--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฮีโร่ตัวจริง


ที่มา:บางกอกทูเดย์

เข้าสู่เดือนธันวาคมของทุกปีดวงใจพสกนิกรชาวไทยทุกดวงต่างรอคอยที่จะร่วมเฉลิมฉลอง วันสำคัญ 5 ธันวามหาราช วันสำคัญของประเทศที่หนึ่งปีมีครั้งเดียวปี 2552 ภายใต้การนำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรัฐบาลเนรมิต แสง สี เสียง 4 มิติ (4D VisualLight & Sound) เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่พระที่นั่งอนันตสมาคมและถนนราชดำเนินตลอดสายอย่างเช่นทุกๆ ปีหน่วยงานและห้างร้านเอกชน องค์กรต่างๆ ประดับดวงไฟน้อยใหญ่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวันสำคัญทั่วประเทศแสงไฟบนถนนทุกสายแข่งกันโชว์ความสว่างฉายความสวยงามในยามคํ่าคืน เพื่อต้อนรับวันสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคมและถนนสายราชดำเนิน9 คืน กับงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อลังการ

ตระการตาด้วยแสง สี เสียงปิดท้ายคืนที่ 9 วันที่ 13 ธันวาคม กับการโชว์พลุ9,000 นัด ที่ริมทะเลสาบ เมืองทองธานีทุกกิจกรรม ทุกการแสดงสร้างความประทับใจให้คนทั่วโลก!งานนี้ต้องปรบมือให้กับ “นักเนรมิต” ทุกหน่วยงาน....อีกหนึ่งหน่วยงานที่เราต้องปรบมือดังๆ ให้คือ กทม. ที่รับหน้าที่ “รักษาความสะอาดอำนวยความสะดวก”กทม. จัดทัพเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดหลายกำลัง เพื่อเก็บ กวาด เช็ด ล้าง ถนนทุกสาย ตลอดทุกพื้นที่ที่มีการจัดงานเฉลิม

ฉลองภาพ “ขยะกองมหึมา” ที่ได้รับการกวาดต้อนมารวมกันจากเจ้าหน้าที่กวาดถนนในช่วงเช้าของวันใหม่...ทำให้ผู้เขียนละเลยไม่ได้ว่ากำลังสำคัญ 1ที่ทำให้กิจกรรมแสงสี เสียง 4 มิติ สวยงามอลังการตระการตาได้ยาวนานถึง 9 วัน 9 คืนคือ เจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ภายใต้การควบคุมดูแลของ กทม.ขยะกองมหึมาได้รับการจัดเก็บโดยเจ้าหน้าที่กวาดถนน ก่อนที่จะมีการขนย้ายไป “ทำลาย” นอกเมืองโดยเจ้าหน้าที่เก็บขยะก่อน 08.00 นาฬิกา... สัญญาณ “บังคับ” ว่าถนน

ทุกสายจะต้องสะอาดเรี่ยมเร้เรไร พร้อมต้อนรับ“ชาวไทย-ชาวต่างชาติ” เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองและเข้าชมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับการจัดนิทรรศการตลอดถนนสายราชดำเนินถังขยะทุกใบ! จะต้องพร้อมที่จะรับศึกหนัก!ในคํ่าคืนที่พสกนิกรหลั่งไหลมาร่วม เฉลิมฉลองในวันสำคัญที่สุดอีก 1 วันของคนไทยทั้งประเทศเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ภายใต้การควบคุมของกทม.จะต้อง “เก็บ กวาด เช็ด ล้าง” ถนนที่เกลื่อนไปด้วย “ขยะ” อย่าง

หนัก! ตลอด 9 วันในขณะที่ทุกคน “หลับใหล” ภายหลังอิ่มเอิบกับกิจกรรมที่สวยงาม อลังการ ตระการตาและได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...เจ้าหน้าที่จากสังกัด กทม.ต้อง “เก็บ กวาด เช็ดล้าง” เพื่อต้อนรับ “วันใหม่” ที่ทุกพื้นที่ต้องสวยงามสะอาด เหมือนเดิมไม่ต้อง “คำนวณ” ให้เมื่อยสมอง ว่า กทม.จะต้องระดมกำลังมากี่คน? หรือต้องใช้เวลาเท่าไหร่สำหรับการเก็บ กวาด เช็ด ล้าง?แค่รู้ว่า แม้จะเป็นไปตามหน้าที่ แต่ทั้งหมดคือความเสียสละ!?

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"จิ๋ว"ให้"ศิวรักษ์"พบสัปดาห์หน้ารับไม่สบายใจถูกว่าจัดฉาก พท.แนะแม่ไม่สบายใจฟ้องร้องได้


ที่มา:มติชนออนไลน์

"บิ๊กจิ๋ว"ให้"ศิวรักษ์"เข้าขอบคุณสัปดาห์หน้า บอกไม่สบายใจถูกกล่าวหาจัดฉาก เจ้าตัวหวังกลับไปทำงานเขมรอีกเมินฟ้อง "พร้อมพงษ์"ยังเสี้ยมแม่ปรึกษาครอบครัวให้ฟ้องได้หากไม่สบายใจ

"ศิวรักษ์"พบ"จิ๋ว"สัปดาห์หน้า

นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พท. และหนึ่งในคณะ ส.ส.ที่ไปรับตัวนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษพ้นจากคุกกัมพูชา กลับประเทศไทย กล่าวว่า เท่าที่ทราบนายศิวรักษ์ไม่ประสงค์ที่จะยื่นฟ้องร้อง เนื่องจากต้องการกลับไปทำงานที่ประเทศกัมพูชา ขณะที่ทางบริษัทต้นสังกัดได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่ คาดว่านายศิวรักษ์จะเข้าพบ พล.อ.ชวลิตเพื่อกราบขอบพระคุณภายในสัปดาห์หน้า

ส่วนนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พท. และคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิตเปิดเผยว่า ได้เข้าพบ พล.อ.ชวลิตที่บ้านพักเพื่อรายงานผลการรับมอบตัวนายศิวรักษ์ที่กัมพูชา โดย พล.อ.ชวลิตได้ขอบใจ แต่ไม่สบายใจกรณีมีการให้สัมภาษณ์จากคนในส่วนของ ปชป.ที่พยายามโยน กล่าวหา พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯฮุน เซน ว่าจัดฉากซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด

นายชวลิตกล่าวว่า เรื่องการฟ้องร้องกระทรวงการต่างประเทศเป็นสิทธิของนางสิมารักษ์ แต่เท่าที่ฟังดูว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน้ำใจของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ในเรื่องการถามสารทุกข์สุกดิบหรือการขอโทษนายศิวรักษ์ ในเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์อยากเห็น

"พท."แนะไม่สบายใจฟ้องร้องได้

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. กล่าวว่า นางสิมารักษ์โทรศัพท์มาหาตนพร้อมกับระบุว่าไม่สบายใจต่อท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศที่ไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ของครอบครัวนายศิวรักษ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยกล่าวหาว่าจัดฉาก ได้บอกกับนางสิมารักษ์ไปว่าถ้าไม่สบายใจก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดี เนื่องจากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้ นางสิมารักษ์จึงอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือกับญาติพี่น้องว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พท.ตีปี๊บแบ่ง4กลุ่มซักฟอกรัฐบาล "มิ่งขวัญ-เฉลิม"นำทัพ ย้ำเปิดทางยุบสภาได้ตลอด คุยคะแนนนิยมไม่ตก

ที่มา:มติชนออนไลน์


เพื่อไทยแบ่งทีมซักฟอกรบ.4กลุ่ม "มิ่งขวัญ"จับตากระทรวงเศรษฐกิจ "เฉลิม"ตามกระทรวงสังคม ยันไม่ยื่นญัตติค้างสภา อ้างเปิดทางให้ยุบสภาได้ตลอด เตรียมแถลงประเมินผลงานรัฐบาล21ธ.ค.นี้ โวยังครองใจ"ชาวอีสาน-เหนือ"

พท.แบ่งทีมดูข้อมูลซักฟอก4กลุ่ม

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งถึงการเตรียมการยื่นญัตติและอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในช่วงเปิดประชุมสภาสมัยสามัญที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2553 ว่า พท.แบ่งคณะทำงานติดตามการปฏิบัติงานรัฐบาล จัดเป็นกลุ่มกระทรวง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กระทรวงเศรษฐกิจ ติดตามการทำงานของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้รับผิดชอบหลัก อาทิ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2.กระทรวงสังคม ติดตามการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้รับผิดชอบหลัก อาทิ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตรัฐมนตรีว่าการ พม.

3.กระทรวงเทคโนโลยี ติดตามการทำงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีผู้รับผิดชอบหลักนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง และนายคณวัฒน์ วศินสังวร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ 4.กระทรวงความมั่นคง ติดตามการทำงานของสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม มหาดไทย การต่างประเทศ ยุติธรรม มีผู้รับผิดชอบหลัก อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี และ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน

ไม่ยื่นญัตติค้าง-ปิดทางไม่ให้รบ."ยุบสภา"

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พท. กล่าวว่า พรรควางกรอบประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคล พร้อมยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง เบื้องต้นจะมีผู้ถูกอภิปรายจำนวน 6 คน รวมนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ด้วยแน่นอน โดยหลักการจะไม่มีการยื่นญัตติค้างไว้ในสภา เพื่อปิดทางไม่ให้รัฐบาลยุบสภาได้ เมื่อรัฐบาลยืนยันในความถูกต้องในสิ่งที่ดำเนินการมาตลอด ก็เลี่ยงไม่พ้นต้องเจอการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยข้อมูลที่ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มั่นใจในน้ำหนักของหลักฐานพอสมควร เพราะพรรควางหลักการว่าจะการอภิปรายใครต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน พูดด้วยเหตุและผล ไม่ใช่การกล่าวหา

ส่วนจะสร้างมิตรทางการเมืองโดยเลี่ยงอภิปรายรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคหรือไม่นั้นน.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ขอรับรองว่า ไม่มีเรื่องทำนองนี้อย่างแน่นอน ส่วนที่ตายคาเขียงแน่ๆ เพราะมีการเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมากและน่าผิดสังเกตว่าจะมีความไม่ชอบมาพากลคือ สำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม และศาลพิพากษาจำคุกนั้น น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะนำมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ ข้อมูลบางเรื่องพรรคได้มาจากการประสานงานจากคนในพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่เป็นเอกภาพในพรรครัฐบาล

แถลงประเมินผลรบ.รอบ1ปี21ธ.ค.

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรค พท. คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรค แถลงผลการประชุมเพื่อประเมินผลการทำงานรัฐบาลว่า พรรคจะรวบรวมข้อมูลการทำงานของรัฐบาลในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากนโยบายและมาตรการที่ประกาศต่อรัฐสภา แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อประเมินผลการทำงานโดยจัดทำเป็นบทสรุปในเชิงวิเคราะห์ เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อย่างไรในการบริหารประเทศ ในหัวข้อเรื่อง "1 ปี แห่งความล้มเหลวรัฐบาลอภิสิทธิ์..เศรษฐกิจย่อยยับ..สังคมแตกแยก....ทุจริตคอร์รัปชั่นเฟื่องฟู" จากนั้นจะมีการแถลงประเมินผลการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 21 ธันวาคม โดยจะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ารับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็น

ซัดรบ.ทำเสียหายกว่างบฯ"เข้มแข็ง"

นายคณวัฒน์กล่าวว่า การประเมินผลงานรัฐบาล ซึ่งเป็นบทสรุปเชิงวิเคราะห์นี้จะครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญคือ สังคมแตกแยก จะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มเหลวอย่างไรในการสร้างความสมานฉันท์และปรองดองภายในชาติ เพราะตัวนายอภิสิทธิ์เองกระโดดเข้ามาเป็นผู้สร้างความขัดแย้งเสียเอง มิหนำซ้ำกลับอ่อนด้อยในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ สร้างความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ในส่วนเศรษฐกิจย่อยยับนั้น ทีมเศรษฐกิจพรรคจะชี้ให้เห็นว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนอกจากล้มเหลวไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงยังเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นเฟื่องฟูในลักษณะการกู้มาโกงเป็นเพียงผักชีโรยหน้า สร้างหนี้สาธารณะจำนวนมากให้คนไทยทั้งชาติแบกรับ ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2553 รวมทั้งจะมีการประเมินความเสียหายจากกรณีรัฐบาลละเลยไม่แก้ไขปัญหามาบตาพุด ซึ่งมีมูลค่ามากกว่างบฯในกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปี

นอกจากนี้จะมีการประเมินค่าความเสียหายที่เป็นตัวเลขซึ่งเกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาลทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมๆ กันแล้ว ความเสียหายอาจจะมากกว่างบฯโครงการไทยเข้มแข็งเสียอีก โดยขอให้รัฐบาลเตรียมคำอธิบายถึงความล้มเหลวตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเพื่อแถลงพร้อมกับการแถลงผลงานรัฐบาลในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ซึ่งพรรคจะรวบรวมข้อมูลนำไปสู่การตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

คุยคะแนนนิยมอีสาน-เหนือไม่ตก

แหล่งข่าวจาก พท.อ้างว่า ผลการสำรวจคะแนนนิยมของพรรค รายภาคเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน พบว่าภาคอีสานพรรคยังครองความนิยมสูงสุด อยู่ที่ร้อยละ 75 ภาคเหนือร้อยละ 64 ภาคกลางร้อยละ 33 และภาคใต้ร้อยละ 4 ขณะที่ กทม.พท.มีความนิยมอยู่ที่ 33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจอีก 20 เปอร์เซ็นต์

แหล่งข่าวกล่าวว่า พรรคสำรวจคะแนนนิยมเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งโดยเฉลี่ยจะใช้คำถามเดิมว่าหากมีการเลือกตั้งท่านจะเลือกพรรคการเมืองใด แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการตั้งคำถามที่มีลักษณะถามนำ ทั้งนี้ ผลสำรวจของเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นครั้งล่าสุดโดยภาพรวมลดลงจากเดือนตุลาคมเล็กน้อย แต่ตัวเลขอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งภาพรวมก็เป็นเช่นนี้มาตลอด คือบวกลบไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่น คะแนนนิยม ในภาคเหนือของเดือนพฤศจิกายนลดลงจากเดือน ตุลาคมเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เต๋า-007 เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย

บินกลับบ้านมานอนเลียแผลใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับยอดชายนายคนยอดซวยแห่งปี 2552 ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ หรือเต๋า-007 จารชนจำเป็นซึ่งตกที่นั่งจำยอม รับหน้าที่จารกรรมแผนการบินของอดีตนายกฯโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เป็นการหักมุมปิดฉากแบบแฮ๊ปปี้เอนดิ้งสำหรับสองแม่ลูก แต่สำหรับมาร์คแล้วมันไม่ใช่ เพราะถูกปล่อยให้ค้างเติ่ง จนต้องวิ่งแจ้นไปหาช่างรองเท้า ให้ช่วยทำศัลยกรรมใบหน้า ที่แตกยับเละเทะหมอไม่รับเย็บ

ก็ไหนว่าแผนการบินไม่ใช่ความลับ แล้วไหงถึงโดนจำคุก 7 ปี พร้อมอ๊อปชั่นจับปรับอีกเป็นแสน นี่ถ้าไม่ได้ลุงจิ๋วกับน้าแม้ว สองแรงแข็งขัน ช่วยกันพายช่วยกันจ้ำ ป่านนี้นักโทษชายศิวรักษ์ มีหวังยังโซ้ยข้าวแดงอยู่ที่คุกไปรซอ ไม่รู้จักเลิก

ยังดีที่ไม่ไปเชื่อลมปากตาเฒ่าชวน ที่งวดนี้มาแนวพหูสูตร สู่รู้ไปหมดว่านายเต๋าไม่ผิด เลยยุให้สู้คดีสุดลิ่มทิ่มประตู ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง เข้าไปนั่น แต่ยุยังไงก็ยุไม่ขึ้น นอกจากว่าทางเขมรยินยอมให้ตาแก่ปากจัดคนนี้ ไปติดคุกแทนระหว่างอุทธรณ์ พร้อมทั้งให้เบิกงบโกงเข้มแข็งไปสู้คดีได้ โดยไม่ต้องควักเนื้อเอง

ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อให้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลลากยาวไปซัก 20-30 ปี เต๋าก็บ่ยั่น

แต่จะว่าไป รัฐบาลไทยก็ไม่ได้นิ่งดูดายซะทีเดียว มีความพยายามช่วยจริงช่วยจัง จนคุณแม่ต้องขอร้องว่า ให้ช่วยไปไกลๆหน่อย ฉันยังไม่อยากให้ลูกติดคุกหัวโต เพราะพี่แกดันหนักไปทางช่วยด่าประจานรัฐบาลเขมร มากกว่าที่จะช่วยเกี้ยเซี้ย

เรื่องของเรื่อง จนป่านนี้คนไทยยังไม่มีโอกาสรู้เรื่อง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แต่ว่าฟังรายงานจากสื่อไทยแล้วปวดหัวมึนตึ้บ ซัดพาราไปเป็นกำมือยังไม่หายมึน

ก็เครื่องลงจอดไปแล้วตั้ง 20 นาที ทีวีเขมรก็ถ่ายทอดให้เห็นกันจะๆ แต่นายคำรบยังอุตส่าห์โทร.ไปล้วงความลับจากนายเต๋าว่า เครื่องบินทักษิณลงหรือยัง แถมยังโทรซ้ำโทรซากตั้ง 3 ครั้ง ลากยาวไปถึง 7 นาที มันมีอะไรให้คุยกันนักกันหนา นอกจากคำว่า..ลงจอดตั้งกะปีมะโว้แล้ว

ฝ่ายนายเต๋าก็อินกับบทบาทไปหน่อย เล่นย่องเข้าไปจิ๊กข้อมูลจากหอบังคับการบิน แล้วแทนที่จะต่อสายตรง ยืนรายงานจ๋อยๆอยู่ตรงนั้น เพราะมันไม่ใช่ความลับซักหน่อย แต่กลับทำกระมิดกระเมี้ยน แอบจดใส่ฝ่ามือออกมา แค่คำว่า CL 30 แล้วยืนหลบมุมโทรศัพท์รายงานเข้าหานายคำรบ

กับคำถามว่าเครื่องลงหรือยัง และคำตอบว่า CL 30 ยังล่อไปตั้ง 7 นาที เสียค่าโทรศัพท์ไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่

นี่ถ้าข้าราชการไทยมีไหวพริบปฏิภาณซักหน่อย..เปิดทีวีเขมรหาข่าวซะ มันก็ไม่มีเรื่อง

งานนี้ต้องบอกว่าเสียค่าโง่อย่างแรง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่นายเต๋าจะไม่เอะใจว่า มันจะเอาข้อมูลการบินของทักษิณไปทำไมกัน ทั้งๆที่เขากำลังฮึ่มฮั่มกันอยู่ แสดงว่ารู้อยู่เต็มอกว่าไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังทำ อาจจะเป็นเพราะว่าทางเลาขาทูต รับประกันซ่อมฟรีให้ ว่าไม่มีเรื่อง

ไม่นึกว่า พอเกิดเรื่องขึ้นมา กระทรวงต่างประเทศแค่บอกว่าทำไปตามกรอบของการทูต แต่ปล่อยให้นายเต๋าทำไปตามกรอบของขี้ทูต จนถูกจับยัดเข้าซังเตเขมรซะ..หายโง่เป็นปลิดทิ้ง

นี่ถ้านายคำรบไม่มีเอกสิทธิ์ทางการทูตคุ้มครอง เรื่องคงจะง่ายขึ้นเยอะ แค่ตำรวจเขมรจับไปดีดไข่เค้นหาความจริงแป๊บเดียว เรื่องก็แดงโร่ลามปามไปถึงใครต่อใคร ที่กำลังมุดหัวหลบมุมอยู่ในตอนนี้

แต่ถึงยังไง สุดท้ายนายเต๋าก็ได้ออกมาลอยนวลโดยไม่ต้องคอยนาน เล่นเอาใครต่อใครหนาวๆร้อนๆ จับไข่สั่นกันเป็นแถว

ก็คนระดับนายกรัฐมนตรี ยังต้องออกมาตีกัน ห้ามศิวรักษ์ป้ายสีคำรบเป็นอันขาด ทำให้ชาวบ้านเขาเอะใจว่า มันรู้ได้ยังไงว่าคำรบบริสุทธิ์ แล้วรู้ได้ยังไงว่า ศิวรักษ์จะป้ายสี

ยิ่งพยายามดับไฟไม่ให้ขยายผล บอกว่า มันควรจะจบได้แล้ว ยิ่งแปลกไปกันใหญ่ เพราะผิดวิสัยของแมลงสาบที่เคยประพฤติปฏิบัติกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ถ้าพวกตัวได้เปรียบ เป็นต้องตามกระทืบซ้ำ ให้จมธรณี ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด

แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อเรื่องมันเข้าตัว กระแส"จัดฉาก"ก็ถูกโหมประโคมเป็นการใหญ่ เริ่มจากวอร์รูมอำมาตย์ ผ่านสื่อไร้จรรยาบรรณ โพลล์แมลงสาบ แล้วก็บรรดากองเชียร์ ต่างส่งเสียงหอนรับกันเป็นแถว

ขอเพียงมีใครจุดพลุมาว่าจะเอายังไง ทุกคนก็พร้อมที่จะตามแห่ ตะแบงหาเหตุผลเอามาประกอบจนได้ ส่วนจะสมเหตุสมผลหรือไม่แค่ไหน ไม่ต้องไปใส่ใจให้มันเมื่อยตุ้ม

ก็ขนาดฮุน เซน นำนายเต๋ามาส่งให้ถึงมือแม่ มันยังเอามาเป็นประเด็น ทำนองว่า ปฏิบัติต่อนักโทษดีเกินกว่าเหตุ เพราะน้าฮุนแกไปโอบหลังโอบไหล่นายเต๋า แทนที่จะโดดถีบเข้าแสกหน้า ฐานที่ทำจารกรรม ล้วงคองูเห่าเขมร

อุทาหรณ์เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ตราบใดที่คนไทยยังโง่ไม่เลิก ตราบนั้นก็อย่าหวังว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้

แต่ดูแล้วยังไงเมืองไทยก็คงต้องดักดานไปอีกหลายปี จนกว่าจะมีใครตายโหงตายห่าให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว สิ้นเวรสิ้นกรรมต่อคนไทยทั้งชาติ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ยังไม่รู้ว่าประชาชนจะอดทนได้แค่ไหน

เป็นธรรมดาของอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลาย ผู้คนก็วิปริตผิดเพศ เห็นผิดเป็นถูก ไม่เอาเหตุเอาผล เอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้ง เมื่อฝ่ายที่เสียเปรียบเรื่องเหตุผล ถือดีว่ามีปืนอยู่ในมือ จึงช่วยไม่ได้ ที่อีกฝ่ายก็ต้องหันไปหาทางเลือกที่ไม่อยากเลือก นั่นคือกองกำลังติดอาวุธ

ในเมื่อตัดสินกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ ก็คงต้องไปจบกันที่ปลายปากกระบอกปืน

วโรทาห์: 15 ธ.ค. 52

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พท.จับมือเสื้อแดงขย่มรบ.ทั้งใน-นอกสภาฯหลังปีใหม่ "เนวิน"ถอดใจไม่หวังเลือกตั้งซ่อมปราจีนฯถิ่นสีแดง


ที่มา:มติชนออนไลน์


เพื่อไทยแบ่งงาน4ทีมเตรียมซักฟอกพร้อมยื่นถอดถอน เสื้อแดงเล็งนัดชุมนุมคู่ขนาน ยังเคาะตัวผู้สมัครเลือกซ่อมปราจีนฯไม่ได้ ลังเล3แคนดิเดต"เชษฐา-วัฒนา-เกียรติศักดิ์" ปชป.ถอย-"เนวิน"ถอดใจพื้นที่เสื้อแดง

พท.แบ่งงานเตรียมตัวซักฟอก

นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะทำงานติดตามการปฏิบัติงานของรัฐบาล ร่วมกับประธานและรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ประจำสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 35 คณะ เพื่อแบ่งงานและเตรียมข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นทันทีหลังเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปในเดือนมกราคม2553โดยพท.ได้จัดเป็นกลุ่มกระทรวง4กลุ่ม คือ 1.กระทรวงเศรษฐกิจ 2.กระทรวงสังคม 3.กระทรวงเทคโนโลยี และ 4.กระทรวงความมั่นคง ซึ่งจะแบ่ง ส.ส.ออกตาม กมธ.ที่แต่ละคนทำหน้าที่อยู่ ว่าก่อนจะถึงการอภิปรายจริง พท.จะเปิดแถลงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า พร้อมกับเสนอแนวทางให้ประชาชนได้เฝ้าระวังด้วย

"รัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เบื้องต้นประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการที่พบการทุจริต อาทิ โครงการไทยเข้มแข็ง และโครงการชุมชนพอเพียง ซึ่งคาดว่าฝ่ายค้านจะยื่นถอดถอนผู้ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย" นายวิทยากล่าว

ขย่มรบ.ทั้งในสภา-ม็อบแดง

รายงานข่าวจาก พท.แจ้งว่า กำหนดเวลาของการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่คาดว่าจะมีขึ้นหลังวันที่ 15 มกราคม 2553 เพื่อเปิดเวทีคู่ขนานทั้งในสภาและนอกสภา โดยการอภิปรายครั้งนี้นอกจากมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.สัดส่วน จะคัดเลือกตัวบุคคลเพื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิก โดยมีแนวทางหนึ่งส่ง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ที่ปรึกษา พท. ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปราจีนบุรี เขต 1 หากได้รับชัยชนะก็จะเสนอเป็นผู้ฝ่ายค้านในสภาและหัวหน้า พท.ต่อไป แต่การเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แนวทางหนึ่งวางไว้ว่า จะเสนอชื่อผู้มีบารมีจากพรรคอื่น อาทิ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช

สำหรับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปราจีนบุรี คณะผู้บริหาร พท.ได้ประชุมแล้วยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยมีรายชื่ออยู่ระหว่างการพิจารณา 3 คน คือ พล.อ.เชษฐา นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายเกียรติศักดิ์ พากเพียรศิลป์ อดีตสมาชิกสภาจังหวัดปราจีนบุรี โดย พล.อ.เชษฐา ยังคงมีคะแนนสนับสนุนเป็นอับดับ 1 และล่าสุดมีความเป็นไปได้ที่ พล.อ.เชษฐาจะตอบรับ

ยึด"สกลนครโมเดล"ชิงส.ส.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. กล่าวถึงการหาเสียงช่วยนายประยุทธ์ ศิริพานิช ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มหาสารคาม เขต 1 ว่าจะยึดรูปแบบหาเสียงเหมือน "สกลนครโมเดล" จะมี ส.ส.ในภาคอีสาน รวมถึง ส.ส.ในภาคต่างๆ เข้ามาเป็นทัพเสริมกระจายกันลงพื้นที่ช่วยหาเสียง แบ่งเป็นระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล จนถึงหมู่บ้าน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อาจโฟนอินหาเสียงให้ด้วย โดยพรรคจะต้องพยายามรักษาพื้นที่และที่นั่งไว้ให้ได้

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคเป็นห่วงเพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับเทศกาลงานปีใหม่จะมีการงานเลี้ยงฉลองกัน อาจมีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ จึงฝากกำชับผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรคให้ระวังอาจมีการสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายทำลายผู้สมัครของพรรคได้

ปชป.หมอบ-"เนวิน"โยนผ้า

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการ ปชป. กล่าวถึงกรณีที่ ปชป.ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มหาสารคาม และปราจีนบุรี ว่า เป็นเพราะต้องพิจารณาเรื่องพรรคร่วมด้วย เนื่องจากอยู่ฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน ไม่เช่นนั้นจะแข่งกันเอง ที่สำคัญ ปชป.เองก็ไม่มีผู้สมัครเองด้วย ยืนยันไม่ใช่การฮั้วกัน เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ขอร้องไม่ให้ส่งตัวผู้สมัครใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้พิจารณาเช่นนั้น เพียงแต่ดูแล้วว่า ปชป.คงสู้ไม่ได้ เพราะผลการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาขนาดลงทุนไปเต็มที่แล้วยังได้คะแนนไม่ถึงครึ่งของเขาเลย

รายงานข่าวจากแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินภท.แจ้งว่านายเนวินชิดชอบไม่ได้คาดหวังกับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มหาสารคาม เนื่องจากเป็นพื้นที่แข็งของ พท. อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เสื้อแดงที่ต่อต้านนายเนวิน ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายเนวินและแกนนำกลุ่ม รวมทั้งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้า ภท. จะไม่ลงพื้นที่ช่วยหาเสียง และขณะนี้นายเนวิน ได้เดินทางไปอังกฤษ ประมาณ 10 วัน เพื่อเยี่ยมบุตรที่ไปศึกษาต่อ

49อดีตพลร่มตบเท้าเข้าพท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศพรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเมื่อเวลา 10.00 น. อดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษ (พลร่ม) จ.ลพบุรี จำนวน 49 นาย อาทิ พล.ท.ชิน สิทธิวรรณ พล.ท.ทวนทอง อินทรทัต พล.ต.ชูเดช ศิลปาภิสันทน์ พ.อ.(พิเศษ) สุวรรณ เดชนุวัฒน์ พ.อ.(พิเศษ) สะอาด บุญกระพือ พ.อ.เกษม ฉิมไทย รวมถึงอดีตนายทหารกองทัพเรือ 2 นาย คือ พล.ร.ต.ประมวล ยุวนิมิ อดีตรองเจ้ากรมสรรพาวุธ พล.ร.ต.ทำนุ สืบนุการณ์ อดีตนายทหารปฏิบัติการพิเศษ เดินทางโดยรถบัสจาก จ.ลพบุรี มาสมัครเป็นสมาชิก พท. โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้า พท.พร้อมคณะผู้บริหารพรรค พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พล.อ.วัฒนา สรรพานิช อดีตรองผบ.สส. ที่ปรึกษาพรรค ให้การต้อนรับ

พล.อ.วัฒนากล่าวว่า ตนและเพื่อนร่วมรุ่น จปร.8 พร้อมคณะนายทหารที่มาสมัครเป็นสมาชิก พท.วันนี้ เป็นเพียงตัวแทนที่มาก่อน เพราะจะมีมาเพิ่มอีกจำนวนมาก เหตุผลที่นำมาสู่การตัดสินใจประกอบด้วย 5 ข้อคือ 1.มีความปรารถนาแน่วแน่ที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริง คือประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.เห็นว่า พท.มีนโยบายที่ดีและเป็นที่ประจักษ์ว่า รัฐบาลพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนสามารถนำนโยบายไปปฏิบัติได้จริง 3.พท.จะเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของคนไทยในการสร้างเสรีภาพและความเสมอภาค 4.ต้องการรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่รัฐบาลของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 5.เชื่อว่า พท.จะพัฒนาเป็นสถาบันการเมืองที่สร้างความรักสามัคคีให้กับคนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนาได้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน

เชื่อหนุนตั้งรบ.พรรคเดียว

พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ทหารเป็นอาชีพที่แปลกกว่าอาชีพอื่น แม้เกษียณราชการก็จะเป็นทหารไปจนวันตาย วันใดที่ประเทศมีปัญหาก็พร้อมพลีชีพเพื่อชาติและราชบัลลังก์ เคยมีฝ่ายไม่ชอบออกมาเยาะเย้ยว่าเป็นทหารแก่ ไม่มีน้ำยา อยากบอกว่าวันนี้การทำงานการเมืองไม่ใช้กำลัง แต่ใช้สมองและประสบการณ์ หากมีการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะอดีตนายทหารเหล่านี้จะใช้ประสบการณ์ดึงมวลชนมาสนับสนุน พท.จนได้รับเสียงข้างมากและตั้งรัฐบาลพรรคเดียวสำเร็จ

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ในฐานะรองโฆษก พท. กล่าวเปิดตัว พล.ท.ทวนทอง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ญาติผู้พี่ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ "เสธ.ไอซ์" ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ลพบุรี เขต 1 เพื่อสู้กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่มีข่าวว่าจะลงสมัคร ส.ส.ในเขตดังกล่าว นอกจาก พล.อ.พัลลภ จะเป็นว่าทีผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนคนแรกในกลุ่ม จ.ลพบุรี

ดูซีเกมส์แล้วย้อนดูตัว


ที่มา:ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ เหล็กใน


นักฟุตบอลและสต๊าฟโค้ชกลับจากเวียงจันทน์หลายวันแล้ว แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังกระหึ่มอื้ออึง

ผลงานไม่เพียงตกรอบแรกครั้งแรกในรอบ 36 ปีเท่านั้น ยังหยุดสถิติแชมป์ 8 สมัยติดต่อกัน

ที่สำคัญภูมิภาคอาเซียน ฟุตบอลไม่ได้เป็นแค่กีฬา

ขลัง และคลั่งกันถึงขั้น บอลตกรอบก็เหมือนซีเกมส์จบ

หรือไม่ได้เจ้าทองไม่เป็นไร ขอให้บอลได้แชมป์

ขนาดนั้นจริงๆ!!

20 กว่าปีก่อน ซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ต้องเข้าวัดพระแก้วจุดธูปสาบาน หลังพ่ายมาเลเซีย เจ้าภาพ

ศูนย์หน้ารุ่นต่อมาเสียผู้เสียคน เมื่อยิงจุดโทษพลาด แพ้อินโดนีเซีย ตกรอบ

โดยมีเสียงเซ็งๆ ของเพื่อนร่วมทีมไล่หลัง

"กูว่าแล้ว"??

ดูบอลซีเกมส์ครั้งนี้แล้วย้อนดูตัว จะเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย

เรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ คือ ทัศนคติ(อันตราย)ของ นักบอล

ยุคนี้หลายๆ คนมีทัศนคติ "เหนือชั้น" กว่าคู่แข่ง

ส่งผลให้ประมาท ขาดสมาธิ ไม่มีความมุ่งมั่น

พอไม่ได้ดังใจก็หงุดหงิด ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

ถึงเวลาต้องปรับแก้ทัศนคติ "ล้างสมอง" กันใหม่!

นักบอลรวมทั้งกองเชียร์ควรรับรู้ร่วมกัน

พม่า มาเลเซีย เมื่อก่อนคือมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย

ครองแชมป์เอเชี่ยนเกมส์มาแล้ว

หรืออย่างเวียดนาม สมัยยังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ใช้ชื่อเวียดนามใต้

ไทยแทบไม่เคยเอาชนะได้เลย

เพราะฉะนั้นชาติคู่แข่งเหล่านี้ ไม่ได้ต่ำชั้น ไม่ใช่ลูกไล่ของเรา!

รีบทำความเข้าใจ แล้วปรับแก้กันใหม่

ซีเกมส์คราวหน้าที่อินโดนีเซีย ยิ่งหนักหนาสาหัส

ผิดหวังจากฟุตบอลหันไปลุ้นตะกร้อ ระหว่างไทยกับมาเลย์

ศักดิ์ศรีระดับชิงแชมป์โลก?

กำลังมันๆ สนุกๆ ช่อง 11 แจ้งว่ามีกำหนดถ่ายทอดถึง 6 โมงเย็น

อันนี้พอเข้าใจเพราะอาร์เอส เจ้าของลิขสิทธิ์จองเวลาไว้แค่นี้

เปลี่ยนไปฟังวิทยุแห่งประเทศไทย เอฟเอ็ม 92.5

ผู้บรรยายแจ้งว่าถ่ายทอดไม่จบเช่นกัน

ถ้าอยากฟังต่อต้องเปิด เอเอ็ม!!

โลกก้าวสู่ 3 G 4 G แต่กรมประชาสัมพันธ์ ยุค "รมต.ตาล" สาทิตย์ วงศ์หนองเตย

ถ่ายทอดมหกรรมกีฬาของอาเซียน ด้วยระบบ เอเอ็ม??

ทนเงี่ยหูฟังจนตะกร้อไทยปราบมาเลย์สมใจ

ช่วยระลึกชาติเหมือนตอนเงี่ยหูฟัง ปรีชา ทรัพย์โสภา ประพจน์ สาครบุตร ประพันธ์ หิรัญพฤกษ์

ถ่ายทอดกีฬาเขต!?

"พัลลภ"แย้ม15 ธ.ค. จปร.รุ่น8เตรียมตบเท้าซบเพื่อไทยกว่า40คน โวมีทหารหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษร่วมด้วย

ที่มา:มติชนออนไลน์


พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยและอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รองผอ.รมน.) กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาระบุว่าคดีของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ได้รับอภัยโทษเป็นละครฉากหนึ่งว่า จะไปจัดฉากได้อย่างไร เขามีหลักฐานไม่อย่างนั้น เราก็ดูถูกคำตัดสินของศาลกัมพูชา หมิ่นคำตัดสินของศาลกัมพูชา การตัดสินเขาก็อ่านคำพิพากษาชัดเจน พูดแบบนั้นไม่ได้ จะมาพูดว่าจัดฉากได้อย่างไร ทั้งนี้ เห็นว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่าพรรคเพื่อไทยจัดฉากนั้น เห็นว่าเป็นธรรมดาที่เขาชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นอยู่เรื่อย อย่างไรก็ตาม โฆษกพรรคเพื่อไทยก็จะแถลงชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง


พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ จะมีน้องทหาร จปร.8 และน้องทหารรุ่นต่าง ๆ ประมาณ 40 คน เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงทหารรุ่นน้องที่อยู่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษด้วย ส่วนที่อดีตทหารตบเท้าเข้าพรรคเพื่อไทยนั้น เพราะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่สามารถทำให้ประเทศมีความมั่นคง และประชาชนอยู่อย่างสันติสุขได้ ทางพรรคไม่ได้ไปเชิญเข้ามา เพียงแต่อดีตทหารเหล่านี้เดินทางมาเข้าร่วมกับพรรคเอง ขณะนี้ถือว่าเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยต้อนรับทุกคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทหาร

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กต.ส่งรองอธิบดีกงสุลดูแล “ศิวรักษ์” กลับไทย


กต.ส่งอธิบดีกรมการกงสุลไปกัมพูชา ดูแลศิวรักษ์หากต้องการความช่วยเหลือขณะรอกลับไทย เชื่อหากมีการแถลงข่าวจะไม่กระทบต่อ กต.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งรองอธิบดีกรมการกงสุลเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อประสานและรออำนวยความสะดวกให้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ หากมีการร้องขอมาจากมารดาของนายศิวรักษ์ ซึ่งขณะนี้รองอธิบดีกรมการกงสุลก็อยู่ที่ประเทศกัมพูชา กำลังรอดูว่าจะมีการขอร้องให้กระทรวงช่วยเหลืออะไรบ้าง

ส่วนกรณีการเตรียมแถลงข่าวหลังเดินทางกลับมาถึงไทยของนายศิวรักษ์นั้น นายชวนนท์กล่าวว่า จะไม่ส่งผลต่อกระทรวง เพราะถ้าพูดเรื่องข้อเท็จจริงทุกอย่างก็ยินดี เพราะตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง กระทรวงก็เข้าไปช่วยเหลือมาตลอด ข้อเท็จจริงต่างๆก็เปิดเผยโดยตลอด ไม่มีอะไรปิดบัง ส่วนกระทรวงต่างประเทศ จะเปิดโอกาสให้นายศิวรักษ์มาชี้แจงที่กระทรวงหรือไม่ นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องแล้วแต่ความต้องการของนายศิวรักษ์ เพราะถือเป็นสิทธิ จะชี้แจงอย่างไรก็ได้ ส่วนที่ฝ่ายค้านจะนำข้อมูลที่เกิดขึ้นมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขอให้เป็นข้อเท็จจริงก็ไม่มีปัญหา เพราะสาธารณชนจะได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น กระทรวงต่างประเทศยินดีที่จะชี้แจง

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"แม้ว"บินถึงเขมรถาม"ศิวรักษ์"ใครสั่ง "สมชาย-เจ๊แดง"นำทีมพท.ไปกัมพูชาร่วมเป็นสักขีพยานปล่อยตัววิศวกร

ที่มา: มติชนออนไลน์

"แม้ว" บินถึงเขมรพบวิศวกรถามคำเดียวใครเป็นคนสั่ง "สมชาย-เจ๊แดง" นำทีมพท.ไปเขมรร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยตัว"ศิวรักษ์" พบ"ทักษิณ" บัวแก้วรับสภาพจับอดีตนายกฯยาก พท.สอนอย่าเป็น"ผู้นำเด็กดื้อ" "พร้อมพงศ์"ปัดขัดแย้งแย่งซีน"นพดล"

"แม้ว" บินถึงเขมรพบวิศวกรทันที


สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะทำพิธีปล่อยตัว นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกฐานจารกรรมข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ในวันที่ 14 ธันวาคม หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา และมีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าร่วมพิธีด้วยนั้น นายเขียว กันนะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชายืนยัน ผ่านสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ว่า



"พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาถึงกัมพูชาในวันนี้ (13 ธ.ค.) เพื่อพบกับนายศิวรักษ์ รวมทั้งกล่าวสุนทรพจน์ด้านเศรษฐกิจอีก 1 หรือ 2 ครั้ง ในระหว่างอยู่ที่กัมพูชา"


ต่อมาเวลา 17.07 น. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางถึงกรุงพมมเปญ ด้วยเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก ลงจอดที่สนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณนั่งรถออกจากสนามบิน ตรงไปยังเรือนจำเพรยซอ เพื่อพบกับนายศิวรักษ์ทันที โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยพิเศษ ราว 300 นาย ดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดทาง รวมถึงบริเวณรอบๆ เรือนจำ


นายเขียว สัมโบ ทนายของนายศิวรักษ์ เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณพบกับนายศิวรักษ์ช่วงสั้นๆ ถามถึงสุขภาพ และถามว่า ใครเป็นผู้สั่งให้เขาจารกรรมข้อมูล


"สมชาย-เจ๊แดง" นำทีมพท.ไปเขมร


รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า สำหรับการเดินทางไปร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยตัวนายศิวรักษ์ มี คณะพรรคเพื่อไทย 4 คน ประกอบด้วยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ส.ส.สัดส่วน และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ได้เปลี่ยนแปลงการเดินทางอย่างกะทันหันจากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม มาเป็นบ่ายวันที่ 13 ธันวาคมแทน เนื่องจากในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณนัดรับประทานอาหารค่ำร่วมกับคนสนิท แกนนำพรรคเพื่อไทย และสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กว่า 10 คนที่ไปรอพบ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายพงศ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย


ข่าวแจ้งว่า ยังมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยบางส่วนเดินทางไปกัมพูชาช่วงค่ำวันที่ 13 ธันวาคม เพื่อเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ นายประชา ประสพดี นางอนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี และนายสิทธิชัย กิตติเธนศวร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ส่วน ส.ส.อีสานอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเดินทางไปช่วงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม คณะพรรคเพื่อไทยบางส่วนจะไปรับนายศิวรักษ์ที่สนามบินสุวรรรภูมิ คาดว่า จะเดินทางถึงไทยในวันที่ 14 ธันวาคม เวลา 16.00 น.


บัวแก้วรับสภาพจับ"แม้ว"ยาก


ด้านนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เท่าที่ทราบจากรายงานข่าวแถลงโดยโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมาถึงกัมพูชาแล้ว และเตรียมเดินทางไปพบนายศิวรักษ์ที่เรือนจำ ซึ่งตนได้รายงานให้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทราบแล้ว และนายกษิตสั่งให้แจ้งนายกรัฐมนตรีให้ทราบด้วย ส่วนการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่มีชัดเจน เพราะอัยการสูงสุด รอการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนายกษิตต้องคุยกับหลายฝ่ายเพื่อขอความชัดเจนจากฝ่ายต่างๆ ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร เพราะเคยประสานไปครั้งที่แล้วแต่ได้รับการปฏิเสธ ทั้งนี้ ยอมรับว่าการเดินทางไปกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณทำให้ทางการไทยดำเนินการจับกุมตัวยากลำบากเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา


พท.สอนอย่าเป็น"ผู้นำเด็กดื้อ"


ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายศิวรักษ์จะได้รับการปล่อยตัววันที่ 14 ธันวาคม ว่า เป็นจุดเริ่มต้นและโอกาสที่ดีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่จะฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เพราะการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามีมูลค่าปีละเกือบ 70,000 ล้านบาท โดยไทยเป็นผู้ได้ขายสินค้าปีละเกือบ 60,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นไม่ควรใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนตัวในการบริหารประเทศ และอย่าทำตัวเป็นผู้นำเด็กดื้อในสายตาประชาชนและนานาชาติ


"ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนนโยบายด้านการต่างประเทศพร้อมเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสียใหม่ เชื่อว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ ส่วนที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยชงเองกินเองนั้น ผมขอบอกว่า มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" นายพร้อมพงศ์กล่าว


ปัดขัดแย้งแย่งซีน"นพดล"


นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ โทรศัพท์มาบอกกับตนว่าตื่นเต้นที่ลูกกำลังจะได้รับการปล่อยตัว อยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และตนเดินทางไปร่วมพิธีปล่อยตัวนายศิวรักษ์ ที่กัมพูชา และบอกว่าอยากให้นำเสื้อสีชมพูซึ่งมีตราสัญลักษณ์วันเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 เพื่อที่จะให้นายศิวรักษ์สวมใส่วันกลับไทย


นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงกรณีขัดแย้งกับนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณและผู้ใหญ่ในพรรคบางส่วน เนื่องจากแย่งผลงานกรณีช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ว่าไม่เป็นความจริง เช้าวันที่ 13 ธันวาคม นายนพดลยังโทรศัพท์มาประสานงานกับตน ดังนั้นแหล่งข่าวที่ให้ข่าวพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะไม่ปรับตนออกจากตำแหน่งโฆษกพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านดังนั้นต้องรักและสามัคคีกัน


สวนกุนซือ"นโรดม"อย่ามองแคบ


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่นายฮูลิโอ เอ. เฮลเดรส นักวิชาการประจำสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลัยโมแนช เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และอดีตผู้ช่วยพิเศษและเลขานุการส่วนพระองค์ของกษัตริย์นโรดม สีหนุ ของกัมพูชา เขียนบทความสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยระบุตอนหนึ่งว่าสาเหตุความขัดแย้งหนึ่งมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯฮุน เซนไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องของประเทศ ว่า เป็นงานทางวิชาการที่สามารถเขียนอะไรก็ได้ มีหลายประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันหลายประเด็นเป็นเพียงข้อคิดเห็นโดยเฉพาะประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งสมเด็จฯฮุน เซนต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตัวเองเอาไว้ ขณะเดียวกันไทยได้รับประโยชน์จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้วย ดังนั้น ให้มองโลกในแง่ดีบ้าง อย่ามองอะไรแคบๆ หรือมองเป็นเรื่องการเมืองไปหมด


นายนพดลยังกล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่า เกิดความขัดแย้งกับนายพร้อมพงศ์ ว่าไม่ได้มีอะไรขัดแย้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะนายพร้อมพงศ์ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการประสานกับนางสิมารักษ์ และที่ผ่านมานายพร้อมพงศ์ทำหน้าที่ด้วยความแข็งขันมาโดยตลอดจนทำให้นายศิวรักษ์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

สื่อนอกวิเคราะห์"รบ.อภิสิทธิ์"ล้มเหลวนักวิจัยชี้"มาร์ค"วาทศิลป์เชิดชูได้เล่นบทเดียวกลัวเกลียด"แม้ว"

มติชนออนไลน์

สื่อนอกวิเคราะห์รัฐบาล"อภิสิทธิ์"ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาคแบ่งแยกร้าวลึก อ้างคำสัมภาษณ์อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ นักวิจัยชาวเยอรมันชี้"มาร์ค"มีหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานาชาติ" นักวิจัยสิงคโปร์ระบุเล่นบทเดียวคือกลัว-เกลียด "ทักษิณ"

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม สำนักข่าวเอเอฟพีนำเสนอบทวิเคราะห์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาค รวมทั้งยังล้มเหลวในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เกิดการแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งรุนแรงในขณะนี้ โดยเอเอฟพีอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "ประเทศไทยแตกแยกมากขึ้นอีก มีการแบ่งขั้วกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในคำปราศรัยหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขากล่าวว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าถึงกลุ่มที่อยู่อีกขั้วหนึ่ง"


ดร.ฐิตินันท์ยังชี้ว่า นับตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่ง มักจะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่เคยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯเลย


ดร.ฐิตินันท์ยังระบุว่า เมื่อสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ได้สร้างความโกรธเคืองให้กับรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก และนายอภิสิทธิ์แสดงให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติในการต่อต้านกัมพูชาแบบอ่อนด้อย ทำให้เห็นชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนที่สูญเสียความยอดเยี่ยมของตนเองไปในเรื่องการต่างประเทศ


ด้านพอล เชมเบอร์ส นักวิจัยอาวุโสด้านการเมืองไทย แห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ในประเทศเยอรมนีเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษและมีวาทศิลป์ดีนั้น "เป็นหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานาชาติ"


ขณะที่ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิจัยแห่งสถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสิงคโปร์ กล่าวว่า "นายอภิสิทธิ์เล่นบทที่เขาได้รับมา คือเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ที่คำจำกัดความทางการเมืองของพวกเขาคือ เกลียดและกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ และเขาก็ไม่เคยแสดงบทบาทอื่นนอกเหนือจากนั้นเลย"

ย้ำอีกที ทำไมต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550


ที่มา ประชาไท

เปลวเทียน ส่องทาง

1.การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิก รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในการต่อต้านการรัฐประหาร ต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างสันติวิธี เพื่อให้การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยยุติการครอบงำสังคมไทย

2. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาจาการรัฐประหารที่นิยมอำนาจแบบเผด็จการ จึงไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ให้อำนาจกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการ เป็นพวกพ้องของคณะรัฐประหาร (เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย) และได้ยึดครององค์กรอิสระทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว

3. รัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดให้ องค์กรอิสระนั้น มาจากการเลือกหรือสรรหาของคนเพียง 7 คน คือศาล 5 คน และตัวแทนพรรคการเมืองเป็นส่วนประกอบอีก 2 คน ซึ่งที่ผ่านมาการเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ส่วนใหญ่แล้วผู้ได้รับการเลือกสรรล้วนเป็นอดีตข้าราชการและผู้ที่ไม่เคยมีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนเลย นอกจากนี้แล้วยังกำหนดให้มีองค์กรอิสระองค์กรเดียวรวมอำนาจการจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคมไว้ด้วยกัน

4. รัฐธรรมนูญ 2550 มาตราที่ 30 กำหนดขึ้นเพื่อรองรับพรบ.ความมั่นคงภายในประเทศที่จะให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับผู้บังคับบัญชาการทหารบก

5. รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้เพิ่มอำนาจสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง แม้ว่าประชาชนสามารถ 10,000 ชื่อเสนอกฎหมายได้ และถอดถอนนักการเมือง 30,000 ชื่อได้ก็ตาม แต่ถูกล็อกและหมกเม็ด เพราะอำนาจในกระบวนการกฎหมายขึ้นอยู่กับวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งและเลือกตั้ง คือประชาชน 12 ล้านเลือกได้ 76 คน แต่อีก 74 คน มาจากการสรรหาโดยคนเพียง 7 คน ซึ่งมีศาลครอบงำอยู่ด้วย ส่วนใหญ่สมาชิกวุฒิสภาที่จะได้รับการแต่งตั้งก็จะเป็นข้าราชการ คิดแบบราชการ เฉกเช่นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ถูกแต่งตั้งโดยอำนาจคณะรัฐประหาร

และที่ผ่านมาการเสนอกฎหมายของภาคประชาชน เช่น พระราชบัญญัติป่าชุมชน ก็ถูกขัดขวางบิดเบือนจากกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ พระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัย และสิ่งแวด- ล้อมในสถานประกอบการก็ถูกขัดขวางจากกรมแรงงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ

6. รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ยอมรับสิทธิการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิทธิในการพัฒนาที่จะทำให้ประชาชนสามารถกำหนดวิถีชีวิตของตนเองได้ ไม่ยอมรับการปฏิรูประบบสวัสดิการทางสังคม เช่น การจัดสวัสดิการด้านสาธารณสุขแก่ทุกคน การจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุทุกคน ไม่ยอมรับการปฏิรูประบบภาษีให้เป็นมาตรการในการกระจายรายได้เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมอย่างการเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก หรือภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า ไม่ยอมรับการคุ้มครองสิทธิเกษตรกรรายย่อย เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศชาติ ไม่ยอมรับสิทธิในที่อยู่อาศัยและความมั่นคงในที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกคน และไม่ยอมรับสิทธิและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสังคมไทยในการสร้างความเสมอภาคความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

7. ถึงเวลาที่ต้องนำรัฐธรรมนูญ 40 มาใช้และปรับแก้ไขให้ก้าวหน้าขึ้น โดยใช้กระบวนการเดียวกับการร่างรัฐธรรมนูญ 40 มีหลักการสำคัญคือ สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ลดทอนอำนาจระบอบอำมาต- ยาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญต้องบัญญัติไว้ว่า ห้ามให้ใครผู้ใดคณะบุคคลใดกระทำการรัฐประหาร ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ

เพิ่มพื้นที่ประชาธิปไตย เช่น ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีทางตรง การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและไม่ต้องกำหนดวุฒิการศึกษา การให้ผู้ใช้แรงงานเลือกตั้งในสถานที่ประกอบการ ฯลฯ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เสธ.แดงขู่ถูกพักราชการไม่รับรองเกิดอะไรขึ้น ลั่นไม่กระเทือนทหารนักรบ ปลัดกห.คาดสัปดาห์หน้ารู้ผลลงโทษ


ที่มา: มติชนออนไลน์


เสธ.แดงออกโรงโต้กองทัพบก พักราชการมั่ว เป็นเรื่องเก่า คุมทหารพรานยังไม่มีการสอบสวน ถ้าโดนจริงไม่รับรองจะเกิดอะไรขึ้น ไม่กระเทือนทหารนักรบ ปลัดกห.คาดสัปดาห์หน้ารู้ผลโดนหรือไม่

เสธ.แดงสวนกองทัพบกพักราชการเรื่องเก่าไม่เกี่ยวคุมทหารพราน


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ตอบโต้กองทัพบกต้นสังกัด กรณีเสนอเรื่องไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กระทรวงกลาโหม ให้พักราชการ เนื่องจากผลการสอบสวนของกรรมการชุดที่มี พล.ท.มาโนช เปรมวงศ์ศิริ รองเสนาธิการทหารบกเป็นประธาน ตั้งกรอบความผิดเสธ.แดงไว้ 2 ประการ คือ 1.หนีราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ว่า "เรื่องโดนพักราชการมันมั่ว เพราะเรื่องใหม่ตามที่สื่อลง คือเรื่องไปกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งยังไม่ได้สอบสวน และผมยืนยันว่าไม่ใช่ผม แต่เป็นคนหน้าเหมือน ชื่อเสธ.แดง 2 เพราะถ้าผมไปจะต้องมีการประทับตราในพาสปอร์ต ส่วนอีกเรื่อง คือ เรื่องที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้ไปคุมทหารพราน ก็ยังไม่ได้สอบสวน แต่ข่าวที่ออกมา มันเรื่องเก่า เพราะเรื่องใหม่ยังไม่ได้มีการสอบสวน ด้านอาญาทหารยังไม่ได้สอบ สารวัตรทหารยังไม่ได้สอบว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง"


โวยไม่เคยมีมานับแต่ตั้งกห.


ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า เรื่องที่ส่งไปยังกระทรวงกลาโหมเป็นเรื่องเก่าเมื่อปี 2551 ที่ให้สัมภาษณ์พาดพิง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่าหน่อมแน้ม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเก่ามาขัดใหม่ การปกครองแบบนี้มันผิดเพี้ยน เป็นลูกนักเลงแล้วโฆษกกองทัพบกก็โกหกประชาชนไป จะไปหลอกประชาชนไม่ได้ จะให้ร้ายนายทหารระดับนายพลและเอากองทัพเข้าแลก เรื่องแบบนี้โฆษกกองทัพบกผิดเต็มๆ



"บอกว่า ผมได้เซ็นหนังสือจะไม่ให้สัมภาษณ์ 2 ปีก็ผิด เพราะผมไม่ได้เซ็นเลย และในหนังสือนั้น พล.อ.พิรุณ แผ้วพาลสง เสนาธิการทหารบก บอกว่าจะสอบเฉพาะวินัย ซึ่งกองทัพบกได้ทำผิดสัญญาที่ให้กรมสารวัตรทหารสอบวินัยคู่ไปด้วย และผลก็ยังไปไม่ถึงไหน ซึ่ง พล.อ.พิรุณตกใจเหมือนกันว่า ใครแอบยัดไส้ ฟ้องผมเข้าไปคู่กับอาญาทหารด้วย เรื่องนี้เมื่อนำมาปัดฝุ่น แต่อยู่ดีๆ กองทัพบกพักราชการคู่ไป ไม่เคยมีตั้งแต่ตั้งกระทรวงกลาโหม"


พักราชการไม่กระเทือนนักรบ


พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ร้องเรียน เพราะแค่พักราชการไม่สะเทือนสำหรับนักรบ ถูกไล่ออกก็ยังไม่ตาย คนที่เคยผ่านสนามรบมา แต่กลับโดนพักราชการ เพราะด่านายว่าหน่อมแน้ม ส่วนเรื่องอดีตทหารพรานนั้น โฆษกกองทัพบกโกหกอีก ไปบอกว่าทหารพรานพวกนี้เป็นทหารพรานปลอม ความจริงเขาเป็นอดีตทหารพรานจริงทั้งหมด ไม่ใช่เป็นทหารพรานปลอม หรือเอาพวกเสื้อแดง มาแต่งชุดดำเป็นทหารพราน
ผู้สื่อข่าวถาม เจอกดดันแบบนี้ คิดจะลาออกหรือไม่ พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า


"ผมเป็นทหารนักรบ ไม่ได้กลัวขนาดนั้น ไม่ต้องลาออกไปไหน ผมจะรอดูว่าจะเกิดความยุติธรรมหรือไม่ ขอให้กรมพระธรรมนูญ กลาโหม ตรวจสอบความผิดในเรื่องนี้ใหม่ เพราะมีความสับสนและมั่ว คิดแต่จะเล่นงานผม ก็มาสรุปแบบนี้ โดยเฉพาะจะเสนอให้พักราชการ เพื่อจะสอบสวนอาญาทหารต่อ ถือว่าไม่ถูกต้อง แต่ผมยังไม่เห็นว่าทางกองทัพบกส่งผลสรุปให้พักราชการ ถ้าเห็น ผมบอกแล้วว่าไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่กองทัพบก ผมไม่เข้าใจว่าเวลาผมออกมาช่วยกองทัพ ดูแลไม่ให้ทหารพรานไปปะทะกับทหารหลัก แทนที่จะเป็นความดี แต่กลับถูกด่า ถูกสอบสวน ทีเวลา ผบ.ทบ.แต่งเครื่องแบบไปออกทีวีกดดันให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้นลาออก ไม่ผิดหรือ ผมถามนายทหารพระธรรมนูญ ก็บอกว่าผิดต้องถูกสอบสวน ในคณะกรรมาธิการทหารที่เชิญมา ก็บอกว่าผิดทั้งนั้น แต่ไม่มีใครทำอะไร"


ปลัดกห.เผยสัปดาห์หน้ารู้ผล


พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้หนังสือเสนอให้ลงโทษ พล.ต.ขัตติยะ อยู่ที่กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เพื่อพิจารณาและตรวจสอบ เพื่อนำเสนอมาตามขั้นตอน สู่ พล.อ.ประวิตร เพื่อพิจารณาตัดสินใจ ส่วนจะทำตามที่กองทัพบกเสนอมาหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ประมาณสัปดาห์หน้าอาจจะรู้ผล


พท.ดักคอรบ.-กห.อย่า2มาตรฐาน


น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมกันแถลงที่ พท. ระบุว่ามีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนมายังพรรคว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกน่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีอาจมีคำสั่งพักราชการ และอาจถูกรัฐบาลปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน เหมือนกับกรณีการสอบสวนกระทำผิดอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพราะตั้งแต่มีการมอบตำแหน่งพี่ใหญ่ของกองทัพเข้าไปดูแลกระทรวงกลาโหม ก็มีคำสั่งห้ามกำลังพลออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผู้นำเหล่าทัพไม่เคยทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับกำลังพล เริ่มตั้งแต่การใช้กองทัพเข้าก่อการปฏิวัติ จากนั้นมีกำลังพลของกองทัพใส่แครื่องแบบแสดงตนชัดเจนเข้าร่วมกับฝ่ายที่กระทำการละเมิดกฎหมาย


นอกจากนี้กองทัพยังวางเฉยกับฝ่ายที่จงใจบุกรุกสถานที่ราชการทั้งๆ ที่เป็นผู้รับผิดชอบ ถือได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ร่วมกันแสดงออกถึงการเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาโดยตลอด ฉะนั้น ขอให้รัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้นำเหล่าทัพพิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยอย่าปฏิบัติด้วยวิธีสองมาตรฐานโดยเด็ดขาด


พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำเตรียมทหารรุ่น 10 และสมาชิก พท. กล่าวว่า เรื่องการพักราชการนั้น ระเบียบของกองทัพมีอยู่ แต่ที่ผ่านมามีนายทหารหลายคนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาตบ่อยครั้ง ดังนั้น หากดำเนินการกับ พล.ต.ขัตติยะเพียงคนเดียวก็อาจเป็นการเลือกปฏิบัติ และอาจเป็นกรณีแรกที่มีการลงโทษในกองทัพ