--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

กษิตต้องการเอาเลือดฮุนเซ็นมาล้างตีน


ที่มา – Khmerization
by Sokheounpang

กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศไทยที่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศเป็นเวลานาน ได้ทำงานในกระทรวงต่างประเทศตั้งแต่ปี 2511 จนถึง 2548 รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตของไทยประจำประเทศต่างๆในยุโรป อเมริกา มอสโค โตเกียว จาร์การ์ต้า

กษิตยังเป็นหนึ่งในแกนนำและผู้นำของพันธมิตรซึ่งนำการประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปีๆเพื่อขับไล่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง

ไม่นานมานี้ ในระหว่างการรณรงค์ของพันธมิตรครั้งสุดท้ายได้มีการเรียกร้องให้เป็น “สงครามนางาซากิ หรือฮิโรชิมา” เพื่อโค่นรัฐบาลที่นิยมทักษิณ และนำไปสู่การปิดล้อมของสนามบิน 2 แห่ง นั่นคือดอนเมืองและสุวรรณภูมิ กษิตเป็นหนึ่งในแกนนำของพันธมิตร กษิตเป็นผู้ที่ร่วมการประท้วงและขี้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มคนที่ชุมนุมประท้วง

คำปราศรัยของกษิตไม่เพียงแต่โจมตีทักษิณและผู้นิยมทักษิณ แต่ได้โจมตีถึงคุณธรรมของชาวกัมพูชาในเรื่องเขาพระวิหาร ที่สำคัญที่สุดคือได้โจมตีฮุนเซน ได้เกิดเสียงวิจารณ์และสร้างความกังวลให้กับนักวิชาการและนักการเมืองไทย

จริงๆบางคน เช่นเดียวกับคนไทยทั่วๆไปซึ่งมีความเคารพ มีคุณธรรมและมีเกียรติ ว่าคำปราศรัยของกษิตจะพาประเทศไปเสี่ยงต่อการทำงานในฐานะทูตต่างประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จากคำปราศรัยโจมตีฮุนเซน ผมพยายามสืบหาคำพูดดังกล่าว แต่ก็ไม่พบ แต่โชคดีผมไปอ่านเจอในคอลัมภ์ของหน้งสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 10 มกราคม 2552 เป็นหนึ่งในการแสดงความเห็นจากคนที่ใช้ชื่อว่า Charlotte(ชาร์ลอต) ได้แปลและเขียนไว้ว่า

ในระหว่างการปราศรัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ “กษิตได้ประกาศกร้าวเสียงดังว่า เขาจะเอาเลือดของฮุนเซนมาล้างตีน”ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว กษิตเป็นหนึ่งในพวกพันธมิตร กลุ่มเอียงสุดโต่งซึ่งมีการปลุกปั่นในเรืองการเข้ายึดเขาพระวิหารในเดือนกรกฎาคม 2551

การพูดแบบนาซีไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย เพราะในประวัติศาสตร์ไทยได้มีการเขียนและสอน อธิบายว่าคนไทยปฎิบัติต่อชาวกัมพูชาโดยเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งพระนเรศวรประกาศใช้เลือดของกษัตริย์เชษฐาล้างพระบาทเช่นกัน มีการสอนในโรงเรียนเพื่อจะสร้างเสริมความรักชาติในหมู่คนไทยให้มีความรู้สึกเหนือชั้นกว่ากัมพูชา

และไม่ต้องมีความเกรงกลัวต่อชาวกัมพูชาแต่อย่างใด เป็นที่เชื่อกันว่าคำปราศรัยของกษิตมีเป้าหมายเพื่อจะดึงเอาเรื่องในประวัติศาสตร์มาใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองของตน คำปราศรัยของกษิตไม่ได้ถูกตีพิมพ์หรือถูกแปลจากสื่อแต่อย่างใด มีแต่การถูกวิจารณ์และถูกเตือนเรื่องคำพูดแบบคนไร้การศึกษาเท่านั้น

กับคำถามของผมที่ว่า ทำไมคนคนนึงที่มีการศึกษาสูงมีประสบการณ์จากการทำงานระดับชาติและระดับสากล และมีตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลแต่ยังใช้คำพูดถ่อยๆกับผู้นำประเทศอื่นโดยขาดความเคารพ นี่คือคนไทยที่มีการศึกษาหรือ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่มองเพื่อนบ้านอย่างนี้หรือ

ผมยังสงสัยว่าฮุนเซนจะคิดถึงคำพูดสามหาวของกษิตอย่างไร และมีปฎิกิริยาตอบต่อกษิตอย่างไรถ้าฮุนเซนทราบเรื่องนี้ และโดยเฉพาะในปลายเดือนมกราคม 2552 ที่จะมีการประชุมกันระหว่างการเยือนกัมพูชาของกษิต ในทางการเมือง

“คำพูดของกษิตไม่เพียงแต่แสดงความเกลียดชังและดูถูกฮุนเซนเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความเกลียดชังและดูถูกต่อชนชาวกัมพูชาโดยทั่วไปทั้งประเทศด้วย”

โดยส่วนตัว ผมไม่เคยชอบฮุนเซนและในฐานะเป็นคนกัมพูชาหรือเป็นคนซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแห่งความเจริญของศตวรรษนี้ ความประพฤติของกษิตถูกนำมามองว่าเป็นคนที่ป่าเถื่อน ไม่เจริญ จองหอง โง่ สัตว์ป่า เป็นนาซี

ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจะลืมกันไม่ได้ และกษิตไม่สมควรที่จะเหยียบเข้าไปในประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเข้าไปโดยตำแหน่งหรือหน้าที่ ที่กษิตจะต้องมีการร่วมงานระหว่างไทยและกัมพูชา

นิรโทษกรรม ‘ทักษิณ’ เท่ากับยกเลิกรัฐประหาร?

ทีมา:ประชาไท
โดย:นักปรัชญาชายขอบ

การต่อสู้เพื่อนิรโทษกรรมทักษิณเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคม และจะยังคงอยู่จนกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในบ้านเราจะดำเนินไปถึงจุดที่สามารถตัดสินแพ้-ชนะได้เด็ดขาด หรือไม่ก็ถึงจุดที่ชนชั้นนำสามารถประนีประนอมกันได้ (และน่าจะเป็นการประนีประนอมในเงื่อนไขที่มวลชนที่สนับสนุนทั้งสองฝ่ายพอจะยอมรับได้ด้วย)

อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับทัศนะพื้นฐานเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” และ “รัฐประหาร” ซึ่งกลายเป็นประเด็นวิวาทะทางวิชาการในบ้านเราตลอด 3-4 ปีมานี้ ซึ่งผมอยากชวนให้ลองทบทวนกันอีกครั้ง
หนึ่งในนักวิชาการที่เห็นว่า การนิรโทษกรรมทักษิณมีความชอบธรรม คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เขาให้เหตุผลว่า

“ทักษิณ ถูกรัฐประหาร (ที่โทษประหารชีวิต) ล้มไป ทักษิณ เป็นนายกฯที่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบธรรมคนสุดท้าย
การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ จะถือว่า "ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง" ได้อย่างไร?
แล้วไอ้ "คดีความต่างๆ" ที่ว่า ทักษิณโดนอยู่น่ะ มันมาจากอะไร ไม่ใช่จาก รปห.หรือ?
รู้จัก "กระบวนการยุติธรรม" due process หรือเปล่า?

ในประเทศเจริญแล้ว ต่อให้สมมุติว่า จนท. จับใครมาขึ้นศาล ถ้าด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไม่มีหมายค้น, ไม่อ่าน "คำเตือน" ("คุณมีสิทธิไม่ให้การ คุณมีสิทธิมีทนายได้...") อย่างนี้ ต่อให้ "สังคม" "เชื่อ"ว่า คนที่ถูกจับมานั้น ผิด ศาลยังต้องสั่งให้คดีเป็นโมฆะเลยครับ

คุณยอมรับให้ "คดีความต่างๆ" ที่มาจากวิธีรัฐประหาร ใช้เล่นงานทักษิณได้ ก็คือคุณยอมรับการรัฐประหาร (รบ. ที่ รปห.ล้ม จะ"คอร์รัปชั่น" จริง ไม่จริง มากน้อย แค่ไหน ไม่เคยเป็นประเด็นเลย คนที่ทำรัฐประหาร ไม่มีสิทธิแม้แต่น้อยในการทำ รปห.เลย ถ้ามีการ คอร์รัปชั่น ของ รบ. ประชาชน จะหาทางจัดหารตามวิถีทาง ประชาธิปไตย
เอง)

การที่ รปห.ล้ม รัฐบาลไป ประชาชน ไม่เพียงมีสิทธิ แต่ยังเป็นหน้าที่ด้วย ที่จะ defend คนที่ถูกรัฐประหารไป ไม่ว่า คนนั้น จะถูกข้อหาอะไร (คอร์รัปชั่น, ฆ่ากษัตริย์ ฯลฯ)
ทักษิณ (ถ้า) โกง คือ การ(สงสัยว่า) ทำผิด กม. คมช.ล้ม รธน. คือ การเลิกกฎหมาย (กฎหมายสูงสุด) ด้วย นี่มันต่างกันโว้ย คุณทำผิด กม. ผิดใช่ แต่การไม่มีกฎหมายเลย เลิกกฎหมายเลย อันนี้แหละ เขาถึอว่าผิดกว่า และต้องเลิกสิ่งที่ตามมาจากการทำผิดลักษณะนี้

นี่คือเหตุผลเบื้องหลัง กรณี x ที่ยกให้ดู และประเทศไหนๆ ที่เป็นประชาธิปไตย เขาก็ทำกัน คือ ถ้า ตำรวจ ฯลฯ ไปทำผิด due process คือเท่ากับไปเลิกกฎมาย เท่ากับไม่มีกฎหมายแล้ว ใครเห็นว่าใครทำผิดก็จับเอาได้ตามใจชอบ เหมือนการ รปห. เลิก รธน. ดังนั้น เขาจึงปล่อย x และเลิก กระบวนการเล่นงาน x ทั้งหมด

...ถ้าสิ่งที่ต่างๆที่ได้มาจากการละเมิด due process ในคดีย่อยๆ ไม่อาจรับได้ สิ่งที่ได้มาจาก รปห. ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ควรเป็นข้อสรุป โดยอัตโนมัติของปัญญาชน ของคนที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ”
(เก็บความจากความเห็นท้ายบทความ “รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวอะไร?” โดย นักปรัชญาชายขอบ,ประชาไท,sat,2010-0102 22:24)

ในทัศนะของสมศักดิ์ ประชาธิปไตยและรัฐประหารมีค่าทางจริยศาสตร์แบบ absolutism คือมีค่าถูกและผิดในตัวของมันเองอย่างตายตัว ไม่ขึ้นกับบริบทใดๆ ฉะนั้น รัฐประหารล้มกติกาประชาธิปไตยจึงผิดอย่างสัมบูรณ์ กระบวนการที่กระทำสืบเนื่องหรือผลที่ตามมาจากรัฐประหารจึงต้องผิดอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ยังมีทัศนะที่ตรงกันข้าม เช่นความเห็นของยุค ศรีอาริยะ (เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจบจากต่างประเทศ เช่นเดียวกับสมศักดิ์) ที่ว่า

“อาจจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นรัฐประหารของผู้อาวุโส เพราะบรรดาคนที่อยู่เบื้องหลังล้วนแต่เป็นคนที่มีอายุมากแล้วทั้งนั้น ท่านจึงดำเนินการได้อย่างรอบคอบ…รัฐประหารครั้งนี้หมายถึงการสิ้นสุดลงของระบอบทักษิณ ที่มีคุณทักษิณเป็นผู้นำ…หลังจากนี้ ขบวนการตุลาการภิวัตน์คงเคลื่อนตัวไปอย่างเต็มรูป ใครถูก ใครผิด ใครโกงกินบ้านเมือง จะถูกลงโทษไปตามกฎหมาย ขบวนการนี้คงส่งผลโดยตรงต่อการสกัดกระแสคอรัปชั่นทางการเมืองที่แพร่ระบาดจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของนักการเมือง ของข้าราชการได้ในระดับหนึ่ง

...อุปสรรค (ของประชาธิปไตย-ผู้เขียน) ที่ใหญ่กว่าเรื่องความเป็นทหาร คือ เรื่อง“อวิชชา” หรือความเชื่อกันอย่างผิดๆมาตลอดในเรื่องการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “ประชาธิปไตย คือ รัฐธรรมนูญ” จะสร้างประชาธิปไตยได้ก็ต้องให้นักกฎหมาย(หน้าเก่าๆ) ไปช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ความเชื่อที่สองคือ “ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้ง และรัฐสภา” ถ้าจัดให้มีการเลือกตั้ง และมีสภา ก็มีประชาธิปไตยแล้ว…ผมชี้ว่า ระบอบที่มีรูปแบบประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป โดยทั่วไปเรามักจะ “หลง” รูปแบบภายนอก ถ้ารูปแบบเป็นอะไร ก็หลงเชื่อกันว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างนั้น

…เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องรูปแบบเท่านั้น จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องเข้าใจเรื่อง “วัฒนธรรมการเมือง” ซึ่งเป็นหัวใจ และพื้นฐานของระบอบการเมือง คำว่า “วัฒนธรรมการเมือง” นี้คือ แบบแผนในการปฏิบัติทางการเมืองที่เป็นจริง รวมทั้งค่านิยม ความเชื่อ ความคิด และจิตวิญญาณของชนชั้นนำ และประชาชน ที่มีชีวิตอยู่ในระบอบการเมืองนั้น

ระบอบการเมืองไทยที่ผ่านมาดำรงอยู่ด้วย วัฒนธรรมการเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง 2 แบบ

แบบแรกคือ วัฒนธรรมอำนาจนิยม วัฒนธรรมนี้มีความเป็นมายาวนาน และสืบทอดแนวคิดมาจากยุครัฐโบราณ มีรากมาจากความเชื่อเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ และการจัดการปัญหาโดยการใช้ความรุนแรง แบบที่สองคือ วัฒนธรรมโกงกิน และความเจ้าเล่ห์(หลอกลวง)แบบศรีธนญชัย วัฒนธรรมนี้แพร่ระบาดในหมู่นักการเมือง และข้าราชการ โดยมีความเชื่อว่า การเข้ามามีอำนาจคือที่มาแห่งความร่ำรวย …วัฒนธรรมทั้ง 2 แบบนี้ถูกกระตุ้นเสริมอย่างแรงด้วยความเชื่อ และวัฒนธรรม (แบบที่สาม-ผู้เขียน) ความกระหายอยากในความมั่งคั่งที่ไร้ขอบเขตจำกัด หรือที่พูดกันว่า “ความรวยคือ ความถูกต้อง และความดีงาม”

...อะไรคือ จิตวิญญาณของระบอบทักษิณ? ผมก็จะนำเอา 3 แบบวัฒนธรรมข้างต้น มาเชื่อมกับความหลงอำนาจของคุณทักษิณ เมื่อเราเอาทั้ง 4 เรื่องมาผสมกัน เราก็จะเข้าใจชัดว่า อะไรคือ ระบอบทักษิณ ในแง่จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม วันนี้ คุณทักษิณสิ้นอำนาจไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า ระบอบวัฒนธรรมทักษิณจะสิ้นสุดลง วัฒนธรรมแบบทักษิณยังคงอยู่คู่ฟ้าแผ่นดินไทย และพร้อมจะฟื้นกลับ แล้วพัฒนาขยายตัวขึ้นเมื่อไรก็ได้” (ผู้จัดการออนไลน์,29/9/2006)

ในทัศนะของยุค ศรีอาริยะ ประชาธิปไตยและรัฐประหารมีค่าทางจริยศาสตร์แบบ contextualism คือมีค่าถูกและผิดขึ้นอยู่กับบริบท ฉะนั้น การใช้กติกาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ (means [ทักษิณก็เคยพูดว่า “ประชาธิปไตยเป็นเพียงวิถี”]) ให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ หรือให้อยู่ในอำนาจรัฐได้นานเพื่อเป้าหมาย (end) คือคอร์รัปชันจึงเป็นสิ่งที่ผิด และรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลเช่นนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูก

ทัศนะของสมศักดิ์ ชัดเจนว่าปฏิเสธรัฐประหารโดยสิ้นเชิง และหากจะ defend ประชาธิปไตยก็ต้องปฏิเสธกระบวนการและผลทุกอย่างที่ตามมาจากรัฐประหาร ฉะนั้น การนิรโทษกรรมทักษิณเป็นการยกเลิกรัฐประหารจึงเป็นการกระทำที่ชอบธรรม

ส่วนทัศนะของยุค ศรีอาริยะ ชัดเจนว่ายอมรับรัฐประหารภายใต้บริบทบางอย่าง เช่นรัฐประหารที่ล้มรัฐบาลคอร์รัปชัน และเชื่อว่าเป็นไปได้ที่รัฐประหารอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการส่งผ่านสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ดังที่เขาเขียนว่า “รัฐประหาร กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน อาจจะไปด้วยกันได้ ถ้าผู้นำรัฐประหารเข้าใจ หรือมีความตั้งใจจริงที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาจริงๆ และมีฐานภาคประชาชนได้เข้ามาร่วมช่วยสร้างฐานประชาธิปไตยกันอย่างเต็มกำลัง” (อ้างแล้ว)

แต่ยังมีอีกมุมมองที่วิจารณ์ “ข้อเท็จจริง” ของประชาธิปไตยและรัฐประหารแบบไทยๆในแบบที่ชวนให้เรามองปัญหาอย่างรอบด้าน เช่น มุมมองของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ว่า

“ความแตกต่างกันระหว่าง การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งคณะที่ลงมือเองและให้การสนับสนุน กับคณะบุคคลที่ครองอำนาจด้วยวิธีเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 กับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 คือมีส่วนต่างกันอยู่บ้างในเรื่องที่มาและเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอำนาจ แต่ไม่ได้ต่างกันถึงขั้น ขาวล้วน ดำล้วน ดังที่บางฝ่ายพยายามบอกเรา

...บทเรียนที่เกิดขึ้นมีความผิดพลาดจากการที่กลุ่มทุนกลุ่มใหญ่ที่ขึ้นมากุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 มีการใช้อำนาจโดยแยกออกจากฉันทามติทางวัฒนธรรมมากเกินไป หรือที่เรียกว่า "ลุแก่อำนาจ" ทำ ให้ได้รับการต่อต้านจากคนจำนวนมาก เรื่องความชอบธรรมของการใช้อำนาจว่า 1.ต้องมีที่มาที่ชอบธรรม 2.ต้องมีจุดหมายที่ชอบธรรม และ 3.วิธีการใช้อำนาจต้องชอบธรรมด้วย ไม่ใช่ที่มาชอบธรรมแล้วทำอะไรก็ได้

...ปัญญาชนนักวิชาการที่ผิดหวังกับรัฐบาลเลือกตั้งจึงไม่คัดค้านการรัฐประหารทั้งที่เขาก็ไม่อยากได้เผด็จการแต่อย่างใด ในทางรัฐศาสตร์ สิ่งนี้เรียกว่า "วิกฤตฉันทานุมัติ" ...อันที่จริงวิกฤตฉันทานุมัติในประเทศไทยแก้ไขได้ ถ้าเรารู้จักเก็บบทเรียนโดยเสริมสร้างความระมัดระวังในการออกแบบระบอบการเมืองไม่ให้เป็นแค่เวทีของ "ชนชั้นนำ" บางกลุ่มซึ่งมักปิดกั้นพื้นที่ทางการเมืองของชนชั้นนำกลุ่มอื่นๆ และของ "มวลชนชั้นล่าง" ในเวลาเดียวกัน” (มติชนออนไลน์,14/12/2007)

ผมเองเห็นว่า ทัศนะต่อประชาธิปไตยและรัฐประหารแบบ absolutism กับ contextualism เป็นเรื่องที่โต้แย้งกันได้ไม่รู้จบ เพราะทุกฝ่ายต่างก็มีเหตุผล (arguments) ของตัวเอง ส่วนมุมมองเรื่อง “วิกฤตฉันทานุมัติ” และทางออกที่เสกสรรค์เสนอเป็นเรื่องที่น่าจะนำไปคิดต่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม หากจะยืนยันว่า การนิรโทษกรรมทักษิณเป็นสิ่งที่ชอบธรรมเพราะเป็นการเลิกรัฐประหาร ผมเห็นว่าการกระทำเพียงเท่านี้ยังไม่ชอบธรรมพอ ถ้าจะให้ชอบธรรมอย่างสมบูรณ์จะต้องต่อสู้ให้นิรโทษกรรมทักษิณด้วย และให้นำ คมช.ขึ้นศาลด้วย

เพราะถ้าทำเพียงแค่นิรโทษกรรมทักษิณ ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่ารัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีก (และรัฐบาลลุแก่อำนาจคอร์รัปชันจะไม่เกิดขึ้นอีก)

เพราะทำรัฐประหารก็ไม่ต้องรับผิด (เป็นรัฐบาลลุแก่อำนาจ/คอร์รัปชันก็ไม่ต้องรับผิด ตอนอยู่ในอำนาจใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกรัฐประหารแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ และยังสามารถใช้พรรคการเมืองของตัวเองออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองได้ด้วย) ถ้าเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเราก็เป็นเพียง “เวที” รองรับการเล่นเกมชิงอำนาจของชนชั้นนำอย่างไม่รู้จบสิ้น!

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดง เล็งบุกสถาองคมนตรี ถามจุดยืนปมที่ดินเขายายเที่ยง เตรียมไปเขาสอยดาวลุย"ป๋า"ต่อ

ที่มา:มติชนออนไลน์

แดงชี้"สุรยุทธ์"ไม่มีสิทธิอ้างไม่คืนที่ ซัดกรมป่าไม้ยื้อเวลา

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง กล่าววันที่ 12 มกราคมถึงกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวไม่คืนที่ดินเขายายเที่ยง โดยจะรอให้กรมป่าไม้ชี้ขาดและจะไม่ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีว่า พล.อ.สุรยุทธ์ไม่มีสิทธิจะมาบอกว่าคืนหรือไม่ เพราะที่ดินเขายายเที่ยงไม่ใช่ของพล.อ.สุรยุทธ์แต่แรก เหมือนโจรที่ไปขโมยของมา ตำรวจรู้ว่าโจรคนนั้นเป็นใคร ดังนั้นเมื่อเห็นกับตา ต้องจับกุมทันที หากไม่มีการดำเนินการ จะทำให้นายทุนที่บุกรุกป่ารายอื่นนำมาเป็นข้ออ้างไม่ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ที่ผ่านมาข้อเท็จจริงกรมป่าไม้ต้องดำเนินการเป็นความผิดซึ่งหน้า มีการสร้างบ้านพรรคตากอากาศ ไม่ควรตั้งกรรมการสอบสวนอีก 60 วัน แต่สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที สามารถที่จะยึดที่ดินป่าสงวนคืนได้ทันที แต่การตั้งกรรมการเป็นการถ่วงเวลา เพื่อหาทางช่วยพล.อ.สุรยุทธ์โดยกลุ่มเสื้อแดงได้ยื่นแจ้งความสุวิทย์ คุณกิติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ ไปแล้วที่กองปราบปรามในก่อนหน้านี้ ในฐานะละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ 157 ยิ่งทั้งสองคนถ่วงเรื่องไม่ดำเนินการกับพล.อ.สุรยุทธ์ ทั้งไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญาและความเสียหายทางแพ่ง คือ จ่ายค่าเสียหายและยึดบ้านคืนมาไว้นานเท่าไหร่ ทั้งนายสุวิทย์ และนายสมชัยก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า วันที่ 13 มกราคม แกนนำกลุ่มเสื้อแดงจะหารืออีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยเบื้องต้นได้วางแผนจะไปเรียกร้องกรณีดังกล่าวที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อทวงถามว่าจะดำเนินการอย่างไรกับพล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมกันนี้กลุ่มเสื้อดงจะไปยื่นหนังสือที่สถาบันองคมนตรีเพื่อทวงถามจุดยืนท่าทีขององคมนตรีคนอื่นว่าจะทำอย่างไร ต่อกรณีของพล.อ.สุรยุทธ์ที่กระทำผิดพ.ร.บ.ป่าสงวนบุกรุกป่าเช่นนี้ รวมทั้งถามไปยังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กรณีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทรบุรี ด้วย

ม็อบแดงสลายตัว"เขายายเที่ยง"อ้างภารกิจเสร็จแล้ว

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 12 มกราคม ที่เขายายเที่ยง ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา บริเวณตรงข้ามบ้านพักของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี บรรยากาศการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นไปอย่างคึกคัก โดยคืนวันที่ 11 มกราคม มีกิจกรรมบนเวทีตลอดทั้งคืน ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เริ่มทยอยเดินทางกลับตั้งแต่กลางดึก ทำให้ช่วงเช้าเหลือผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ประมาณ 500 คน

เวลา 07.00 น. แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงอาทิ นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ขึ้นปราศัยกล่าวสรุปบนเวที

โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ภารกิจของคนเสื้อแดงในพื้นที่แห่งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ทุกคนเดินทางกลับโดยปลอดภัย และพบกันใหม่ที่กรุงเทพฯ เราจะไม่เสียเวลากับพล.อ.สุรยุทธ์บนพื้นที่ตรงนี้ ถ้าพล.อ.สุรยุทธ์ตัดสินใจอย่างไรก็จะเจอกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ เพราะเรายังมีภารกิจล้มรัฐบาลอยู่

เตรียมบุกเขาสอยดาวต่อคุยเสียหายกว่าเขายายเที่ยง

นายวีระ กล่าวว่า การขึ้นเขายายเที่ยงครั้งนี้ เป็นปฏิบัติการซ้อม เพื่อเตรียมพร้อมในการขึ้นเขาสอยดาว จ.จันทบุรี ที่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่ากรณีเขายายเที่ยง แต่เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงได้รับข้อมูลเรื่องเขาสอยดาวหลังจากการประกาศบุกเขายายเที่ยงแล้ว หากได้รับข้อมูลเร็วกว่านี้คงบุกไปเขาสอยดาวก่อน เพราะความเสียหายที่นั่นใหญ่กว่ามาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายวีระประกาศให้ผู้ชุมนุมทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ให้ทั่วบริเวณ พร้อมกันนี้แกนนำได้ไปร่วมเปิดป้ายหมู่บ้าน 2 มาตรฐานซึ่งมีข้อความว่า “ หมู่บ้าน 2 มาตรฐาน เลขที่ 1 หมู่ 11 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ” ซึ่งเป็นบ้าน 3 หลังที่มีขนาดไม่เท่ากัน โดยนิมนต์พระสงฆ์ 13 รูป สวดชยันโต จนเมื่เวลา 08.00 น. ทั้งหมดร่วมกันร้องเพลงชาติ และชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นแยกย้ายกันกลับ

สนามกอล์ฟสอยดาวจัดแคดดี้รอ

พล.อ.ภารวี ชาญเลขา ผู้จัดการทั่วไปสอยดาวไฮแลนด์แอนด์สปอร์ต สนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมที่สนามกอล์ฟสอยดาวฯ ว่า สนามกอล์ฟมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียง 8 คน ถ้าเสื้อแดงมาจริง ทางสนามกอล์ฟไม่มีกำลังไปห้ามปราม ตนจะจัดให้ออกรอบตีกอล์ฟซะเลย แถมจัดหาแคดดี้ให้ด้วย

พ.ต.อ.สุธี ทิพย์สุข ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธร (สภ.) โป่งน้ำร้อน กล่าวว่า ตรวจสอบหาข่าวแล้วขณะนี้ยังไม่มีคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวในพื้นที่ แต่ตั้งชุดเฉพาะกิจออกพื้นที่หาข่าวรอบนอกสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์แล้ว
นายบุญเสริม ศิริสวัสดิ์ แกนนำเสื้อแดง อ.เมืองจันทบุรี กล่าวว่า ชาวเสื้อแดงจะรอแกนนำคนเสื้อแดงแถลงในวันที่ 15 มกราคม ผ่านทางสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล

ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า พื้นที่สนามกอล์ฟ ที่พัก และสวนเกษตรสอยดาวไฮแลนด์ มีพื้นที่รวม 4,012 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ตั้งอยู่ หมู่ 2 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ติดถนนสายจันทบุรี-สระแก้ว โดยพื้นที่มีหลักฐานเป็นโฉนด มีพื้นที่รวม 482 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา แต่มีการโต้แย้งสิทธิว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จำนวน 389 ไร่ 3 งาน 02 ตารางวา และทับซ้อนเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร 93 ไร่ 76 ตารางวา

ถ้าบนเขายายเที่ยง คือบ้านพัก ทักษิณฯ


ที่มา:เว็บบอร์ดประชาไท

คงจะติดคุก ตั้งแต่ ทราบเรื่องแล้วล่ะน่ะ
คงไม่ต้อง คิดอะไรต่อเลย

ขนาดเมียซื้อประมูล จากกองทุกฟื้นฟูฯ ร้อนเงิน เร่ออกขายทิ้งแท้ๆ
ซื้อมากกว่าราคาแท้ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับ โกงเงินโกงทรัพย์ชาติบ้านเมือง หอกอะไร
แถมที่ดิน ก็นำไปใช้ประโยชน์อะไร ไม่เคยได้

ยังมีคุณอุตสาห์ ไปขู่กองทุนฟื้นฟู ที่เขาอุตสาดีใจขายออก ได้เงินเข้าหลวงเยอะ
ว่าให้รีบดำเนินการ แจ้งความซะ แล้วก็มีกระบวนการจะเอาผิด ผลิตเรื่อง และหลักฐาน
อะไรอื่นๆ ไว้รอไว้แล้ว จนถึงขึ้นสุดท้าย ติดคุกนั้นเอง

......................

ถ้าสมมุติ แปลว่า เป็นไปไม่ได้ หรืออธิบายให้เห็นชัดๆ ถ้าคนนั้นไม่ นรกส่งมาเกิดจริงๆ
ไม่ไปขู่ชาวบ้านแล้ว เอามาเป็นของตนเอง เฉยๆ แบบไม่มีเจตนา

สมมุติว่า ทักษิณ สลับจาก องคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ อดีตนายกไทย ยุค คมช.. ไปมีบ้านพัก
ตากอากาศ อยู่บนเขายายเที่ยง

คงมีพวกลาภ ยศหนักศักดิ์ใหญ่ ทั้งหมดในแผ่นดิน และองคมนตรีทั้งหมด ออกมาลงชื่อ เรียงหน้าประนาม
จากทุกชาติตระกูลใดๆ
นักวิชาการทั้งหมด อธิการบ่ดี ทุกมหาวิทยาลัย ออกมาประท้วง
พรรค ปชป ตั้งแต่แม่บ้าน คนสวน จนถึง ที่ปรึกษาพรรค ต้องออกมาด่า กล่าวหาใส่ร้าย อย่างสาดเสียเทเสีย
สื่อจรยธรรมสูงในประเทศไทย ต้องออกมาลากใส้ ทุกต้นชั่วโมง
กระบวนการตุลาการทั้งหมด คงออกมาให้ข้อคิดทางกฏหมายว่า ผิดแน่นอน

ประมวลความได้แล้ว ทักษิณ น่าจะ ได้รับผลการมีที่พักตากอากาศ สูงสุด คือ ประหาร 7 ชั่วโคตร

............................

คุณเบื่อไหม ที่ดูข่าว ตอนนี้ จะมีการบอกว่า ผู้ใกล้ชิด
พลเอกสุรยุทธ์ บอกว่า จะคืน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มาวันนี้ คนไทย ไม่มีใครเชื่อ มัน เอ๊ย ท่านอีกแล้วละครับ

ถ้าจะคืน ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กระมัง

จำได้ไหม ที่ สปก4-01 พรรคควายที่ไหนเกี่ยวข้อง
ขนาดศาลสั่งให้ คืนเพราะผิด

คนโง่ๆ ควายๆ ที่เป็นคนแจก ไม่ปรากฏว่า มีความผิดอะไร
จนป่านนี้ คงเชื่อว่า ไม่เจตนาแจกคนรวยพวกเดียวกันนั้นเอง

ทั้งๆที่ ความผิด มันเกิดขึ้น หมดแล้ว

สุดยอดไหมละ ประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ไข่มาร์คราคาตก เหลือฟองละ 2 บาท


ที่มา:เดลินิวส์

เกษตรกรแย่ขาดทุน 30 สตางค์ โวยนายทุนทุ่มตลาด ผลิตไข่ไก่ทะลัก ทำรายย่อยใกล้ตาย จี้รัฐล้มคอก

เมื่อ วันที่ 11 ม.ค. นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังประสบปัญหาไข่ไก่ราคาตกต่ำ และล้นตลาด โดยขณะนี้ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มชนิดคละขายฟองละ 2 บาท ต่ำกว่าต้นทุนเลี้ยงเฉลี่ยฟองละ 2.30 บาท ขาดทุนฟองละ 30 สตางค์ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากมีนายทุนผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ ใช้วิธีทุ่มตลาดผลิตไข่ไก่ส่วนเกินออกมามาก จนทำให้ราคาตลาดตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรรายย่อยอยู่ไม่ได้ เพราะมีต้นทุนการเลี้ยงสูงกว่ารายใหญ่

“หากปล่อยไปเช่นนี้ ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยคงอยู่ไม่ได้และอาจต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด จึงอยากให้ภาครัฐช่วยดูแล เพราะเกี่ยวข้องกับผู้เลี้ยงรายย่อยหลายหมื่นครัวเรือน ขณะที่รายใหญ่มีเพียง 10 รายเท่านั้น รวมทั้งหากปล่อยให้แข่งขันไม่เป็นธรรมจะส่งผลเสียต่อระบบไข่ไก่ในอนาคต นอกจากนี้ต้องการให้ดูแลเรื่องต้นทุนอาหารเลี้ยงไก่ไข่ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทีเวลาราคาตลาดขึ้นก็ปรับราคาขึ้น แต่พอตลาดลงกับไม่ยอมลดราคา”

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมผู้เลี้ยงไข่ไก่ว่า เร็วๆ นี้จะเชิญกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่มาร่วมหารือเพื่อขอความร่วมมือในการ แก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด และพิจารณาว่ามีพฤติกรรมการทุ่มตลาดจริงหรือไม่ เนื่องจากปริมาณไข่ไก่ปี 53 มีแนวโน้มสูงขึ้น 3.2% หรือเพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 9,902 ล้านฟอง เป็น 10,219 ล้านฟอง ขณะที่ปริมาณการบริโภคยังใกล้เคียงจากเดิมที่ 9,819 ล้านฟอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไข่ไก่ล้นตลาด และผู้เลี้ยงขาดทุนเพิ่มได้

“สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาไข่ไก่ตกลงมากถึงฟองละ 10-30 สตางค์ เนื่องจากมีผลผลิตล้นตลาดเพิ่มเป็น 1-2 ล้านฟองต่อวัน ซึ่งกระทรวงฯจะเร่งนำปัญหาเข้าหารือในที่ประชุม ครม.เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือโดยด่วน”

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ราคาไข่ไก่เฉลี่ยของแต่รัฐบาลในช่วง 5 ปีหลังสุด พบราคาไข่ไก่ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีราคาเฉลี่ยสูงสุดที่ฟองละ 2.71 บาท สูงกว่าราคาไข่ไก่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 48 ที่เฉลี่ยฟองละ 2.68 บาท ปี 49 เฉลี่ยฟองละ 2.18 บาท แต่ขณะนี้ราคากับลดลงเหลือฟองละ 2 บาท ส่วนรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ปี 50 เฉลี่ยฟองละ 2.32 บาท และปี 51 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ราคาเฉลี่ยฟองละ 2.65 บาท.

หม่อมอุ๋ย"แฉ เบื้องหลังล้มหวยออนไลน์ ยี่ปั๊วสลากกินแบ่งต่อท่อน้ำเลี้ยง"บิ๊ก ปชป".เสียประโยชน์


ที่มา:มติชนออนไลน์
นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรค เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทบเขียนบทความเรื่อง "เป็นห่วงเด็ก หรือ กลัวผู้ใหญ่" ลงในหนังสือพิมพ์"มติชน"รายวันมีสาระสำคัญคือ มีการผูกขาดสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยยี่ปั๊วรายใหญ่เพียง 5 ราย ทำให้สลากกินแบ่งมีราคาแพงถึงฉบับละ 110 บาท เกินกว่าที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาท ทั้งๆที่ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้ใช้จัดสรรส่วนแบ่งรายได้เป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 12% หรือฉบับละ 9.60 บาท พร้อมกับการตั้งข้อสงสัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบทวนการอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติหรือหวยออนไลน์เป็นเพราะมียี่ปั๊วมีสลากกินแบ่งรายใหญ่ซึ่งผูกขาดดารขายสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวต่อท่อน้ำเลี้ยงกับนักการใหญ่ในพรรคการเมืองใหญ่

แม้ ม.ร.ว.ปรีดียาธรมิได้เอ่ยชื่อพรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าว แต่เมื่อมีการระบุว่า เป็นพรรคฝ่ายค้านสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ทำให้รู้กันว่า พรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับบทความของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมีรายละเอียดดังนี้

สัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีทำให้คนประหลาดใจ อีกครั้งด้วยการออกมาให้ความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการให้ประชาชนซื้อลอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่คณะกรรมการกองสลากได้มีมติให้ออกหวย 2 ตัว และ 3 ตัวขายผ่านเครื่องดังกล่าวโดยกำหนดวันขายครั้งแรกแล้วในต้นเดือนมีนาคม และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเตรียมการตามมติดังกล่าวด้วยเข้าใจว่าเรื่องนี้คงจะได้รับอนุมัติโดยรัฐบาลแล้วคณะกรรมการกองสลากจึงได้มีมติเช่นนั้น จู่ๆ นายกรัฐมนตรีก็แสดงความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เกิดอะไรขึ้น!

ก่อนอื่นขอเล่าย้อนถึงที่มาของการที่จะใช้เครื่องขายลอตเตอรี่แทนคนเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายฉบับยังสับสนอยู่ เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าราคาขายของสลากกินแบ่งที่ผู้ซื้อสลากต้องจ่ายสูงกว่าราคาขายที่กองสลากมาเป็นเวลานานแล้ว สมัยที่กองสลากกำหนดราคาขายที่ฉบับละ 10 บาท ก็ขายกันอยู่ที่ฉบับละ 11 บาทบ้าง 12 บาทบ้าง และปัจจุบันสลากกินแบ่งซึ่งกองสลากกำหนดให้ขายฉบับละ 80 บาทนั้น ผู้ซื้อสุดท้ายต้องซื้อในราคาฉบับละ 110 บาท ผลต่าง 30 บาทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

มีคนพยายามอธิบายว่าในการจำหน่ายสลากกินแบ่งให้ทั่วถึงทั่วประเทศจำเป็นต้องจัดเครือข่ายของคนขายเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับแรกที่รับซื้อจากกองสลากไปจัดจำหน่ายต่อที่เรียกว่ายี่ปั๊ว ซึ่งเท่าที่ทราบมี 5 รายใหญ่ ซึ่งนำสลากที่รับซื้อมาทั้งหมดไปกระจายต่อไปยังผู้จัดจำหน่ายระดับรองลงไป และกระจายต่อไปจนถึงผู้ขายปลีกในขั้นสุดท้าย เนื่องจากมีหลายระดับขั้นจึงต้องเพิ่มราคาขายในขั้นสุดท้ายขึ้นเพื่อให้ผู้จำหน่ายแต่ละระดับมีรายได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าเหนื่อยในการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่ายที่รับซื้อสลากไปจากกองสลากแล้ว หากขายออกไม่หมดยังต้องรับซื้อไว้เองซึ่งเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วย

ฟังเผินๆก็ดูมีเหตุผลดี แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียด พบว่า ในการจำหน่ายสลากนั้น พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้แบ่งส่วนรายได้จากการขายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายถึงร้อยละ 12 อยู่แล้ว ซึ้งหมายความว่าในราคาสลากที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาทนั้นมีส่วนที่เตรียมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายอยู่แล้วถึง 9.60 บาท และแม้ว่าผู้จำหน่ายระดับยี่ปั๊วจะต้องรับภาระสลากที่ขายไม่ออก แต่ความรู้เกี่ยวกับสถิติการจัดจำหน่ายที่ทำอยู่เป็นประจำก็น่าจะช่วยให้ยี่ปั๊วทุกรายสามารถประมาณจำนวนที่ควรรับไปจำหน่ายได้ใกล้เคียงกับยอดที่จะขายได้จริงไม่น่าจะมีจำนวนที่เหลือขายมากนัก

ถ้าเปิดโอกาสให้มียี่ปั๊วรายใหม่เข้าไปแข่งขันเพิ่มขึ้นหรือถ้ายี่ปั๊วรายใหญ่ที่มีอยู่เดิมแข่งกันอย่างจริงจัง ราคาสุดท้ายไม่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 110 บาทดังที่เป็นอยู่ได้เลย

แต่เป็นที่น่าเศร้าใจที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยี่ปั๊วรายใหญ่ไม่ได้แข่งขันกันอย่างจริงจัง มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่สุดเป็นแกนกลางประสานประโยชน์ จัดระบบการจำหน่ายทั้งเครือข่ายและกำหนดราคาจัดจำหน่ายในขั้นต่อๆไป

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าผู้จัดจำหน่ายรายย่อยจะต้องมีรายได้ในการจัดจำหน่ายเพื่อใช้จ่ายในการยังชีพ แต่เท่าที่ทราบมาผู้จัดจำหน่ายรายย่อยนั้นได้รับส่วนแบ่งรายได้ไม่มากนัก รายได้ขนาดใหญ่ตกอยู่กับยี่ปั๊วระดับแรกซึ่งเป็นผู้จัดระบบทั้งหมด

ระบบนี้มีมานานหลายสิบปีและยี่ปั๊วรายใหญ่เหล่านี้ก็ได้รับประโยชน์มานานแล้ว ทำไมจึงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้ และทำไมจีงปล่อยให้ผู้ซื้อสลากซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นผู้มีรายได้ต่ำต้องรับภาระราคาส่วนเพิ่มที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว มาโดยตลอด

คำตอบก็คือยี่ปั๊วชุดนี้มีผู้นำที่เก่งมาก เป็นผู้ประสานประโยชน์ที่มีความสัมพันธ์ทีดีกับนักการเมืองในพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่ง และเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่สำคัญสำหรับพรรคการเมืองนั้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ย้อนไปเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้วเมื่อพรรคขนาดใหญ่ดังกล่าวเป็นฝ่ายค้าน พรรคการเมืองคู่แข่งที่อยู่ในรัฐบาลพยายามเปลี่ยนระบบจัดจำหน่ายให้เป็นธรรมขึ้น เตรียมจัดให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนการจำหน่ายด้วยคนเพื่อมิให้มีการโก่งราคากันอีกต่อไป จึงได้จัดให้มีการจัดซื้อเครื่องขายสลากซึ่งมีการประมูลกันอย่างนับว่ายุติธรรมมากด้วยมีคุณสุธี อากาศฤกษ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตของแผ่นดินเป็นประธานในการตัดสินการประกวดราคา ซึ่งสรุปผลการประกวดราคาได้เสร็จตั้งแต่รัฐบาลนั้น แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบเครื่องขายสลากดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนรัฐบาล และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับยี่ปั๊วสลากรายใหญ่เข้ามาอยู่ในรัฐบาลอีก จึงมีการถ่วงไม่ให้มีการส่งมอบเครื่องดังกล่าวต่อไปอีก

ต่อมาเมื่อพรรคไทยรักไทยเข้าเป็นรัฐบาล พรรคขนาดใหญ่นั้นก็กลับไปเป็นฝ่ายค้านอีก กองสลากจึงดำเนินการเจรจากับบริษัทผู้ขายเครื่องจำหน่ายสลากซึ่งประกวดราคาเสร็จไว้แล้วต่อไป จะด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ แทนที่จะเตรียมนำเครื่องนั้นไปใช้ในการจำหน่ายสลากกินแบ่ง กองสลากได้เปลี่ยนให้เตรียมนำไปใช้ในการจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งเริ่มออกจำหน่ายในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เพื่อทดแทนการจำหน่ายด้วยคนบางส่วน

บังเอิญเรื่องหวย 2 ตัว 3 ตัวนี้ต้องชะงักลงในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันมีการรื้อฟื้นให้กองสลากเตรียมจำหน่ายหวย 2 ตัว และ 3 ตัวโดยจะให้จำหน่ายด้วยเครื่องไม่ใช้คนดังที่ทำอยู่เดิมในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลปัจจุบันพิจารณาเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

จนในที่สุดกองสลากก็มีมติดังกล่าวแล้ว หลายคนก็เข้าใจว่า พรรคแกนนำซึ่งรู้เรื่องความเป็นมาของการจำหน่ายสลากกินแบ่งเป็นอย่างดี คงจะได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นที่พอใจแล้ว คงจะเห็นว่าการใช้เครื่องจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ไม่น่าจะมีผลกระทบระบบจำหน่ายสลากกินแบ่งที่เป็นอยู่

แต่ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นคนกลางมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่า โดยเห็นว่าถ้าปล่อยให้ใช้เครื่องขายหวย 2 ตัว 3 ตัว และปรากฏว่าผู้ซื้อหวยสามารถซื้อได้ตามราคาที่กองสลากกำหนดไม่ต้องจ่ายแพงกว่ามากดังเช่นในกรณีสลากกินแบ่ง

ในที่สุดผู้ซื้อสลากกินแบ่งก็อาจเรียกร้องให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนระบบเดิม ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลและกองสลากก็ต้องสนองตอบต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนผู้ซื้อสลาก ทุกอย่างก็จะสายเกินแก้ จึงจำเป็นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการหาทางขัดขวางไม่ให้มีการขายหวย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องตั้งแต่เริ่มแรก

นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรคนั้น เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่ารัฐบาลอนุญาตแล้วตามที่คณะกรรมการกองสลากลงมติ

มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย – หากนายกฯไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงความเห็นคัดค้านตั้งแต่แรก เพราะมีช่วงเวลาที่จะคัดค้านได้หลายตอนก่อนที่กองสลากจะมีมติ – นายกฯเกรงใจใครหรือ จนถึงกับไม่กล้าดำเนินการในสิ่งที่รัฐมนตรีที่มีความสามารถหลายคนดูมาแล้วว่าเหมาะสม –

หรือว่ากลัวว่าท่อน้ำเลี้ยงจะแห้งลง – ถ้ากลัวเช่นนี้แล้วใครจะเชื่อว่าท่านกล้าปราบคอร์รับชั่นจริง

สหรัฐเมินเจรจาเอฟทีเอไทย หันถก"สิงคโปร์-เวียดนาม"แทน


ที่มา:ประชาไท

10 ม.ค.53 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นางเกษสิริ ศิริภากรณ์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ สหรัฐกำลังจะเริ่มต้นเจรจาหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับกลุ่มข้ามแปซิฟิก หรือทีพีพี (TRANS-PACIFIC PARTNERSHIP AGREEMENT) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เวียดนาม สิงคโปร์ และบรูไน เพราะต้องการเจาะเข้ากลุ่มอาเซียน ละตินอเมริกา และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบมากประเทศเหล่านี้มากโดยเฉพาะเวียดนาม
"ถ้าการเจรจาจบเมื่อไร สหรัฐไม่จำเป็นต้องทำเอฟทีเอกับไทยอีกแล้ว เพราะสหรัฐได้คู่ค้าของเราไปหมด ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี ในละตินอเมริกาและอาเซียน แต่ไทยจะไม่ได้อะไรเลย และยังเสียเปรียบประเทศเหล่านั้นอีก โดยเฉพาะเวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ" นางเกษสิริกล่าว
นางเกษสิริ กล่าวว่า มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กำหนดให้การทำสนธิสัญญา และข้อตกลงระหว่างประเทศ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนนั้น มีข้อดี ที่ทำให้การเจรจามีความรอบคอบมากขึ้น แต่ข้อเสีย คือ ทำให้ไทยเจรจาข้อตกลงต่างๆ ล่าช้า ไม่ทันประเทศอื่น จึงควรจะกำหนดให้ชัดเจนว่า ข้อตกลง หรือสนธิสัญญาใดบ้างต้องเข้าสภา หรือไม่ต้องเข้า น่าจะเป็นประโยชน์กับไทยมากกว่า
ทั้งนี้ เอฟทีเอไทย-สหรัฐหยุดการเจรจามาตั้งแต่ไทยปฏิรูปการปกครองในปี 2549 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ไทยก็ต้องนำข้อตกลงเข้าสู่การพิจารณาของสภาใหม่ ซึ่งทำให้การดำเนินการเจรจาล่าช้าอย่างมาก แต่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีท่าทีชัดเจนในเรื่องการเดินหน้าการเจรจา
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐ ที่หยุดการเจรจาไปตั้งแต่ปี 2549 นั้น ขณะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมจะเจรจาต่อ หลังจากดำเนินการด้านกฎหมายภายในประเทศเสร็จสิ้นแล้ว โดยไทยจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้ความเห็นชอบก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2547 มีการเจรจาไปแล้วทั้งหมด 6 รอบ การเจรจาครอบคลุมประเด็นการค้าการลงทุนอย่างกว้างขวางกว่า 22 ประเด็น อาทิเช่น สินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการค้า อาทิเช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ นโยบายการแข่งขัน กระบวนการศุลกากร แรงงาน และสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายหยุดการเจรจาตั้งแต่เดือน ก.พ. 2549 เนื่องจากการยุบสภาในไทยและการปฏิวัติเมื่อเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

กรมป่าไม้แฉ’อำมาตย์แอ๊ด’ยังไม่ส่งคืนที่ดินเขายายเที่ยง


รองอธิบดีกรมป่าไม้ เผย ยังไม่ทราบเรื่อง’สุรยุทธ์’คืนที่เขายายเที่ยง ขณะที่คนสนิทอ้าง”อำมาตย์แอ๊ด” รอผลพิจารณาของกระทรวงทรัพย์ฯยืนยันพร้อมทำตามมติ ‘สมชาย’แฉรบ.ใช้งบไม่จำเป็นส่งทหาร-ตร.ปกป้อง”อำมาตย์แอ๊ด” ที่เขายายเที่ยง
ภายหลังที่อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับพวก คดีบุกรุกเขายายเที่ยง โดยระบุว่า จากการสอบสวน การครอบครองของ สุรยุทธ์ เป็นการครอบครองที่ขาดเจตนากระทำผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ ว่าจะดำเนินการเอาที่ดินคืนจาก สุรยุทธ์หรือไม่อย่างไร ในส่วนของอัยการไม่มีอำนาจนั้น

นายชลธิศ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยถึงรายงานข่าวการเตรียมทำเรื่องส่งมอบที่ดิน บริเวณเขายายเที่ยง ที่ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถือครองสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์บนที่ดินผืนดังกล่าวคืนให้แก่รัฐว่า จนถึงขณะนี้ ตนเองนั้นยังไม่ทราบเรื่องการส่งมอบคืนสิทธิ์บนที่ดินดังกล่าว แต่โดยปกตินั้น การทำเรื่องคืนลักษณะดังกล่าวอาจจะทำได้ในพื้นที่เลย โดยไม่ต้องเข้ามาที่ส่วนกลาง แต่ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว

ด้านความเคลื่อนไหว สุรยุทธ์ ล่าสุด นายทหารคนสนิทเปิดเผยว่า ขณะนี้ ขั้นตอนอยู่ที่การรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้อธิบดีกรมป่าไม้ ตั้งกรรมการมาหาวิธีดำเนินการกับที่ดินผืนดังกล่าว ขณะที่ ยืนยันเช่นกันว่า สุรยุทธ์ พร้อมทำตามผลที่ประชุมของคณะกรรมการ ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร

ด้าน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อาจทำให้คนผิดให้เป็นถูก โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม และจากการที่ตนได้ลงพื้นที่บริเวณเขายายเที่ยงเมื่อคืนวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาพบว่ามีกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้รับคำสั่งให้ติดอาวุธ ขึ้นไปบริเวณรอบๆ เขายายเที่ยงจำนวนหลาย 100 นาย

“การส่งกำลังทหารและตำรวจกว่า 5,000 นาย ไปที่เขายายเที่ยงนั้นเป็นการใช้งบประมาณโดยไม่จำเป็น เป็นการไปปกป้องผู้กระทำผิดหรือไม่ เพราะหากจ่ายเบี้ยเลี้ยง วันละ 500 บาท หากอยู่ 4 วันก็จะต้องใช้เงินงบประมาณ กว่า 10 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าน้ำมันค่าขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปปกป้องบ้านหลังเดียว ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณภาษีประชาชนไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท โดย กมธ.การทหาร สภาผู้แทนราษฎร อาจเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาขอรายละเอียดในการเดินทางไปเขายายเที่ยงว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้กำลังพลมากขนาดนี้หรือไม่” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า ขอถามไปยังรัฐบาลว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ เพราะหากรัฐบาลจัดการเรื่องที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างเป็นธรรม ก็จะไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา แถลงข่าวออกตัวให้พล.อ.สุรุยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และระบุว่าพล.อ.สุรุยุทธ์ไม่ได้มีเจตนากระทำผิดนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะนายคำนูณ เป็นส.ว.จากการแต่งตั้งยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ต้องเอาใจอดีตนายกฯสมัยคมช. ทั้งนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนก็แปลกใจการทำหน้าที่ของนายคำนูณ ทั้งที่น่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน แต่กลับไปแถลงข่าวออกตัวแทนสุรยุทธ์

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

การโกงกินชาติโดยผู้เปี่ยมคุณธรรม


ที่มา:ประชาไท

โดย:ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประเทศไทยของเราเจริญช้า จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปมากมายแล้ว ผมไม่ได้นิยมประเทศอื่นมากกว่าไทย แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าวิตกและปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในไทยมีจริง ทำไมบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” จึงปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ใครที่ทำให้ประเทศชาติของเรามีชะตากรรมเช่นนี้

ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังเคยเดินทางและไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบนี้ทั้งเนปาล บรูไน พม่า ลาว มาเลเซีย และอินเดีย รวมทั้งยังสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบปูพรมได้มากที่สุดทั่วกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์ ได้พบภาพเปรียบเทียบมาให้เห็น จะได้ช่วยกันฉุกคิดและสำรวจตรวจสอบกันบ้าง เผื่ออนาคตของลูกหลานไทยเราจะไม่เผชิญภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด

เหลียวมองรอบบ้าน

ประเทศที่รวยกว่าไทยอย่างชัดเจนได้แก่ มาเลเซีย ที่ในสมัยก่อนด้อยกว่าไทย ขนาดตนกู อับดุล ราห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่น้องอีก 3 คนยังเคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมเองก็เป็นนักเรียนเก่าเช่นกัน [1] แต่ ณ ปัจจุบันนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของมาเลเซียกลับสูงกว่าไทยถึงเกือบ 2 เท่า [2] และ สิงคโปร์ ก็รวยกว่าไทยอย่างชัดเจน โดยมีรายได้ต่อหัวถึง 6.14 เท่าของประเทศไทย [3] ทั้งที่ประเทศนี้ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากคน สำหรับบรูไน คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเขามีน้ำมันมหาศาล

ในกรณีประเทศจีนนั้น แม้มีรายได้ต่อหัวเท่ากับ 71% ของไทยซึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรนับพันล้านคน แต่จีนเจริญกว่าเรามาก ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2529 ขณะไปเรียนที่เบลเยียม สถาปนิกจบใหม่ชาวจีนในกรุงปักกิ่งมีรายได้เดือนละ 400 บาท แต่ขณะนี้ที่เมืองลี่เจียงในมณฑลยูนานที่ห่างไกล ข้าราชการใหม่ผู้จบปริญญาตรีทั่วไป จะได้เงินเดือนประมาณ 11,000 บาท แถมสวัสดิการอีกมากมาย นี่ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

ที่ประเทศจีน เขาทำให้องค์กรของรัฐกะทัดรัด มีประสิทธิภาพสูง เป็นเสมือนบริษัทที่ดีที่สุดที่คนจีนมุ่งมั่นจะเข้าไปทำงานด้วย ต่างจากไทยที่อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่หัวกระทิไม่พึงปรารถนานัก แต่กลับเป็นที่พึงปรารถนาของผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราจึงมีข้าราชการบางส่วนที่เป็นภัยสังคม คือเข้าไปเป็นกาฝาก ทำงานเช้าชามเย็นชามและโกงชาติเมื่อมีโอกาส

น่าสงสัยจริง ๆ

ประเทศเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 25 ปี แซงหน้าประเทศไทยได้อย่างไรทั้งๆ ที่เขาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว ทำไมเราจึงถูกประเทศที่เล็กกว่า เช่นสิงคโปร์ ประเทศที่เคยเป็นประเทศราชหรืออดีตอาณานิคม เช่นมาเลเซีย หรือประเทศที่จนดักดาน เช่นจีนที่ปู่ย่าตายายของผมที่หนีความอดอยากมาเมื่อ 80 ปีก่อน แซงหน้าเราไปได้

ถ้าไทยเรามีคนดี หรือผู้มีคุณธรรมสุดเลิศเลอจริง เราจะมีบ่อนเถื่อน เจ้ามือหวยเถื่อน ยาบ้าเกลื่อนเมืองและเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เราจะปล่อยให้มีการโกงกินกันมโหฬารทั้งในส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลางได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมีขอทานเขมร แรงงานพม่า และแท็กซี่เถื่อนทำมาหากินตบหน้าประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร

ถ้าเรามีตงฉินปกครองเมือง ไม่ใช่มีกังฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เราคงทำอย่างจีนที่ลงโทษผู้โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น จับไปยิงเป้าหรือติดคุกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเวียดนามนักฟุตบอลทีมชาติที่ไปล้มบอลในกีฬาซีเกมส์ที่กรุงมะนิลาเมื่อ พ.ศ.2548 ถูกจับติดคุก 5 ปี ส่วนพี่ไทยนั้น ยิ่งล้ม ยิ่งรวย นอกจากนี้กัปตันเครื่องบินเวียดนามที่ซื้อเครื่องเสียงหนีภาษีเข้าประเทศ ก็โดนไล่ออก แต่ของไทยเรานำเข้ามาจนเจ๊เล้งรวย! [4]

ระบบคนดีที่ควรถูกตรวจสอบ

เมื่อพูดถึงการโกง บางคนอาจมองไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ท่านโกงหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบและตัดสินโดยศาลกันต่อไป แต่กระบวนการโกงชาติที่ผมนำเสนอนี้ยิ่งกว่ากรณีนักการเมืองคนเดียวเป็นร้อยเท่าพันทวี เพราะเป็นระบบการโกงที่ฝังรากลึกในวงราชการ พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมทั้งหลายที่มักพูดปาว ๆ เสียงดังฟังชัดว่ารักชาตินั้น อาจกล่าวเท็จหรือเป็นผู้ดีจอมปลอม เพราะถ้าเป็นของจริง ทำไมจึงมีเรื่องโกงกินเกิดขึ้นมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกทีแม้ในรัฐบาล “เทพประทาน” ชุดนี้ [5] พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมเอาหูไปนาตาไปไร่อยู่เสียที่ไหนจึงไม่เคยแตะต้องคนโกงชาติเลย

การสวมเสื้อคลุมหรือมีภาพคนดีมีคุณธรรมคงช่วยให้การโกงกินดูไม่มูมมามเหมือนพม่าที่เป็นแบบบุฟเฟต์ คือแบ่งกันกินกันใช้อย่างโจ๋งครึ่มเท่านั้น บรรดาคนดีเหล่านี้อาจพึ่งโจรเพื่อค้ำจุนภาพพจน์และอำนาจเสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะที่ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น [6]

เราจึงควรทบทวนกันว่าระบบยศถาบรรดาศักดิ์ของไทยเป็นการให้ลาภแก่ผู้มียศมีตำแหน่งเป็นสำคัญหรือไม่ ทำให้เกิดความมัวเมาในลาภยศหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นลูกหลานของพวกเขายังอาจเอายศถาบรรดาศักดิ์ของบุพการีไปใช้ประโยชน์หรือไม่ การเคยเป็นนายพล ปลัด อธิบดี ฯลฯ เป็นเกียรติและเป็นประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลโดยที่ประเทศชาติอาจไม่ได้อะไรจากคนเหล่านี้หรือไม่

ข้อคิดส่งท้าย

ถ้าทักษิณโกงจริงน่ะ ยังแค่ปลาซิวปลาสร้อย ผมขอเรียนพี่น้องเสื้อเหลืองและเสื้อแดงว่าผมไม่มีเจตนาให้ร้ายหรือแก้ตัวให้อดีตนายกฯ ทักษิณ แต่เงินจำนวนไม่กี่หมื่นล้านที่อ้างกันนั้น เชื่อว่ายังเทียบไม่ได้กับเงินที่ตกหล่นในแต่ละปีจาก:

1. การมีระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะและเลี้ยงคนไว้เป็นกาฝากแทนที่จะมารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ

2. การที่เงินไปเข้ากระเป๋าข้าราชการประจำและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศจากงบประมาณแผ่นดินปีละเกือบสองล้านล้านบาทเสียอีก

ระบบการโกงกินในบ้านเมืองของเราในยุคคุณธรรมนำการเมืองนี่แหละที่สร้างความวิบัติต่อชาติของเราอย่างสุดแนบเนียน ถ้าไม่มีการโกงกิน ทำงานเป็นกาฝากดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากภาษีอากรของประชาชน ป่านนี้เรามีทางด่วน รถไฟฟ้า ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั้งในเมืองและชนบทกันมหาศาลผิดหูผิดตาเช่นที่เกิดขึ้นในจีน มาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว

ผมไม่อยากให้อาม่าของผมเสียใจที่ย้ายมาผิดที่ (แต่ผมก็ภูมิใจในความเป็นไทย และขอตายที่นี่)



อ้างอิง:
[1] โปรดดู http://th.wikipedia.org/wiki/ตนกู_อับดุล_ระห์มัน

[2] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/my.html รายได้ต่อหัวของมาเลเซียเป็นสัดส่วน 1.79 เท่าของประเทศไทย

[3] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/sn.html

[4] จากบทความ “16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย” ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market157.htm

[5] อ่านรายละเอียดของฉายารัฐบาลได้ที่ http://news.sanook.com/politic/politic_332859.php และอ่านข่าว “ชงฟันวิทยา-มานิต วัดใจมาร์ค เอี่ยวโกงไทยเข้มแข็ง” ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/pol/55658

[6] โปรดอ่านบทความเรื่อง “พระพุทธเจ้า: ผู้ประกาศศักยภาพความเป็นมนุษย์” ทึ่สรุปจากหนังสือพุทธประวัติของพระติชนัทฮันห์ ที่ว่า “ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด แม้กษัตริย์จะทราบถึงความละโมบและการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้รักษาบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้” ได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market172.htm

“กรณ์” รมต.นักกู้ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย หน้าบาน ฝรั่งให้รางวัล


ที่มา : บางกอกทูเดย์

สร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้ จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแหน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ “

เจองานเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะถูกพรรคเพื่อไทยตรวจสอบเรื่องการอัพเกรดตั๋วเครื่องบิน จนทำให้เสียฟอร์มเศรษฐี แถมยังถูกสงสัยว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ด้วยหรือไม่?จนทำให้ “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับลมออกหูสั่งให้มีการชี้แจงยกใหญ่ ว่าไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าสิทธิในการเป็นรัฐมนตรีเลย

แต่ในใจอาจจะอดคิดไม่ได้ว่า ไม่น่าต้องมามีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่ต้นปีอย่างนี้เลย เพราะเผลอๆ อาจจะทำให้ซวยไปตลอดทั้งปีก็ได้แต่ห่างมาไม่กี่วัน ทีมงานก็สามารถทำให้รัฐมนตรีกรณ์ยิ้มร่าจนหน้าบานเพราะนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ของอังกฤษ ที่อยู่ในเครือของ ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ส ได้ยกย่องให้นายกรณ์ ให้เป็นถึงรัฐมนตรีคลังโลกและเอเชีย-แปซิฟิกประจำปี 2010ยกเหตุผลว่า ได้รางวัลเพราะว่ามีผลงานอันโดดเด่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

บอกว่านายกรณ์มีความกล้าในการตัดสินใจ และใช้นโยบายที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล เพราะกระทรวงการคลังยืนยันไปว่าทำให้เศรษฐกิจที่ตกต่ำสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การเติบโตในอนาคตด้วยนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ได้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่กล้าใช้งบประมาณมากกว่า 4.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวรวมทั้งยังมีการเร่งรัดการใช้จ่ายระยะยาวของรัฐบาล

ในโครงการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ขณะเดียวกันก็เร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในรูปแบบสารพัดอีกด้วยแถมยังมีการเปิดประตูหราให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพิ่มขึ้นซึ่งในมุมมองของนิตยสารเดอะ แบงก์เกอร์ ถือว่าเป็นผลงานที่เหนือกว่ารัฐมนตรีคลังคนอื่นๆแต่ในมุมมองของสังคมไทย คงเป็นเรื่องของนานาจิตตัง เพราะหลายคนทำหน้างงว่า การสร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล

การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ชมรม กม.ภิวัฒน์ยื่นหนังสือเรียกร้อง"3 องคมนตรี"ลาออก อ้างร่วมโค่น รบ. - บุกเขายายเที่ยง


มติชนออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายฯ ได้เดินทางไปที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีนายศิริ ปะทะธันัง นิติกร 7 กองนิติการ สำนักราชเลขาธิการ เป็นผู้ออกมารับหนังสือ

หนังสือระบุว่า บุคคลทั้ง 3 คนมีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมมือวางแผนให้เกิดการปฎิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มอำนาจการบริหารประเทศของรัฐบาลในขณะนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนและล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทั้งยังเป็นการตระบัดสัตย์ต่อคำปฎิญาณที่ได้กล่าวต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการก้าวสู่ตำแหน่งที่สำคัญๆของ พล.อ.เปรม หลายตำแหน่งไม่ชอบธรรม ถือเป็นการทำลายระบบและก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ

ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บริหารประเทศผิดพลาดหลายประการ รวมถึงกระทำผิดกฎหมายบุกรุกที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณเขายายเที่ยง และนายชาญชัย นั้นก็ได้รับความดีความชอบและได้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมใน รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเห็นชัดว่าบุคคลทั้ง 3 ท่านขาดคุณสมบัติ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ที่จะดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี อันมีตำแหน่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งต่อไป ทั้งนี้หากยังคงดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ ก็จะสร้างความแตกแยกสามัคคี ความไม่ชอบธรรมในประเทศชาติและจะทำให้ประชาชนไม่พึงพอใจในการดำรงตำแหน่ง อันจะนำไปสู่ความเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำแหน่งองคมนตรีและเป็น ที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“พตท.ดร.ทักษิณ” มอบคำขวัญวันเด็ก


พตท.ดร.ทักษิณ มอบคำขวัญวันเด็กที่เชียงใหม่ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี ” ส่ง “บีบี” แบล็คเบอร์รี่” แจก-โฟนอิน อวยพรวันเด็กคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่
(8ม.ค.) นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้


กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ได้รวมตัวกันจัดงานวันเด็กให้กับลูกหลานคนเชียงใหม่ ขึ้นที่ด้านหน้าโรงแรมวโรรส แกรนด์ พาเลซ หลังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมืองเชียงใหม่ โดยกิจกรรมในงานจะมีความพิเศษหลายอย่างทั้งเน้นให้เด็กๆได้ร่วมสนุกและแสดงออกซึ่งความสามารถที่มี เนื่องในโอกาสพิเศษที่สำคัญดังกล่าวทางพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็กของท่านส่งตรง มามอบให้กับลูกหลานคนเสื้อแดงและเด็กไทยเป็นการพิเศษด้วย โดยคำขวัญของพ.ต.ท.ทักษิณที่ฝากมาอวยพรในวันเด็กปีนี้คือ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี”

และยังมอบของขวัญชิ้นพิเศษสุดฝากมาให้กับเด็ก ๆที่จะเข้ามาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.)

เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีขนาดเล็ก ยี่ห้อแบล็คเบอรี่ จำนวน 1 เครื่อง กับเด็กผู้โชคดีซึ่งเราจะมีการจับสลากรางวัลเด็กผู้โชคดีจากเด็กทั้งหมดที่มาร่วมงานและในเวลาประมาณ 09.00-10.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเข้ามาอวยพรวันเด็ก

นายเพชรวรรต กล่าวว่า นอกจากของขวัญชิ้นพิเศษจาก พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว

ทางเรายังได้ประกาศเปิดรับบริจาคของขวัญและของกินจากคนเสื้อแดงในพื้นที่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาผ่านทางวิทยุชุมชน ปรากฏว่าขณะนี้ได้รับมอบรถจักรยานเด็กมาแล้วรวม 70 คัน โทรทัศน์ ตู้เย็น ข้าวกล่องกว่า 5,000 ห่อ ไอศครีม 5,000 แท่ง และยังมีของขวัญซึ่งประกอบไปด้วยของเล่น ของใช้และอุปกรณ์การเรียนการกีฬาอีกมากกว่าหมื่นชิ้น คาดว่าเด็กๆที่จะเดินทางมาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้จะมีความสุขกับของขวัญที่จะได้รับอย่างเต็มที่ ซึ่งเบื้องต้นเราคาดการณ์ไว้ว่าจะมีเด็กมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ทั้งลูกหลานคนเสื้อแดงจากทุกอำเภอของจ.เชียงใหม่ และบางส่วนเดินทางมาจากจ.ลำพูน