ รธน.ก็ล้าหลังเพราะถูกทหารซื่อบื้อนำพาประเทศไปถอยหลัง สมัยตนเป็นเพราะประชาชนเลือกมามีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างอิสระ ครม.ที่มาร่วมก็มาร่วมตามกติกา ด้วยความเรียบร้อยวันนี้อำมาตย์และทหารลากประเทศไทยไปสู่ศตวรรษที่ 20 เป็นทหารที่สั่งซื้อจีที 200 ซึ่งนายกฯก็บอกว่าหมาทำได้ดีกว่า
หลังตั้งรัฐบาลผสมซึ่งคงรู้ว่าเป็นระบบโควต้า แต่คำนึงถึงนโยบายถือเป็นสัญญาประชาคม ต้องทำให้ได้และขอรับผิดชอบในส่วนไปสัญญาไว้ ก่อนสัญญาก็ต้องมั่นใจว่าเราทำได้ ถือเป็นความสวยงามตามระบอบประชาธิปไตยที่ผูกโยงไปกับประชาชน เมื่อเราไปเสนอว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ หากเป็นคนของประชาชนจริงประชาชนจะรักไม่ต้องคอยให้อำมาตย์ดูแล ต้องยึดประชาชนเป็นหลัก ในอนาคตอำมาตย์ต้องถอย
ระบบโควต้ามีการต่อรองแน่นอน เช่นวันนี้ปชป.ต้องอาศัยพรรคร่วม ปกติกระทรวงดี ๆ พรรคร่วมไม่เคยได้แต่วันนี้ต้องให้พรรคร่วม เห็นได้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์นายกฯไปไหนมีคนนับหมื่นแล้วจะไปเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้อย่างไร และยังถูกพรรคร่วมขี่คอเช่นนี้ รธน.ก็ล้าหลังเพราะถูกทหารซื่อบื้อนำพาประเทศไปถอยหลัง สมัยตนเป็นเพราะประชาชนเลือกมามีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างอิสระ ครม.ที่มาร่วมก็มาร่วมตามกติกา ด้วยความเรียบร้อยวันนี้อำมาตย์และทหารลากประเทศไทยไปสู่ศตวรรษที่ 20 เป็นทหารที่สั่งซื้อจีที 200 ซึ่งนายกฯก็บอกว่าหมาทำได้ดีกว่า
ส.ส.กลุ่มภาคเหนือพท.หนุนเสนอ"มิ่งขวัญ"เป็นนายกเมินคำขู่"เฉลิม"ไม่ร่วมซักฟอก
นายสถาพร มณีรัตน์ สส.ลำพูน กลุ่มภาคเหนือ พรรคเพื่อไทย กล่าววันที่ 18 กุมภาพันธ์ว่า การหาข้อยุติผู้ที่ควรได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแนบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยนั้นควรเป็นการลงมติกันภายในพรรค โดยมีแคนดิเดทตามที่เป็นข่าว 3 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส. พรรค นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา
แต่ สส.กลุ่มเหนือส่วนหนึ่งเห็นว่า การเลือกผู้ที่ควรได้รับการเสนอชื่อแม้จะมีโอกาสน้อยที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง แต่ก็มีความหมายไปถึงอนาคตของพรรคโดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้าพรรค พรรคต้องพิจารณาเราต้องการบุคลิกแบบไหน หากต้องการแนวทางประนีประนอม เชี่ยวชาญเศรษฐกิจก็ต้องสนับสนุน นายมิ่งขวัญ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะดุดัน สู้รบ บรรยากาศของประเทศในปัจจุบันเชื่อว่า สังคมเหนื่อยล้ากับการต่อสู้มามากแล้ว ทั้งม็อบคนเสื้อแดง คดียึดทรัพย์ ทั้งที่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นปัญหาสำคัญมาก
นายสถาพร กล่าวถึงกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า หากพรรคไม่เสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนายกฯ ก็อาจวางมือไม่อภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจว่า เชื่อว่า นายมิ่งขวัญก็สามารถอภิปรายนำแทนได้ โดยเน้นในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเป็นจุดเด่นของนายมิ่งขวัญ
ที่มา:มติชนออนไลน์
แต่ สส.กลุ่มเหนือส่วนหนึ่งเห็นว่า การเลือกผู้ที่ควรได้รับการเสนอชื่อแม้จะมีโอกาสน้อยที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง แต่ก็มีความหมายไปถึงอนาคตของพรรคโดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้าพรรค พรรคต้องพิจารณาเราต้องการบุคลิกแบบไหน หากต้องการแนวทางประนีประนอม เชี่ยวชาญเศรษฐกิจก็ต้องสนับสนุน นายมิ่งขวัญ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะดุดัน สู้รบ บรรยากาศของประเทศในปัจจุบันเชื่อว่า สังคมเหนื่อยล้ากับการต่อสู้มามากแล้ว ทั้งม็อบคนเสื้อแดง คดียึดทรัพย์ ทั้งที่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นปัญหาสำคัญมาก
นายสถาพร กล่าวถึงกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า หากพรรคไม่เสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนายกฯ ก็อาจวางมือไม่อภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจว่า เชื่อว่า นายมิ่งขวัญก็สามารถอภิปรายนำแทนได้ โดยเน้นในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเป็นจุดเด่นของนายมิ่งขวัญ
ที่มา:มติชนออนไลน์
พท.ซัดปณิธาน"เด็กเลี้ยงแกะ"เต้าข่าวน้ำเลี้ยง ร้องให้ลาออก

ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า คณะอนุกรรมาธิการ เศรษฐกิจจุลภาคได้เชิญ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงกรณีพูดถึงการโอนเงินที่ผิดปกติจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกรณีที่อ้างว่ามีการขนเงินผ่านด่านปอยเปต จำนวน 10-20 ล้านบาทต่อวัน โดยได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงการคลัง การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมศุลการกร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ ) และ ปปง.มาร่วมให้ข้อมูล ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดชี้แจงตรงกันว่า ไม่พบข้อมูลการขนเงินผ่านมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่พบการโอนเงินผิดปกติผ่านทางธนาคารตามที่มีการกล่าวหา นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังระบุชัดเจนว่าไม่มีการขนเงินผ่านชายแดนปอยแปต รวมทั้งไม่มีความผิดปกติใดๆ หลังจากตรวจสอบทั้งเรื่องวัตถุที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นอุปกรณ์ขนเงิน หรือแม้แต่การตรวจสอบทางกล้องวงจรปิด
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันกรมสอบสวนคดีพิเศษบอกว่า ยังไม่มีข้อมูล แต่จะไปพบนายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยข่าวกรอง เพื่อสอบถามข้อมูลตรงนี้ว่ามีหรือไม่ เป็นเรื่องน่าเสียใจที่นายปณิธานไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ แต่ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแล้วว่านายปณิธานเป็นเด็กเลี้ยงแกะสร้างเรื่องเต้าข่าว ก็อยากให้ออกมากล่าขอโทษในสิ่งที่พูด เพราะได้สร้างความเสียหายต่อผู้อื่น กล่าวหาโดยปราศจากหลักฐาน สร้างความแตกแยกในสังคม คนเป็นถึงรองเลาขาธิการนายกฯ ควรที่จะต้องรับผิดชอบคำพูด โดยมารยาทแล้ว ต้องพิจารณาตัวเอง โดยการลาออกไปเสีย
ที่มา:มติชนออนไลน์
ผู้พิพากษาในภาค5กว่า100คน ลงชื่อโต้ป.ป.ช.ไร้อำนาจตั้งกก.สอบศาลอยุธยา กรณีออกหมายจับอดีต อ.ดีเอสไอ
คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 ประกอบด้วย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ผู้พิพากษาอาวุโสในศาล ผู้พิพากษา ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลจังหวัดน่าน ศาลจังหวัดฝาง ศาลจังหวัดพะเยา ศาลจังหวัด แพร่ ศาลจังหวัดลำปาง ศาลจังหวัดลำพูน ศาลจังหวัดแม่สะเรียง ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน ศาลจังหวัดเทิง กว่า 100 คน นำโดย นายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ ลงชื่อสนับสนุนแนวทางการดำเนินการของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ได้ทำหนังสือแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีตั้งอนุกรรมการไต่สวน นายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ขณะนั้น) ว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรม ที่อนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา
โดยหนังสือสรุปว่า เหตุดังกล่าวได้มีการนำเสนอปัญหากรณีที่ผู้พิพากษา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างรอบครอบและสุจริตในการออกหมายจับต่อคณะกรรมการข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และมอบให้นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม รับไปดูแลเกี่ยวกับการคุ้มครองปกป้องผู้พิพากษาที่ได้ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความรอบครอบและสุจริต จึงขอสนับสนุนสำนักงานยุติธรรม ที่ทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช. ว่า ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด ซึ่งรวมถึงการออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลยพินิจก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งได้
การกระทำใดๆไม่ว่าจะเป็นการใช้อิทธิพล โดยมิชอบการชักนำการกดดัน การข่มขู่หรือแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากบุคคลใดเพื่อหวังผลการพิจารณาพิพากษาจึงไม่พึงกระทำ โดยเฉพาะการดำเนินการไต่สวนผู้พิพากษาในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจของอนุกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะที่ประเด็นข้อพิพาทของคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา อาจกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลรวมทั้งหลักประกันความอิสระของผู้พิพากษาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
พร้อมกันนี้ คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 ยังได้เป็นกำลังใจให้แก่นายอิทธิพล ผู้พิพากษาซึ่งได้รับผลกระทบต่อความไม่ถูกต้องครั้งนี้ด้วย
ที่มา:มติชนออนไลน์
โดยหนังสือสรุปว่า เหตุดังกล่าวได้มีการนำเสนอปัญหากรณีที่ผู้พิพากษา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างรอบครอบและสุจริตในการออกหมายจับต่อคณะกรรมการข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และมอบให้นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม รับไปดูแลเกี่ยวกับการคุ้มครองปกป้องผู้พิพากษาที่ได้ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความรอบครอบและสุจริต จึงขอสนับสนุนสำนักงานยุติธรรม ที่ทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช. ว่า ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด ซึ่งรวมถึงการออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลยพินิจก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งได้
การกระทำใดๆไม่ว่าจะเป็นการใช้อิทธิพล โดยมิชอบการชักนำการกดดัน การข่มขู่หรือแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากบุคคลใดเพื่อหวังผลการพิจารณาพิพากษาจึงไม่พึงกระทำ โดยเฉพาะการดำเนินการไต่สวนผู้พิพากษาในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจของอนุกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะที่ประเด็นข้อพิพาทของคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา อาจกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลรวมทั้งหลักประกันความอิสระของผู้พิพากษาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
พร้อมกันนี้ คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 ยังได้เป็นกำลังใจให้แก่นายอิทธิพล ผู้พิพากษาซึ่งได้รับผลกระทบต่อความไม่ถูกต้องครั้งนี้ด้วย
ที่มา:มติชนออนไลน์
หมาเฝ้าบ้านไม่เห่า !!!!????
มาเรื่อย ๆ มีแท็กซี่ มี ฮอนด้า ซีวิค เบียดขบวนรถนายกฯบนทางด่วน มียิงเอ็ม 79 ถล่มวิทยาลัยพาณิชย์พระนคร ข้างทำเนียบ วันตรุษจีน ไล่ ๆ กันมีผู้เอา ระเบิดซีโฟร์ หนัก 3 ปอนด์ ทิ้งไว้ ข้างรั้วศาลฎีกา ฝั่งคลองหลอด
ทั้ง 2 เหตุการณ์ เลือกทำวันหยุด ไม่มีใครมาทำงาน เลยไม่มีใครบาดเจ็บ มุ่ง “ป่วนเมือง” เป็นหลัก รายงานลับตำรวจ ยังระบุว่า ก่อน 26 ก.พ. ที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน จะมีลอบวางระเบิด 8 จุดสำคัญ
เช่น พระรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันต์ฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น พูดง่าย ๆ ป่วนเมือง เพื่อบีบให้เจรจา ว่างั้นเถอะ !!!
เกิดเหตุขึ้น ทุกคนนึก เสธ.แดง อีกแล้ว เจ้าตัวเองก็คงรู้ เลยปฏิเสธลั่น ไม่ได้ทำ ถ้าทำ ต้องโฆษณาสินค้า บอกก่อน ล่วงหน้า (บ้าหรือเปล่าเนี่ย) พร้อมโบ้ย ทหารกลุ่มคิดอยากปฏิวัติ 24 ชั่วโมง นั่นล่ะทำ
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน พาณิชย์พระนครไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมาย คือทำเนียบรัฐบาล พร้อมย้ำ ฝ่ายก่อความรุนแรงจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และยังไม่นำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้
แต่เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว
ที่จริง ระเบิดนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ก็มีมือมืด ถล่มเอ็ม 79 ใส่บก.ทบ. ใกล้ห้อง ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาแล้ว มีการระบุไปที่ เสธ. แดง แต่เอาเข้าจริง จนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้
ครั้งนี้ ซีกรัฐบาล และตำรวจ ที่ไม่กล้าระบุ ฝีมือใคร คงกลัวหน้าแหก เพราะ ล่าสุด เรื่องมือปาขี้ ใส่บ้านนายกฯ ก็เคยประโคมข่าวใหญ่โต โยงเรื่องยึดทรัพย์ เสื้อแดงแหง ๆ พูดเป็นตุเป็นตะ จ้าง 3 ล้านมาทำ
เอาเข้าจริง กลายเป็นพ่อค้าของเก่า เมียบอก สติไม่ค่อยดี โกรธตำรวจไม่จับสิงห์อมควัน เลยไปล้างแค้นนายกฯ แทน ไม่มีอะไรโยงเสื้อแดงเลย แต่ก็ไม่เห็นหน้าไหนออกมาขอโทษสักคน
เรื่องยิงเอ็ม 79 เรื่องปาระเบิด ใครทำต้องประณาม สาปแช่งให้ลงนรกซะ แต่บ้านเมืองที่มีแต่ ลับ ลวง พราง จะฟังอะไร ขอฟังหูไว้หูด้วย เพราะสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ ก็อาจเป็นเรื่อง ลวงโลก อย่างที่เกิดแล้ว
มาถึงเรื่อง จีที 200 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ พา คกก. ไปพิสูจน์ด้วยกรรมวิธีพึลึกกึกกือมาก ห้ามนักข่าวเข้าห้องทดสอบ อ้างกลัวคนแยะ อุณหภูมิในห้องจะสูงขึ้น แล้วเครื่องจะหาระเบิดไม่เจอ
เครื่องบ้าอะไรเนี่ย
แล้วคนวางระเบิด จะจ้องซุกแต่ห้องอย่างที่ว่าหรือ มันก็วางไปทั่ว ร้านน้ำชา ตลาด โรงหนัง ธนาคาร ห้างขายรถ ป้อมตำรวจ มีฝนตก แดดออก แถมพลุกพล่านทั้งนั้น แล้วเครื่องบ้านี้ จะทำงานได้หรือ
สรุป ผลจะออกมา ดีเลิศยังไง ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว อีกเรื่อง จะผ่าพิสูจน์เครื่องอย่างที่อังกฤษทำ ก็ไม่ได้อีก อ้างว่า สัญญาระบุไว้ ซื้อแล้ว ห้ามผ่าพิสูจน์ นี่มัน สัญญาปัญญาอ่อน หรือไงเนี่ย
ยิ่งนานวัน ยิ่งชัด จีที 200 พันเครื่อง มูลค่าเกือบ 2,000 ล้าน มีทุจริตแน่ เพราะซื้อกันตั้งแต่ 4 แสน ยัน 1.4 ล้าน น่าแปลก ที่สื่อหยุดขุดคุ้ยดื้อ ๆ ไม่ตามต่อว่า บริษัท เอวิเอ แซทคอม มาจากไหน นายพล “ช” บ้านใหญ่แค่ไหน แล้ว อนุวัฒน์ ล่ะ เป็นใคร
ช่วยกัดไม่ปล่อยต่อไปเถอะ กราบล่ะ ทำหน้าที่ หมาเฝ้าบ้าน ให้สมศักดิ์ศรี หน่อยเถอะ เพราะ หมาแก่ (ขอยืมสำนวน ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มาใช้หน่อย) ตัวนี้ ไม่มีปัญญาทำเองน่ะ???.
ที่มา:เดลินิวส์
ดาวประกายพรึก
ทั้ง 2 เหตุการณ์ เลือกทำวันหยุด ไม่มีใครมาทำงาน เลยไม่มีใครบาดเจ็บ มุ่ง “ป่วนเมือง” เป็นหลัก รายงานลับตำรวจ ยังระบุว่า ก่อน 26 ก.พ. ที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน จะมีลอบวางระเบิด 8 จุดสำคัญ
เช่น พระรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันต์ฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น พูดง่าย ๆ ป่วนเมือง เพื่อบีบให้เจรจา ว่างั้นเถอะ !!!
เกิดเหตุขึ้น ทุกคนนึก เสธ.แดง อีกแล้ว เจ้าตัวเองก็คงรู้ เลยปฏิเสธลั่น ไม่ได้ทำ ถ้าทำ ต้องโฆษณาสินค้า บอกก่อน ล่วงหน้า (บ้าหรือเปล่าเนี่ย) พร้อมโบ้ย ทหารกลุ่มคิดอยากปฏิวัติ 24 ชั่วโมง นั่นล่ะทำ
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน พาณิชย์พระนครไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมาย คือทำเนียบรัฐบาล พร้อมย้ำ ฝ่ายก่อความรุนแรงจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และยังไม่นำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้
แต่เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว
ที่จริง ระเบิดนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ก็มีมือมืด ถล่มเอ็ม 79 ใส่บก.ทบ. ใกล้ห้อง ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาแล้ว มีการระบุไปที่ เสธ. แดง แต่เอาเข้าจริง จนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้
ครั้งนี้ ซีกรัฐบาล และตำรวจ ที่ไม่กล้าระบุ ฝีมือใคร คงกลัวหน้าแหก เพราะ ล่าสุด เรื่องมือปาขี้ ใส่บ้านนายกฯ ก็เคยประโคมข่าวใหญ่โต โยงเรื่องยึดทรัพย์ เสื้อแดงแหง ๆ พูดเป็นตุเป็นตะ จ้าง 3 ล้านมาทำ
เอาเข้าจริง กลายเป็นพ่อค้าของเก่า เมียบอก สติไม่ค่อยดี โกรธตำรวจไม่จับสิงห์อมควัน เลยไปล้างแค้นนายกฯ แทน ไม่มีอะไรโยงเสื้อแดงเลย แต่ก็ไม่เห็นหน้าไหนออกมาขอโทษสักคน
เรื่องยิงเอ็ม 79 เรื่องปาระเบิด ใครทำต้องประณาม สาปแช่งให้ลงนรกซะ แต่บ้านเมืองที่มีแต่ ลับ ลวง พราง จะฟังอะไร ขอฟังหูไว้หูด้วย เพราะสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ ก็อาจเป็นเรื่อง ลวงโลก อย่างที่เกิดแล้ว
มาถึงเรื่อง จีที 200 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ พา คกก. ไปพิสูจน์ด้วยกรรมวิธีพึลึกกึกกือมาก ห้ามนักข่าวเข้าห้องทดสอบ อ้างกลัวคนแยะ อุณหภูมิในห้องจะสูงขึ้น แล้วเครื่องจะหาระเบิดไม่เจอ
เครื่องบ้าอะไรเนี่ย
แล้วคนวางระเบิด จะจ้องซุกแต่ห้องอย่างที่ว่าหรือ มันก็วางไปทั่ว ร้านน้ำชา ตลาด โรงหนัง ธนาคาร ห้างขายรถ ป้อมตำรวจ มีฝนตก แดดออก แถมพลุกพล่านทั้งนั้น แล้วเครื่องบ้านี้ จะทำงานได้หรือ
สรุป ผลจะออกมา ดีเลิศยังไง ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว อีกเรื่อง จะผ่าพิสูจน์เครื่องอย่างที่อังกฤษทำ ก็ไม่ได้อีก อ้างว่า สัญญาระบุไว้ ซื้อแล้ว ห้ามผ่าพิสูจน์ นี่มัน สัญญาปัญญาอ่อน หรือไงเนี่ย
ยิ่งนานวัน ยิ่งชัด จีที 200 พันเครื่อง มูลค่าเกือบ 2,000 ล้าน มีทุจริตแน่ เพราะซื้อกันตั้งแต่ 4 แสน ยัน 1.4 ล้าน น่าแปลก ที่สื่อหยุดขุดคุ้ยดื้อ ๆ ไม่ตามต่อว่า บริษัท เอวิเอ แซทคอม มาจากไหน นายพล “ช” บ้านใหญ่แค่ไหน แล้ว อนุวัฒน์ ล่ะ เป็นใคร
ช่วยกัดไม่ปล่อยต่อไปเถอะ กราบล่ะ ทำหน้าที่ หมาเฝ้าบ้าน ให้สมศักดิ์ศรี หน่อยเถอะ เพราะ หมาแก่ (ขอยืมสำนวน ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มาใช้หน่อย) ตัวนี้ ไม่มีปัญญาทำเองน่ะ???.
ที่มา:เดลินิวส์
ดาวประกายพรึก
** ห้าแสนกับล้านห้า **
สัญญาแบบนี้ก็มีด้วย แค่การยอมรับในสัญญา ก่อนจะลงนามและจ่ายเงินให้กับการจัดซื้อจัดหา จีที 200 ก็แทบจะเอาผู้ลงนาม
ในสัญญาไปเข้าคุกได้แล้ว
มีอย่างที่ไหน..สัญญาระบุว่าผู้ซื้อจะรื้อและแกะอุปกรณ์จีที 200 ไม่ได้
ในข้างกล่องสินค้าทั้งหลาย..เขาจะเขียนไว้ว่า..บริษัทผู้ขายจะไม่ยอมรับผิดชอบหากผู้ซื้อเปิดหลังเครื่องเข้าไป..
แต่สำหรับ จีที 200 ห้ามแกะกล่อง..และดูเหมือนว่า..คณะกรรมการที่ตั้งกันขึ้นมา ก็รักษาสัญญากันอย่างเคร่งครัด
ทั้งๆ ที่การจะลงทุนแกะกล่อง ก็จะเสียหายแค่ราคาเครื่องเท่านั้น เพื่อจะดูว่า..ราคา 1 ล้าน หรือ 1 ล้าน 5 นั้น ราคามันมาจาก
วัสดุอุปกรณ์อะไร หากมันมีแค่กล่องเปล่าๆกับเสาชุบโครเมี่ยม ราคามันจะมาจากไหน..
นาฬิกาแพงๆเรือนละเป็นล้านๆนั้น มันก็สร้างมาจากทองคำทองขาว ข้างในมีทับทิมเป็นหมุดเป็นแกน...
ในทางวิทยาศาสตร์..ราคาของสินค้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้..วิธีการทำงานของมันต้องอธิบายได้เท่าๆ กับความผิดพลาด
แต่ จีที 200 ได้รับการยกเว้น เอาแต่ความต่างของราคาที่แต่ละหน่วยราชการซื้อมาในราคาที่แตกต่างกันนั้น..ก็น่าจะมีผู้ต้องหา
เกิดขึ้นมาแล้ว..สินค้าชนิดเดียวกันในรูปแบบที่เหมือนกัน ราคามันแตกต่างกันได้อย่างไร ถ้ามันไม่ใช่การหาประโยชน์จากการจัดซื้อ
จัดหา
ประดา..ผู้เข้าร่วมการตรวจสอบและยืนยันว่า จีที 200 ใช้ได้นั้น..วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อความจริงมันยืนยันตัวของมันออกมา..
ท่านจะตกเป็นผู้ต้องหา..เพราะพวกท่านปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของคน มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ
ให้วิทยาลัยฝ่ายช่าง...ผ่าเครื่องเข้าไปแล้ว สร้างมันขึ้นมาใหม่..ดูว่ามันจะใช้ได้หรือไม่...ถ้าใช้ได้แบบเดียวกัน แต่ราคามันแค่ร้อยแค่พัน..
จัดซื้อจัดหาเรื่องนี้มั นก็คอร์รัปชั่นขนานแท้
แต่เพราะว่า..จัดซื้อจัดหาเครื่องดังกล่าว..เกิดขึ้นในยุคแห่งการยึดอำนาจ..การยอมรับว่าทุจริตคอร์รัปชั่น..จะพาผู้ยิ่งใหญ่ไปเข้าคุก
ตกเป็นผู้ต้องหา..ก็เลยต้องตะแบงกันไป
แต่ในยุคที่การเมือง จะแพ้ชนะกันแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ ถ้าฝ่ายชนะยังชนะอยู่ก็ไม่เป็นไร..แต่หากฝ่ายชนะปราชัย..
ท่านกรรมการทั้งหลาย คงต้องเสียหัวเสียคอกันเป็นแถว
ถูกต้อง..ดีเลว..คอร์รัปชั่นหรือไม่..พวกท่านทั้งหลายรู้อยู่กับใจ..แค่ราคาซื้อขายที่ต่างกัน ห้าแสนกับล้านห้า ประตูคุกก็เปิดหราอยู่แล้ว
โดย: พญาไม้
******************************************************************************
ในสัญญาไปเข้าคุกได้แล้ว
มีอย่างที่ไหน..สัญญาระบุว่าผู้ซื้อจะรื้อและแกะอุปกรณ์จีที 200 ไม่ได้
ในข้างกล่องสินค้าทั้งหลาย..เขาจะเขียนไว้ว่า..บริษัทผู้ขายจะไม่ยอมรับผิดชอบหากผู้ซื้อเปิดหลังเครื่องเข้าไป..
แต่สำหรับ จีที 200 ห้ามแกะกล่อง..และดูเหมือนว่า..คณะกรรมการที่ตั้งกันขึ้นมา ก็รักษาสัญญากันอย่างเคร่งครัด
ทั้งๆ ที่การจะลงทุนแกะกล่อง ก็จะเสียหายแค่ราคาเครื่องเท่านั้น เพื่อจะดูว่า..ราคา 1 ล้าน หรือ 1 ล้าน 5 นั้น ราคามันมาจาก
วัสดุอุปกรณ์อะไร หากมันมีแค่กล่องเปล่าๆกับเสาชุบโครเมี่ยม ราคามันจะมาจากไหน..
นาฬิกาแพงๆเรือนละเป็นล้านๆนั้น มันก็สร้างมาจากทองคำทองขาว ข้างในมีทับทิมเป็นหมุดเป็นแกน...
ในทางวิทยาศาสตร์..ราคาของสินค้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้..วิธีการทำงานของมันต้องอธิบายได้เท่าๆ กับความผิดพลาด
แต่ จีที 200 ได้รับการยกเว้น เอาแต่ความต่างของราคาที่แต่ละหน่วยราชการซื้อมาในราคาที่แตกต่างกันนั้น..ก็น่าจะมีผู้ต้องหา
เกิดขึ้นมาแล้ว..สินค้าชนิดเดียวกันในรูปแบบที่เหมือนกัน ราคามันแตกต่างกันได้อย่างไร ถ้ามันไม่ใช่การหาประโยชน์จากการจัดซื้อ
จัดหา
ประดา..ผู้เข้าร่วมการตรวจสอบและยืนยันว่า จีที 200 ใช้ได้นั้น..วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อความจริงมันยืนยันตัวของมันออกมา..
ท่านจะตกเป็นผู้ต้องหา..เพราะพวกท่านปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของคน มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ
ให้วิทยาลัยฝ่ายช่าง...ผ่าเครื่องเข้าไปแล้ว สร้างมันขึ้นมาใหม่..ดูว่ามันจะใช้ได้หรือไม่...ถ้าใช้ได้แบบเดียวกัน แต่ราคามันแค่ร้อยแค่พัน..
จัดซื้อจัดหาเรื่องนี้มั นก็คอร์รัปชั่นขนานแท้
แต่เพราะว่า..จัดซื้อจัดหาเครื่องดังกล่าว..เกิดขึ้นในยุคแห่งการยึดอำนาจ..การยอมรับว่าทุจริตคอร์รัปชั่น..จะพาผู้ยิ่งใหญ่ไปเข้าคุก
ตกเป็นผู้ต้องหา..ก็เลยต้องตะแบงกันไป
แต่ในยุคที่การเมือง จะแพ้ชนะกันแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ ถ้าฝ่ายชนะยังชนะอยู่ก็ไม่เป็นไร..แต่หากฝ่ายชนะปราชัย..
ท่านกรรมการทั้งหลาย คงต้องเสียหัวเสียคอกันเป็นแถว
ถูกต้อง..ดีเลว..คอร์รัปชั่นหรือไม่..พวกท่านทั้งหลายรู้อยู่กับใจ..แค่ราคาซื้อขายที่ต่างกัน ห้าแสนกับล้านห้า ประตูคุกก็เปิดหราอยู่แล้ว
โดย: พญาไม้
******************************************************************************
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
มันผลักให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมที่เป็นกลางทั่วประเทศ เห็นด้วยกับเคนเสื้อแดงแล้ว
ผู้พิพากษาภาค5ลงชื่อค้านปปช.สอบท่านเปากรุงเก่า
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ก.พ. นางนุจรินทร์ จันทร์พรายศรี อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้เดินทางไปตรวจราชการที่ศาล จ.เชียงราย โดยมีผู้พิพากษาในพื้นที่ภาค 5 นำโดยนายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย นายวิโรม อินทรสโร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 นายวราเชน ชูพงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ฝาง นายชวลิต ศรีสง่า ผู้พิพากษาอาวุโสศาล จ.เชียงราย นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว นายวิชชุพล สุขสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาล จ.เทิง นายสุวิชา สุขเกษมหทัย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาล จ.เทิง ฯลฯ ให้การต้อนรับและใน
โอกาสนี้ทั้งหมดได้ร่วมกันยื่นหนังสือสนับสนุนนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งได้มีหนังสือไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริจแห่งชาติ (ปปช.) ว่าศาลต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระ หลังจาก ปปช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ได้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ในข้อหาฐานหมิ่นประมาทไปเมื่อเร็วๆ นี้
นายเรืองชัย กล่าวว่าผู้พิพากษาในภาค 5 ทั้งหมด ซึ่งมีอยุ่จำนวน 22 แห่ง ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อกว่า 100 คน สนับสนุนการดำเนินการของนายวิรัช เพราะเราเห็นว่าผู้พิพากษาต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระในการพิจารณาโดยเป็นไป ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด และหากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลพินิจดังกล่าวก็ยังสามารถใช้สิทธิดำเนินการ ตามกฎหมายได้
นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่าการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาต้องมีความเป็นอิสระแต่เป็นไปตามที่ กฎหมายกำหนด สำหรับกรณีของนายอิทธิพลพบว่าได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ โดยได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมาย และได้มีการปรึกษาผู้พิพากษาในศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนแล้วจึงค่อยมีการออกหมายจับดังกล่าว ดังนั้นการที่ถูก ปปช.ตรวจสอบอาจจะมีผลในอนาคตเพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกครอบงำ และดุลพินิจของศาลก็จะถูกเบี่ยงเบนไปจากหลักการได้
ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ก.พ. นางนุจรินทร์ จันทร์พรายศรี อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้เดินทางไปตรวจราชการที่ศาล จ.เชียงราย โดยมีผู้พิพากษาในพื้นที่ภาค 5 นำโดยนายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย นายวิโรม อินทรสโร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 นายวราเชน ชูพงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ฝาง นายชวลิต ศรีสง่า ผู้พิพากษาอาวุโสศาล จ.เชียงราย นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว นายวิชชุพล สุขสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาล จ.เทิง นายสุวิชา สุขเกษมหทัย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาล จ.เทิง ฯลฯ ให้การต้อนรับและใน
โอกาสนี้ทั้งหมดได้ร่วมกันยื่นหนังสือสนับสนุนนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งได้มีหนังสือไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริจแห่งชาติ (ปปช.) ว่าศาลต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระ หลังจาก ปปช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ได้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ในข้อหาฐานหมิ่นประมาทไปเมื่อเร็วๆ นี้
นายเรืองชัย กล่าวว่าผู้พิพากษาในภาค 5 ทั้งหมด ซึ่งมีอยุ่จำนวน 22 แห่ง ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อกว่า 100 คน สนับสนุนการดำเนินการของนายวิรัช เพราะเราเห็นว่าผู้พิพากษาต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระในการพิจารณาโดยเป็นไป ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด และหากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลพินิจดังกล่าวก็ยังสามารถใช้สิทธิดำเนินการ ตามกฎหมายได้
นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่าการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาต้องมีความเป็นอิสระแต่เป็นไปตามที่ กฎหมายกำหนด สำหรับกรณีของนายอิทธิพลพบว่าได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ โดยได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมาย และได้มีการปรึกษาผู้พิพากษาในศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนแล้วจึงค่อยมีการออกหมายจับดังกล่าว ดังนั้นการที่ถูก ปปช.ตรวจสอบอาจจะมีผลในอนาคตเพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกครอบงำ และดุลพินิจของศาลก็จะถูกเบี่ยงเบนไปจากหลักการได้
ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)