--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

เขายายเที่ยง ยุทธการงัดอ้อยออกจากปากช้าง !!!!???


เละตุ้มเป๊ะ ดูไม่จืดจริงๆ เซ่อวินสตัน เชอร์ชิลแห่งเมืองไทย หลังจากโดนเสื้อแดงเค้นคอจนตาโปน ยอมคายเขายายเที่ยงออกมาอย่างเสียไม่ได้ พร้อมเลือดกำเดาที่พุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ก็พูดกันดีๆแล้วไม่รู้ฟัง มันเลยต้องลงมือลงไม้กันบ้าง หวังว่าคงจะเข้าใจ

เคราะห์ยังดีที่ อัยการสูงปรี๊ด ท่านมาถูกที่ถูกเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ ตัดสินใจลงชนแทนวัว สั่งไม่ฟ้องมันดื้อๆ อ้างว่าไม่ได้เจตนา ไม่งั้นมีหวังได้เห็นองคมนตรี ตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ประเดิมศักราชใหม่ ให้อร้าอร่ามกันไปเลย

เรื่องของเรื่อง เป็นถึงองคมนตรี แถมยังคั่วตำแหน่งประธานโครงการอนุรักษ์ป่าเขาใหญ่ อีกต่างหาก แต่ดันไปงาบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เข้าให้ มันเลยดูไม่จืดอย่างที่เห็น

เคยได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่า นักการเมืองนั้น ต้องมีต่อมจริยธรรมโตกว่าคนปกติ แต่องคมนตรีคงไม่จำเป็น ก็ขนาดเรื่องแดงโร่ออกอย่างนี้ ยังทำทู่ซี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่ยอมคืนซะงั้น แค่บอกว่า "พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ากรมป่าไม้ชี้ขาดลงมา"

แหม..ถ้าแน่จริง ก็ประกาศไปเลยว่า "ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่าใครจะชี้ขาดลงมาก็ตาม"

สงสารแต่กรมป่าไม้ ที่อยู่ดีๆต้องไปอุ้มเผือกร้อนเอาไว้ จนหน้าเขียวหน้าเหลือง เลยขอต่อเวลาทดเจ็บไปอีก 60 วัน แล้วค่อยตัดสินชี้ขาด ว่าจำเป็นต้องคืนหรือไม่

นับเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานที่น่าเกลียดน่าชังเป็นที่สุด ทีตาสีตาสารีบผวาเข้าเอาใจ ไม่ทันข้ามวันก็ได้ติดคุกสมใจอยาก แต่กับผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า ดันปล่อยให้นั่งลุ้นเสียวอยู่ได้ตั้ง 60 วัน มันจะอะไรกันนักกันหนา

เขาถึงว่า สอนใครต่อใคร สอนได้หมด แต่สอนตัวเองมันยากอย่างนี้นี่เอง ก็แหม..บ้านหลังงาม ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ที่ดินทำเลทอง ของดีๆทั้งนั้น องคมนตรีก็เสียดายเป็นเหมือนกัน

อะไรไม่ว่า ขนาดจับได้คาหนังคาเขาถึงขั้นนี้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ยอมลาออกจากองคมนตรี ไหนเห็นจ้อกันจังว่า รักสถาบันจะเป็นจะตาย ในเมื่อรู้ตัวว่าเป็นตำบลกระสุนตก ก็น่าจะเด้งหลบไป ให้ไกลๆจากสถาบันหน่อย แต่นี่ดันมาล่อเป้า กะให้กระสุนตกใส่สถาบัน จะได้หาเรื่องจับคนยิงยัดคุกซะให้เข็ด

เสื้อแดงนี่ก็แรงไม่ตกจริงๆ ยิ่งหลังๆมานี้ ได้น้ำเลี้ยงจาก 2 มาตรฐานของอำมาตย์ ถึงกับโตวันโตคืน จนใหญ่ยิ่งกว่าช้าง ออกหมัดแต่ละที แหม..มันได้น้ำได้เนื้อ เหลือกำลังลาก

แต่แน่นอนว่า ไปงัดอ้อยออกจากปากช้าง ช้างมันก็ต้องสู้สุดฤทธิ์เป็นธรรมดา เชื่อเลยว่า ต่อจากนี้ไปเกมต้องแรงขึ้น ชนิดถึงลูกถึงคนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าถ้าพูดถึงลูกโหดแล้ว ลุงยุทธแกเป็นรองก็แค่ป๋าคนเดียว ไม่เชื่อไปถามทหารกะเหรี่ยงดูได้

อย่างว่า การยุทธครั้งนี้ ฝ่ายวางแผนคงไม่ได้ต้องการแค่อ้อย แต่หวังผลเลยเถิดไปถึงการเปิดโปงเวทย์ไสยมนต์ดำ ที่พญาช้างสารพยายามเสกสรรค์ปั้นแต่ง เพื่อแหกตาชาวบ้านว่า ช้างโขลงนี้ ดื่มกินคุณธรรมเป็นอาหารหลัก

แต่เอาเข้าจริง ก็ฟาดไม่เลี้ยงเหมือนกัน

พูดถึงเขายายเที่ยงทีไร อดไม่ได้ต้องนึกถึงลุงจิ๋วทุกที หวังว่าคงยังจำกันได้ เพราะเรื่องเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ตอนนั้นลุงยุทธแกกำลังขึ้นหม้อในตำแหน่งนายกฯ เพราะป๋าแกออกมาเชียร์แขกให้ ว่าคนนี้ไหว้ได้ ไม่ต้องกลัวเสียมือ

อยู่ๆลุงจิ๋วไม่รู้มาจากไหน มาถึงก็ปล่อยของเรื่องโบกี้รถไฟ บอกให้นักข่าวไปถามนายกฯว่า ของนี้ท่านได้แต่ใดมา

เรื่องหมูๆอย่างนี้ มีหรือลุงยุทธจะไม่โดดงับ รีบรวบรวมเอกสารแล้วนัดนักข่าวมาฟังชี้แจง รวดเร็วฉับไวอย่างไม่น่าเชื่อ เผลอแผล็บเดียว โดดขึ้นโพเดียมออกทีวีอธิบายจ๋อยๆ หน้าโปรเจ็คเตอร์ที่ฉายภาพบ้านหลังใหญ่โต พร้อมโบกี้รถไปตั้งเด่นเป็นสง่า

สื่ออำมาตย์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่แน่ใจว่า ถึงขนาด"รวมกันเฉพาะเกือก"หรือเปล่า ผลปรากฎว่า..เคลียร์ เรื่องโบกี้รถไฟ ไม่มีใครค้างคาใจแม้แต่น้อย

แต่เจ้ากรรม ดันมาอื้อฮือ..โอ้โฮ ตรงที่ตั้งของโบกี้รถไฟ ที่ท่านถ่ายรูปมาขึ้นจอให้ดูกันจะๆนั่นแหละ ว่าบ้านอะไรมันจะใหญ่โตสวยงามปานนั้น แถมวิวทิวทัศน์ก็สุดยอด อย่างกับอยู่ในอุทยานแห่งชาติยังไงยังงั้น

กว่าจะรู้ตัวว่า ถูกขงเบ้งหลอกให้ออกมาเปิดโปงเรื่องเขายายเที่ยง ก็ลอกคราบตัวเองออกจอทีวีซะล่อนจ้อน ไม่เหลือแม้แต่กกน. ส่งให้บิ๊กจิ๋วนั่งหัวร่องอหายอยู่หน้าจอทีวี จนป่านนี้ยังอำกันไม่เสร็จ

แปลกแต่จริง ที่งานนี้มีแต่พวกทรยศชาติ ดาหน้าออกมาทวงคืนสมบัติชาติ ในขณะที่พวกกู้ชาติ ที่เคยทวงคืนดาวเทียมอยู่เหย็งๆ กลับนั่งอมสากกันเงียบกริบ ก็ขนาดป๋าจอมเชียร์แขก ยังนั่งแก้มตุ่ย ไม่รู้ว่าอมอะไรอยู่ ก็เพราะ 2 มาตรฐานอย่างนี้นี่เอง บ้านเมืองมันถึงได้ทุรยุค

ร่ำๆว่าจะนองเลือดซะให้ได้

วโรทาห์: 14 ม.ค. 53

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

"พายัพ"กร้าวยึดทรัพย์"แม้ว"บ้านเมืองพังแน่ แนะทางออกดูตามความผิด อดีตคตส.ยกหลักกม.ต้องทั้งหมด

"พายัพ" ออกโรงเตือนยึดทรัพย์แม้ว 7.6 หมื่นล้านบ้านเมืองพังแน่ ชี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีของชาติ แนะให้พิจารณายึดตามความผิด ขณะที่อดีตคตส. ยกหลักกฎหมายต้องทั้งหมด

"พายัพ"ลั่นยึดทรัพย์ทักษิณบ้านเมืองพังแน่ กลายเป็นกลียุค


นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 14 มกราคมกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า


"ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่เขาอยากให้เป็น หากมีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ใช่ทางออกที่ดีของชาติ เพราะคนที่บอกว่าเขาทำผิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำผิด แต่อยู่ๆ จะไปยึดทรัพย์เขา เรื่องนี้จะส่งผลให้ญาติพี่น้องของเขาเดือดร้อน ความยุติธรรมต้องมองให้เห็นในมุมเดียวกัน คุณยอมรับได้ ผมก็ต้องยอมรับได้ ไม่ใช่ตอบเองตัดสินเอง"


นายพายัพกล่าวว่า ทางออกของเรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็นส่วนๆ ไม่ใช่ไปยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด 7.6 หมื่นล้าน แต่ควรคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและให้ชดใช้เงินในส่วนที่ถือเป็นค่าเสียหายของรัฐในแต่ละคดีที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณผิด ช่น คดีปล่อยเงินกู้ 5,000 ล้านบาท ให้ประเทศพม่า ถามว่าประเทศไทยเสียหายตรงไหน หรือเป็นเพราะดอกเบี้ยต่ำไป ในส่วนนี้ก็ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกค่าเสียหายไปตามนั้นอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า "แฟร์เกม"


"เราจะให้เขาผิด ต้องให้เขาเต็มใจ ไม่ใช่เหมารวมทำเป็นมหากาพย์ว่าเขาผิดไปหมด เป็นอย่างนี้บ้านเมืองพังแน่นอน วันนี้บ้านเมืองเปราะบาง ถ้ายังเป็นไปตามเส้นทางก็จะกลายเป็นกลียุค บ้านเมืองก็จะลำบาก"


ให้แบ่ง3ส่วน-ยึดตามความผิด


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการคาดการณ์กันว่าผลของคดีจะเป็นชนวนทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รุนแรง นายพายัพกล่าวว่า ใช่ ถ้าผิดก็ว่าไปตามที่ตนกล่าวมา แต่ถ้าไม่ผิดก็คืนเขาไป ทำอย่างนี้ก็จบ


เมื่อถามว่า หากศาลตัดสินยึดทรัพย์เฉพาะส่วนที่งอกมาก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับได้หรือไม่ นายพายัพกล่าวว่า ต้องมองตามสภาพความเป็นจริง แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1.ทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาก่อนเข้าสู่การเมืองคือ ทรัพย์สินที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์ เงินก้อนนี้จะไปยึดไม่ได้ ต้องคืนให้เขา 2.ส่วนของทรัพย์สินที่เพิ่มหลังจากมีตำแหน่งทางการเมือง หากคดีไหนเป็นที่ยุติโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิดส่วนนี้ก็ต้องคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้อายัดเงินบางส่วนตามที่ประเมินว่าคดีนั้นจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่ และ 3.คดีใดที่เห็นว่าผิดก็ยึดจำนวนนั้นไป ไม่มีใครว่า แต่อย่ามาเหมารวมทั้งหมด


เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกังวลกับคดีนี้มากน้อยเพียงใด นายพายัพกล่าวว่า บางคนเป็นหนี้หลักล้านยังนอนไม่หลับเป็นเดือนเป็นปี แต่นี่จะมายึดเงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาทไปหมด เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องวิตกกังวลกันบ้าง เพราะเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณหามาทั้งชีวิต คนเราเมื่อทุกข์ใจหรือกังวลใจ ก็จะต้องทำใจ ถ้าถึงเวลาสู้ ลูกผู้ชายอย่างพวกตนก็จะต้องสู้ ขอตายในสนามรบมากกว่าที่จะยอม


อดีตคตส.ยกหลักกม.ต้องยึดหมด


นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่มีแหล่งข่าวใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า จะพยายามล็อบบี้ฝ่ายต่างๆ ให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณเพียง 40% จาก 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้มาก่อนขายหุ้นชินคอร์ปว่า ตามหลักการแล้วคดีร่ำรวยผิดปกติจะต้องยึดทั้งหมด เนื่องจากทรัพย์สินตั้งต้นถือเป็นตัวล่อให้เกิดการเพิ่มพูน เพราะหากยึดเฉพาะเงินที่เพิ่มมาภายหลังก็เหมือนผู้กระทำผิดไม่ได้ถูกลงโทษเลย ไม่ต่างอะไรกับคนขโมยของไปพอถูกจับได้เอาของมาคืนก็จบกัน หากเป็นเช่นนั้นกฎหมายริบทรัพย์สินจากผู้ที่ร่ำรวยผิดปกติก็จะไม่เกิดประโยชน์เลย วิธีคิดกรณีนี้จึงต้องคิดถึงการป้องกันการทุจริต คือผู้กระทำผิดถูกลงโทษด้วย


นายอุดมกล่าวว่า มีตัวอย่างสมัยตนเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยมีตำรวจจับแม่ค้าขายลอตเตอรี่เกินราคาจาก 10 บาท เป็น 12 บาท แล้วศาลชั้นต้นตัดสินให้ริบทรัพย์คืนแค่ 2 บาท แต่อัยการอุทธรณ์ไปจนถึงชั้นศาลฎีกา ก็ตัดสินให้ริบทรัพย์คืนทั้ง 12 บาท หรือตัวอย่างไม่นานมานี้ มีข้าราชการคนหนึ่งขายที่ดินให้กับหน่วยงานราชการแพงเกินจริง สมมติว่าขายให้ในราคา 25 ล้านบาท จากราคาจริง 10 ล้านบาท ภายหลังถูกจับได้แล้วศาลตัดสินว่ามีความผิด ก็เกิดข้อถกเถียงว่าต้องริบทรัพย์ 25 ล้านบาท หรือส่วนที่เกินมา 15 ล้านบาท ที่สุดศาลฎีกาก็ตัดสินใจริบทรัพย์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าหากริบเฉพาะ 15 ล้านบาท ข้าราชการคนดังกล่าวจะไม่ถูกลงโทษเลย

ที่มา:มติชนออนไลน์

จริยธรรมสองมาตรฐาน สุรยุทธ์ &ทักษิณ


ผมเคยสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งดูเหมือนจะเป็นตอนเกษียณอายุราชการใหม่ๆ อีกครั้งเป็นปี 49 ตอนที่ท่านยังเป็นองคมนตรี

ผมพูดได้เต็มปากว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นบุคคลที่ผมชื่นชม เป็นสุภาพบุรุษชาติทหารทุกกระเบียด เป็น “คนดี” ที่ซื่อตรงยึดมั่นต่อหน้าที่ เคยถามตัวเองว่าเป็นเพราะความโน้มเอียงหรือเปล่า ในฐานะที่ท่านเป็นลูก “ลุงคำตัน” (ไม่ได้รู้จักลุงหรอกนะ แต่มันโรแมนติกดี ที่ลูก ผบ.กองทัพปลดแอกประชาชน กลายเป็น ผบ.ทบ. ผบ.สส. องคมนตรี และนายกรัฐมนตรี) แต่ความรู้สึกชื่นชมของผมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร เรื่องเขายายเที่ยง หรือเรื่องบ้านสนามกอล์ฟ (ที่ท่านซื้อได้ในราคาลดพิเศษ)

มีช่วงหนึ่งที่หน้าแหลมฟันดำกับพันธมิตรโจมตีท่าน เพราะทำหน้าที่ได้ไม่สะใจพวก radical กระทั่งอมขี้ฟัน นปก.ไปพ่นต่อ เรื่องเขายายเที่ยง ทั้งที่ก่อนนั้น นปก.เคยขุดคุ้ยมาเปิดโปงกลับไม่มีใครสนใจ แต่พอพวกนี้ไม่พอใจ พล.อ.สุรยุทธ์ กลับหน้าไม่อายเลียน้ำลายฝ่ายตรงข้ามมากลืนกินแล้วตวัดลิ้น

ผมก็ยังเขียนไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เพราะประเทศนี้ นักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ข้าราชการระดับสูง ระดับกลาง ระดับล่าง พ่อค้า คนชั้นสูง ชั้นกลาง ที่เข้าไปครอบครองที่ ภบท. สปก. หรือกระทั่งไม่มีเอกสารสิทธิ์อันใดเลย ก็มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าให้ปล่อยไป เพราะเมื่อไม่ถูกต้อง ท่านก็ต้องคืน เรื่องทางกฎหมายก็ว่าไปตามเนื้อผ้า แต่ข้อสำคัญคือผมบอกว่ามันไม่ได้กระทบความรู้สึกชื่นชม และความเป็น “คนดี” ในสายตาผม เพราะผมไม่ได้มองคนดีว่าต้องมาจากนอกโลก ต้องอิ่มทิพย์ หรือต้องทำตัวสมถะอยู่ในไร่ผักปลอดสารพิษ หากต้องมองจากโลกแห่งความเป็นจริงว่าคุณประพฤติตนดำรงตนอย่างไรในสถานภาพที่เป็นอยู่ คนเป็นแม่ทัพ เป็น ผบ.ทบ. เป็น ผบ.สส. มีอำนาจบารมี มีลูกน้องมากมาย ต้องคบค้าสมาคมผู้คนหลากหลาย ให้คุณให้โทษ ไม่ให้คนนี้ก็ต้องให้คนนั้น ฯลฯ มันไม่เหมือนกับการเป็นคนดีโดยล่องลอยไปวันๆ อย่างหมอประเวศนะคร้าบ

พูดง่ายๆ ว่าสถานะอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์น่ะ ถ้าท่านจะ “เอา” จริงๆ ไอ้บ้านเขายายเที่ยงแค่นี้ขี้ปะติ๋ว จะชี้เอากี่ร้อยพันไร่ใส่ชื่อใครก็ได้ หรือที่เปิดบัญชีทรัพย์สิน 90 ล้านก็ยังขี้ปะติ๋ว ถ้าเทียบสมัยบิ๊กเสื้อคับ ทหารซื้ออาวุธที ถ้าจะเอา เอาเท่าไหร่

เพียงแต่ท่านไม่ “เอา” ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะต้องไม่มีอะไรเลย ในสังคมอุปถัมภ์แบบไทยๆ ผู้มีอำนาจบารมี ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวไล่ corrupt ก็จะได้รับช่องทาง ความเอื้อเฟื้อ เกื้อหนุน ให้มีฐานะ – ยกตัวอย่างบ้านของท่านที่ซื้อได้ในราคาพิเศษลดไปกี่ล้านไม่รู้

ไอ้ความเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนนี่เป็น corrupt อย่างหนึ่งหรือเปล่า พูดยากนะครับ บางครั้งมันก็ไต่อยู่บนเส้นแบ่ง บางครั้งมันก็ข้ามเส้น บางครั้งก็ไม่ข้าม แต่พูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไปในสังคมไทย บ้านจัดสรรสนามกอล์ฟขายลดราคาให้องคมนตรี อดีต ผบ. ได้ท่านมาอยู่ด้วย โห! วิน-วิน คิดในเชิงการตลาดคุ้มเกินคุ้ม ในเชิงสังคมอุปถัมภ์ก็เป็นที่นับหน้าถือตา ใครๆ ก็เกรงใจ เป็นช่องทางทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

แต่ถึงอย่างไร ผมก็เชื่อว่า คนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ท่านไม่ใช่คนที่ต้องการทรัพย์ศฤงคาร วันนี้ท่านอยู่ในสถานะอย่างนี้ ท่านก็จำเป็นต้องมีตามฐานานุรูป แต่วันใดที่ท่านเลือกได้ ความสุขของท่านก็คือการได้บวชแล้วธุดงค์ไปตามป่าอย่างมีอิสระ

นี่เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ผมยังชื่นชมท่านเป็นส่วนตัว แม้ท่านจะถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร คือผมไม่คิดว่าท่านทำโดยส่วนตัว แต่ท่านถือว่าท่าน “ทำหน้าที่” เวลาที่วาสนา นาน่วม หรือใครไปสัมภาษณ์ท่าน ท่านจะพูดเสมอว่าทักษิณโทรมาก็ยินดีคุย เพราะท่านไม่ได้โกรธเกลียดชิงชังทักษิณเป็นส่วนตัว แต่ท่านถือว่าท่านทำหน้าที่ของชายชาติทหาร

คือ พูดอีกอย่างว่า พล.อ.สุรยุทธ์ในทัศนะผมเป็นสุภาพบุรุษรบพิเศษ ท่านไม่ใช้อคติส่วนตัวกับใคร ผมนึกวาดภาพว่าสมัยเป็นทหาร ท่านอาจจะสนทนากับคุณอย่างสุภาพชน แต่สมมติได้รับคำสั่งให้ “เก็บ” คุณ ท่านก็จะชักมีดออกมาบอกว่า “ขอโทษนะครับ” แล้วปาดคอหอยคุณได้โดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด (ฮา)

ในอีกมุมหนึ่งผมจึงรู้สึกสงสารท่าน ที่ต้องมาแบกรับภาระ เป็นนายกฯท่ามกลางเขาควาย ถูกด่ารอบทิศ เผชิญแรงกดดันจนถึงวันนี้ จนตบะ อหิงสา ความอดทนอดกลั้น ปั่นป่วน กระทั่งไประเบิดเอากับน้องวาสนาของผมซะน่วม (ฮาไม่ออก)

ย้อนมาเรื่องที่เขายายเที่ยง ผมก็ยังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ้านนี้เมืองนี้ ใครๆ ก็ครอบครองที่ ภบท. กันทั้งๆ ที่ไม่ควรมีสิทธิครอบครองทั้งนั้น ผมเองยังเคยมีคนชวนไปซื้อ เพียงแต่ไม่มีกะตังค์ ถ้าเอาใจเราไปใส่ใจท่าน ที่ตอนนั้นเป็นนายทหาร ท่านก็คงจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไร เพราะไม่ใช่ตัวท่านไปรุกป่า มันหมดสภาพป่าไปนานแล้ว และไม่ใช่ท่านเจตนาจะไปกว้านซื้อ แต่(ได้ยินว่า)มีคนเอามาใช้หนี้ ท่านเป็นคนรักป่า อยากอยู่กับป่า ก็ไปสร้างเป็นสถานที่พักผ่อน มีที่นั่งวิปัสสนาอีกต่างหาก

โอ้ หนอ น่าเป็นสุขสมถะอยู่อย่างปลอดสารพิษ แต่เหตุไฉนไยต้องมีคดีที่ดินรัชดาขึ้นมาด้วย

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้ใครๆ ก็พูดว่า ทักษิณเซ็นยินยอมให้เมียประมูลซื้อที่ดิน ไม่ได้ทุจริตแต่มีความผิดติดคุก 2 ปี สุรยุทธ์ให้เมียครอบครองที่ป่าโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง

ผมก็ไม่ทราบว่าเหตุใดอัยการจึงมาสั่งไม่ฟ้องเอา 3 วันก่อนม็อบเสื้อแดงบุกเขายายเที่ยง แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ ในทางการเมือง พล.อ.สุรยุทธ์มีแต่ตายกับตาย เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย ต่อให้ท่านประกาศคืนที่ดิน (ได้ยินว่าจะแถลงข่าววันนี้) ก็อาจจะสายเสียแล้ว

ทักษิณมีความผิดอะไร ถ้าฟังคุณสมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ปปช. เธอบอกว่าทักษิณไม่มีเจตนาทุจริต แต่ทำผิดจริยธรรม กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นเธออ้างคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองว่า “จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลควรเป็นตัวอย่างที่ดี และควรประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง” (บทความเรื่อง ความผิดตามหมวด 9 ตามกฎหมาย ป.ป.ช. “สำคัญไฉน”)

สิ่งที่เธอไม่ได้พูดคือ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในโลก ในประวัติศาสตร์กฎหมายโลก ที่คนไม่ได้ทุจริตแต่ทำผิดจริยธรรมต้องโทษจำคุก จากการตีความกฎหมาย ปปช.มาตรา 100 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง (5-4)

คือกรอบของกฎหมายวางไว้หลายระดับ กฎหมายอาญาต้องพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดชัดเจน มีองค์ประกอบของเจตนา ปล้น ฆ่า ทำร้าย ทุจริต ฉ้อฉล จึงมีความผิดติดคุก นี่เป็นกฎหมายที่ใช้โดยเสมอภาคแก่คนทั่วไป ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใด

แต่กฎหมายอาญาไม่เพียงพอ สำหรับบุคคลผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ข้าราชการจึงต้องมีวินัย นักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ต้องมีข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติ มีข้อกำหนดเรื่องลักษณะต้องห้าม มีข้อกำหนดทางจริยธรรม โดยกำหนดบทลงโทษแตกต่างกันไป สมมติเช่นปลดออก ขับออก ถอดถอนจากตำแหน่ง ทำกับข้าวตกเก้าอี้ (ฮาไม่ออกอีก) หรือเอาให้บ้าๆ ไปเลยแบบประเทศเกาะอะไรนั่น ที่นายกฯขาดประชุมสภา 3 ครั้งตกเก้าอี้

แต่ถึงจะเฮี้ยนอย่างไรก็ไม่เคยมีที่ทำผิดข้อกำหนดทางจริยธรรม โดยขาดองค์ประกอบความผิดอาญา คือเจตนาทุจริต – แล้วจะติดคุก!

ความผิดทางจริยธรรม ก็เปรียบได้เช่นครูได้เสียกับลูกศิษย์ สมภารนอนกับสีกา ถ้าไม่ได้ข่มขืนล่อลวง ก็ไม่ต้องติดคุก แต่ต้องออกจากตำแหน่งหน้าที่ หรือบางกรณีก็ถูกติฉินนินทา โลกะวัชชะ แต่ถ้าข่มขืนล่อลวง อันนั้นนอกจากติดคุกแล้วยังโทษหนัก

ผมยืนยันมาตลอดว่าการที่ทักษิณให้เมียซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟูทั้งที่ตัวเองเป็นนายกฯ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ผิดหลักจริยธรรมของนักการเมือง แต่เมื่อขาดองค์ประกอบทุจริต ก็ไม่ควรต้องติดคุก ถามว่าผิดหลักจริยธรรมแล้วจะลงโทษอย่างไร ถ้าไม่มีข้อกำหนดทางวินัยเช่น ปลดออก ถอดถอน ก็ลงโทษทางการเมืองสิครับ คือถูกตำหนิวิพากษ์วิจารณ์กระทั่งเสื่อมความนิยม

พูดแบบนี้พวกพันธมิตรอาจหัวร่อก๊ากว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเมืองไทย แต่คุณไปดูอารยะประเทศ รัฐมนตรีหญิงอังกฤษมีผัวพัวพันเรื่องฉ้อฉล เมียไม่เกี่ยวเลยยังลาออก คุณอาจจะบอกว่าไม่มีหรอกเมืองไทย แต่ถามกลับว่าเขาต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญไหมว่า ถ้าคู่สมรสมีเรื่องมัวหมองต้องลาออก ถ้าต้องกำหนดอย่างนั้นมันบ้าไหม ถ้าเอาอย่างรัฐธรรมนูญไทยที่กำหนดว่านามสกุลเดียวกันห้ามลงทั้ง ส.ส. สว. หรือ ส.ส. สว.ห้ามถือหุ้นสัมปทานรัฐแม้แต่หุ้นเดียว รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นก็ต้องกำหนดเช่นกันว่าถ้าเป็นรัฐมนตรีมีเรื่องเสื่อมเสียต้องฮาราคีรีสถานเดียว

นี่ผมกำลังพูดถึงข้อเรียกร้องทางจริยธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ “สปิริต” ซึ่งสังคมไทยไม่ค่อยได้ใช้ “สปิริต” ที่แสดงออกเมื่อทำผิดทางจริยธรรม ในระดับที่ไม่มีความผิดทางกฎหมาย ไม่มีความผิดทางวินัย ไม่ถูกถอดถอน แต่กระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาต่อผู้ดำรงตำแหน่ง จนต้องแสดงสปิริตเอง

สปิริตเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับโดยกฎหมาย เพราะกฎหมายต้องมีกรอบเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าทางอาญา วินัย หรือข้อห้ามต่างๆ แต่บางเรื่องเป็นเรื่องทางศีลธรรมจริยธรรมที่ไม่สามารถนำมากำหนดเป็นข้อห้ามหยุมหยิมได้เพราะจะส่งผลอีกด้านเป็นการจำกัดสิทธิ จำกัดการทำงาน จึงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของการเรียกร้องทางสังคมและสปิริตของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นเอง เช่น ประธานาธิบดีอเมริกา รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามมีกิ๊ก แต่ผู้สมัครคนไหนมีเรื่องอื้อฉาว ก็สอบตกทุกรายหรือไม่ก็ต้องถอนตัว

ฉะนั้น เมื่อย้อนกลับมาดูว่า ทักษิณทำผิดทางจริยธรรม แล้วต้องโทษจำคุก ทั้งที่ไม่มีเจตนาทุจริต แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ล่ะ ควรจะทำอย่างไร

นี่ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย เพราะในเมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องก็คงไม่สามารถไปเคี่ยวเข็ญได้ ในแง่กฎหมายป่าไม้ที่ดิน ใครจะถกเถียงก็เถียงกันไป

แต่ที่สำคัญกว่าคือในแง่ของจริยธรรม บอกแล้วว่าผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ใครๆ เขาก็มีที่ ภบท.กัน ท่านก็น่าจะมีได้ ถ้าท่านเป็น ร.อ.สุรยุทธ์ พ.อ.สุรยุทธ์ ใช่เลยครับ ไม่มีปัญหาหรอก เพราะกรมป่าไม้จะแตะไปตรงไหนมันก็มีปัญหาหมด แต่สำคัญคือท่านไม่ใช่ ร.อ. พ.อ. แต่เป็นพลเอก แม่ทัพภาค ผบ.ทบ. ผบ.สส. อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรี

องคมนตรีอาวุโสลำดับ 3 รองจากพลเอกเปรม และธานินทร์ กรัยวิเชียร เสียด้วยสิ

คุณสมลักษณ์อธิบายว่า มาตรา 100 กฎหมาย ปปช.ที่ใช้จัดการทักษิณ ใช้บังคับเฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ต้องเป็นแบบอย่าง ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง

ผมแน่ใจว่าไม่มีกฎหมายฉบับใดบังอาจใช้บังคับกับองคมนตรี ให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง ในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรม

แต่ในสังคมไทยที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมความดีงาม ถ้าเราเรียกร้องให้รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มีคุณธรรมจริยธรรมถึงเพียงนี้ แล้วองคมนตรีผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้ทรงธรรม ควรจะมีศีลธรรมจรรยาสูงกว่านักการเมืองสักกี่เท่า?

องคมนตรีไม่ต้องมีกฎเหล็กเก้าข้อบ้าบออะไรนั่น แต่กฎที่มองไม่เห็นมียิ่งกว่าร้อยข้อพันข้อ ถ้าเปรียบนักการเมืองถูกบังคับให้ถือศีล 8 องคมนตรีก็ต้องถือศีล 227 ข้อ ใช่ไหมครับ

ฉะนั้น ใครอย่าเอา พล.อ.สุรยุทธ์ไปเปรียบเทียบกับทักษิณ ทักษิณเปรียบกับท่านไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะโดยสถานะของท่านต้องมีจริยธรรมสูงส่งกว่าทักษิณหลายเติบ

จริยธรรมที่เอาคืนไม่ได้แล้ววันนี้ ต่อให้ท่านประกาศคืนที่ดิน ยังเหลือแต่ “สปิริต” ที่ต้องกอบกู้

ขอย้ำว่า ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะอยู่ในสถานะใด ผมก็ยังเคารพชื่นชม เพราะในทัศนะผม “คนดี” ก็พลาดได้ เพียงแต่ในสถานะขององคมนตรี ท่านถูกเรียกร้องสูงกว่าความเป็น “คนดี”

ซึ่งก็ไม่ใช่ผมเป็นผู้เรียกร้อง บอกแล้วว่าผมไม่ได้มองเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าท่านคืนที่ดินเสีย ตอนที่พ้นจากนายกฯ เรื่องก็จบ แต่เหตุการณ์ผ่านมาถึงวันนี้ เมื่อมีการลงโทษทักษิณถึงจำคุก ฐาน “ทำผิดจริยธรรม” มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกลายเป็นคำถามถึง “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งถ้าปล่อยให้สังคมรู้สึกว่าเกิด “สองมาตรฐาน” เสียแล้ว ก็อาจมีผลเสียหายร้ายแรงกว่าสองมาตรฐานทางกฎหมายอีก

ที่มา:ประชาไท

"มาร์ค"ดอดพบ"ป๋า"หารือสถานการณ์บ้านเมือง แดงรุกหนัก ปธ.องคมนตรีให้กำลังใจ อย่ายุบสภา


ที่มา:มติชนออนไลน์
"มาร์ค"รุดพบพล.อ.เปรม หารือสถานการณ์ประเทศ หลังเสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างหนัก เนื่องจาก"ทักษิณ"ต้องการเงิน 7.6 หมื่นล้านกลับคืน สะพัดประธานองคมนตรีให้กำลังใจ อย่ายุบสภา บริหารประเทศต่อไป

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 13 มกราคมว่า คดียึดทรัพย์เป็นเรื่องของศาล รัฐบาลไม่ได้ไปก้าวก่าย ส่วนการชุมนุมคาดว่าการเคลื่อนไหวจะรุนแรง ซึ่งถ้ารุนแรงขึ้นก็เป็นความชัดเจนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคดี ส่วนจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หรือไม่ก็ต้องอยู่ที่การข่าวเพราะว่าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ประกาศ เช่น กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเขายายเที่ยง หน้าที่เราจะต้องพยายามจะขจัดเงื่อนไขที่มีเหตุมีผลอยู่บนหลัก ไม่ใช่เป็นเรื่องไปตามใจใคร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกันภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ ออกจากาอาคารรัฐสภา เวลา 17.00 น. ได้เปลี่ยนรถประจำตำแหน่งและเดินทางเข้าไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยไม่ทราบเหตุผลในการเข้าพบ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เดินทางกลับเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลในเวลา 18.30 น. และเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลไปในเวลา 19.00 น.


รายงานข่าวแจ้งว่านายอภิสิทธิ์ใช้เวลาหารือพล.อ.เปรม ประมาณ 30 นาที ถึงปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามรุกหนักในช่วงนี้ เพราะต้องการที่เงิน จำนวน 7.6 หมื่นล้านบานคืนจึงพยายามต้องการเดินเกมเพื่อล้มรัฐบาลชุดนี้ เบื้องต้นมีการประเมินสถานการณ์ว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และ กลุ่มพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ที่พยายามกดดันรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีการกดดันมาก รัฐบาลอาจจะมีการประกาศยุบสภา ซึ่งจากการเข้าพบครั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้ให้กำลังใจนายกฯ ไม่อยากให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา และอยากให้นายอภิสิทธิ์บริหารชาติต่อไป ทั้งนี้พล.อ.เปรม พร้อมจะพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าวกับนายบรรหาร เพื่อแก้ปัญหา

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

กษิตต้องการเอาเลือดฮุนเซ็นมาล้างตีน


ที่มา – Khmerization
by Sokheounpang

กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศไทยที่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศเป็นเวลานาน ได้ทำงานในกระทรวงต่างประเทศตั้งแต่ปี 2511 จนถึง 2548 รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตของไทยประจำประเทศต่างๆในยุโรป อเมริกา มอสโค โตเกียว จาร์การ์ต้า

กษิตยังเป็นหนึ่งในแกนนำและผู้นำของพันธมิตรซึ่งนำการประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปีๆเพื่อขับไล่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง

ไม่นานมานี้ ในระหว่างการรณรงค์ของพันธมิตรครั้งสุดท้ายได้มีการเรียกร้องให้เป็น “สงครามนางาซากิ หรือฮิโรชิมา” เพื่อโค่นรัฐบาลที่นิยมทักษิณ และนำไปสู่การปิดล้อมของสนามบิน 2 แห่ง นั่นคือดอนเมืองและสุวรรณภูมิ กษิตเป็นหนึ่งในแกนนำของพันธมิตร กษิตเป็นผู้ที่ร่วมการประท้วงและขี้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มคนที่ชุมนุมประท้วง

คำปราศรัยของกษิตไม่เพียงแต่โจมตีทักษิณและผู้นิยมทักษิณ แต่ได้โจมตีถึงคุณธรรมของชาวกัมพูชาในเรื่องเขาพระวิหาร ที่สำคัญที่สุดคือได้โจมตีฮุนเซน ได้เกิดเสียงวิจารณ์และสร้างความกังวลให้กับนักวิชาการและนักการเมืองไทย

จริงๆบางคน เช่นเดียวกับคนไทยทั่วๆไปซึ่งมีความเคารพ มีคุณธรรมและมีเกียรติ ว่าคำปราศรัยของกษิตจะพาประเทศไปเสี่ยงต่อการทำงานในฐานะทูตต่างประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จากคำปราศรัยโจมตีฮุนเซน ผมพยายามสืบหาคำพูดดังกล่าว แต่ก็ไม่พบ แต่โชคดีผมไปอ่านเจอในคอลัมภ์ของหน้งสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 10 มกราคม 2552 เป็นหนึ่งในการแสดงความเห็นจากคนที่ใช้ชื่อว่า Charlotte(ชาร์ลอต) ได้แปลและเขียนไว้ว่า

ในระหว่างการปราศรัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ “กษิตได้ประกาศกร้าวเสียงดังว่า เขาจะเอาเลือดของฮุนเซนมาล้างตีน”ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว กษิตเป็นหนึ่งในพวกพันธมิตร กลุ่มเอียงสุดโต่งซึ่งมีการปลุกปั่นในเรืองการเข้ายึดเขาพระวิหารในเดือนกรกฎาคม 2551

การพูดแบบนาซีไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย เพราะในประวัติศาสตร์ไทยได้มีการเขียนและสอน อธิบายว่าคนไทยปฎิบัติต่อชาวกัมพูชาโดยเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งพระนเรศวรประกาศใช้เลือดของกษัตริย์เชษฐาล้างพระบาทเช่นกัน มีการสอนในโรงเรียนเพื่อจะสร้างเสริมความรักชาติในหมู่คนไทยให้มีความรู้สึกเหนือชั้นกว่ากัมพูชา

และไม่ต้องมีความเกรงกลัวต่อชาวกัมพูชาแต่อย่างใด เป็นที่เชื่อกันว่าคำปราศรัยของกษิตมีเป้าหมายเพื่อจะดึงเอาเรื่องในประวัติศาสตร์มาใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองของตน คำปราศรัยของกษิตไม่ได้ถูกตีพิมพ์หรือถูกแปลจากสื่อแต่อย่างใด มีแต่การถูกวิจารณ์และถูกเตือนเรื่องคำพูดแบบคนไร้การศึกษาเท่านั้น

กับคำถามของผมที่ว่า ทำไมคนคนนึงที่มีการศึกษาสูงมีประสบการณ์จากการทำงานระดับชาติและระดับสากล และมีตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลแต่ยังใช้คำพูดถ่อยๆกับผู้นำประเทศอื่นโดยขาดความเคารพ นี่คือคนไทยที่มีการศึกษาหรือ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่มองเพื่อนบ้านอย่างนี้หรือ

ผมยังสงสัยว่าฮุนเซนจะคิดถึงคำพูดสามหาวของกษิตอย่างไร และมีปฎิกิริยาตอบต่อกษิตอย่างไรถ้าฮุนเซนทราบเรื่องนี้ และโดยเฉพาะในปลายเดือนมกราคม 2552 ที่จะมีการประชุมกันระหว่างการเยือนกัมพูชาของกษิต ในทางการเมือง

“คำพูดของกษิตไม่เพียงแต่แสดงความเกลียดชังและดูถูกฮุนเซนเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความเกลียดชังและดูถูกต่อชนชาวกัมพูชาโดยทั่วไปทั้งประเทศด้วย”

โดยส่วนตัว ผมไม่เคยชอบฮุนเซนและในฐานะเป็นคนกัมพูชาหรือเป็นคนซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแห่งความเจริญของศตวรรษนี้ ความประพฤติของกษิตถูกนำมามองว่าเป็นคนที่ป่าเถื่อน ไม่เจริญ จองหอง โง่ สัตว์ป่า เป็นนาซี

ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจะลืมกันไม่ได้ และกษิตไม่สมควรที่จะเหยียบเข้าไปในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเข้าไปโดยตำแหน่งหรือหน้าที่ ที่กษิตจะต้องมีการร่วมงานระหว่างไทยและกัมพูชา

นิรโทษกรรม ‘ทักษิณ’ เท่ากับยกเลิกรัฐประหาร?

ทีมา:ประชาไท
โดย:นักปรัชญาชายขอบ

การต่อสู้เพื่อนิรโทษกรรมทักษิณเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคม และจะยังคงอยู่จนกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในบ้านเราจะดำเนินไปถึงจุดที่สามารถตัดสินแพ้-ชนะได้เด็ดขาด หรือไม่ก็ถึงจุดที่ชนชั้นนำสามารถประนีประนอมกันได้ (และน่าจะเป็นการประนีประนอมในเงื่อนไขที่มวลชนที่สนับสนุนทั้งสองฝ่ายพอจะยอมรับได้ด้วย)

อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับทัศนะพื้นฐานเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” และ “รัฐประหาร” ซึ่งกลายเป็นประเด็นวิวาทะทางวิชาการในบ้านเราตลอด 3-4 ปีมานี้ ซึ่งผมอยากชวนให้ลองทบทวนกันอีกครั้ง
หนึ่งในนักวิชาการที่เห็นว่า การนิรโทษกรรมทักษิณมีความชอบธรรม คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เขาให้เหตุผลว่า

“ทักษิณ ถูกรัฐประหาร (ที่โทษประหารชีวิต) ล้มไป ทักษิณ เป็นนายกฯที่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบธรรมคนสุดท้าย
การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ จะถือว่า "ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง" ได้อย่างไร?
แล้วไอ้ "คดีความต่างๆ" ที่ว่า ทักษิณโดนอยู่น่ะ มันมาจากอะไร ไม่ใช่จาก รปห.หรือ?
รู้จัก "กระบวนการยุติธรรม" due process หรือเปล่า?

ในประเทศเจริญแล้ว ต่อให้สมมุติว่า จนท. จับใครมาขึ้นศาล ถ้าด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไม่มีหมายค้น, ไม่อ่าน "คำเตือน" ("คุณมีสิทธิไม่ให้การ คุณมีสิทธิมีทนายได้...") อย่างนี้ ต่อให้ "สังคม" "เชื่อ"ว่า คนที่ถูกจับมานั้น ผิด ศาลยังต้องสั่งให้คดีเป็นโมฆะเลยครับ

คุณยอมรับให้ "คดีความต่างๆ" ที่มาจากวิธีรัฐประหาร ใช้เล่นงานทักษิณได้ ก็คือคุณยอมรับการรัฐประหาร (รบ. ที่ รปห.ล้ม จะ"คอร์รัปชั่น" จริง ไม่จริง มากน้อย แค่ไหน ไม่เคยเป็นประเด็นเลย คนที่ทำรัฐประหาร ไม่มีสิทธิแม้แต่น้อยในการทำ รปห.เลย ถ้ามีการ คอร์รัปชั่น ของ รบ. ประชาชน จะหาทางจัดหารตามวิถีทาง ประชาธิปไตย
เอง)

การที่ รปห.ล้ม รัฐบาลไป ประชาชน ไม่เพียงมีสิทธิ แต่ยังเป็นหน้าที่ด้วย ที่จะ defend คนที่ถูกรัฐประหารไป ไม่ว่า คนนั้น จะถูกข้อหาอะไร (คอร์รัปชั่น, ฆ่ากษัตริย์ ฯลฯ)
ทักษิณ (ถ้า) โกง คือ การ(สงสัยว่า) ทำผิด กม. คมช.ล้ม รธน. คือ การเลิกกฎหมาย (กฎหมายสูงสุด) ด้วย นี่มันต่างกันโว้ย คุณทำผิด กม. ผิดใช่ แต่การไม่มีกฎหมายเลย เลิกกฎหมายเลย อันนี้แหละ เขาถึอว่าผิดกว่า และต้องเลิกสิ่งที่ตามมาจากการทำผิดลักษณะนี้

นี่คือเหตุผลเบื้องหลัง กรณี x ที่ยกให้ดู และประเทศไหนๆ ที่เป็นประชาธิปไตย เขาก็ทำกัน คือ ถ้า ตำรวจ ฯลฯ ไปทำผิด due process คือเท่ากับไปเลิกกฎมาย เท่ากับไม่มีกฎหมายแล้ว ใครเห็นว่าใครทำผิดก็จับเอาได้ตามใจชอบ เหมือนการ รปห. เลิก รธน. ดังนั้น เขาจึงปล่อย x และเลิก กระบวนการเล่นงาน x ทั้งหมด

...ถ้าสิ่งที่ต่างๆที่ได้มาจากการละเมิด due process ในคดีย่อยๆ ไม่อาจรับได้ สิ่งที่ได้มาจาก รปห. ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ควรเป็นข้อสรุป โดยอัตโนมัติของปัญญาชน ของคนที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ”
(เก็บความจากความเห็นท้ายบทความ “รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวอะไร?” โดย นักปรัชญาชายขอบ,ประชาไท,sat,2010-0102 22:24)

ในทัศนะของสมศักดิ์ ประชาธิปไตยและรัฐประหารมีค่าทางจริยศาสตร์แบบ absolutism คือมีค่าถูกและผิดในตัวของมันเองอย่างตายตัว ไม่ขึ้นกับบริบทใดๆ ฉะนั้น รัฐประหารล้มกติกาประชาธิปไตยจึงผิดอย่างสัมบูรณ์ กระบวนการที่กระทำสืบเนื่องหรือผลที่ตามมาจากรัฐประหารจึงต้องผิดอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ยังมีทัศนะที่ตรงกันข้าม เช่นความเห็นของยุค ศรีอาริยะ (เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจบจากต่างประเทศ เช่นเดียวกับสมศักดิ์) ที่ว่า

“อาจจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นรัฐประหารของผู้อาวุโส เพราะบรรดาคนที่อยู่เบื้องหลังล้วนแต่เป็นคนที่มีอายุมากแล้วทั้งนั้น ท่านจึงดำเนินการได้อย่างรอบคอบ…รัฐประหารครั้งนี้หมายถึงการสิ้นสุดลงของระบอบทักษิณ ที่มีคุณทักษิณเป็นผู้นำ…หลังจากนี้ ขบวนการตุลาการภิวัตน์คงเคลื่อนตัวไปอย่างเต็มรูป ใครถูก ใครผิด ใครโกงกินบ้านเมือง จะถูกลงโทษไปตามกฎหมาย ขบวนการนี้คงส่งผลโดยตรงต่อการสกัดกระแสคอรัปชั่นทางการเมืองที่แพร่ระบาดจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของนักการเมือง ของข้าราชการได้ในระดับหนึ่ง

...อุปสรรค (ของประชาธิปไตย-ผู้เขียน) ที่ใหญ่กว่าเรื่องความเป็นทหาร คือ เรื่อง“อวิชชา” หรือความเชื่อกันอย่างผิดๆมาตลอดในเรื่องการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “ประชาธิปไตย คือ รัฐธรรมนูญ” จะสร้างประชาธิปไตยได้ก็ต้องให้นักกฎหมาย(หน้าเก่าๆ) ไปช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ความเชื่อที่สองคือ “ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้ง และรัฐสภา” ถ้าจัดให้มีการเลือกตั้ง และมีสภา ก็มีประชาธิปไตยแล้ว…ผมชี้ว่า ระบอบที่มีรูปแบบประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป โดยทั่วไปเรามักจะ “หลง” รูปแบบภายนอก ถ้ารูปแบบเป็นอะไร ก็หลงเชื่อกันว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างนั้น

…เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องรูปแบบเท่านั้น จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องเข้าใจเรื่อง “วัฒนธรรมการเมือง” ซึ่งเป็นหัวใจ และพื้นฐานของระบอบการเมือง คำว่า “วัฒนธรรมการเมือง” นี้คือ แบบแผนในการปฏิบัติทางการเมืองที่เป็นจริง รวมทั้งค่านิยม ความเชื่อ ความคิด และจิตวิญญาณของชนชั้นนำ และประชาชน ที่มีชีวิตอยู่ในระบอบการเมืองนั้น

ระบอบการเมืองไทยที่ผ่านมาดำรงอยู่ด้วย วัฒนธรรมการเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง 2 แบบ

แบบแรกคือ วัฒนธรรมอำนาจนิยม วัฒนธรรมนี้มีความเป็นมายาวนาน และสืบทอดแนวคิดมาจากยุครัฐโบราณ มีรากมาจากความเชื่อเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ และการจัดการปัญหาโดยการใช้ความรุนแรง แบบที่สองคือ วัฒนธรรมโกงกิน และความเจ้าเล่ห์(หลอกลวง)แบบศรีธนญชัย วัฒนธรรมนี้แพร่ระบาดในหมู่นักการเมือง และข้าราชการ โดยมีความเชื่อว่า การเข้ามามีอำนาจคือที่มาแห่งความร่ำรวย …วัฒนธรรมทั้ง 2 แบบนี้ถูกกระตุ้นเสริมอย่างแรงด้วยความเชื่อ และวัฒนธรรม (แบบที่สาม-ผู้เขียน) ความกระหายอยากในความมั่งคั่งที่ไร้ขอบเขตจำกัด หรือที่พูดกันว่า “ความรวยคือ ความถูกต้อง และความดีงาม”

...อะไรคือ จิตวิญญาณของระบอบทักษิณ? ผมก็จะนำเอา 3 แบบวัฒนธรรมข้างต้น มาเชื่อมกับความหลงอำนาจของคุณทักษิณ เมื่อเราเอาทั้ง 4 เรื่องมาผสมกัน เราก็จะเข้าใจชัดว่า อะไรคือ ระบอบทักษิณ ในแง่จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม วันนี้ คุณทักษิณสิ้นอำนาจไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า ระบอบวัฒนธรรมทักษิณจะสิ้นสุดลง วัฒนธรรมแบบทักษิณยังคงอยู่คู่ฟ้าแผ่นดินไทย และพร้อมจะฟื้นกลับ แล้วพัฒนาขยายตัวขึ้นเมื่อไรก็ได้” (ผู้จัดการออนไลน์,29/9/2006)

ในทัศนะของยุค ศรีอาริยะ ประชาธิปไตยและรัฐประหารมีค่าทางจริยศาสตร์แบบ contextualism คือมีค่าถูกและผิดขึ้นอยู่กับบริบท ฉะนั้น การใช้กติกาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ (means [ทักษิณก็เคยพูดว่า “ประชาธิปไตยเป็นเพียงวิถี”]) ให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ หรือให้อยู่ในอำนาจรัฐได้นานเพื่อเป้าหมาย (end) คือคอร์รัปชันจึงเป็นสิ่งที่ผิด และรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลเช่นนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูก

ทัศนะของสมศักดิ์ ชัดเจนว่าปฏิเสธรัฐประหารโดยสิ้นเชิง และหากจะ defend ประชาธิปไตยก็ต้องปฏิเสธกระบวนการและผลทุกอย่างที่ตามมาจากรัฐประหาร ฉะนั้น การนิรโทษกรรมทักษิณเป็นการยกเลิกรัฐประหารจึงเป็นการกระทำที่ชอบธรรม

ส่วนทัศนะของยุค ศรีอาริยะ ชัดเจนว่ายอมรับรัฐประหารภายใต้บริบทบางอย่าง เช่นรัฐประหารที่ล้มรัฐบาลคอร์รัปชัน และเชื่อว่าเป็นไปได้ที่รัฐประหารอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการส่งผ่านสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ดังที่เขาเขียนว่า “รัฐประหาร กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน อาจจะไปด้วยกันได้ ถ้าผู้นำรัฐประหารเข้าใจ หรือมีความตั้งใจจริงที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาจริงๆ และมีฐานภาคประชาชนได้เข้ามาร่วมช่วยสร้างฐานประชาธิปไตยกันอย่างเต็มกำลัง” (อ้างแล้ว)

แต่ยังมีอีกมุมมองที่วิจารณ์ “ข้อเท็จจริง” ของประชาธิปไตยและรัฐประหารแบบไทยๆในแบบที่ชวนให้เรามองปัญหาอย่างรอบด้าน เช่น มุมมองของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ว่า

“ความแตกต่างกันระหว่าง การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งคณะที่ลงมือเองและให้การสนับสนุน กับคณะบุคคลที่ครองอำนาจด้วยวิธีเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 กับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 คือมีส่วนต่างกันอยู่บ้างในเรื่องที่มาและเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอำนาจ แต่ไม่ได้ต่างกันถึงขั้น ขาวล้วน ดำล้วน ดังที่บางฝ่ายพยายามบอกเรา

...บทเรียนที่เกิดขึ้นมีความผิดพลาดจากการที่กลุ่มทุนกลุ่มใหญ่ที่ขึ้นมากุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 มีการใช้อำนาจโดยแยกออกจากฉันทามติทางวัฒนธรรมมากเกินไป หรือที่เรียกว่า "ลุแก่อำนาจ" ทำ ให้ได้รับการต่อต้านจากคนจำนวนมาก เรื่องความชอบธรรมของการใช้อำนาจว่า 1.ต้องมีที่มาที่ชอบธรรม 2.ต้องมีจุดหมายที่ชอบธรรม และ 3.วิธีการใช้อำนาจต้องชอบธรรมด้วย ไม่ใช่ที่มาชอบธรรมแล้วทำอะไรก็ได้

...ปัญญาชนนักวิชาการที่ผิดหวังกับรัฐบาลเลือกตั้งจึงไม่คัดค้านการรัฐประหารทั้งที่เขาก็ไม่อยากได้เผด็จการแต่อย่างใด ในทางรัฐศาสตร์ สิ่งนี้เรียกว่า "วิกฤตฉันทานุมัติ" ...อันที่จริงวิกฤตฉันทานุมัติในประเทศไทยแก้ไขได้ ถ้าเรารู้จักเก็บบทเรียนโดยเสริมสร้างความระมัดระวังในการออกแบบระบอบการเมืองไม่ให้เป็นแค่เวทีของ "ชนชั้นนำ" บางกลุ่มซึ่งมักปิดกั้นพื้นที่ทางการเมืองของชนชั้นนำกลุ่มอื่นๆ และของ "มวลชนชั้นล่าง" ในเวลาเดียวกัน” (มติชนออนไลน์,14/12/2007)

ผมเองเห็นว่า ทัศนะต่อประชาธิปไตยและรัฐประหารแบบ absolutism กับ contextualism เป็นเรื่องที่โต้แย้งกันได้ไม่รู้จบ เพราะทุกฝ่ายต่างก็มีเหตุผล (arguments) ของตัวเอง ส่วนมุมมองเรื่อง “วิกฤตฉันทานุมัติ” และทางออกที่เสกสรรค์เสนอเป็นเรื่องที่น่าจะนำไปคิดต่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม หากจะยืนยันว่า การนิรโทษกรรมทักษิณเป็นสิ่งที่ชอบธรรมเพราะเป็นการเลิกรัฐประหาร ผมเห็นว่าการกระทำเพียงเท่านี้ยังไม่ชอบธรรมพอ ถ้าจะให้ชอบธรรมอย่างสมบูรณ์จะต้องต่อสู้ให้นิรโทษกรรมทักษิณด้วย และให้นำ คมช.ขึ้นศาลด้วย

เพราะถ้าทำเพียงแค่นิรโทษกรรมทักษิณ ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่ารัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีก (และรัฐบาลลุแก่อำนาจคอร์รัปชันจะไม่เกิดขึ้นอีก)

เพราะทำรัฐประหารก็ไม่ต้องรับผิด (เป็นรัฐบาลลุแก่อำนาจ/คอร์รัปชันก็ไม่ต้องรับผิด ตอนอยู่ในอำนาจใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกรัฐประหารแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ และยังสามารถใช้พรรคการเมืองของตัวเองออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองได้ด้วย) ถ้าเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเราก็เป็นเพียง “เวที” รองรับการเล่นเกมชิงอำนาจของชนชั้นนำอย่างไม่รู้จบสิ้น!

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดง เล็งบุกสถาองคมนตรี ถามจุดยืนปมที่ดินเขายายเที่ยง เตรียมไปเขาสอยดาวลุย"ป๋า"ต่อ

ที่มา:มติชนออนไลน์

แดงชี้"สุรยุทธ์"ไม่มีสิทธิอ้างไม่คืนที่ ซัดกรมป่าไม้ยื้อเวลา

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง กล่าววันที่ 12 มกราคมถึงกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวไม่คืนที่ดินเขายายเที่ยง โดยจะรอให้กรมป่าไม้ชี้ขาดและจะไม่ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีว่า พล.อ.สุรยุทธ์ไม่มีสิทธิจะมาบอกว่าคืนหรือไม่ เพราะที่ดินเขายายเที่ยงไม่ใช่ของพล.อ.สุรยุทธ์แต่แรก เหมือนโจรที่ไปขโมยของมา ตำรวจรู้ว่าโจรคนนั้นเป็นใคร ดังนั้นเมื่อเห็นกับตา ต้องจับกุมทันที หากไม่มีการดำเนินการ จะทำให้นายทุนที่บุกรุกป่ารายอื่นนำมาเป็นข้ออ้างไม่ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ที่ผ่านมาข้อเท็จจริงกรมป่าไม้ต้องดำเนินการเป็นความผิดซึ่งหน้า มีการสร้างบ้านพรรคตากอากาศ ไม่ควรตั้งกรรมการสอบสวนอีก 60 วัน แต่สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที สามารถที่จะยึดที่ดินป่าสงวนคืนได้ทันที แต่การตั้งกรรมการเป็นการถ่วงเวลา เพื่อหาทางช่วยพล.อ.สุรยุทธ์โดยกลุ่มเสื้อแดงได้ยื่นแจ้งความสุวิทย์ คุณกิติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ ไปแล้วที่กองปราบปรามในก่อนหน้านี้ ในฐานะละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ 157 ยิ่งทั้งสองคนถ่วงเรื่องไม่ดำเนินการกับพล.อ.สุรยุทธ์ ทั้งไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญาและความเสียหายทางแพ่ง คือ จ่ายค่าเสียหายและยึดบ้านคืนมาไว้นานเท่าไหร่ ทั้งนายสุวิทย์ และนายสมชัยก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า วันที่ 13 มกราคม แกนนำกลุ่มเสื้อแดงจะหารืออีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยเบื้องต้นได้วางแผนจะไปเรียกร้องกรณีดังกล่าวที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อทวงถามว่าจะดำเนินการอย่างไรกับพล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมกันนี้กลุ่มเสื้อดงจะไปยื่นหนังสือที่สถาบันองคมนตรีเพื่อทวงถามจุดยืนท่าทีขององคมนตรีคนอื่นว่าจะทำอย่างไร ต่อกรณีของพล.อ.สุรยุทธ์ที่กระทำผิดพ.ร.บ.ป่าสงวนบุกรุกป่าเช่นนี้ รวมทั้งถามไปยังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กรณีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทรบุรี ด้วย

ม็อบแดงสลายตัว"เขายายเที่ยง"อ้างภารกิจเสร็จแล้ว

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 12 มกราคม ที่เขายายเที่ยง ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา บริเวณตรงข้ามบ้านพักของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี บรรยากาศการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นไปอย่างคึกคัก โดยคืนวันที่ 11 มกราคม มีกิจกรรมบนเวทีตลอดทั้งคืน ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เริ่มทยอยเดินทางกลับตั้งแต่กลางดึก ทำให้ช่วงเช้าเหลือผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ประมาณ 500 คน

เวลา 07.00 น. แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงอาทิ นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ขึ้นปราศัยกล่าวสรุปบนเวที

โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ภารกิจของคนเสื้อแดงในพื้นที่แห่งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ทุกคนเดินทางกลับโดยปลอดภัย และพบกันใหม่ที่กรุงเทพฯ เราจะไม่เสียเวลากับพล.อ.สุรยุทธ์บนพื้นที่ตรงนี้ ถ้าพล.อ.สุรยุทธ์ตัดสินใจอย่างไรก็จะเจอกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ เพราะเรายังมีภารกิจล้มรัฐบาลอยู่

เตรียมบุกเขาสอยดาวต่อคุยเสียหายกว่าเขายายเที่ยง

นายวีระ กล่าวว่า การขึ้นเขายายเที่ยงครั้งนี้ เป็นปฏิบัติการซ้อม เพื่อเตรียมพร้อมในการขึ้นเขาสอยดาว จ.จันทบุรี ที่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่ากรณีเขายายเที่ยง แต่เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงได้รับข้อมูลเรื่องเขาสอยดาวหลังจากการประกาศบุกเขายายเที่ยงแล้ว หากได้รับข้อมูลเร็วกว่านี้คงบุกไปเขาสอยดาวก่อน เพราะความเสียหายที่นั่นใหญ่กว่ามาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายวีระประกาศให้ผู้ชุมนุมทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ให้ทั่วบริเวณ พร้อมกันนี้แกนนำได้ไปร่วมเปิดป้ายหมู่บ้าน 2 มาตรฐานซึ่งมีข้อความว่า “ หมู่บ้าน 2 มาตรฐาน เลขที่ 1 หมู่ 11 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ” ซึ่งเป็นบ้าน 3 หลังที่มีขนาดไม่เท่ากัน โดยนิมนต์พระสงฆ์ 13 รูป สวดชยันโต จนเมื่เวลา 08.00 น. ทั้งหมดร่วมกันร้องเพลงชาติ และชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นแยกย้ายกันกลับ

สนามกอล์ฟสอยดาวจัดแคดดี้รอ

พล.อ.ภารวี ชาญเลขา ผู้จัดการทั่วไปสอยดาวไฮแลนด์แอนด์สปอร์ต สนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมที่สนามกอล์ฟสอยดาวฯ ว่า สนามกอล์ฟมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียง 8 คน ถ้าเสื้อแดงมาจริง ทางสนามกอล์ฟไม่มีกำลังไปห้ามปราม ตนจะจัดให้ออกรอบตีกอล์ฟซะเลย แถมจัดหาแคดดี้ให้ด้วย

พ.ต.อ.สุธี ทิพย์สุข ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธร (สภ.) โป่งน้ำร้อน กล่าวว่า ตรวจสอบหาข่าวแล้วขณะนี้ยังไม่มีคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่ แต่ตั้งชุดเฉพาะกิจออกพื้นที่หาข่าวรอบนอกสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์แล้ว
นายบุญเสริม ศิริสวัสดิ์ แกนนำเสื้อแดง อ.เมืองจันทบุรี กล่าวว่า ชาวเสื้อแดงจะรอแกนนำคนเสื้อแดงแถลงในวันที่ 15 มกราคม ผ่านทางสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล

ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า พื้นที่สนามกอล์ฟ ที่พัก และสวนเกษตรสอยดาวไฮแลนด์ มีพื้นที่รวม 4,012 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ตั้งอยู่ หมู่ 2 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ติดถนนสายจันทบุรี-สระแก้ว โดยพื้นที่มีหลักฐานเป็นโฉนด มีพื้นที่รวม 482 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา แต่มีการโต้แย้งสิทธิว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จำนวน 389 ไร่ 3 งาน 02 ตารางวา และทับซ้อนเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร 93 ไร่ 76 ตารางวา

ถ้าบนเขายายเที่ยง คือบ้านพัก ทักษิณฯ


ที่มา:เว็บบอร์ดประชาไท

คงจะติดคุก ตั้งแต่ ทราบเรื่องแล้วล่ะน่ะ
คงไม่ต้อง คิดอะไรต่อเลย

ขนาดเมียซื้อประมูล จากกองทุกฟื้นฟูฯ ร้อนเงิน เร่ออกขายทิ้งแท้ๆ
ซื้อมากกว่าราคาแท้ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับ โกงเงินโกงทรัพย์ชาติบ้านเมือง หอกอะไร
แถมที่ดิน ก็นำไปใช้ประโยชน์อะไร ไม่เคยได้

ยังมีคุณอุตสาห์ ไปขู่กองทุนฟื้นฟู ที่เขาอุตสาดีใจขายออก ได้เงินเข้าหลวงเยอะ
ว่าให้รีบดำเนินการ แจ้งความซะ แล้วก็มีกระบวนการจะเอาผิด ผลิตเรื่อง และหลักฐาน
อะไรอื่นๆ ไว้รอไว้แล้ว จนถึงขึ้นสุดท้าย ติดคุกนั้นเอง

......................

ถ้าสมมุติ แปลว่า เป็นไปไม่ได้ หรืออธิบายให้เห็นชัดๆ ถ้าคนนั้นไม่ นรกส่งมาเกิดจริงๆ
ไม่ไปขู่ชาวบ้านแล้ว เอามาเป็นของตนเอง เฉยๆ แบบไม่มีเจตนา

สมมุติว่า ทักษิณ สลับจาก องคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ อดีตนายกไทย ยุค คมช.. ไปมีบ้านพัก
ตากอากาศ อยู่บนเขายายเที่ยง

คงมีพวกลาภ ยศหนักศักดิ์ใหญ่ ทั้งหมดในแผ่นดิน และองคมนตรีทั้งหมด ออกมาลงชื่อ เรียงหน้าประนาม
จากทุกชาติตระกูลใดๆ
นักวิชาการทั้งหมด อธิการบ่ดี ทุกมหาวิทยาลัย ออกมาประท้วง
พรรค ปชป ตั้งแต่แม่บ้าน คนสวน จนถึง ที่ปรึกษาพรรค ต้องออกมาด่า กล่าวหาใส่ร้าย อย่างสาดเสียเทเสีย
สื่อจรยธรรมสูงในประเทศไทย ต้องออกมาลากใส้ ทุกต้นชั่วโมง
กระบวนการตุลาการทั้งหมด คงออกมาให้ข้อคิดทางกฏหมายว่า ผิดแน่นอน

ประมวลความได้แล้ว ทักษิณ น่าจะ ได้รับผลการมีที่พักตากอากาศ สูงสุด คือ ประหาร 7 ชั่วโคตร

............................

คุณเบื่อไหม ที่ดูข่าว ตอนนี้ จะมีการบอกว่า ผู้ใกล้ชิด
พลเอกสุรยุทธ์ บอกว่า จะคืน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มาวันนี้ คนไทย ไม่มีใครเชื่อ มัน เอ๊ย ท่านอีกแล้วละครับ

ถ้าจะคืน ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กระมัง

จำได้ไหม ที่ สปก4-01 พรรคควายที่ไหนเกี่ยวข้อง
ขนาดศาลสั่งให้ คืนเพราะผิด

คนโง่ๆ ควายๆ ที่เป็นคนแจก ไม่ปรากฏว่า มีความผิดอะไร
จนป่านนี้ คงเชื่อว่า ไม่เจตนาแจกคนรวยพวกเดียวกันนั้นเอง

ทั้งๆที่ ความผิด มันเกิดขึ้น หมดแล้ว

สุดยอดไหมละ ประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ไข่มาร์คราคาตก เหลือฟองละ 2 บาท


ที่มา:เดลินิวส์

เกษตรกรแย่ขาดทุน 30 สตางค์ โวยนายทุนทุ่มตลาด ผลิตไข่ไก่ทะลัก ทำรายย่อยใกล้ตาย จี้รัฐล้มคอก

เมื่อ วันที่ 11 ม.ค. นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังประสบปัญหาไข่ไก่ราคาตกต่ำ และล้นตลาด โดยขณะนี้ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มชนิดคละขายฟองละ 2 บาท ต่ำกว่าต้นทุนเลี้ยงเฉลี่ยฟองละ 2.30 บาท ขาดทุนฟองละ 30 สตางค์ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากมีนายทุนผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ ใช้วิธีทุ่มตลาดผลิตไข่ไก่ส่วนเกินออกมามาก จนทำให้ราคาตลาดตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรรายย่อยอยู่ไม่ได้ เพราะมีต้นทุนการเลี้ยงสูงกว่ารายใหญ่

“หากปล่อยไปเช่นนี้ ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยคงอยู่ไม่ได้และอาจต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด จึงอยากให้ภาครัฐช่วยดูแล เพราะเกี่ยวข้องกับผู้เลี้ยงรายย่อยหลายหมื่นครัวเรือน ขณะที่รายใหญ่มีเพียง 10 รายเท่านั้น รวมทั้งหากปล่อยให้แข่งขันไม่เป็นธรรมจะส่งผลเสียต่อระบบไข่ไก่ในอนาคต นอกจากนี้ต้องการให้ดูแลเรื่องต้นทุนอาหารเลี้ยงไก่ไข่ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทีเวลาราคาตลาดขึ้นก็ปรับราคาขึ้น แต่พอตลาดลงกับไม่ยอมลดราคา”

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมผู้เลี้ยงไข่ไก่ว่า เร็วๆ นี้จะเชิญกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่มาร่วมหารือเพื่อขอความร่วมมือในการ แก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด และพิจารณาว่ามีพฤติกรรมการทุ่มตลาดจริงหรือไม่ เนื่องจากปริมาณไข่ไก่ปี 53 มีแนวโน้มสูงขึ้น 3.2% หรือเพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 9,902 ล้านฟอง เป็น 10,219 ล้านฟอง ขณะที่ปริมาณการบริโภคยังใกล้เคียงจากเดิมที่ 9,819 ล้านฟอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไข่ไก่ล้นตลาด และผู้เลี้ยงขาดทุนเพิ่มได้

“สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาไข่ไก่ตกลงมากถึงฟองละ 10-30 สตางค์ เนื่องจากมีผลผลิตล้นตลาดเพิ่มเป็น 1-2 ล้านฟองต่อวัน ซึ่งกระทรวงฯจะเร่งนำปัญหาเข้าหารือในที่ประชุม ครม.เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือโดยด่วน”

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ราคาไข่ไก่เฉลี่ยของแต่รัฐบาลในช่วง 5 ปีหลังสุด พบราคาไข่ไก่ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีราคาเฉลี่ยสูงสุดที่ฟองละ 2.71 บาท สูงกว่าราคาไข่ไก่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 48 ที่เฉลี่ยฟองละ 2.68 บาท ปี 49 เฉลี่ยฟองละ 2.18 บาท แต่ขณะนี้ราคากับลดลงเหลือฟองละ 2 บาท ส่วนรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ปี 50 เฉลี่ยฟองละ 2.32 บาท และปี 51 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ราคาเฉลี่ยฟองละ 2.65 บาท.

หม่อมอุ๋ย"แฉ เบื้องหลังล้มหวยออนไลน์ ยี่ปั๊วสลากกินแบ่งต่อท่อน้ำเลี้ยง"บิ๊ก ปชป".เสียประโยชน์


ที่มา:มติชนออนไลน์
นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรค เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทบเขียนบทความเรื่อง "เป็นห่วงเด็ก หรือ กลัวผู้ใหญ่" ลงในหนังสือพิมพ์"มติชน"รายวันมีสาระสำคัญคือ มีการผูกขาดสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยยี่ปั๊วรายใหญ่เพียง 5 ราย ทำให้สลากกินแบ่งมีราคาแพงถึงฉบับละ 110 บาท เกินกว่าที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาท ทั้งๆที่ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้ใช้จัดสรรส่วนแบ่งรายได้เป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 12% หรือฉบับละ 9.60 บาท พร้อมกับการตั้งข้อสงสัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบทวนการอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติหรือหวยออนไลน์เป็นเพราะมียี่ปั๊วมีสลากกินแบ่งรายใหญ่ซึ่งผูกขาดดารขายสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวต่อท่อน้ำเลี้ยงกับนักการใหญ่ในพรรคการเมืองใหญ่

แม้ ม.ร.ว.ปรีดียาธรมิได้เอ่ยชื่อพรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าว แต่เมื่อมีการระบุว่า เป็นพรรคฝ่ายค้านสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ทำให้รู้กันว่า พรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับบทความของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมีรายละเอียดดังนี้

สัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีทำให้คนประหลาดใจ อีกครั้งด้วยการออกมาให้ความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการให้ประชาชนซื้อลอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่คณะกรรมการกองสลากได้มีมติให้ออกหวย 2 ตัว และ 3 ตัวขายผ่านเครื่องดังกล่าวโดยกำหนดวันขายครั้งแรกแล้วในต้นเดือนมีนาคม และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเตรียมการตามมติดังกล่าวด้วยเข้าใจว่าเรื่องนี้คงจะได้รับอนุมัติโดยรัฐบาลแล้วคณะกรรมการกองสลากจึงได้มีมติเช่นนั้น จู่ๆ นายกรัฐมนตรีก็แสดงความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เกิดอะไรขึ้น!

ก่อนอื่นขอเล่าย้อนถึงที่มาของการที่จะใช้เครื่องขายลอตเตอรี่แทนคนเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายฉบับยังสับสนอยู่ เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าราคาขายของสลากกินแบ่งที่ผู้ซื้อสลากต้องจ่ายสูงกว่าราคาขายที่กองสลากมาเป็นเวลานานแล้ว สมัยที่กองสลากกำหนดราคาขายที่ฉบับละ 10 บาท ก็ขายกันอยู่ที่ฉบับละ 11 บาทบ้าง 12 บาทบ้าง และปัจจุบันสลากกินแบ่งซึ่งกองสลากกำหนดให้ขายฉบับละ 80 บาทนั้น ผู้ซื้อสุดท้ายต้องซื้อในราคาฉบับละ 110 บาท ผลต่าง 30 บาทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

มีคนพยายามอธิบายว่าในการจำหน่ายสลากกินแบ่งให้ทั่วถึงทั่วประเทศจำเป็นต้องจัดเครือข่ายของคนขายเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับแรกที่รับซื้อจากกองสลากไปจัดจำหน่ายต่อที่เรียกว่ายี่ปั๊ว ซึ่งเท่าที่ทราบมี 5 รายใหญ่ ซึ่งนำสลากที่รับซื้อมาทั้งหมดไปกระจายต่อไปยังผู้จัดจำหน่ายระดับรองลงไป และกระจายต่อไปจนถึงผู้ขายปลีกในขั้นสุดท้าย เนื่องจากมีหลายระดับขั้นจึงต้องเพิ่มราคาขายในขั้นสุดท้ายขึ้นเพื่อให้ผู้จำหน่ายแต่ละระดับมีรายได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าเหนื่อยในการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่ายที่รับซื้อสลากไปจากกองสลากแล้ว หากขายออกไม่หมดยังต้องรับซื้อไว้เองซึ่งเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วย

ฟังเผินๆก็ดูมีเหตุผลดี แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียด พบว่า ในการจำหน่ายสลากนั้น พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้แบ่งส่วนรายได้จากการขายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายถึงร้อยละ 12 อยู่แล้ว ซึ้งหมายความว่าในราคาสลากที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาทนั้นมีส่วนที่เตรียมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายอยู่แล้วถึง 9.60 บาท และแม้ว่าผู้จำหน่ายระดับยี่ปั๊วจะต้องรับภาระสลากที่ขายไม่ออก แต่ความรู้เกี่ยวกับสถิติการจัดจำหน่ายที่ทำอยู่เป็นประจำก็น่าจะช่วยให้ยี่ปั๊วทุกรายสามารถประมาณจำนวนที่ควรรับไปจำหน่ายได้ใกล้เคียงกับยอดที่จะขายได้จริงไม่น่าจะมีจำนวนที่เหลือขายมากนัก

ถ้าเปิดโอกาสให้มียี่ปั๊วรายใหม่เข้าไปแข่งขันเพิ่มขึ้นหรือถ้ายี่ปั๊วรายใหญ่ที่มีอยู่เดิมแข่งกันอย่างจริงจัง ราคาสุดท้ายไม่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 110 บาทดังที่เป็นอยู่ได้เลย

แต่เป็นที่น่าเศร้าใจที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยี่ปั๊วรายใหญ่ไม่ได้แข่งขันกันอย่างจริงจัง มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่สุดเป็นแกนกลางประสานประโยชน์ จัดระบบการจำหน่ายทั้งเครือข่ายและกำหนดราคาจัดจำหน่ายในขั้นต่อๆไป

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าผู้จัดจำหน่ายรายย่อยจะต้องมีรายได้ในการจัดจำหน่ายเพื่อใช้จ่ายในการยังชีพ แต่เท่าที่ทราบมาผู้จัดจำหน่ายรายย่อยนั้นได้รับส่วนแบ่งรายได้ไม่มากนัก รายได้ขนาดใหญ่ตกอยู่กับยี่ปั๊วระดับแรกซึ่งเป็นผู้จัดระบบทั้งหมด

ระบบนี้มีมานานหลายสิบปีและยี่ปั๊วรายใหญ่เหล่านี้ก็ได้รับประโยชน์มานานแล้ว ทำไมจึงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้ และทำไมจีงปล่อยให้ผู้ซื้อสลากซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นผู้มีรายได้ต่ำต้องรับภาระราคาส่วนเพิ่มที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว มาโดยตลอด

คำตอบก็คือยี่ปั๊วชุดนี้มีผู้นำที่เก่งมาก เป็นผู้ประสานประโยชน์ที่มีความสัมพันธ์ทีดีกับนักการเมืองในพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่ง และเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่สำคัญสำหรับพรรคการเมืองนั้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ย้อนไปเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้วเมื่อพรรคขนาดใหญ่ดังกล่าวเป็นฝ่ายค้าน พรรคการเมืองคู่แข่งที่อยู่ในรัฐบาลพยายามเปลี่ยนระบบจัดจำหน่ายให้เป็นธรรมขึ้น เตรียมจัดให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนการจำหน่ายด้วยคนเพื่อมิให้มีการโก่งราคากันอีกต่อไป จึงได้จัดให้มีการจัดซื้อเครื่องขายสลากซึ่งมีการประมูลกันอย่างนับว่ายุติธรรมมากด้วยมีคุณสุธี อากาศฤกษ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตของแผ่นดินเป็นประธานในการตัดสินการประกวดราคา ซึ่งสรุปผลการประกวดราคาได้เสร็จตั้งแต่รัฐบาลนั้น แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบเครื่องขายสลากดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนรัฐบาล และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับยี่ปั๊วสลากรายใหญ่เข้ามาอยู่ในรัฐบาลอีก จึงมีการถ่วงไม่ให้มีการส่งมอบเครื่องดังกล่าวต่อไปอีก

ต่อมาเมื่อพรรคไทยรักไทยเข้าเป็นรัฐบาล พรรคขนาดใหญ่นั้นก็กลับไปเป็นฝ่ายค้านอีก กองสลากจึงดำเนินการเจรจากับบริษัทผู้ขายเครื่องจำหน่ายสลากซึ่งประกวดราคาเสร็จไว้แล้วต่อไป จะด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ แทนที่จะเตรียมนำเครื่องนั้นไปใช้ในการจำหน่ายสลากกินแบ่ง กองสลากได้เปลี่ยนให้เตรียมนำไปใช้ในการจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งเริ่มออกจำหน่ายในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เพื่อทดแทนการจำหน่ายด้วยคนบางส่วน

บังเอิญเรื่องหวย 2 ตัว 3 ตัวนี้ต้องชะงักลงในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันมีการรื้อฟื้นให้กองสลากเตรียมจำหน่ายหวย 2 ตัว และ 3 ตัวโดยจะให้จำหน่ายด้วยเครื่องไม่ใช้คนดังที่ทำอยู่เดิมในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลปัจจุบันพิจารณาเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

จนในที่สุดกองสลากก็มีมติดังกล่าวแล้ว หลายคนก็เข้าใจว่า พรรคแกนนำซึ่งรู้เรื่องความเป็นมาของการจำหน่ายสลากกินแบ่งเป็นอย่างดี คงจะได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นที่พอใจแล้ว คงจะเห็นว่าการใช้เครื่องจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ไม่น่าจะมีผลกระทบระบบจำหน่ายสลากกินแบ่งที่เป็นอยู่

แต่ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นคนกลางมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่า โดยเห็นว่าถ้าปล่อยให้ใช้เครื่องขายหวย 2 ตัว 3 ตัว และปรากฏว่าผู้ซื้อหวยสามารถซื้อได้ตามราคาที่กองสลากกำหนดไม่ต้องจ่ายแพงกว่ามากดังเช่นในกรณีสลากกินแบ่ง

ในที่สุดผู้ซื้อสลากกินแบ่งก็อาจเรียกร้องให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนระบบเดิม ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลและกองสลากก็ต้องสนองตอบต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนผู้ซื้อสลาก ทุกอย่างก็จะสายเกินแก้ จึงจำเป็นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการหาทางขัดขวางไม่ให้มีการขายหวย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องตั้งแต่เริ่มแรก

นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรคนั้น เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่ารัฐบาลอนุญาตแล้วตามที่คณะกรรมการกองสลากลงมติ

มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย – หากนายกฯไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงความเห็นคัดค้านตั้งแต่แรก เพราะมีช่วงเวลาที่จะคัดค้านได้หลายตอนก่อนที่กองสลากจะมีมติ – นายกฯเกรงใจใครหรือ จนถึงกับไม่กล้าดำเนินการในสิ่งที่รัฐมนตรีที่มีความสามารถหลายคนดูมาแล้วว่าเหมาะสม –

หรือว่ากลัวว่าท่อน้ำเลี้ยงจะแห้งลง – ถ้ากลัวเช่นนี้แล้วใครจะเชื่อว่าท่านกล้าปราบคอร์รับชั่นจริง

สหรัฐเมินเจรจาเอฟทีเอไทย หันถก"สิงคโปร์-เวียดนาม"แทน


ที่มา:ประชาไท

10 ม.ค.53 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นางเกษสิริ ศิริภากรณ์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ สหรัฐกำลังจะเริ่มต้นเจรจาหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับกลุ่มข้ามแปซิฟิก หรือทีพีพี (TRANS-PACIFIC PARTNERSHIP AGREEMENT) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เวียดนาม สิงคโปร์ และบรูไน เพราะต้องการเจาะเข้ากลุ่มอาเซียน ละตินอเมริกา และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบมากประเทศเหล่านี้มากโดยเฉพาะเวียดนาม
"ถ้าการเจรจาจบเมื่อไร สหรัฐไม่จำเป็นต้องทำเอฟทีเอกับไทยอีกแล้ว เพราะสหรัฐได้คู่ค้าของเราไปหมด ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี ในละตินอเมริกาและอาเซียน แต่ไทยจะไม่ได้อะไรเลย และยังเสียเปรียบประเทศเหล่านั้นอีก โดยเฉพาะเวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ" นางเกษสิริกล่าว
นางเกษสิริ กล่าวว่า มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กำหนดให้การทำสนธิสัญญา และข้อตกลงระหว่างประเทศ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนนั้น มีข้อดี ที่ทำให้การเจรจามีความรอบคอบมากขึ้น แต่ข้อเสีย คือ ทำให้ไทยเจรจาข้อตกลงต่างๆ ล่าช้า ไม่ทันประเทศอื่น จึงควรจะกำหนดให้ชัดเจนว่า ข้อตกลง หรือสนธิสัญญาใดบ้างต้องเข้าสภา หรือไม่ต้องเข้า น่าจะเป็นประโยชน์กับไทยมากกว่า
ทั้งนี้ เอฟทีเอไทย-สหรัฐหยุดการเจรจามาตั้งแต่ไทยปฏิรูปการปกครองในปี 2549 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ไทยก็ต้องนำข้อตกลงเข้าสู่การพิจารณาของสภาใหม่ ซึ่งทำให้การดำเนินการเจรจาล่าช้าอย่างมาก แต่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีท่าทีชัดเจนในเรื่องการเดินหน้าการเจรจา
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐ ที่หยุดการเจรจาไปตั้งแต่ปี 2549 นั้น ขณะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมจะเจรจาต่อ หลังจากดำเนินการด้านกฎหมายภายในประเทศเสร็จสิ้นแล้ว โดยไทยจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้ความเห็นชอบก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2547 มีการเจรจาไปแล้วทั้งหมด 6 รอบ การเจรจาครอบคลุมประเด็นการค้าการลงทุนอย่างกว้างขวางกว่า 22 ประเด็น อาทิเช่น สินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการค้า อาทิเช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ นโยบายการแข่งขัน กระบวนการศุลกากร แรงงาน และสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายหยุดการเจรจาตั้งแต่เดือน ก.พ. 2549 เนื่องจากการยุบสภาในไทยและการปฏิวัติเมื่อเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

กรมป่าไม้แฉ’อำมาตย์แอ๊ด’ยังไม่ส่งคืนที่ดินเขายายเที่ยง


รองอธิบดีกรมป่าไม้ เผย ยังไม่ทราบเรื่อง’สุรยุทธ์’คืนที่เขายายเที่ยง ขณะที่คนสนิทอ้าง”อำมาตย์แอ๊ด” รอผลพิจารณาของกระทรวงทรัพย์ฯยืนยันพร้อมทำตามมติ ‘สมชาย’แฉรบ.ใช้งบไม่จำเป็นส่งทหาร-ตร.ปกป้อง”อำมาตย์แอ๊ด” ที่เขายายเที่ยง
ภายหลังที่อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับพวก คดีบุกรุกเขายายเที่ยง โดยระบุว่า จากการสอบสวน การครอบครองของ สุรยุทธ์ เป็นการครอบครองที่ขาดเจตนากระทำผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ ว่าจะดำเนินการเอาที่ดินคืนจาก สุรยุทธ์หรือไม่อย่างไร ในส่วนของอัยการไม่มีอำนาจนั้น

นายชลธิศ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยถึงรายงานข่าวการเตรียมทำเรื่องส่งมอบที่ดิน บริเวณเขายายเที่ยง ที่ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถือครองสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์บนที่ดินผืนดังกล่าวคืนให้แก่รัฐว่า จนถึงขณะนี้ ตนเองนั้นยังไม่ทราบเรื่องการส่งมอบคืนสิทธิ์บนที่ดินดังกล่าว แต่โดยปกตินั้น การทำเรื่องคืนลักษณะดังกล่าวอาจจะทำได้ในพื้นที่เลย โดยไม่ต้องเข้ามาที่ส่วนกลาง แต่ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว

ด้านความเคลื่อนไหว สุรยุทธ์ ล่าสุด นายทหารคนสนิทเปิดเผยว่า ขณะนี้ ขั้นตอนอยู่ที่การรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้อธิบดีกรมป่าไม้ ตั้งกรรมการมาหาวิธีดำเนินการกับที่ดินผืนดังกล่าว ขณะที่ ยืนยันเช่นกันว่า สุรยุทธ์ พร้อมทำตามผลที่ประชุมของคณะกรรมการ ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร

ด้าน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อาจทำให้คนผิดให้เป็นถูก โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม และจากการที่ตนได้ลงพื้นที่บริเวณเขายายเที่ยงเมื่อคืนวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาพบว่ามีกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้รับคำสั่งให้ติดอาวุธ ขึ้นไปบริเวณรอบๆ เขายายเที่ยงจำนวนหลาย 100 นาย

“การส่งกำลังทหารและตำรวจกว่า 5,000 นาย ไปที่เขายายเที่ยงนั้นเป็นการใช้งบประมาณโดยไม่จำเป็น เป็นการไปปกป้องผู้กระทำผิดหรือไม่ เพราะหากจ่ายเบี้ยเลี้ยง วันละ 500 บาท หากอยู่ 4 วันก็จะต้องใช้เงินงบประมาณ กว่า 10 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าน้ำมันค่าขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปปกป้องบ้านหลังเดียว ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณภาษีประชาชนไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท โดย กมธ.การทหาร สภาผู้แทนราษฎร อาจเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาขอรายละเอียดในการเดินทางไปเขายายเที่ยงว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้กำลังพลมากขนาดนี้หรือไม่” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า ขอถามไปยังรัฐบาลว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ เพราะหากรัฐบาลจัดการเรื่องที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างเป็นธรรม ก็จะไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา แถลงข่าวออกตัวให้พล.อ.สุรุยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และระบุว่าพล.อ.สุรุยุทธ์ไม่ได้มีเจตนากระทำผิดนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะนายคำนูณ เป็นส.ว.จากการแต่งตั้งยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ต้องเอาใจอดีตนายกฯสมัยคมช. ทั้งนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนก็แปลกใจการทำหน้าที่ของนายคำนูณ ทั้งที่น่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน แต่กลับไปแถลงข่าวออกตัวแทนสุรยุทธ์