คณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ขอให้คนไทยไม่ใช้กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและทหารไทย ผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชา ออกไปจากบริเวณเขาพระวิหาร อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ตามที่เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้คนไทย เข้าร่วมการชุมชนเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และทหารไทย ผลักดันทหาร และประชาชนชาวกัมพูชา ออกจากบริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
ซึ่งการเคลื่อนไหวในลักษณะที่รุนแรง อาจเกิดกระทบกระทั่งกับทหารและประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่ อาจบานปลายเป็นเงื่อนไขที่กระทบต่อความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเขตแดน ทุกฝ่ายควรยอมรับในหลักการที่ว่าการรักษาอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลทุกประเทศต้องยึดถือเป็นสำคัญ ด้วยการใช้คณะกรรมการซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้ง2 ฝ่าย เป็นผู้เจรจาหาข้อยุติ
ไม่ใช่จะมุ่งใช้อำนาจทางทหารกดดันหรือบีบบังคับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ยินยอมตามที่ตนต้องการเพราะเท่ากับเป็นการสร้างศัตรูก่อสงครามละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ความรักชาติและรักแผ่นดินถิ่นเกิดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ควรระมัดระวังไม่ให้การแสดงออกซึ่งความรักชาติ ด้วยวิธีการอันไม่ถูกต้องหรือด้วยการใช้อารมณ์โดยไร้เหตุผลซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552
พธม.ลุยฝ่าด่าน ปะทะเดือด บุกผามออีแดง
ไทยรัฐ : กลุ่มพันธมิตรฯ ตะลุยฝ่าด่านเจ้าหน้าที่่ พยายามขึ้นไปยังผามออีแดง ทำให้ปะทะกันกับชาวบ้าน จนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่คนละเล็กละน้อย และมีเสียงดังเป็นระยะ …
เมื่อเวลาประมาณ 13.05 น. วันนี้ (19 ก.ย.) ทีมข่าวไทยรัฐที่ปักหลักอยู่ที่ทางขึ้นผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รายงานว่า หลังจากที่นายวีระ สมความคิด เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ และพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าเจรจากับ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จ.ศรีสะเกษ และ พ.อ.ชัยนันท์ คำชุ่ม ผบ.กรมทหาราบที่ 16 เพื่อขอนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่เดินทางมาประมาณ 3,000 คน ขึ้นไปปักหลักบนผามออีแดงไม่เป็นผลสำเร็จ แกนนำของพันธมิตรฯ ก็ได้กลับไปบอกกับสมัครพรรคพวก ให้ช่วยกันตะลุยฝ่าด่านของกำลังฝ่ายปกครอง ซึ่งประกอบไปด้วยกำลัง อส. และ ตำรวจ ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นผลสำเร็จ เนื่องจาก กำลังของฝ่ายเจ้าหน้าที่มีน้อยกว่า เป็นเหตุให้ตำรวจ และ อส. ที่ตรึงกำลังอยู่ในด่านแรกได้รับบาดเจ็บกันคนละเล็กคนละน้อย
ในการลุยฝ่าด่านแรกเข้าไป กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยกรถยนต์สำหรับขังผู้ต้องหา ที่จอดเรียงรายกีดขวางอยู่จำนวน 4 คัน ลงไปไว้ข้างถนน แล้วขับรถยนต์ลุยประชิดเข้าไปยังด่านที่สองเป็นขบวน เป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ด้านในกำแพงวัดภูมิซรอล และตามสองข้างทาง เกิดความไม่พอใจ ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บางคนศีรษะแตกเลือดไหลอาบ และ เกิดไล่ตีกัน และมีเสียงปะทัดดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พยายามที่จะพากันลุยไปปักหลักบนผามออีแดงให้ได้ ซึ่งยังจะต้องฝ่าด่านของเจ้าหน้าที่ และประชาชนไปอีกถึง 4 ด่านด้วยกัน โดยมีผู้บาดเจ็บหลายคน และมีผู้สื่อข่าวของสถานีเอเอสทีวีด้วย
ต่อมาเวลา 14.00 น. กลุ่มพันธมิตรก็สามารถตะลุยฝ่าด่านทั้ง 4 ชั้น ของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านภูมิซรอล เป็นผลสำเร็จ ซึ่งระยะทางจากด่านที่ตั้งไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร ทางขึ้นผามออีแดง หน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ในช่วงที่กลุ่มพันธมิตรใช้รถยนต์ และการ์ดนำหน้าลุยฝ่าด่าน มีชาวบ้านภูมิซรอล ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่ใช้ผ้าขาวม้าคาดหน้า ปาก้อนหิน ค้อน หนังสติ๊กและ ระเบิดขวด จากสองข้างทาง เข้าใส่กลุ่มพันธมิตรเป็นระยะๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่จับกุม เมื่อตำรวจไปอีกทาง ก็พากันวิ่งไปปาอีกทาง จนกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องใช้เต็นท์ที่ยกออกจากพื้นถนน เป็นโล่กำบัง และในที่สุดกลุ่มชาวบ้าน 5 ตำบล ที่รวมตัวกันตั้งด่าน โดยการนำของ นายวีระยุทธ ดวงแก้ว ต้องพากันถอนร่นเข้าไปในวัดภูมิซรอล ปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านด่านเข้าไปอย่างง่ายดาย มีเพียงการต่อต้านของกลุ่มวัยรุ่น ที่ซุ่มโจมตีอยู่สองข้างทางเป็นระยะ ๆ จนไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร และพากันหยุดรวมพล ณ จุดนั้น
จากการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตร และชาวบ้านภูมิซรอลครั้งนี้ เป็นเหตุให้การ์ดของพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บหลายคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย เนื่องจาก เกรงว่าจะถูกชาวบ้านเข้ามาทำร้าย ชาวบ้านภูมิซรอลรายหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม กล่าวว่า พวกตนไม่พอใจกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตร เพราะคนพวกนี้เข้ามาสร้างปัญหา แล้วก็พากันกลับไป ในขณะที่พวกตนเป็นคนในพื้นที่ กลับต้องมาได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนนอกพื้นที่ พวกตนเคยอยู่กันมาอย่างสงบสุข ก็ต้องพากันเดือดร้อน เคยทำมาค้าขาย ก็ทำไม่ได้ เคยเข้าไปหาของป่ามาขายก็ทำไม่ได้ พากันเดือดร้อนไปหมด ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่ของคนกลุ่มนี้ ที่เข้ามาสร้างปัญหาให้กับพวกตน
ล่าสุด กลุ่มพันธมิตร ได้พากันใช้รถยนต์มาจอดเรียงรายเป็นหน้ากระดาน 4 แถว หน้าด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร โดยชั้นแรกเป็นกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบจลาจล จาก จ.ศีรสะเกษ จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 ชั้นที่สองเป็นขดลวดหนามที่วางกั้นไว้อย่างหนาแน่น และชั้นที่สาม เป็นกำลังของทหาร จากกรมทหารราบที่ 16 ทางทางฝ่ายทหารได้ประกาศห้าม มิให้กลุ่มพันธมิตรฝ่าด่านนี้ขึ้นไปบนผามออีแดงโดยเด็ดขาด และกลุ่มพันธมิตรได้ส่ง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ เข้าไปเจรจากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ภายในที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และ ที่หน้าด่านสุดท้ายนี้ ได้มี นายตายแน่ มุ่งมาจน กองกำลังฝ่ายข่าว FMTV ของกองทัพธรรม ซึ่งถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก จนหน้าผากแตกเลือดอาบหน้า มารอฟังผลการเจรจาอยู่ด้วย โดยไม่ยอมไปทำแผลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่ทางฝ่ายทหารก็ยืนยันว่าไม่ยอมให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนตัวขึ้นไปชุมนุมบนผามออีแดงอย่างเด็ดขาด
เมื่อเวลาประมาณ 13.05 น. วันนี้ (19 ก.ย.) ทีมข่าวไทยรัฐที่ปักหลักอยู่ที่ทางขึ้นผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รายงานว่า หลังจากที่นายวีระ สมความคิด เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ และพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าเจรจากับ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จ.ศรีสะเกษ และ พ.อ.ชัยนันท์ คำชุ่ม ผบ.กรมทหาราบที่ 16 เพื่อขอนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่เดินทางมาประมาณ 3,000 คน ขึ้นไปปักหลักบนผามออีแดงไม่เป็นผลสำเร็จ แกนนำของพันธมิตรฯ ก็ได้กลับไปบอกกับสมัครพรรคพวก ให้ช่วยกันตะลุยฝ่าด่านของกำลังฝ่ายปกครอง ซึ่งประกอบไปด้วยกำลัง อส. และ ตำรวจ ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นผลสำเร็จ เนื่องจาก กำลังของฝ่ายเจ้าหน้าที่มีน้อยกว่า เป็นเหตุให้ตำรวจ และ อส. ที่ตรึงกำลังอยู่ในด่านแรกได้รับบาดเจ็บกันคนละเล็กคนละน้อย
ในการลุยฝ่าด่านแรกเข้าไป กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยกรถยนต์สำหรับขังผู้ต้องหา ที่จอดเรียงรายกีดขวางอยู่จำนวน 4 คัน ลงไปไว้ข้างถนน แล้วขับรถยนต์ลุยประชิดเข้าไปยังด่านที่สองเป็นขบวน เป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ด้านในกำแพงวัดภูมิซรอล และตามสองข้างทาง เกิดความไม่พอใจ ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บางคนศีรษะแตกเลือดไหลอาบ และ เกิดไล่ตีกัน และมีเสียงปะทัดดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พยายามที่จะพากันลุยไปปักหลักบนผามออีแดงให้ได้ ซึ่งยังจะต้องฝ่าด่านของเจ้าหน้าที่ และประชาชนไปอีกถึง 4 ด่านด้วยกัน โดยมีผู้บาดเจ็บหลายคน และมีผู้สื่อข่าวของสถานีเอเอสทีวีด้วย
ต่อมาเวลา 14.00 น. กลุ่มพันธมิตรก็สามารถตะลุยฝ่าด่านทั้ง 4 ชั้น ของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านภูมิซรอล เป็นผลสำเร็จ ซึ่งระยะทางจากด่านที่ตั้งไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร ทางขึ้นผามออีแดง หน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ในช่วงที่กลุ่มพันธมิตรใช้รถยนต์ และการ์ดนำหน้าลุยฝ่าด่าน มีชาวบ้านภูมิซรอล ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่ใช้ผ้าขาวม้าคาดหน้า ปาก้อนหิน ค้อน หนังสติ๊กและ ระเบิดขวด จากสองข้างทาง เข้าใส่กลุ่มพันธมิตรเป็นระยะๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่จับกุม เมื่อตำรวจไปอีกทาง ก็พากันวิ่งไปปาอีกทาง จนกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องใช้เต็นท์ที่ยกออกจากพื้นถนน เป็นโล่กำบัง และในที่สุดกลุ่มชาวบ้าน 5 ตำบล ที่รวมตัวกันตั้งด่าน โดยการนำของ นายวีระยุทธ ดวงแก้ว ต้องพากันถอนร่นเข้าไปในวัดภูมิซรอล ปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านด่านเข้าไปอย่างง่ายดาย มีเพียงการต่อต้านของกลุ่มวัยรุ่น ที่ซุ่มโจมตีอยู่สองข้างทางเป็นระยะ ๆ จนไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร และพากันหยุดรวมพล ณ จุดนั้น
จากการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตร และชาวบ้านภูมิซรอลครั้งนี้ เป็นเหตุให้การ์ดของพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บหลายคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย เนื่องจาก เกรงว่าจะถูกชาวบ้านเข้ามาทำร้าย ชาวบ้านภูมิซรอลรายหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม กล่าวว่า พวกตนไม่พอใจกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตร เพราะคนพวกนี้เข้ามาสร้างปัญหา แล้วก็พากันกลับไป ในขณะที่พวกตนเป็นคนในพื้นที่ กลับต้องมาได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนนอกพื้นที่ พวกตนเคยอยู่กันมาอย่างสงบสุข ก็ต้องพากันเดือดร้อน เคยทำมาค้าขาย ก็ทำไม่ได้ เคยเข้าไปหาของป่ามาขายก็ทำไม่ได้ พากันเดือดร้อนไปหมด ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่ของคนกลุ่มนี้ ที่เข้ามาสร้างปัญหาให้กับพวกตน
ล่าสุด กลุ่มพันธมิตร ได้พากันใช้รถยนต์มาจอดเรียงรายเป็นหน้ากระดาน 4 แถว หน้าด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร โดยชั้นแรกเป็นกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบจลาจล จาก จ.ศีรสะเกษ จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 ชั้นที่สองเป็นขดลวดหนามที่วางกั้นไว้อย่างหนาแน่น และชั้นที่สาม เป็นกำลังของทหาร จากกรมทหารราบที่ 16 ทางทางฝ่ายทหารได้ประกาศห้าม มิให้กลุ่มพันธมิตรฝ่าด่านนี้ขึ้นไปบนผามออีแดงโดยเด็ดขาด และกลุ่มพันธมิตรได้ส่ง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ เข้าไปเจรจากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ภายในที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และ ที่หน้าด่านสุดท้ายนี้ ได้มี นายตายแน่ มุ่งมาจน กองกำลังฝ่ายข่าว FMTV ของกองทัพธรรม ซึ่งถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก จนหน้าผากแตกเลือดอาบหน้า มารอฟังผลการเจรจาอยู่ด้วย โดยไม่ยอมไปทำแผลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่ทางฝ่ายทหารก็ยืนยันว่าไม่ยอมให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนตัวขึ้นไปชุมนุมบนผามออีแดงอย่างเด็ดขาด
บรรทัดฐานใหม่

ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงปีที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้การเมืองไทย และบริหารราชการแผ่นดินชนิด สุดกึ๋นข้อแรกสุดที่ต้องจดจารึกเอาไว้ และเชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นบ่วงมามัดคอพรรคประชาธิปัตย์เมื่อต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
รวมไปถึงบรรดากลุ่มการเมืองข้างถนนคือการออกพ.ร.บ.ป้องกันการชุมนุมของประชาชน ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมขึ้นจริงจะหาข้ออ้างที่สวยหรูอย่างไรก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งกระทำการแบบนี้ทั้งที่น่าจะสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ
เรื่องสิทธิ์ในการชุมนุมของประชาชนเชื่อว่าต่อไปรัฐบาลอื่นๆ คงใช้บรรทัดฐานเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ และม็อบพันธมิตรฯ ที่อาจจะออกมาอาละวาดอีกในอนาคต หากไม่ได้ดังใจก็อย่าโอดครวญบรรทัดฐานต่อมาคือการบริหารข้าราชการแบบ "เด็กดื้อ" หรือ "เด็กเอาแต่ใจ"ชัดเจนกรณีศึก "ผบ.ตร." ที่ไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่เลยในอดีต
ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่ากันว่ามีอำนาจเหลือเฟือ ยังไม่กล้าดันคนที่ตนสนับสนุนเพราะติดขัดเรื่องอาวุโส และความเหมาะสมบางประการไม่เช่นนั้นวงการตำรวจคงมีผบ.ตร.ที่ชื่อ "พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์" แทน "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" แล้วแต่บรรทัดฐานที่น่ากลัวที่สุด
ซึ่งรัฐบาลนี้จารึกเอาไว้ คือการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของตนพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุรรณ ผบ.ตร. ถูกเตะโด่งไปจีน ลงใต้ จนถูกย้ายมาช่วยราชการใน 2 ครั้งแรกตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. ขึ้นมารักษาการ ก่อนพยายามเข้าไปรื้อโผการแต่งตั้ง แต่ไม่สำเร็จหนสุดท้ายเลือกพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ขึ้นมารักษาการ
เจตนาเพื่อให้ช่วยออกเสียงในก.ต.ช.เลือกผบ.ตร.ใหม่ความพยายามเล่นงานก.ต.ช.ที่ไม่เอาด้วยกับนายกฯ ทั้งการขุดเรื่องเก่าขึ้นมา หรือถือโอกาสส่งไปทำงานต่างประเทศ แล้วตั้งคนที่คิดว่าคุมได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนทั้งหมดนี้เพื่อหวังชัยชนะในการเลือกผบ.ตร.แต่ท้ายที่สุดก็หงายท้องเป็นครั้งที่ 2 เพราะเจอ "ข้อมูลสำคัญ"
ทำให้คนที่ตั้งขึ้นมาแทนคนเก่าเพื่อหวังคะแนนเสียงตีกรรเชียงหนีไปดื้อๆที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ นักวิชาการ รวมไปถึงนักคิดทางการเมืองทั้งหลายที่ไม่เคยมีปากมีเสียง หรือเคลื่อนไหวอะไรกับพฤติกรรมของรัฐบาลนี้ในอนาคตหากมีรัฐบาลอื่น ใช้อำนาจลักษณะเดียวกับรัฐบาลนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีแน่ๆพวกท่านทั้งหลายจะกล้าออกมาเคลื่อนไหว ให้คนเขาถอนหงอกเล่นหรือ!?
คอลัมน์ เหล็กใน
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงปีที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้การเมืองไทย และบริหารราชการแผ่นดินชนิด สุดกึ๋นข้อแรกสุดที่ต้องจดจารึกเอาไว้ และเชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นบ่วงมามัดคอพรรคประชาธิปัตย์เมื่อต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
รวมไปถึงบรรดากลุ่มการเมืองข้างถนนคือการออกพ.ร.บ.ป้องกันการชุมนุมของประชาชน ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมขึ้นจริงจะหาข้ออ้างที่สวยหรูอย่างไรก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งกระทำการแบบนี้ทั้งที่น่าจะสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ
เรื่องสิทธิ์ในการชุมนุมของประชาชนเชื่อว่าต่อไปรัฐบาลอื่นๆ คงใช้บรรทัดฐานเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ และม็อบพันธมิตรฯ ที่อาจจะออกมาอาละวาดอีกในอนาคต หากไม่ได้ดังใจก็อย่าโอดครวญบรรทัดฐานต่อมาคือการบริหารข้าราชการแบบ "เด็กดื้อ" หรือ "เด็กเอาแต่ใจ"ชัดเจนกรณีศึก "ผบ.ตร." ที่ไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่เลยในอดีต
ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่ากันว่ามีอำนาจเหลือเฟือ ยังไม่กล้าดันคนที่ตนสนับสนุนเพราะติดขัดเรื่องอาวุโส และความเหมาะสมบางประการไม่เช่นนั้นวงการตำรวจคงมีผบ.ตร.ที่ชื่อ "พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์" แทน "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" แล้วแต่บรรทัดฐานที่น่ากลัวที่สุด
ซึ่งรัฐบาลนี้จารึกเอาไว้ คือการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของตนพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุรรณ ผบ.ตร. ถูกเตะโด่งไปจีน ลงใต้ จนถูกย้ายมาช่วยราชการใน 2 ครั้งแรกตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. ขึ้นมารักษาการ ก่อนพยายามเข้าไปรื้อโผการแต่งตั้ง แต่ไม่สำเร็จหนสุดท้ายเลือกพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ขึ้นมารักษาการ
เจตนาเพื่อให้ช่วยออกเสียงในก.ต.ช.เลือกผบ.ตร.ใหม่ความพยายามเล่นงานก.ต.ช.ที่ไม่เอาด้วยกับนายกฯ ทั้งการขุดเรื่องเก่าขึ้นมา หรือถือโอกาสส่งไปทำงานต่างประเทศ แล้วตั้งคนที่คิดว่าคุมได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนทั้งหมดนี้เพื่อหวังชัยชนะในการเลือกผบ.ตร.แต่ท้ายที่สุดก็หงายท้องเป็นครั้งที่ 2 เพราะเจอ "ข้อมูลสำคัญ"
ทำให้คนที่ตั้งขึ้นมาแทนคนเก่าเพื่อหวังคะแนนเสียงตีกรรเชียงหนีไปดื้อๆที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ นักวิชาการ รวมไปถึงนักคิดทางการเมืองทั้งหลายที่ไม่เคยมีปากมีเสียง หรือเคลื่อนไหวอะไรกับพฤติกรรมของรัฐบาลนี้ในอนาคตหากมีรัฐบาลอื่น ใช้อำนาจลักษณะเดียวกับรัฐบาลนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีแน่ๆพวกท่านทั้งหลายจะกล้าออกมาเคลื่อนไหว ให้คนเขาถอนหงอกเล่นหรือ!?
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552
ป้องกันไว้ ...ไม่เสียหลาย

ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่...ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม “คนเสื้อแดง” รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่คอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ในวัน นปช. ชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. 52“เทคโนโลยีใหม่” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมนำมาเพื่อทำการ “สลายชุมนุม”หากเกิดเหตุรุนแรง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “เครื่องทำหูดับ”เป็น
เครื่องมือสำหรับสร้างคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง...ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ระบบประสาท”หากผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือ ผู้ได้รับคลื่นเสียงในความถี่ที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิด “อันตราย” ต่อร่างกายดังนั้น...จึงควรหาวิธีป้องกันหากรู้ว่า ร่างกายรับไม่ไหว หรือ เกินขีดจำกัด
อันเป็นผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในอนาคตเครื่อง LRAD มีชื่อเต็มว่า Long Range Acoustic Device หลักการทำงานคือการใช้จานส่งคลื่นเสียงความถี่ 2.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ด้วยเชิงมุม 30 องศาสามารถทำให้เกิดเสียงดังระดับ 146 เดซิเบล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระยะ1 เมตรสามารถสูญเสียการได้ยิน “อย่างถาวร”เนื่องจากแก้วหูถูกทำลาย!สำหรับระยะ 300 เมตร ระดับเสียงจะดังประมาณ 90 เดซิเบลลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงของเครื่องตรวจจับควันไฟ
แต่หวีดแหลมและดังกว่ามากๆโดยอุปกรณ์หลักในการสร้างคลื่นชนิดนี้คือ Piezoceramic Transducersซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นเสียงสำหรับ “วิธีป้องกัน” สามารถปฏิบัติได้โดย1. ใช้ Ear-plugs หรือที่อุดหู ควรเลือกชนิดที่ป้องกันเสียงได้สูงสุด เช่น Ear-Plugs สำหรับงานช่าง หรือ สำหรับซ้อมยิงปืน2. ถ้าไม่มี Ear-Plugs ควรประยุกต์สร้างอุปกรณ์อุดหูด้วยวัสดุที่ช่วยลดระดับเสียง เช่น กระดาษทิชชู หรือ ก้นบุหรี่ชุบน้ำให้หมาดหรือ เหลาจุกคอร์กให้มีขนาดที่เหมาะสม แล้วใช้แทน Ear-Plugs3. ตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น โดยเฉพาะนิ้วก้อย เพราะถ้าไม่มี Ear-Plugs หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยอุดช่องหูให้แน่นที่สุด ผิวหนังของมนุษย์สามารถดูดซับให้คลื่นเสียงอ่อนกำลังลง4. ควรเตรียมหน้ากากสำหรับ “สะท้อนแนวคลื่น” ด้วยการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ตัดให้มีขนาดความยาวพอที่จะพันรอบศีรษะได้เจาะรูรูปสามเหลี่ยม...
สำหรับให้จมูกโผล่ออกมาเพื่อหายใจ เจาะรูตำแหน่งดวงตาเพื่อให้สามารถมองเห็น
เวลาที่ต้องการนำมาใช้ ให้แนบจมูกและดวงตาตรงกับตำแหน่งที่เจาะรูไว้ กดและขยำปลายแผ่นฟอยล์ให้แนบกับด้านหลัง-ด้านบน-ด้านข้าง ของศีรษะ โดยด้านที่มันเงาของแผ่นฟอยล์จะต้องอยู่ภายนอก เพื่อให้เกิดการสะท้อนและหักเหของคลื่นนี่เป็นวิธีป้องกันตนเองแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถช่วยลด “ความเสี่ยง” ต่ออันตรายในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นเพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือ เจ้าหน้าที่ ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เกิด“ประสิทธิภาพสูงสุด”ผู้ชุมนุม...มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้กรอบและ
กฎเกณฑ์ของกฎหมายเจ้าหน้าที่...มีสิทธิ์เข้าทำการ “สลายการชุมนุม” หากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งต้องใช้วิธีปฏิบัติในการ “ไม่ละเมิดสิทธิ” ของผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด3 ปีแห่งการ “รัฐประหาร” เป็นความสุขของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ได้สร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจของประชาชนคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พูดขึ้นเมื่อวานก่อนที่จะมีการชุมนุม “หากมีความเป็นไปได้ ตนอยากจุดธูปเทียนกราบไหว้กลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่ามาชุมนุม”“คุณสุเทพ” เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่รู้ทุกเรื่องราว...รู้ความเป็นไปในบ้านเมืองและรู้อยู่แก่ใจว่า...ประเทศชาติมัน “ขัดแย้ง” เดินมาไกลจนกว่าจะถอยหลังย้อนกลับ การชุมนุมของ “มหาประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือพรรคพวกใดจะยังคงดำเนินต่อไป...
ท่ามกลางสภาวะสังคมและการเมืองในประเทศที่ ไม่มีการปกครองด้วยความเป็นธรรมประชาชนเหล่านี้มิใช่หรือที่ถูก “ผู้มีอำนาจ” กดขี่กดหัวจนมิอาจ“ลืมตาอ้าปาก” และเห็น “แสงสว่าง” แห่งความปกติสุขพวกเขาต้องการที่จะ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่มีความ“ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นเช่น “รอยยิ้ม” อันไม่จริงใจของผู้มีอำนาจประเทศนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วย “กลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” แต่ต้องเป็นการปกครองโดย “มหาประชาชน” ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งมีค่าให้พวกเขา “ดำรงชีพ” สืบอยู่“คุณสุเทพ”
ไม่จำเป็นต้องมา จุดธูปเทียนกราบไหว้ คนเสื้อแดงให้เสียเวลา...เพียงแค่เอ่ยปากไหว้วานบอกไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ...เมื่อใดจะหยุดทำร้ายประเทศชาติเสียที!โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ” เหล่านั้น...ต้องมา “ก้มกราบขอโทษ”ต่อมหาประชาชน ซึ่งได้ทำความชั่วความเลวไว้มากเขาทำผิดต่อแผ่นดินที่ยืนอยู่...และทำผิดต่อประชาชนซึ่งเป็น“ผู้ใต้ปกครอง” อย่างมิน่าให้อภัยแต่ในฐานะ “คนไทย” คนทำผิดต้องให้โอกาส...กราบขอโทษงามๆแล้วประชาชนทั้งหลายจะให้อภัย!! ■
เครื่องมือสำหรับสร้างคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง...ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ระบบประสาท”หากผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือ ผู้ได้รับคลื่นเสียงในความถี่ที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิด “อันตราย” ต่อร่างกายดังนั้น...จึงควรหาวิธีป้องกันหากรู้ว่า ร่างกายรับไม่ไหว หรือ เกินขีดจำกัด
อันเป็นผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในอนาคตเครื่อง LRAD มีชื่อเต็มว่า Long Range Acoustic Device หลักการทำงานคือการใช้จานส่งคลื่นเสียงความถี่ 2.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ด้วยเชิงมุม 30 องศาสามารถทำให้เกิดเสียงดังระดับ 146 เดซิเบล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระยะ1 เมตรสามารถสูญเสียการได้ยิน “อย่างถาวร”เนื่องจากแก้วหูถูกทำลาย!สำหรับระยะ 300 เมตร ระดับเสียงจะดังประมาณ 90 เดซิเบลลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงของเครื่องตรวจจับควันไฟ
แต่หวีดแหลมและดังกว่ามากๆโดยอุปกรณ์หลักในการสร้างคลื่นชนิดนี้คือ Piezoceramic Transducersซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นเสียงสำหรับ “วิธีป้องกัน” สามารถปฏิบัติได้โดย1. ใช้ Ear-plugs หรือที่อุดหู ควรเลือกชนิดที่ป้องกันเสียงได้สูงสุด เช่น Ear-Plugs สำหรับงานช่าง หรือ สำหรับซ้อมยิงปืน2. ถ้าไม่มี Ear-Plugs ควรประยุกต์สร้างอุปกรณ์อุดหูด้วยวัสดุที่ช่วยลดระดับเสียง เช่น กระดาษทิชชู หรือ ก้นบุหรี่ชุบน้ำให้หมาดหรือ เหลาจุกคอร์กให้มีขนาดที่เหมาะสม แล้วใช้แทน Ear-Plugs3. ตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น โดยเฉพาะนิ้วก้อย เพราะถ้าไม่มี Ear-Plugs หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยอุดช่องหูให้แน่นที่สุด ผิวหนังของมนุษย์สามารถดูดซับให้คลื่นเสียงอ่อนกำลังลง4. ควรเตรียมหน้ากากสำหรับ “สะท้อนแนวคลื่น” ด้วยการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ตัดให้มีขนาดความยาวพอที่จะพันรอบศีรษะได้เจาะรูรูปสามเหลี่ยม...
สำหรับให้จมูกโผล่ออกมาเพื่อหายใจ เจาะรูตำแหน่งดวงตาเพื่อให้สามารถมองเห็น
เวลาที่ต้องการนำมาใช้ ให้แนบจมูกและดวงตาตรงกับตำแหน่งที่เจาะรูไว้ กดและขยำปลายแผ่นฟอยล์ให้แนบกับด้านหลัง-ด้านบน-ด้านข้าง ของศีรษะ โดยด้านที่มันเงาของแผ่นฟอยล์จะต้องอยู่ภายนอก เพื่อให้เกิดการสะท้อนและหักเหของคลื่นนี่เป็นวิธีป้องกันตนเองแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถช่วยลด “ความเสี่ยง” ต่ออันตรายในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นเพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือ เจ้าหน้าที่ ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เกิด“ประสิทธิภาพสูงสุด”ผู้ชุมนุม...มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้กรอบและ
กฎเกณฑ์ของกฎหมายเจ้าหน้าที่...มีสิทธิ์เข้าทำการ “สลายการชุมนุม” หากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งต้องใช้วิธีปฏิบัติในการ “ไม่ละเมิดสิทธิ” ของผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด3 ปีแห่งการ “รัฐประหาร” เป็นความสุขของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ได้สร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจของประชาชนคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พูดขึ้นเมื่อวานก่อนที่จะมีการชุมนุม “หากมีความเป็นไปได้ ตนอยากจุดธูปเทียนกราบไหว้กลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่ามาชุมนุม”“คุณสุเทพ” เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่รู้ทุกเรื่องราว...รู้ความเป็นไปในบ้านเมืองและรู้อยู่แก่ใจว่า...ประเทศชาติมัน “ขัดแย้ง” เดินมาไกลจนกว่าจะถอยหลังย้อนกลับ การชุมนุมของ “มหาประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือพรรคพวกใดจะยังคงดำเนินต่อไป...
ท่ามกลางสภาวะสังคมและการเมืองในประเทศที่ ไม่มีการปกครองด้วยความเป็นธรรมประชาชนเหล่านี้มิใช่หรือที่ถูก “ผู้มีอำนาจ” กดขี่กดหัวจนมิอาจ“ลืมตาอ้าปาก” และเห็น “แสงสว่าง” แห่งความปกติสุขพวกเขาต้องการที่จะ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่มีความ“ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นเช่น “รอยยิ้ม” อันไม่จริงใจของผู้มีอำนาจประเทศนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วย “กลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” แต่ต้องเป็นการปกครองโดย “มหาประชาชน” ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งมีค่าให้พวกเขา “ดำรงชีพ” สืบอยู่“คุณสุเทพ”
ไม่จำเป็นต้องมา จุดธูปเทียนกราบไหว้ คนเสื้อแดงให้เสียเวลา...เพียงแค่เอ่ยปากไหว้วานบอกไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ...เมื่อใดจะหยุดทำร้ายประเทศชาติเสียที!โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ” เหล่านั้น...ต้องมา “ก้มกราบขอโทษ”ต่อมหาประชาชน ซึ่งได้ทำความชั่วความเลวไว้มากเขาทำผิดต่อแผ่นดินที่ยืนอยู่...และทำผิดต่อประชาชนซึ่งเป็น“ผู้ใต้ปกครอง” อย่างมิน่าให้อภัยแต่ในฐานะ “คนไทย” คนทำผิดต้องให้โอกาส...กราบขอโทษงามๆแล้วประชาชนทั้งหลายจะให้อภัย!! ■
เสื้อแดงตั้งเวทีลานพระรูปฯยันชุด จรยุทธก่อเหตุที่ ป.ป.ช.ฉะ"สุเทพ"เพ้อ แม้ว ชี้ไม่มานกระจ่าง ใครโหดร้าย
เสื้อแดงตั้งเวที-ประเดิมฉะ"สุเทพ"เพ้อเจ้อเป็นปรปักษ์และให้ร้ายประชาชน "แม้ว" ชี้ไม่นานกระจ่างใครโหดร้าย "แดง"ฟ้องระงับพ.ร.บ.-ศาลปค.ไม่รับพิจารณา
ตั้งเวที-ประเดิมฉะสุเทพเพ้อเจ้อ
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เวลา 13.00 น. วันที่ 18 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายจรัล ดิษฐาภิชัย แกนนำ นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน นำทีมงานฝ่ายเทคนิคตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยนายณัฐวุฒิกล่าวว่า เตรียมตั้งเวทีบริเวณหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมแล้วหันหน้าเวทีไปทางถนนราชดำเนินนอก และได้เตรียมรถยนต์ที่ได้ปรับเป็นเวทีเคลื่อนที่ไว้อีก 6 คัน สำหรับการชุมนุม "3 ปีต้านอำมาตยา สถาปนารัฐไทยใหม่" แกนนำคนเสื้อแดงทุกคนพร้อมที่จะรับผิดชอบการชุมนุมตามกฎหมายและรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุมีข้อมูลเชิงลึกพบคนเสื้อแดงกำลังเตรียมสร้างสถานการณ์ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นายสุเทพกำลังเพ้อเจ้อ เพราะคนเสื้อแดงไม่มีการเตรียมการสร้างสถานการณ์ใดๆ ไม่มีชุดจรยุทธที่จะไปก่อเหตุที่สำนักงาน ป.ป.ช. บ้านสี่เสาเทเวศร์ สนามบินทุกแห่งทั่วประเทศ หรือแม้แต่ในทำเนียบรัฐบาล การเป็นรองนายกรัฐมนตรี ไม่ควรพูดจาเป็นปรปักษ์และให้ร้ายประชาชนอย่างนี้
"แม้ว" ชี้ไม่นานกระจ่างใครโหดร้าย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า "แน่นอนครับ ผมพูดเสมอและก็เห็นพ้องกันว่าเราจะสู้ด้วยความจริงอย่างสันติครับ อีกไม่นานคงจะกระจ่างว่าใครโหดร้ายใครสั่งใช้ความรุนแรง"
พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตข้อความถึงการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการชี้มูลความผิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 รวมถึงภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า "เป็นการฟาดฟันกันทางการเมืองโดยไม่ยึดหลักแห่งนิติรัฐ นิติธรรม และหลักการบริหารราชการที่ดีก็จะเป็นอย่างภาพที่เห็นทุกวันนี้ละครับ"
"แดง" ฟ้องระงับพ.ร.บ.-ศาลปค.ไม่รับ
นายบุบผา ศรีสุนันท์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) มอบอำนาจนายคารม พลทะกลาง ทนายความ ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ต่อศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น.
ว่าออกประกาศ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เขตดุสิต กทม. ระหว่างวันที่ 18 -22 กันยายน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทาง และสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในพื้นที่เขตดุสิตเป็นแต่เพียงการคาดหมายเอง
ขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนด ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯด้วย ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ฟ.54/2552 เพื่อพิจารณาว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาล และจะมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินหรือไม่ต่อไป
ต่อมาศาลปกครอง สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากบทบัญญัติตาม มาตรา 22 วรรค 2 พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ระบุว่า การดำเนินคดีใดๆ อันเนื่องมาจากข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง ให้อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
นายคารมยังยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ กับพวกที่เป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 36 คนต่อศาลอาญา เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณี ครม.มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯทั้งที่การชุมนุมเพื่อแสดงการคัดค้านต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
ตั้งเวที-ประเดิมฉะสุเทพเพ้อเจ้อ
สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เวลา 13.00 น. วันที่ 18 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายจรัล ดิษฐาภิชัย แกนนำ นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน นำทีมงานฝ่ายเทคนิคตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยนายณัฐวุฒิกล่าวว่า เตรียมตั้งเวทีบริเวณหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมแล้วหันหน้าเวทีไปทางถนนราชดำเนินนอก และได้เตรียมรถยนต์ที่ได้ปรับเป็นเวทีเคลื่อนที่ไว้อีก 6 คัน สำหรับการชุมนุม "3 ปีต้านอำมาตยา สถาปนารัฐไทยใหม่" แกนนำคนเสื้อแดงทุกคนพร้อมที่จะรับผิดชอบการชุมนุมตามกฎหมายและรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุมีข้อมูลเชิงลึกพบคนเสื้อแดงกำลังเตรียมสร้างสถานการณ์ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นายสุเทพกำลังเพ้อเจ้อ เพราะคนเสื้อแดงไม่มีการเตรียมการสร้างสถานการณ์ใดๆ ไม่มีชุดจรยุทธที่จะไปก่อเหตุที่สำนักงาน ป.ป.ช. บ้านสี่เสาเทเวศร์ สนามบินทุกแห่งทั่วประเทศ หรือแม้แต่ในทำเนียบรัฐบาล การเป็นรองนายกรัฐมนตรี ไม่ควรพูดจาเป็นปรปักษ์และให้ร้ายประชาชนอย่างนี้
"แม้ว" ชี้ไม่นานกระจ่างใครโหดร้าย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า "แน่นอนครับ ผมพูดเสมอและก็เห็นพ้องกันว่าเราจะสู้ด้วยความจริงอย่างสันติครับ อีกไม่นานคงจะกระจ่างว่าใครโหดร้ายใครสั่งใช้ความรุนแรง"
พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตข้อความถึงการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการชี้มูลความผิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 รวมถึงภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า "เป็นการฟาดฟันกันทางการเมืองโดยไม่ยึดหลักแห่งนิติรัฐ นิติธรรม และหลักการบริหารราชการที่ดีก็จะเป็นอย่างภาพที่เห็นทุกวันนี้ละครับ"
"แดง" ฟ้องระงับพ.ร.บ.-ศาลปค.ไม่รับ
นายบุบผา ศรีสุนันท์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) มอบอำนาจนายคารม พลทะกลาง ทนายความ ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ต่อศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น.
ว่าออกประกาศ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เขตดุสิต กทม. ระหว่างวันที่ 18 -22 กันยายน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทาง และสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในพื้นที่เขตดุสิตเป็นแต่เพียงการคาดหมายเอง
ขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนด ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯด้วย ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ฟ.54/2552 เพื่อพิจารณาว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาล และจะมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินหรือไม่ต่อไป
ต่อมาศาลปกครอง สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากบทบัญญัติตาม มาตรา 22 วรรค 2 พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ระบุว่า การดำเนินคดีใดๆ อันเนื่องมาจากข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง ให้อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
นายคารมยังยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ กับพวกที่เป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 36 คนต่อศาลอาญา เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณี ครม.มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯทั้งที่การชุมนุมเพื่อแสดงการคัดค้านต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
ศรีสะเกษตรึงเข้ม-รับมือม็อบเหลืองคลั่งชาติ เดินเกมทวงเขาพระวิหารปลุกกระแสพรรคพันธมิตร
ไทยรัฐ : หลายฝ่ายเป็นห่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 18-19 ก.ย.อาจกระทบต่อการแก้ไขปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร เร่งวางแผนรับมือป้องกันเหตุวุ่นวาย…
วันที่ 17 ก.ย.52 ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง นายระพี ผ่องบุพกิจ ผวจ.ศรีสะเกษ ฝ่ายทหารจากกองทัพภาคที่ 2 นำโดย พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพน้อยที่ 2 และ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-19 ก.ย.ที่จะถึงนี้
เพื่อวางแผนการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันเหตุร้าย ซึ่งการประชุมไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้ารับฟังแต่อย่างใด
พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพน้อยที่ 2 กล่าวภายหลังการเดินทางตรวจเตรียมความพร้อมเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯว่า มีความเป็นห่วง เพราะอาจกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหากรณีปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี จึงขอให้ระมัดระวัง การชุมนุมควรดำเนินการตามกรอบขอบเขต หากดำเนินการนอกขอบเขตจะดำเนินการตามกฎหมาย
แม่ทัพน้อยที่ 2 กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้อง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนของทหาร ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งอาจจะกลับไปอยู่ที่เดิม สำหรับแนวทางที่ดีที่สุด คือการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันทั้งสองฝ่าย ที่กำลังดำเนินการเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายละเอียด อาจจะมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ขอให้สื่อมวลชนได้ช่วยดำเนินการชี้แจงต่อผู้ที่จะเดินทางมาร่วมชุมนุมว่า ไม่ควรกระทำอะไรที่จะเกิดความเสียหาย และ ทุกฝ่ายอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหา สำหรับปัญหาเขตแดนนั้น เป็นเพราะแต่ละฝ่าย ถือแผ่นที่คนละฉบับ และต่างอ้างสิทธิ ซึ่งตนยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดนอะไรทั้งสิ้น เรายังรักษาดินแดนของเราได้
ด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก. ภ.จว.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า สำหรับแผนรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ในครั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงมาให้ปฏิบัติการตามแผน กรกฏ 52 ซึ่งได้มีการปรับปรุงแก้ไขจากการปฏิบัติการที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพื้นที่ โดยทางตำรวจได้เตรียมกำลังตำรวจในพื้นที่ที่มีอยู่และมีตำรวจชุดกองร้อย ควบคุมฝูงชนจาก ตชด. 1 กองร้อย
ตำรวจในพื้นที่ศรีสะเกษ 1 กองร้อย ตำรวจจาก จ.อุบลราชธานี อีก 1 กองร้อย รวมทั้งได้มีการเตรียมการในขอรับการสนับสนุนจากตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงที่ สามารถเดินทางมาถึงได้ภายในไม่เกิน 4 ชั่วโมง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่เกินขีดความสามารถในการรับมือของตำรวจชุด ควบคุมฝูงชนชุดที่ปฏิบัติการอยู่เป็นหลักทั้ง 3 กองร้อยดังกล่าว
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม ในตอนเย็นวันนี้ ได้มีการตั้งเวทีปราศรัยกันที่บริเวณหน้าศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ด้านถนนกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร บนเวทีมีป้ายค่ำว่า กองทัพประชาชนเครือข่ายสี่ภาค (สอส.) มีการปราศรัยเชิญชวนร่วมชุมนุมทวงคืนเขาพระวิหาร มีผู้เข้ารับฟังบางตา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ เข้าไปสังเกตการณ์ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย
วันที่ 17 ก.ย.52 ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง นายระพี ผ่องบุพกิจ ผวจ.ศรีสะเกษ ฝ่ายทหารจากกองทัพภาคที่ 2 นำโดย พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพน้อยที่ 2 และ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-19 ก.ย.ที่จะถึงนี้
เพื่อวางแผนการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันเหตุร้าย ซึ่งการประชุมไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้ารับฟังแต่อย่างใด
พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพน้อยที่ 2 กล่าวภายหลังการเดินทางตรวจเตรียมความพร้อมเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯว่า มีความเป็นห่วง เพราะอาจกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหากรณีปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี จึงขอให้ระมัดระวัง การชุมนุมควรดำเนินการตามกรอบขอบเขต หากดำเนินการนอกขอบเขตจะดำเนินการตามกฎหมาย
แม่ทัพน้อยที่ 2 กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้อง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนของทหาร ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งอาจจะกลับไปอยู่ที่เดิม สำหรับแนวทางที่ดีที่สุด คือการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันทั้งสองฝ่าย ที่กำลังดำเนินการเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายละเอียด อาจจะมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ขอให้สื่อมวลชนได้ช่วยดำเนินการชี้แจงต่อผู้ที่จะเดินทางมาร่วมชุมนุมว่า ไม่ควรกระทำอะไรที่จะเกิดความเสียหาย และ ทุกฝ่ายอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหา สำหรับปัญหาเขตแดนนั้น เป็นเพราะแต่ละฝ่าย ถือแผ่นที่คนละฉบับ และต่างอ้างสิทธิ ซึ่งตนยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดนอะไรทั้งสิ้น เรายังรักษาดินแดนของเราได้
ด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก. ภ.จว.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า สำหรับแผนรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ในครั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงมาให้ปฏิบัติการตามแผน กรกฏ 52 ซึ่งได้มีการปรับปรุงแก้ไขจากการปฏิบัติการที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพื้นที่ โดยทางตำรวจได้เตรียมกำลังตำรวจในพื้นที่ที่มีอยู่และมีตำรวจชุดกองร้อย ควบคุมฝูงชนจาก ตชด. 1 กองร้อย
ตำรวจในพื้นที่ศรีสะเกษ 1 กองร้อย ตำรวจจาก จ.อุบลราชธานี อีก 1 กองร้อย รวมทั้งได้มีการเตรียมการในขอรับการสนับสนุนจากตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงที่ สามารถเดินทางมาถึงได้ภายในไม่เกิน 4 ชั่วโมง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่เกินขีดความสามารถในการรับมือของตำรวจชุด ควบคุมฝูงชนชุดที่ปฏิบัติการอยู่เป็นหลักทั้ง 3 กองร้อยดังกล่าว
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม ในตอนเย็นวันนี้ ได้มีการตั้งเวทีปราศรัยกันที่บริเวณหน้าศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ด้านถนนกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร บนเวทีมีป้ายค่ำว่า กองทัพประชาชนเครือข่ายสี่ภาค (สอส.) มีการปราศรัยเชิญชวนร่วมชุมนุมทวงคืนเขาพระวิหาร มีผู้เข้ารับฟังบางตา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ เข้าไปสังเกตการณ์ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย
สื่อเหลืองดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก โต้มติชน-ไทยรัฐ รายงานข่าวแกนนำพันธมิตรเจ้ามือหวยใต้ดิน
เอเอสทีวี-ผู้ัจัดการ : “สื่อหัวเขียว-หัวแดง” รีบเอาใจ “นายแม้ว” แพร่ข่าวหมิ่นแกนนำพันธมิตรฯ ชัดเจน ระบุ เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน “สุริยะใส” โต้ เป็นวิธีสามานย์ และเป็นคำกล่าวหาที่หาสาระอะไรไม่ได้ของนักโทษหนีคดี ย้ำ พธม.ทุกคนรักชาติ-บ้านเมือง ต่อสู้อย่างเสียสละ ท้าเอาหลักฐานมาโชว์
วันนี้ (17 ก.ย.) ภายหลังจากที่มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ได้เขียนข้อความตอบโต้กับแฟนคลับคนเสื้อแดงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ โดยระบุว่า หวยบนดินคนจนได้ประโยชน์ปีหนึ่งประมาณหมื่นล้านบาท นำมาเป็นทุนการศึกษา บัดนี้ลงใต้ดินหมื่นล้านเข้าเจ้ามือหวย ซึ่งบางคนเป็นแกนนำพันธมิตรฯ”
หลังจากนั้น เว็บไซต์ไทยรัฐ และ มติชน ได้รีบหยิบยกประเด็นดังกล่าวไปเป็นข่าวและพาดหัวในเว็บไซต์ของตนเอง โดยอ้างอิงคำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าว
ทั้งนี้ เว็บไซต์ไทยรัฐ ระบุว่า “ทักษิณทวิตเตอร์ แฉแกนนำ พธม.เจ้ามือหวยใต้ดิน” ขณะที่ในเนื้อข่าวระบุข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทค่อนข้างชัดเจน คือ “ ‘ทักษิณ’ แฉแกนนำ พธม.เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน ซัดยุคมืดตำรวจถูกแทรกแซงจนขวัญกระเจิง เปรียบบุญบาปเหมือนสึนามิ มาเร็วไปเร็ว”
ในส่วนของเว็บไซต์มติชน ก็นำเสนอข่าวดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยพาดหัวข่าวว่า “ ‘แม้ว’ ซัดแต่งตั้ง ผบ.ตร.ถูกแทรกแซงสุดๆ ทำ จนท.เสียขวัญ ลั่นใช้วิบากกรรมหมดแล้ว แฉแกนนำ พธม.เจ้ามือหวย”
อนึ่ง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น มีด้วยกัน 2 รุ่น จำนวน 10 คน ประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสำราญ รอดเพชร นางมาลีรัตน์ แก้วก่า นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายศิริชัย ไม้งาม และ นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง โดยแกนนำทั้ง 10 คนต่างเป็นบุคคลที่มีหน้าที่การงานดี มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของคนในสังคม อีกทั้งในการกล่าวหาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ และหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ ก็ไม่ได้อ้างอิงถึงหลักฐานแต่อย่างใด
ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พยายามหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาใช้โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2548 แต่ก็ไม่เคยระบุถึงหลักฐานว่าเป็นใครและกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระของนักโทษหนีคดี
คำพูดของคุณทักษิณคล้ายกับเป็นแผ่นเสียงตกร่อง แน่จริงเปิดเผยออกมาเลยดีกว่า ว่า แกนนำพันธมิตรฯ คนไหนที่ค้าหวยใต้ดิน หวยเถื่อน อย่ามาใช้วิธีสามานย์เช่นนี้ เพราะมวลชนที่ร่วมต่อสู้ รักชาติบ้านเมือง รักสถาบัน และพร้อมเสียสละตัวเอง ไม่เหมือนคนบางคนที่หนีไปต่างประเทศ จริงๆ พันธมิตรฯ ก็ไม่สนใจ กับคำพูดของนักโทษหนีคดี ซึ่งหาสาระอะไรไม่ได้” นายสุริยะใส กล่าว
นอกจากนี้ นายสุริยะใส ยังกล่าวด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์ 18 ก.ย.) แกนนำพันธมิตรฯ จะนัดประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อหารือกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองในวันที่ 19 ก.ย.และ ปัญหาเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร และจะแถลงจุดยืนต่อสื่อมวลชนในเวลา 12.00 น.ณ ห้องประชุม บ้านพระอาทิตย์
วันนี้ (17 ก.ย.) ภายหลังจากที่มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ได้เขียนข้อความตอบโต้กับแฟนคลับคนเสื้อแดงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ โดยระบุว่า หวยบนดินคนจนได้ประโยชน์ปีหนึ่งประมาณหมื่นล้านบาท นำมาเป็นทุนการศึกษา บัดนี้ลงใต้ดินหมื่นล้านเข้าเจ้ามือหวย ซึ่งบางคนเป็นแกนนำพันธมิตรฯ”
หลังจากนั้น เว็บไซต์ไทยรัฐ และ มติชน ได้รีบหยิบยกประเด็นดังกล่าวไปเป็นข่าวและพาดหัวในเว็บไซต์ของตนเอง โดยอ้างอิงคำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าว
ทั้งนี้ เว็บไซต์ไทยรัฐ ระบุว่า “ทักษิณทวิตเตอร์ แฉแกนนำ พธม.เจ้ามือหวยใต้ดิน” ขณะที่ในเนื้อข่าวระบุข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทค่อนข้างชัดเจน คือ “ ‘ทักษิณ’ แฉแกนนำ พธม.เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน ซัดยุคมืดตำรวจถูกแทรกแซงจนขวัญกระเจิง เปรียบบุญบาปเหมือนสึนามิ มาเร็วไปเร็ว”
ในส่วนของเว็บไซต์มติชน ก็นำเสนอข่าวดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยพาดหัวข่าวว่า “ ‘แม้ว’ ซัดแต่งตั้ง ผบ.ตร.ถูกแทรกแซงสุดๆ ทำ จนท.เสียขวัญ ลั่นใช้วิบากกรรมหมดแล้ว แฉแกนนำ พธม.เจ้ามือหวย”
อนึ่ง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น มีด้วยกัน 2 รุ่น จำนวน 10 คน ประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสำราญ รอดเพชร นางมาลีรัตน์ แก้วก่า นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายศิริชัย ไม้งาม และ นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง โดยแกนนำทั้ง 10 คนต่างเป็นบุคคลที่มีหน้าที่การงานดี มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของคนในสังคม อีกทั้งในการกล่าวหาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ และหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ ก็ไม่ได้อ้างอิงถึงหลักฐานแต่อย่างใด
ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พยายามหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาใช้โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2548 แต่ก็ไม่เคยระบุถึงหลักฐานว่าเป็นใครและกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระของนักโทษหนีคดี
คำพูดของคุณทักษิณคล้ายกับเป็นแผ่นเสียงตกร่อง แน่จริงเปิดเผยออกมาเลยดีกว่า ว่า แกนนำพันธมิตรฯ คนไหนที่ค้าหวยใต้ดิน หวยเถื่อน อย่ามาใช้วิธีสามานย์เช่นนี้ เพราะมวลชนที่ร่วมต่อสู้ รักชาติบ้านเมือง รักสถาบัน และพร้อมเสียสละตัวเอง ไม่เหมือนคนบางคนที่หนีไปต่างประเทศ จริงๆ พันธมิตรฯ ก็ไม่สนใจ กับคำพูดของนักโทษหนีคดี ซึ่งหาสาระอะไรไม่ได้” นายสุริยะใส กล่าว
นอกจากนี้ นายสุริยะใส ยังกล่าวด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์ 18 ก.ย.) แกนนำพันธมิตรฯ จะนัดประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อหารือกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองในวันที่ 19 ก.ย.และ ปัญหาเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร และจะแถลงจุดยืนต่อสื่อมวลชนในเวลา 12.00 น.ณ ห้องประชุม บ้านพระอาทิตย์
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
มิคสัญญี กลียุค..บนความดื้อ ของเด็กบ้า
ฮือฮากันไปทั้งสนาม เมื่อจู่ๆกรรมการข้างเวที อย่างกล้านรก จัณฑาล แอนด์เดอะแก๊งค์ ก็คว้าไม้หน้าสาม ขึ้นเวทีไปแพ่นกบาลบิ๊กป๊อด ลูกสันติราษฎร์เอาดื้อๆส่งผลให้นักมวยฝ่ายน้ำเงิน ออกอาการก้นเตี้ย
เปิดโอกาสให้เด็กดื้อ ลูกป๋าดัน นักมวยฝ่ายเหลือง กระโจนเข้ากัดใบหูได้ อย่างเต็มปากเต็มคำเล่นเอาแฟนมวยทั้งสนามตกตะลึงตาค้าง ส่งเสียงครางเป็นนกถึดทือว่า แม่มันเล่นเหม็นกันอีกแล้วว้อย..ทั้งปีจะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของสนามมวยสารขัณฑ์ ที่กรรมการข้างเวทีมักจะเกิดอารมณ์ร่วม ไม่เพียงแค่ออกหน้ามาเชียร์มวยอย่างน่าเกลียด
แต่ถึงขนาดโดดขึ้นเวทีไปช่วยยำนักมวยฝ่ายตรงข้าม ก็ทำกันออกบ่อยถึงว่า..กลิ่นมิคสัญญี กลียุค ลอยเข้ามาเตะจมูกอยู่ผางๆ ยิ่งนับวันยิ่งฉุนขึ้นจมูกไปทุกที ตั้งแต่ตาเฒ่ากาลี มีบัญชาให้ท.ทหารถือธง แบกเด็กดื้อขึ้นวอ ล่อเก้าอี้นายกฯไปอย่างหน้าด้านๆ เด็กห่ามมันเลยย่ามใจ ควักไม้ขีดไฟออกมาเล่น เผาบ้านเผาเมืองอย่างสนุกสนานลืมไปสนิทเลย กับที่เคยผายลมทางปากว่า "ประชาชนต้องมาก่อน" พอประชาชนไม่ยอมมาก่อน มันเลยซัดไม่เลี้ยง ทั้งเอ็ม-16 รถถัง ฮัมวี่ย์ เอ๊กเซอร์ไซส์กันให้วุ่น
อะไรมันจะขนาดนั้นถึงขนาดเป่านกหวีดปรี๊ดๆ เรียกสีเขียวออกมาเต็มพรึ่ด เพียงเพื่อจะแสดงภาวะผู้นำของเด็กป๋า ก็ยังทำแขกไปไทยมา เผลอๆจะนึกว่าบ้านนี้เมืองนี้ อยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจปืน ของรัฐบาลทหาร ท่านนายพล"เหงียนมาร์ค"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่ป๋าทำไม่ได้นอกจากทำลูก จึงเป็นเหตุให้เด็กดื้อมั่นใจเต็มพิกัด ว่าจะออกฤทธิ์ออกเดชยังไงก็ได้ เดี๋ยวป๋าวิ่งเคลียร์ให้ สบายบรื๋อสะดือปลิ้น หายห่วงหมดกังวล
แม้แต่วันมามากมีองค์กรอิสระเป็นของตัวเองซะอย่าง ป๋าเลยสบายไปแปดอย่าง ต่อให้ขึ้นช้างลงม้า ป๋าก็บ่ยั่น เด็กป๋าทั้งนั้น ตบได้สั่งได้ จะตัดสินยังไง ที่ไหน เวลาใด ขอให้บอก จะเอาตามกฎหมายหรือพจนานุกรม ว่ากันเป็นแพ็คเกจ ก็จัดให้ได้ทั้งนั้นต้องยอมรับว่า กล้าณรงค์ มันชักจะกล้าท้านรกขึ้นทุกที ตัดสินอะไรมันจะบังเอิญให้ถูกที่ถูกเวลาซะขนาดนั้น
อุตส่าห์ลากยาวมาได้ตั้งเป็นนานสองนาน จำเพาะเจาะจงจะมาเกิดสปัสซั่ม เอาตอนที่เขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจะฉากหลบชิดซ้ายออกไปอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่รู้มันจะอกแตกตายกันหรือยังไงเอาเหอะ..ไว้ถึงวันที่ฟ้าสีทองผ่องอำไพ คงได้เห็นหัวล้านติดหนวดสวมแว่นตาดำ ถูกเสียบประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วใครต่อใคร คงได้หัวเราะให้ฟันหักส่วนเหงียนมาร์คคงต้องถูกจารึกชื่อไว้บนบัญชีหนังหมา ในฐานะหัวเชื้อชั้นดีของสงครามกลางเมือง" ตูมมม..."
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงระเบิดกึกก้อง ก็ดังขึ้นที่บ้านของนายอวิชา มาหาคุณ เป็นเสียงเตือนนิ่มๆมาจากใครก็ไม่รู้ เพราะโจทย์มันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ส่งผลให้ 9 ปปช.ถึงกับฉี่เล็ด เรียกหาบริการจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กัน ให้เสียงหลงนี่แหละที่เขาว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้เอ็ม-69 อย่าไปคิดอะไรมาก รับใช้ป๋าให้สุดลิ่มทิ่มประตู ไม่นานเกินรอ ต้องมีใครถูกหวยสำหรับเสื้อแดงแล้ว
งานนี้มันก็แค่แย้กัดกัน ใครจะเป็นใครจะตาย ไม่ต้องไปสนใจให้เมื่อยตุ้ม เป้าหมายอยู่ที่อำมาตย์ตัวเดียวอันเดียว ใครไม่เกี่ยวถอยไปดีแล้วที่อำมาตย์ดันทะลึ่งมาเสี้ยมให้แดงแตกเป็น หลายก๊ก บางก๊กไปสุดทางที่เชียงราย บางก๊กขอบายลงที่นครสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกก๊กคงต้องตีตั๋วต่อ ไปสมทบกันที่ปลายทางอยู่ดี เมื่อพบว่าปัญหามันไม่จบ เพราะโจทย์จริงอยู่ที่เชียงรายระหว่างนี้ คงต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ข่าวเขาว่า อีกไม่ช้าปู่โสมจะไปยาว
คราวนี้คงต้องตีตั๋วนอน มีพระนำ ถึงเวลานั้นสีเขียวคงแย่งกันทำรัฐประหาร ส่วนสีแดงก็เข้าผสมโรง..ปฏิวัติประชาชนอำมาตย์จะตายร้อนหรือว่าตาย เย็น ก็ต้องเลือกวิธีตายเอาไว้แต่เนิ่นๆ ถึงเวลานั้น ประชาชนจะได้จัดให้ถูก ต้องตามความประสงค์ของผู้ตาย เพราะดูแนวโน้มแล้ว...ศพอำมาตย์จะเละแค่ไหน ก็อยู่ที่มันทำอะไรไว้กับประชาชน
วโรทาห์: 16 ก.ย. 52
เปิดโอกาสให้เด็กดื้อ ลูกป๋าดัน นักมวยฝ่ายเหลือง กระโจนเข้ากัดใบหูได้ อย่างเต็มปากเต็มคำเล่นเอาแฟนมวยทั้งสนามตกตะลึงตาค้าง ส่งเสียงครางเป็นนกถึดทือว่า แม่มันเล่นเหม็นกันอีกแล้วว้อย..ทั้งปีจะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของสนามมวยสารขัณฑ์ ที่กรรมการข้างเวทีมักจะเกิดอารมณ์ร่วม ไม่เพียงแค่ออกหน้ามาเชียร์มวยอย่างน่าเกลียด
แต่ถึงขนาดโดดขึ้นเวทีไปช่วยยำนักมวยฝ่ายตรงข้าม ก็ทำกันออกบ่อยถึงว่า..กลิ่นมิคสัญญี กลียุค ลอยเข้ามาเตะจมูกอยู่ผางๆ ยิ่งนับวันยิ่งฉุนขึ้นจมูกไปทุกที ตั้งแต่ตาเฒ่ากาลี มีบัญชาให้ท.ทหารถือธง แบกเด็กดื้อขึ้นวอ ล่อเก้าอี้นายกฯไปอย่างหน้าด้านๆ เด็กห่ามมันเลยย่ามใจ ควักไม้ขีดไฟออกมาเล่น เผาบ้านเผาเมืองอย่างสนุกสนานลืมไปสนิทเลย กับที่เคยผายลมทางปากว่า "ประชาชนต้องมาก่อน" พอประชาชนไม่ยอมมาก่อน มันเลยซัดไม่เลี้ยง ทั้งเอ็ม-16 รถถัง ฮัมวี่ย์ เอ๊กเซอร์ไซส์กันให้วุ่น
อะไรมันจะขนาดนั้นถึงขนาดเป่านกหวีดปรี๊ดๆ เรียกสีเขียวออกมาเต็มพรึ่ด เพียงเพื่อจะแสดงภาวะผู้นำของเด็กป๋า ก็ยังทำแขกไปไทยมา เผลอๆจะนึกว่าบ้านนี้เมืองนี้ อยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจปืน ของรัฐบาลทหาร ท่านนายพล"เหงียนมาร์ค"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่ป๋าทำไม่ได้นอกจากทำลูก จึงเป็นเหตุให้เด็กดื้อมั่นใจเต็มพิกัด ว่าจะออกฤทธิ์ออกเดชยังไงก็ได้ เดี๋ยวป๋าวิ่งเคลียร์ให้ สบายบรื๋อสะดือปลิ้น หายห่วงหมดกังวล
แม้แต่วันมามากมีองค์กรอิสระเป็นของตัวเองซะอย่าง ป๋าเลยสบายไปแปดอย่าง ต่อให้ขึ้นช้างลงม้า ป๋าก็บ่ยั่น เด็กป๋าทั้งนั้น ตบได้สั่งได้ จะตัดสินยังไง ที่ไหน เวลาใด ขอให้บอก จะเอาตามกฎหมายหรือพจนานุกรม ว่ากันเป็นแพ็คเกจ ก็จัดให้ได้ทั้งนั้นต้องยอมรับว่า กล้าณรงค์ มันชักจะกล้าท้านรกขึ้นทุกที ตัดสินอะไรมันจะบังเอิญให้ถูกที่ถูกเวลาซะขนาดนั้น
อุตส่าห์ลากยาวมาได้ตั้งเป็นนานสองนาน จำเพาะเจาะจงจะมาเกิดสปัสซั่ม เอาตอนที่เขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจะฉากหลบชิดซ้ายออกไปอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่รู้มันจะอกแตกตายกันหรือยังไงเอาเหอะ..ไว้ถึงวันที่ฟ้าสีทองผ่องอำไพ คงได้เห็นหัวล้านติดหนวดสวมแว่นตาดำ ถูกเสียบประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วใครต่อใคร คงได้หัวเราะให้ฟันหักส่วนเหงียนมาร์คคงต้องถูกจารึกชื่อไว้บนบัญชีหนังหมา ในฐานะหัวเชื้อชั้นดีของสงครามกลางเมือง" ตูมมม..."
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงระเบิดกึกก้อง ก็ดังขึ้นที่บ้านของนายอวิชา มาหาคุณ เป็นเสียงเตือนนิ่มๆมาจากใครก็ไม่รู้ เพราะโจทย์มันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ส่งผลให้ 9 ปปช.ถึงกับฉี่เล็ด เรียกหาบริการจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กัน ให้เสียงหลงนี่แหละที่เขาว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้เอ็ม-69 อย่าไปคิดอะไรมาก รับใช้ป๋าให้สุดลิ่มทิ่มประตู ไม่นานเกินรอ ต้องมีใครถูกหวยสำหรับเสื้อแดงแล้ว
งานนี้มันก็แค่แย้กัดกัน ใครจะเป็นใครจะตาย ไม่ต้องไปสนใจให้เมื่อยตุ้ม เป้าหมายอยู่ที่อำมาตย์ตัวเดียวอันเดียว ใครไม่เกี่ยวถอยไปดีแล้วที่อำมาตย์ดันทะลึ่งมาเสี้ยมให้แดงแตกเป็น หลายก๊ก บางก๊กไปสุดทางที่เชียงราย บางก๊กขอบายลงที่นครสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกก๊กคงต้องตีตั๋วต่อ ไปสมทบกันที่ปลายทางอยู่ดี เมื่อพบว่าปัญหามันไม่จบ เพราะโจทย์จริงอยู่ที่เชียงรายระหว่างนี้ คงต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ข่าวเขาว่า อีกไม่ช้าปู่โสมจะไปยาว
คราวนี้คงต้องตีตั๋วนอน มีพระนำ ถึงเวลานั้นสีเขียวคงแย่งกันทำรัฐประหาร ส่วนสีแดงก็เข้าผสมโรง..ปฏิวัติประชาชนอำมาตย์จะตายร้อนหรือว่าตาย เย็น ก็ต้องเลือกวิธีตายเอาไว้แต่เนิ่นๆ ถึงเวลานั้น ประชาชนจะได้จัดให้ถูก ต้องตามความประสงค์ของผู้ตาย เพราะดูแนวโน้มแล้ว...ศพอำมาตย์จะเละแค่ไหน ก็อยู่ที่มันทำอะไรไว้กับประชาชน
วโรทาห์: 16 ก.ย. 52
"แม้ว"ซ้ดยุคฝ่ายบริหารแทรกตั้ง ผบ.ตร.ทำ จนท.เสียขวัญ ลั่นใช้วิบากกรรมหมดแล้ว แฉแกนนำ พธม.เจ้ามือหวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ twitter.com ถึงกรณีที่มีการเลื่อนการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ว่า “เป็นยุคที่ตำรวจเราถูกแทรกแซงอย่างสุดๆ ถ้าคนไม่เข้าใจกฎหมายระเบียบภายในตำรวจ ไปยุ่งกับการบริหารลึกเกินไปก็จะเสียขวัญอย่างนี้ครับ”
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวขอบคุณแฟนคลับที่ให้กำลังใจกรณีที่ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเบิกความเป็นพยานในฐานะผู้ร้องคัดค้านคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวนกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ที่ได้มาจากการการร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน ว่า “ขอบคุณครับ คอรัปชั่นแปลว่า เอาเงินรัฐมาใส่กระเป๋าตัว แต่นี่เป็นเงินครอบครัวที่แสดงบัญชีว่า มีมาก่อนป็นนายก ฯแล้วรัฐฟ้องเพื่อเอาเข้ารัฐ? ” และ “บุญบาป เหมือนสึนามิครับ มาเร็วไปเร็ว ผมได้ใช้วิบากกรรมชาติที่แล้วหมดแล้วครับ สึนามิกำลังจะกลับทะเล เพื่อทะเลจะกลับมาสวยงามกว่าเดิม”
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตเตอร์ มีข้อความระบุว่า "หวยบนดินคนจนได้ประโยชน์ ปีหนึ่งประมาณหมื่นล้านบาท นำมาเป็นทุนการศึกษา บัดนี้ ลงใต้ดินหมื่นล้านเข้าเจ้ามือหวย ซึ่งบางคนเป็นแกนนำพันธมิตร"
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวขอบคุณแฟนคลับที่ให้กำลังใจกรณีที่ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเบิกความเป็นพยานในฐานะผู้ร้องคัดค้านคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวนกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ที่ได้มาจากการการร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน ว่า “ขอบคุณครับ คอรัปชั่นแปลว่า เอาเงินรัฐมาใส่กระเป๋าตัว แต่นี่เป็นเงินครอบครัวที่แสดงบัญชีว่า มีมาก่อนป็นนายก ฯแล้วรัฐฟ้องเพื่อเอาเข้ารัฐ? ” และ “บุญบาป เหมือนสึนามิครับ มาเร็วไปเร็ว ผมได้ใช้วิบากกรรมชาติที่แล้วหมดแล้วครับ สึนามิกำลังจะกลับทะเล เพื่อทะเลจะกลับมาสวยงามกว่าเดิม”
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตเตอร์ มีข้อความระบุว่า "หวยบนดินคนจนได้ประโยชน์ ปีหนึ่งประมาณหมื่นล้านบาท นำมาเป็นทุนการศึกษา บัดนี้ ลงใต้ดินหมื่นล้านเข้าเจ้ามือหวย ซึ่งบางคนเป็นแกนนำพันธมิตร"
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552
แจ้ง ป.เอาผิดนายกฯมาร์คไม่นำนายพลเข้าเฝ้าฯ-ดอดไปจ้องานตลาดหลักทรัพย์

ข่าวสด : ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์ฯ แจ้งความกองปราบฯ ดำเนินคดี ดำเนินคดี “อภิสิทธิ์” กล่าวหาไม่ปฏิบัติหน้าที่นำนายพลทหาร-ตำรวจที่ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น เข้าเฝ้าฯ ในหลวงด้วยตัวเอง ตามที่ปฏิบัติมาเป็นโบราณราชประเพณี แต่กลับให้ “สุเทพ” ทำหน้าที่แทน เนื่องจากติดภารกิจไปปาฐกถาที่ตลาดหุ้น ระบุเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เคยมีนายกฯ คนใดไม่ปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ ทางด้านนายกฯ โต้ลั่นเปล่าหมิ่นเบื้องสูง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่กองปราบปราม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎ หมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ได้เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เชื่อมสกุลรัตน์ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแจ้งความ ดำเนินคดีความผิดทางอาญากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายพิชา กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ตามตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสจะนำคณะนายพลทหารจำนวน 758 นาย และนายพลตำรวจ 93 นาย ที่ได้รับพระ ราชทานยศสูงขึ้น ประจำปี 2551 เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 19 พ.ค. 2552 เวลา 17.35 น. เมื่อถึงกำหนดเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ อาคารอเนกประสงค์ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นพระราชกรณียกิจ และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3,10,11 และ มาตรา 193
นายพิชากล่าวอีกว่า แต่นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐ มนตรี ดำเนินการดังกล่าวแทน ทั้งที่ตามโบราณราชประเพณีแล้วเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะต้องปฏิบัติเอง ไม่สามารถที่จะมอบหมายให้ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการแทนได้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงในการถวายพระเกียรติต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ในรัฐธรรมนูญ ม.157
นายพิชากล่าวต่อว่า โดยในวันเวลาดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ กลับมีกำหนดวาระที่เตรียมการและจงใจที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อเป็นการถือโอกาสให้ตนไปปาฐกถาพิเศษเรื่องการเมืองไทย 2020 ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มชุมชนออนไลน์ ณ ห้องประชุม ศ.สังเวียน อินทรชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือมิใช่เป็นงานราชการสำคัญใดเหนือกว่าการถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นเรื่องที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเข้าข่ายเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 และประ มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 157 ดังนั้นตนเห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ มีความผิด อดีตนายกรัฐมนตรีในยุคที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีใครเขาเคยประพฤติปฏิบัติกัน จึงขอให้พนักงานสอบสวนของกองปราบปราม สอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายอภิสิทธิ์ต่อไป
เบื้องต้นทางพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ได้สอบปากคำนายพิชา และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนี้ก็จะนำเรื่องเสนอไปยังผู้บังคับบัญชา พิจารณาสั่งการต่อไป
หลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนทำหนัง สือถึงพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. มีความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้สรุปว่า 1.พระมหากษัตริย์ไทยทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณีและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2250 มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย 3.การแต่งตั้งข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพลเข้ารับตำแหน่ง ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยองค์พระมหากษัตริย์ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 4.เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว ข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพล ต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ถวายราย งาน 5.ภารกิจดังกล่าวถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากการทำหน้าที่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ยังถือเป็นการถวายพระเกียรติต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งตามโบราณราชประเพณี ผู้รับสนองพระบรมราช โองการ ต้องทำหน้าที่สำคัญนี้ โดยไม่สามารถมอบหมายผู้อื่นทำหน้าที่แทนได้ 6.ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีไทยคนใดไม่ปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้
เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบุคคลไปร้องกับกองปราบปราม เพื่อแจ้งข้อหาเอาผิดในมาตรา 112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมาตรา 157 ในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ไม่ได้เป็นผู้นำข้าราชการตำรวจทหารระดับนายพลเข้าเฝ้าฯ เพื่อประดับยศว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาไปกล่าวหาตน เมื่อถามว่าแสดงว่าการมอบหมายให้นายสุเทพนำคณะเข้าเฝ้าฯ ทำได้ตามกฎหมาย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ชัดเจนมาก แล้วก็ไม่มีกรณีใดๆ เป็นเรื่องที่ผมไปหมิ่นเบื้องสูง” เมื่อถามว่าตั้งข้อสังเกต หรือไม่ ว่าทำไมจึงมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ต้องไปพิจารณาต่อไป
ทางด้านนายสุชาติ ลายน้ำเงิน รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ไม่ไปร่วมงานพระราชทานยศทหารและตำรวจที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่า นายอภิสิทธิ์ทำหนังสือกราบบังคมทูล ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับไม่ไป มอบหมายให้นายสุเทพไปแทน นายอภิสิทธิ์ไปปาฐกถาที่ตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่เคยมีนายกฯ คนไหนที่ทำเช่นนี้ ชมรมทนายความไปแจ้งความกับกองปราบปราม ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์แล้ว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่กองปราบปราม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎ หมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ได้เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เชื่อมสกุลรัตน์ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแจ้งความ ดำเนินคดีความผิดทางอาญากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายพิชา กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ตามตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสจะนำคณะนายพลทหารจำนวน 758 นาย และนายพลตำรวจ 93 นาย ที่ได้รับพระ ราชทานยศสูงขึ้น ประจำปี 2551 เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 19 พ.ค. 2552 เวลา 17.35 น. เมื่อถึงกำหนดเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ อาคารอเนกประสงค์ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นพระราชกรณียกิจ และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3,10,11 และ มาตรา 193
นายพิชากล่าวอีกว่า แต่นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐ มนตรี ดำเนินการดังกล่าวแทน ทั้งที่ตามโบราณราชประเพณีแล้วเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะต้องปฏิบัติเอง ไม่สามารถที่จะมอบหมายให้ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการแทนได้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงในการถวายพระเกียรติต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ในรัฐธรรมนูญ ม.157
นายพิชากล่าวต่อว่า โดยในวันเวลาดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ กลับมีกำหนดวาระที่เตรียมการและจงใจที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อเป็นการถือโอกาสให้ตนไปปาฐกถาพิเศษเรื่องการเมืองไทย 2020 ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มชุมชนออนไลน์ ณ ห้องประชุม ศ.สังเวียน อินทรชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือมิใช่เป็นงานราชการสำคัญใดเหนือกว่าการถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นเรื่องที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเข้าข่ายเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 และประ มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 157 ดังนั้นตนเห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ มีความผิด อดีตนายกรัฐมนตรีในยุคที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีใครเขาเคยประพฤติปฏิบัติกัน จึงขอให้พนักงานสอบสวนของกองปราบปราม สอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายอภิสิทธิ์ต่อไป
เบื้องต้นทางพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ได้สอบปากคำนายพิชา และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนี้ก็จะนำเรื่องเสนอไปยังผู้บังคับบัญชา พิจารณาสั่งการต่อไป
หลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนทำหนัง สือถึงพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. มีความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้สรุปว่า 1.พระมหากษัตริย์ไทยทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณีและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2250 มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย 3.การแต่งตั้งข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพลเข้ารับตำแหน่ง ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยองค์พระมหากษัตริย์ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 4.เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว ข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพล ต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ถวายราย งาน 5.ภารกิจดังกล่าวถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากการทำหน้าที่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ยังถือเป็นการถวายพระเกียรติต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งตามโบราณราชประเพณี ผู้รับสนองพระบรมราช โองการ ต้องทำหน้าที่สำคัญนี้ โดยไม่สามารถมอบหมายผู้อื่นทำหน้าที่แทนได้ 6.ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีไทยคนใดไม่ปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้
เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบุคคลไปร้องกับกองปราบปราม เพื่อแจ้งข้อหาเอาผิดในมาตรา 112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมาตรา 157 ในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ไม่ได้เป็นผู้นำข้าราชการตำรวจทหารระดับนายพลเข้าเฝ้าฯ เพื่อประดับยศว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาไปกล่าวหาตน เมื่อถามว่าแสดงว่าการมอบหมายให้นายสุเทพนำคณะเข้าเฝ้าฯ ทำได้ตามกฎหมาย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ชัดเจนมาก แล้วก็ไม่มีกรณีใดๆ เป็นเรื่องที่ผมไปหมิ่นเบื้องสูง” เมื่อถามว่าตั้งข้อสังเกต หรือไม่ ว่าทำไมจึงมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ต้องไปพิจารณาต่อไป
ทางด้านนายสุชาติ ลายน้ำเงิน รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ไม่ไปร่วมงานพระราชทานยศทหารและตำรวจที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่า นายอภิสิทธิ์ทำหนังสือกราบบังคมทูล ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับไม่ไป มอบหมายให้นายสุเทพไปแทน นายอภิสิทธิ์ไปปาฐกถาที่ตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่เคยมีนายกฯ คนไหนที่ทำเช่นนี้ ชมรมทนายความไปแจ้งความกับกองปราบปราม ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์แล้ว
เทพเทือก"ซัดพันธมิตรทวง พระวิหาร ซ้ำเติมบ้านเมือง

มติชน : “สุเทพ”เตือนพันธมิตรอย่าซ้ำเติมบ้านเมือง ชี้สองชาติกำลังแก้ปัญหา”พระวิหาร” ไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย ปธ.ศาลปกครองสูงสุดแนะรัฐบาลอย่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม ต้องทำให้เห็นว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมระดมพลวันที่ 19 กันยายนนี้ เพื่อขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่ทราบว่ากลุ่มคนที่จะไปเขาพระวิหารจะไปทำไม ถ้าไปเพียงเพื่อแสดงออกถึงความรักหวงแหนแผ่นดินก็แสดงได้ แต่ควรระมัดระวังอย่าไปกระทบกับทางกัมพูชา พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ทั้งไทยและกัมพูชาก็ตกลงกันแล้วว่า จะให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนไปศึกษา ไม่ควรจะเข้าไปวุ่นวาย
ผมจะไม่ไปว่าใคร พูดถึงใครในแง่ร้าย ทุกคนก็รักชาติบ้านเมืองก็ช่วยกันดูแลแล้วกัน อย่าไปซ้ำเติมบ้านเมืองก็แล้วกันครับ” นายสุเทพกล่าว และว่า เรื่องนี้ประชาชนไม่ต้องออกแรง เพราะรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศกำลังแก้ไขปัญหา กันอยู่ ทุกอย่างทำตามอารมณ์ตามหัวใจไม่ได้ เพราะใจคนมันวูบวาบเหลือเกิน
น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชาที่อ้างว่าทหารไทยยิงวัยรุ่นกัมพูชาที่เข้าไปตัดไม้พร้อมกับเผาทั้งเป็นว่า กรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่าไม่ได้มีการจับกุมใครตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่รับว่าได้พบคนลักลอบเข้ามาตัดไม้จริงเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เพียงแต่เตือนให้ออกไปโดยไม่มีการจับกุมหรือปะทะกันแต่อย่างใด
กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้เชิญนายสุวัฒน์ แก้วสุข อุปทูตไทย ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ ไปพบกับนายอึง เซียน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศกัมพูชาในวันที่ 15 กันยายน โดยฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความห่วงกังวลและไม่สบายใจกับรายงานข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชา และขอให้ฝ่ายไทยช่วยประสานกับหน่วยงานภายใน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งอุปทูตไทยรับว่าจะตรวจสอบและแจ้งผลให้ฝ่ายกัมพูชาทราบต่อไป โดยเชื่อว่าสามารถชี้แจงได้ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน” น.ส.วิมลกล่าว
นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงกรณีนาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระพร้อมพวกรวม 9 คน ยื่นฟ้องสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารและขับไล่
ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่รอบบริเวณเขาพระวิหาร แต่ศาลแพ่งยกฟ้อง ว่าถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่อง หากเพียงแค่รัฐบาลไทยแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดเจรจากับประเทศกัมพูชาว่าพื้นที่เป็นอย่างไร เชื่อว่ากัมพูชาน่าจะยอม การทำให้ความจริงเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารปรากฏน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
นายอักขราทรกล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องทำให้กัมพูชาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่ของไทย เพียงแต่ไม่กี่ปีที่
ผ่านมามีชาวบ้านกลุ่มนี้เข้ามาทำมาหากิน และไม่ถูกต้องอย่างไร โดยพื้นที่บริเวณนั้น มีทั้งทหารไทย และกัมพูชาเป็นพยานอยู่ รัฐบาลจึงต้องทำให้เกิดความเข้าใจ อย่าตั้งการ์ดเห็นเป็นศัตรู หรือเป็นคนละฝั่งมันจะจบปัญหานี้ไม่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องทำความเห็นของคนในชาติให้เข้าใจ และหากมีบางส่วนที่บอกไม่ได้ก็ต้องบอกให้คนไทยรู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเก็บไว้ใช้เจรจา ดังนั้นควรพูดให้รู้เรื่องอย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้อย่างนี้
ปัญหาบางอย่างหากมีความเห็นไม่ตรงกัน และใครผิดใครถูกยังไม่รู้ ผมคิดว่าเราสามารถพิสูจน์ความถูกต้องได้ด้วยข้อเท็จจริง เพราะหากปล่อยไปจะกลายเป็นไทยเรายอมรับแผนที่ และสิ่งที่เขากันไว้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เรามีนักกฎหมาย นักการต่างประเทศและมีคนกลางเก่งๆ มากในประเทศไทยที่จะออกมาช่วยรัฐบาลทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ดังนั้นไม่ควรนิ่งเฉย หรือให้เป็นไปตามบุญตามกรรม” นายอักขราทรกล่าว
ด้านเครือข่ายสภาประชาชน 4 ภาค และเครือข่ายสภาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด กว่า 200 คน นำโดย
นายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาประชาชน 4 ภาค ชุมนุมบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เขตเทศบาลนครนครราชสีมา เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมทวงคืนเขาพระวิหาร รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาล โดย
เฉพาะกองทัพออกมาให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร บนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหลังมี
กระแสข่าวประเทศไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้กับฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรสงขลาเพื่อประชาธิปไตย รวมตัวกันที่ลานประวัติศาสตร์หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนรถจักรยานยนต์และรถยนต์กว่า 20 คันไปรอบๆ ตัวเมืองหาดใหญ่ แจกจ่ายใบปลิวรณรงค์ให้ชาวหาดใหญ่เข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่มพันธมิตรทั่วประเทศเพื่อทวงคืนผืนแผ่นดินเขาพระวิหาร ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่อุทยานปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมระดมพลวันที่ 19 กันยายนนี้ เพื่อขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่ทราบว่ากลุ่มคนที่จะไปเขาพระวิหารจะไปทำไม ถ้าไปเพียงเพื่อแสดงออกถึงความรักหวงแหนแผ่นดินก็แสดงได้ แต่ควรระมัดระวังอย่าไปกระทบกับทางกัมพูชา พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ทั้งไทยและกัมพูชาก็ตกลงกันแล้วว่า จะให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนไปศึกษา ไม่ควรจะเข้าไปวุ่นวาย
ผมจะไม่ไปว่าใคร พูดถึงใครในแง่ร้าย ทุกคนก็รักชาติบ้านเมืองก็ช่วยกันดูแลแล้วกัน อย่าไปซ้ำเติมบ้านเมืองก็แล้วกันครับ” นายสุเทพกล่าว และว่า เรื่องนี้ประชาชนไม่ต้องออกแรง เพราะรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศกำลังแก้ไขปัญหา กันอยู่ ทุกอย่างทำตามอารมณ์ตามหัวใจไม่ได้ เพราะใจคนมันวูบวาบเหลือเกิน
น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชาที่อ้างว่าทหารไทยยิงวัยรุ่นกัมพูชาที่เข้าไปตัดไม้พร้อมกับเผาทั้งเป็นว่า กรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่าไม่ได้มีการจับกุมใครตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่รับว่าได้พบคนลักลอบเข้ามาตัดไม้จริงเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เพียงแต่เตือนให้ออกไปโดยไม่มีการจับกุมหรือปะทะกันแต่อย่างใด
กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้เชิญนายสุวัฒน์ แก้วสุข อุปทูตไทย ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ ไปพบกับนายอึง เซียน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศกัมพูชาในวันที่ 15 กันยายน โดยฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความห่วงกังวลและไม่สบายใจกับรายงานข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชา และขอให้ฝ่ายไทยช่วยประสานกับหน่วยงานภายใน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งอุปทูตไทยรับว่าจะตรวจสอบและแจ้งผลให้ฝ่ายกัมพูชาทราบต่อไป โดยเชื่อว่าสามารถชี้แจงได้ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน” น.ส.วิมลกล่าว
นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงกรณีนาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระพร้อมพวกรวม 9 คน ยื่นฟ้องสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารและขับไล่
ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่รอบบริเวณเขาพระวิหาร แต่ศาลแพ่งยกฟ้อง ว่าถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่อง หากเพียงแค่รัฐบาลไทยแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดเจรจากับประเทศกัมพูชาว่าพื้นที่เป็นอย่างไร เชื่อว่ากัมพูชาน่าจะยอม การทำให้ความจริงเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารปรากฏน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
นายอักขราทรกล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องทำให้กัมพูชาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่ของไทย เพียงแต่ไม่กี่ปีที่
ผ่านมามีชาวบ้านกลุ่มนี้เข้ามาทำมาหากิน และไม่ถูกต้องอย่างไร โดยพื้นที่บริเวณนั้น มีทั้งทหารไทย และกัมพูชาเป็นพยานอยู่ รัฐบาลจึงต้องทำให้เกิดความเข้าใจ อย่าตั้งการ์ดเห็นเป็นศัตรู หรือเป็นคนละฝั่งมันจะจบปัญหานี้ไม่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องทำความเห็นของคนในชาติให้เข้าใจ และหากมีบางส่วนที่บอกไม่ได้ก็ต้องบอกให้คนไทยรู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเก็บไว้ใช้เจรจา ดังนั้นควรพูดให้รู้เรื่องอย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้อย่างนี้
ปัญหาบางอย่างหากมีความเห็นไม่ตรงกัน และใครผิดใครถูกยังไม่รู้ ผมคิดว่าเราสามารถพิสูจน์ความถูกต้องได้ด้วยข้อเท็จจริง เพราะหากปล่อยไปจะกลายเป็นไทยเรายอมรับแผนที่ และสิ่งที่เขากันไว้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เรามีนักกฎหมาย นักการต่างประเทศและมีคนกลางเก่งๆ มากในประเทศไทยที่จะออกมาช่วยรัฐบาลทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ดังนั้นไม่ควรนิ่งเฉย หรือให้เป็นไปตามบุญตามกรรม” นายอักขราทรกล่าว
ด้านเครือข่ายสภาประชาชน 4 ภาค และเครือข่ายสภาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด กว่า 200 คน นำโดย
นายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาประชาชน 4 ภาค ชุมนุมบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เขตเทศบาลนครนครราชสีมา เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมทวงคืนเขาพระวิหาร รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาล โดย
เฉพาะกองทัพออกมาให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร บนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหลังมี
กระแสข่าวประเทศไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้กับฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรสงขลาเพื่อประชาธิปไตย รวมตัวกันที่ลานประวัติศาสตร์หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนรถจักรยานยนต์และรถยนต์กว่า 20 คันไปรอบๆ ตัวเมืองหาดใหญ่ แจกจ่ายใบปลิวรณรงค์ให้ชาวหาดใหญ่เข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่มพันธมิตรทั่วประเทศเพื่อทวงคืนผืนแผ่นดินเขาพระวิหาร ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่อุทยานปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
แจง"นายกฯ"แจกสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ สวนทางการทำ "โฉนดชุมชน"
ตามนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาลที่นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศมาตรการที่เกี่ยวข้องและกำลังดำเนินการคือ โฉนดชุมชน การคุ้มพื้นที่เกษตรกรรม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกองทุนธนาคารที่ดิน ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดการสัมมนาเรื่องโฉนดชุมชนที่ทำเนียบรัฐบาล และมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประเด็นเรื่องโฉนดชุมชนตามภูมิภาคต่างๆ อีก 4 ครั้ง ซึ่งได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
วานนี้ (15 ก.ย.52) ที่สมาคมนิสิตเก่า คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ มีการสัมมนา “โฉนดชุมชน และนโยบายการกระจายถือครองที่ดิน” โดยศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อรวมรวบความเห็นเสนอต่อตัวแทนรัฐบาล ในการเตรียมการออกระเบียบสำนักนายกสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในเร็ววันนี้
ชี้ “นายก” แจกสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ เหมือนรับซื้อของโจรมาหาคะแนนนิยม
ในขณะที่ประเด็นเรื่องโฉนดชุมชนยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลต่อการจัดทำโฉนดซึ่งถูกมองว่าอาจจะเป็นเพียงการนำพื้นที่ป่ามาแจกสิทธิทำกิน (สทก.) แบบแปลงใหญ่ รัฐบาลได้จัดทำ “โครงการ 1 ล้านไร่มิติใหม่ราชพัสดุ” เดินหน้านำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านไร่ภายในปี 2555 และเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ไปแจกสัญญาเช่าที่ดินทำกิน จำนวน 1,182 ราย ให้กับเกษตรกรที่ อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี อีกทั้งประกาศเดินหน้าให้เช่าที่ดินราชพัสดุต่อไป
ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงกรณี ที่ดิน อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี ว่า เป็นปัญหาซับซ้อน เพราะที่ดินทั้งสองแปลงชาวบ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินโดยยืมเงินมาจากกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรตั้งแต่ปี 2513 เพื่อซื้อที่ดินที่เคยเช่ากันมายาวนานจาก กองมรดกของ ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ แต่เนื่องจากมีมติ มติ ครม.25 ธ.ค.2544 ห้ามนำที่ดินราชพัสดุมาดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน แก่ผู้อื่น ทำให้เกิดการส่งที่ราชพัสดุ คืนแก่กรมธนารักษ์
การที่นายกนำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุไปแจก แล้วบอกว่าชาวบ้านจะมีที่ทำกิน โดยทำเหมือนเป็นที่ดินที่รัฐหาให้ เหมือนรัฐบาลปัจจุบันมาเป็นคนรับซื้อของโจร เนื่องจาก มติ ครม.2544 ที่ออกมาโดยรัฐบาลทักษิณถือเป็นการปล้นที่ดินไปจากชาวนาที่ต้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินที่ตนเอง แต่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กลับรับซื้อของโจรเอาไปดำเนินการต่ออีก
ดร.ประภาส กล่าวต่อมาถึงการจัดการที่ดินของรัฐบาลว่า รัฐบาลคิดว่าที่ดินที่อยู่กับที่ราชพัสดุที่ถือเป็นที่ดินของรัฐนั้นจะไม่เปลี่ยนมือ แต่การให้เช่าเป็นรายๆ โดยกรมธนารักษ์ สามารถเปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนได้ และไม่ผิดกฎหมาย เพราะการเช่าที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ไม่ได้ห้ามเปิดให้ใครก็ได้ที่เข้ามาเช่าที่ทำกิน มีการขายกรรมสิทธิ์ในการเช่าได้ สามารถเปลี่ยนจากที่เกษตรกรเป็นโรงงานอุตสาหกรรมได้ และสุดท้ายเกษตรกรจะฉิบหาย นอกจากนี้ยังถือเป็นการทำลายสหกรณ์ ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังมีมติ ครม.เมื่อปลายเดือนสิงหาคมให้กระทรวงการคลัง เข้ามาแจกที่ดินแทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
รัฐบาลได้ดำเนินการในลักษณะที่สวนทางกับโฉนดชุมชน รวมทั้งในส่วนนโยบายที่ว่าจะหนุนเสริมเกษตรกร ให้มีการคุ้มครองพื้นที่เกษตร และพัฒนากองทุนที่ดิน และเอาที่ดินมาให้เช่าแบบนายทุนโรงสี นอกจากนี้ที่ผ่านมาโฉนดชุมชนจะพูดถึงเรื่องป่า เรื่องที่ดินของรัฐ แต่การจัดการที่ดินของเอกชนที่ยังคงมีการกระจุกตัวและเป็นปัญหาที่มีมานานจะจัดการตรงนี้อย่างไร ยังเป็นคำถาม ไม่เช่นนั้นการดำเนินการโฉนดชุมชนจะแคบมาก
นางสุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว่า โฉนดชุมชนสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย และประชาชนเท่านั้นที่จะจัดการโฉนดได้ โดยประชาชนต้องตระหนักในการจัดการที่ดิน มีความคิดริเริ่ม และต้องการรักษาที่ดินของชุมชน ทั้งนี้การต่อสู้หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยเรียกร้องลดค่าเช่านา แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรไม่มีที่นาของตนเอง ไม่มีที่อยู่ที่มั่นคง คนวันนี้ไม่มีที่มั่นคง ทั้งที่เริ่มต้นผู้คนไปบุกเบิกที่ไร่ที่นาและควรมีสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การปฎิรูปที่ดินก็เพื่อความมั่นคง รักษาที่ดินให้อยู่ยั่งยืนไม่ถูกขายทอด
ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายที่ดี แต่หลายนโยบายถูกทักท้วง โดยเฉพาะจะเอาพื้นที่ราชพัสดุ จำนวน 1 ล้านไร่ มาให้เกษตรกรเช่า แต่ความเป็นจริงทุกพื้นที่มีคนอาศัยอยู่ อีกทั้งในพื้นที่นั้นๆ อาจมีปัญหาทับซ้อนระหว่างที่ดินของชาวบ้านกับเขตทหาร ที่ราชพัสดุ หรือที่ดินรัฐอื่น เกิดการยกที่ดินที่มี่ปัญหาขัดแย้งให้รัฐจัดการเวรคืน ทำให้ราษฎรกลายเป็นผู้บุกรุก ส่วนรัฐได้หน้าเสมือนว่าเอาที่มาแจกให้ชาวบ้าน
ส่วนที่คลองโยง จ.นครปฐม รัฐบาลได้ใช้นโยบายตามใจชอบ ใช้มติ ครม.ปี 2513 มีกองทุนเช่าซื้อให้เกษตรกร แต่มติสหกรณ์เช่าซื้อที่ดิน ทั้งที่คลองโยง ที่หนองสือและที่ดินธัญญบุรี มติ ครม.ปี 2544 สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกไปทั้งหมด โดยมาจบห้วนๆ ที่ให้เป็นที่ราชพัสดุของรัฐ และเมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามาจะไปซื้อที่ราชพัสดุที่ใดก็ได้ ทำให้น่าวิตกที่ดินเหล่านี้เมื่อรัฐบาลแจกจัดสรรให้เกษตรกรผู้ยากไร้จะถูกขายทอดให้กับนายทุนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นางสุนีแสดงความเห็นว่า ที่ดินสหกรณ์เช่าซื้อดังกล่าว ควรได้สิทธิสมบูรณ์ในการเป็นโฉนดที่เป็นกรรมสิทธิของบุคคล ส่วนการเป็นโฉนดชุมชนควรเป็นความสมัครใจร่วมกันของชุมชน ให้ได้รับสิทธิก่อน หากสมัครใจทำโฉนดชุมชนก็เป็นสิทธิที่รัฐควรให้การสนับสนุน
เรื่องที่ดินเป็นการเรียกร้องสิทธิไม่ใช่การแบมือขอที่รัฐจะให้อะไรก็ได้” นางสุนีกล่าว โดยให้ยกเว้นคนที่จนจริงๆ ที่ตกหล่นทางประวัติศาสตร์ ไม่มีที่ดินทำกินซึ่งรัฐต้องไปจัดสรรที่ดินให้
อดีตคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าว่า ควรมีการสะสางประวัติศาสตร์เป็นชุมชน เป็นเรื่องๆ ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียว เพราะกฎหมายล้าหลังแทบทุกทั้งเรื่องป่า เรื่องที่ราษฎรชพัสดุ ทั้งนี้คิดว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางแล้วที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แต่หากไม่สางประวัติศาสตร์ที่รุงรังอยู่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้แก้
ด้านนายปัญญา คงปาน ตัวแทนชาวบ้านจากสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินหนองเสือ กล่าวว่า มารดาเป็นผู้มีสัญญาเช่าซื้อกับสหกรณ์เช่าซื้อในพื้นที่ อ.หนองเสือ ขณะที่รัฐบาลตั้งแต่ปี 2513 จัดตั้งโครงการกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้เกษตรกร ในรูปของนิคมสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดิน ซื้อสหกรณ์ได้มีการดำเนินการเช่าซื้อจนชาวบ้านได้กรรมสิทธิ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง ปัจจุบันชาวบ้านยังเรียกว่า นากองทุนฯ ตั้งแต่คลอง 10-12 เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ แต่ก็บังมีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ที่เพราะติดมติ ครม.ปี 2544
เหมือนชาวบ้านถูกยึดที่แล้วนำมาจัดสรรใหม่ ชาวบ้านไม่รู้จะเคลื่อนอย่างไร เตรียมที่จะร่วมตัวกับกลุ่ม คลองโยง นครปฐม เพื่อเรียกร้องให้มีการออกโฉนดชุมชนดูแลกันเองในรูปแบบสหกรณ์ แทนที่จะนำไปจัดสรรก็จะอยู่ต่อไป แต่ถ้าให้กรมธนารักษ์ นำที่ราชพัสดูไปจัดสรรเช่าที่ทั้งหมด ก็จะตกไปอยู่กับนายทุนแน่ๆ เพราะสามารถเปลี่ยนมือหรือผู้เช่าได้ง่ายมากตลอดเวลาโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ” นายปัญญา กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อโครงการแจกเอกสารสัญญาเช่าที่ดินทำกินให้เกษตรกรในพื้นที่ อีกทั้งยังคาดหวังว่าโฉนดรวมโดยให้สหกรณ์ดูแลจะป้องกันการเปลี่ยนมือได้
นายไพโรจน์ พลเพชร ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวถึงปัญหาที่ดินในส่วนสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินว่า ต้องเคลื่อนไหวให้ปลดล็อคมติ ครม.ปี 2544 กลับไปสู่สิทธิการเช่าซื้อที่ดิน ที่มีสิทธิขององค์กรชุมชนคือสหกรณ์อยู่แล้ว แล้วถ้าประสงค์ทำโฉนดชุมชนก็ดำเนินการได้ แม้ระเบียบสำนักนายกฯ จะไม่รับรอง เพราะยังเป็นที่ดินของชุมชน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องมุ่งกระจายสิทธิการถือครองที่ดินที่เป็นจริง ไม่ใช่เฉพาะที่ดินในเขตป่าและรัฐ และจะต้องสามารถนำนโยบายไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อื่นได้ และมีมาตราการเสริม
ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน วิจารณ์ถึงโครงการนำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าว่า รัฐบาลกำลังสับสนโดยในมิติหนึ่งต้องการเสียง แจกที่ดินให้เช่า 1 ล้านไร่ใน 1 ปีโดยหารู้ไม่ว่าจะนำมาสู้การกระจุกตัวของที่ดิน กำลังจะแปลที่ดินของรัฐ ของหลวง ไปให้นายทุน เป็นการก่อการกระจุกตัวรอบใหม่ นอกจากนี้การครอบครองที่ดินโดยมีสัญญาเช่าถูกกว่าการซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้นายทุนยิ่งซื้อได้สบาย และที่สำคัญมากกว่านั้น มันจะถูกผูกขาดโดยนายทุนต่างชาติที่มีพร้อม
นโยบายฟอกที่ดินให้นายทุนโดยผ่านมือเกษตรกรก่อน” นายไพโรจน์กล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายฟอกที่ดิน ไม่สามารถแกปัญหาการกระจายสิทธิการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมได้ นอกจากนั้นคนทำโฉนดชุมชนต้องแสดงตัวว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่หวังได้ที่ดินชั่วคราวแล้วเอาไปแบ่งกัน แต่จะรักษาไว้ให้ลูกหลาน
อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำถึง 3 เรื่องหลังกที่ต้องต่อสู้ว่า ประกอบด้วย 1.เรื่องโฉนดชุมชน ซึ่งใช้ประโยชน์เป็นเจ้าของร่วม คืออำนาจที่เคยมีอยู่ในรัฐหรือเอกชนไปให้ชุมชน เป็นการปฎิรูปอำนาจ มีคนอยู่ในที่ดินอยู่แล้วเพียงแต่ให้เป็นจริงในหลักการ 2.มีธนาคารที่ดิน เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นการปฏิรูปที่ดิน และ 3.ที่ถอยไปแล้วเรื่องภาษีที่ดิน ควรต้องจัดเก็บในอัตราก้าวหน้า สำหรับผู้ที่มีที่ดินมากเพื่อกระจายความเท่าเทียม
หวั่น คลอด “ระเบียบสำนักนายกฯ เรื่องโฉนดชุมชน” พิกลพิการ สร้างปัญหา
นายนิพนธ์ บุญญภัทโร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นนโยบายรัฐบาลมีระบุตามรัฐธรรมนูญมาตรา 66 65 และ 85 เพื่อกระจายการถือครองที่ดินให้เกษตรกร แก้ปัญหาทำกินอย่างยั่งยืน ในส่วนการบุกรุกทำลายป่าหรือการตั้งชุมชนในพื้นที่ป่าที่มีข้อขัดแย้งว่าใครมาก่อนมาหลัง ที่มีกรณีปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐแผวถางทำลายทรัพย์สินชาวบ้านโดยอ้างข้อกฎหมาย รัฐบาลได้ให้ชะลอการดำเนินการในพื้นที่ไปก่อนจนกว่าจะมีการจัดการโฉนดชุมชนแล้วเสร็จ
โฉนดชุมชนเมื่อแก่ตัวจะเป็นรูปแบบการปกครองตนเอง โดยประชาชน เพื่อประชาชน อีกรูปแบบหนึ่ง” นายนิพนธ์แสดงความเห็น
ในส่วนการให้ความหมาย นายนิพนธ์ กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยปะปนกันไป โดยที่สำคัญต้องมีภาครัฐสนับสนุน ในส่วนงบประมาณเพื่อจัดทำแผน ให้ความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่มีโฉนดของปัจเจกอยู่ในนั้นให้เป็นผืนดินเดียว มีอาณาเขตชัดเจน เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ดั่งเดิม มีกติกาในการอยู่ร่วมกันซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้อนาคตอาจต้องมีการอบรม มีพี่เลี้ยงในเรื่องฉโนดชุมชน โดยรัฐสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรม วิถีชีวิตที่ถูกต้องเป็นธรรม
นายนิพนธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย่งที่มีในระดับพื้นที่ด้วยว่า แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เหมารวมไม่ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ใดมีความขัดแย้งรัฐกับชุมชน กรมป่าไม้ต้องตกลงและยอมถอย และคณะรัฐมนตรีก็ต้องดำเนินการได้ เพราะกฏหมายรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ เช่นพื้นที่ อ.เคียนซา เป็นที่ราชพัสดุที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าทำเหมืองลิกไนต์ สามารถทำเป็นโฉนดชุมชนได้ พื้นที่อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ป่าสงวนที่นายทุนบุกรุกเมื่อปี 2528 มีนายทุนเช่าเป็นเวลา 15 ปี ครบสัญญาเช่าปลูกปาล์ม รัฐบาลต้องตัดสินใจให้ชัดเจน เมื่อรัฐประกาศเป็นพื้นที่สปกงแล้วจะต้องขับไล่ให้นายทุนออกไป แต่นายทุนก็มีอิทธิพล ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมีอิทธิพล จึงไม่มีใครแก้ปัญหาได้ ดังนั้นโฉนดชุมชน จึงต้องดูเป็นแต่ละพื้นที่ไป
พื้นที่เอกชนต้องเปิดโอกาสให้ทำโฉนดชุมชน แต่ให้ชุมชนร้องขอยื่นเข้ามาหลังระเบียบสำนักนายกฯ ประกาศออกมา แต่ขณะนี้ยังเป็นร่างอยู่ จึงต้องรับฟังประชาชน และกระบวนการการมีส่วนร่วมที่ถูกต้อง การประชุม ครม.ก็ไม่มีร่างระเบียบฯ เสนอเข้าไป อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ยังคงเห็นภาคประชาชนขับเคลื่อนมีข้อคิดเห็น แต่ตอนนี้ยังมีความสับสนมากมายที่ดินหนองเสือ ธัญญบุรีที่นายกฯ ไปแจกที่ดิน ก็ยังมีความสับสนอยู่" นายนิพนธ์ กล่าว
นายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ ประธานคณะทำงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาที่ปรึกษาฯ กล่าวว่าสิทธิร่วมในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยโฉนดชุมชนมีปัญหาตรงที่การมุงเน้นเอาแต่เอกสาร ทั้งที่การจัดการทรัพยากรร่วมในกฎหมายมีการเปิดช่องไว้ ทั้งกฎหมายอุทยานแห่งชาติ มาตร 19 และกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติมาตรา 15-16 สามารดำเนินการโดยไม่ต้องออกกฎหมายได้เลย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าเอาจริงหรือเปล่า ส่วนตัวคิดว่าการออกระเบียบ หรือกฎหมายที่เป็นสูตรสำเร็จเพื่อใช้ทั่วประเทศจะเป็นปัญหา และห่วงระเบียบสำนักนายกฯ ที่จะออกมา เพราะเชื่อว่าถึงปัจจุบันหลักการยังจูนกันไม่ตรงกัน การจัดการร่วมกันของชุมชนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากติดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ดินเป็นของแม่ธรณี ไม่มีกรรมสิทธิเป็นเพียงการขออนญาติใช้ หรือไร่หมุนเวียนของภาคเหนือไม่มีใครเป็นเจ้าของแต่หมุนเวียนใช้ร่วมกัน เรื่องการจัดการอย่างมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย แต่ว่ากันในการจัดการแต่ละเรื่อง ในแต่ละพื้นที่มีสภาพแตกต่างกัน
นายวีรวัธน์ กล่าวต่อมาถึงข้อเสนอในเรื่องหลักการโฉนดชุมชน 6 ข้อ ประกอบด้วย 1.สิทธิการใช้ร่วมกัน ทำได้ทุกพื้นที่ไม่ว่าที่ดินรัฐหรือเอกชน หากอยู่บนหลักการว่าทำให้เกิดความเป็นธรรมได้ แม้จะมีกรรมสิทธิเป็นราย แต่หากมีรูปแบบการจัดการร่วมกันก็สามารถทำได้ 2.ต้องเป็นการจัดการร่วมของชุมชน ชุมชนทำกฎเกณฑ์ของตนเองออกมาอย่างชัดเจน รัฐทำหน้าที่สนับสนุนให้กฎเกณ์นั้นเดินต่อไปได้ 3.ต้องยั่งยืน อยู่ไปชั่วลูกหลาน 4.สอดคลองวัฒนธรรมความเชื่อแต่ละพื้นที่ 5.มีกฎเกณฑ์ ที่เป็นที่รู้ ยอมรับ เช่นการใช้จารีตประเพณี หรืออาจเขียนขึ้นมาเป็นธรรมนูญ 6.การจัดการเรื่องที่ดิน ต้องจัดการเป็นองค์รวม อย่างมองเรื่องเดียว
อย่างไรก็ตามยังมีตัวขวาง 2 ส่วน คือ 1.ผู้ปฎิบัติการในพื้นที่ใช้กฎหมายเล่นงานชาวบ้าน และ 2 ซึ่งถือเป็นตัวขัดขวางใหญ่ คือสาธารณะชน สิทธิร่วมถูกขวางโดยทุนนิยม ต้องมีการทำความเข้าใจ
ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องออกกฏระเบียบชัดเจน และไม่มีกติกาไหนใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่วิตกว่ากฏระเบียบสำนักนายกฯ ออกมาปฏิบัติไม่ได้ เพราะหลักการไม่ชัดเจน หากหลักการชัดเจนกฏระเบียบต้องกลับมาที่เจตนารมย์ ซึ่งหากไม่ชัดเจนทำให้ราชการสับสน และผลักดันโฉนดชุมชนยาก
โฉนดชุมชนสะท้อนการกระจายอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการจัดการทรัพยากรของชุมชน” ดร.นวลน้อย กล่าว
นายประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กล่าวว่า เรื่องนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน มีการพูดชัดเจนใน 3 เรื่อง คือคุ้มครองพื้นที่เกษตร รับรองสิทธิชุมชนโดยโฉนดชุมชน และจัดหาที่ดินรูปในแบบธนาคารที่ดิน ซึ่งนโยบายเหล่านี้เป็นความหวังของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมมีช่องว่าในการถือครองที่ดินสูง มีการถือครองที่ดินไม่ถูกต้อง มีที่ดินเอ็นพีแอล ที่ดินเช่าซื้อ (ที่ดินสีเทา) ในกรณีที่ดินสหกรณเช่าซื้อที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ราชพัสดุ ให้เช่าไม่จำกัดผู้ซื้อสิทธิ และสามารถซื้อสิทธิติดๆ กันได้ ไม่มีการกำหนดจำนวนการซื้อ
โฉนดชุมชนที่พูดในวันนี้ เป็นฟางเส้นสุดท้ายของรัฐกับประชาชน” นายประยงค์แสดงความเห็น และกล่าวว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่ระบุถึงการจัดการโฉนดชุมชนในที่ดินของรัฐ แต่ในพื้นที่ อ.โนนดินแดง เป็นที่ดินรัฐก็ยังมีปัญหาการข่มขู่คุกคาม และการกดดันในพื้นที่ ทำให้ไม่แน่ใจว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่คาดว่าจะออกในสัปดาห์หน้า จะเป็นเครื่องมือกระจายการถือครองที่ดินได้จริง ซึ่งถ้าออกได้ตามความต้องการของประชาชนได้ถือว่าดี เพราะจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนได้ แต่หากไม่ดีก็เป็นปัญหา คำถามคือประชาชนต้องเดินหน้าต่อ หรือจะทำให้แท้ง เพราะร่างระเบียบสำนักนายกไม่ใช้แก้วสารพัดนึก ที่คิดว่าจะเป็นปัญหาได้ทุกอย่าง อีกทั้งยังหวั่นว่าจากออกมาแบบพิกลพิการ
ระเบียบสำนักนายฯ ยกสะท้อนความล้มเหลวในการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาล” นายประยงค์กล่าวย้ำ
วานนี้ (15 ก.ย.52) ที่สมาคมนิสิตเก่า คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ มีการสัมมนา “โฉนดชุมชน และนโยบายการกระจายถือครองที่ดิน” โดยศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อรวมรวบความเห็นเสนอต่อตัวแทนรัฐบาล ในการเตรียมการออกระเบียบสำนักนายกสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในเร็ววันนี้
ชี้ “นายก” แจกสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ เหมือนรับซื้อของโจรมาหาคะแนนนิยม
ในขณะที่ประเด็นเรื่องโฉนดชุมชนยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลต่อการจัดทำโฉนดซึ่งถูกมองว่าอาจจะเป็นเพียงการนำพื้นที่ป่ามาแจกสิทธิทำกิน (สทก.) แบบแปลงใหญ่ รัฐบาลได้จัดทำ “โครงการ 1 ล้านไร่มิติใหม่ราชพัสดุ” เดินหน้านำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านไร่ภายในปี 2555 และเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ไปแจกสัญญาเช่าที่ดินทำกิน จำนวน 1,182 ราย ให้กับเกษตรกรที่ อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี อีกทั้งประกาศเดินหน้าให้เช่าที่ดินราชพัสดุต่อไป
ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงกรณี ที่ดิน อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี ว่า เป็นปัญหาซับซ้อน เพราะที่ดินทั้งสองแปลงชาวบ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินโดยยืมเงินมาจากกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรตั้งแต่ปี 2513 เพื่อซื้อที่ดินที่เคยเช่ากันมายาวนานจาก กองมรดกของ ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ แต่เนื่องจากมีมติ มติ ครม.25 ธ.ค.2544 ห้ามนำที่ดินราชพัสดุมาดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน แก่ผู้อื่น ทำให้เกิดการส่งที่ราชพัสดุ คืนแก่กรมธนารักษ์
การที่นายกนำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุไปแจก แล้วบอกว่าชาวบ้านจะมีที่ทำกิน โดยทำเหมือนเป็นที่ดินที่รัฐหาให้ เหมือนรัฐบาลปัจจุบันมาเป็นคนรับซื้อของโจร เนื่องจาก มติ ครม.2544 ที่ออกมาโดยรัฐบาลทักษิณถือเป็นการปล้นที่ดินไปจากชาวนาที่ต้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินที่ตนเอง แต่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กลับรับซื้อของโจรเอาไปดำเนินการต่ออีก
ดร.ประภาส กล่าวต่อมาถึงการจัดการที่ดินของรัฐบาลว่า รัฐบาลคิดว่าที่ดินที่อยู่กับที่ราชพัสดุที่ถือเป็นที่ดินของรัฐนั้นจะไม่เปลี่ยนมือ แต่การให้เช่าเป็นรายๆ โดยกรมธนารักษ์ สามารถเปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนได้ และไม่ผิดกฎหมาย เพราะการเช่าที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ไม่ได้ห้ามเปิดให้ใครก็ได้ที่เข้ามาเช่าที่ทำกิน มีการขายกรรมสิทธิ์ในการเช่าได้ สามารถเปลี่ยนจากที่เกษตรกรเป็นโรงงานอุตสาหกรรมได้ และสุดท้ายเกษตรกรจะฉิบหาย นอกจากนี้ยังถือเป็นการทำลายสหกรณ์ ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังมีมติ ครม.เมื่อปลายเดือนสิงหาคมให้กระทรวงการคลัง เข้ามาแจกที่ดินแทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
รัฐบาลได้ดำเนินการในลักษณะที่สวนทางกับโฉนดชุมชน รวมทั้งในส่วนนโยบายที่ว่าจะหนุนเสริมเกษตรกร ให้มีการคุ้มครองพื้นที่เกษตร และพัฒนากองทุนที่ดิน และเอาที่ดินมาให้เช่าแบบนายทุนโรงสี นอกจากนี้ที่ผ่านมาโฉนดชุมชนจะพูดถึงเรื่องป่า เรื่องที่ดินของรัฐ แต่การจัดการที่ดินของเอกชนที่ยังคงมีการกระจุกตัวและเป็นปัญหาที่มีมานานจะจัดการตรงนี้อย่างไร ยังเป็นคำถาม ไม่เช่นนั้นการดำเนินการโฉนดชุมชนจะแคบมาก
นางสุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว่า โฉนดชุมชนสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย และประชาชนเท่านั้นที่จะจัดการโฉนดได้ โดยประชาชนต้องตระหนักในการจัดการที่ดิน มีความคิดริเริ่ม และต้องการรักษาที่ดินของชุมชน ทั้งนี้การต่อสู้หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยเรียกร้องลดค่าเช่านา แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรไม่มีที่นาของตนเอง ไม่มีที่อยู่ที่มั่นคง คนวันนี้ไม่มีที่มั่นคง ทั้งที่เริ่มต้นผู้คนไปบุกเบิกที่ไร่ที่นาและควรมีสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การปฎิรูปที่ดินก็เพื่อความมั่นคง รักษาที่ดินให้อยู่ยั่งยืนไม่ถูกขายทอด
ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายที่ดี แต่หลายนโยบายถูกทักท้วง โดยเฉพาะจะเอาพื้นที่ราชพัสดุ จำนวน 1 ล้านไร่ มาให้เกษตรกรเช่า แต่ความเป็นจริงทุกพื้นที่มีคนอาศัยอยู่ อีกทั้งในพื้นที่นั้นๆ อาจมีปัญหาทับซ้อนระหว่างที่ดินของชาวบ้านกับเขตทหาร ที่ราชพัสดุ หรือที่ดินรัฐอื่น เกิดการยกที่ดินที่มี่ปัญหาขัดแย้งให้รัฐจัดการเวรคืน ทำให้ราษฎรกลายเป็นผู้บุกรุก ส่วนรัฐได้หน้าเสมือนว่าเอาที่มาแจกให้ชาวบ้าน
ส่วนที่คลองโยง จ.นครปฐม รัฐบาลได้ใช้นโยบายตามใจชอบ ใช้มติ ครม.ปี 2513 มีกองทุนเช่าซื้อให้เกษตรกร แต่มติสหกรณ์เช่าซื้อที่ดิน ทั้งที่คลองโยง ที่หนองสือและที่ดินธัญญบุรี มติ ครม.ปี 2544 สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกไปทั้งหมด โดยมาจบห้วนๆ ที่ให้เป็นที่ราชพัสดุของรัฐ และเมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามาจะไปซื้อที่ราชพัสดุที่ใดก็ได้ ทำให้น่าวิตกที่ดินเหล่านี้เมื่อรัฐบาลแจกจัดสรรให้เกษตรกรผู้ยากไร้จะถูกขายทอดให้กับนายทุนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นางสุนีแสดงความเห็นว่า ที่ดินสหกรณ์เช่าซื้อดังกล่าว ควรได้สิทธิสมบูรณ์ในการเป็นโฉนดที่เป็นกรรมสิทธิของบุคคล ส่วนการเป็นโฉนดชุมชนควรเป็นความสมัครใจร่วมกันของชุมชน ให้ได้รับสิทธิก่อน หากสมัครใจทำโฉนดชุมชนก็เป็นสิทธิที่รัฐควรให้การสนับสนุน
เรื่องที่ดินเป็นการเรียกร้องสิทธิไม่ใช่การแบมือขอที่รัฐจะให้อะไรก็ได้” นางสุนีกล่าว โดยให้ยกเว้นคนที่จนจริงๆ ที่ตกหล่นทางประวัติศาสตร์ ไม่มีที่ดินทำกินซึ่งรัฐต้องไปจัดสรรที่ดินให้
อดีตคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าว่า ควรมีการสะสางประวัติศาสตร์เป็นชุมชน เป็นเรื่องๆ ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียว เพราะกฎหมายล้าหลังแทบทุกทั้งเรื่องป่า เรื่องที่ราษฎรชพัสดุ ทั้งนี้คิดว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางแล้วที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แต่หากไม่สางประวัติศาสตร์ที่รุงรังอยู่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้แก้
ด้านนายปัญญา คงปาน ตัวแทนชาวบ้านจากสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินหนองเสือ กล่าวว่า มารดาเป็นผู้มีสัญญาเช่าซื้อกับสหกรณ์เช่าซื้อในพื้นที่ อ.หนองเสือ ขณะที่รัฐบาลตั้งแต่ปี 2513 จัดตั้งโครงการกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้เกษตรกร ในรูปของนิคมสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดิน ซื้อสหกรณ์ได้มีการดำเนินการเช่าซื้อจนชาวบ้านได้กรรมสิทธิ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง ปัจจุบันชาวบ้านยังเรียกว่า นากองทุนฯ ตั้งแต่คลอง 10-12 เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ แต่ก็บังมีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ที่เพราะติดมติ ครม.ปี 2544
เหมือนชาวบ้านถูกยึดที่แล้วนำมาจัดสรรใหม่ ชาวบ้านไม่รู้จะเคลื่อนอย่างไร เตรียมที่จะร่วมตัวกับกลุ่ม คลองโยง นครปฐม เพื่อเรียกร้องให้มีการออกโฉนดชุมชนดูแลกันเองในรูปแบบสหกรณ์ แทนที่จะนำไปจัดสรรก็จะอยู่ต่อไป แต่ถ้าให้กรมธนารักษ์ นำที่ราชพัสดูไปจัดสรรเช่าที่ทั้งหมด ก็จะตกไปอยู่กับนายทุนแน่ๆ เพราะสามารถเปลี่ยนมือหรือผู้เช่าได้ง่ายมากตลอดเวลาโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ” นายปัญญา กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อโครงการแจกเอกสารสัญญาเช่าที่ดินทำกินให้เกษตรกรในพื้นที่ อีกทั้งยังคาดหวังว่าโฉนดรวมโดยให้สหกรณ์ดูแลจะป้องกันการเปลี่ยนมือได้
นายไพโรจน์ พลเพชร ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวถึงปัญหาที่ดินในส่วนสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินว่า ต้องเคลื่อนไหวให้ปลดล็อคมติ ครม.ปี 2544 กลับไปสู่สิทธิการเช่าซื้อที่ดิน ที่มีสิทธิขององค์กรชุมชนคือสหกรณ์อยู่แล้ว แล้วถ้าประสงค์ทำโฉนดชุมชนก็ดำเนินการได้ แม้ระเบียบสำนักนายกฯ จะไม่รับรอง เพราะยังเป็นที่ดินของชุมชน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องมุ่งกระจายสิทธิการถือครองที่ดินที่เป็นจริง ไม่ใช่เฉพาะที่ดินในเขตป่าและรัฐ และจะต้องสามารถนำนโยบายไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อื่นได้ และมีมาตราการเสริม
ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน วิจารณ์ถึงโครงการนำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าว่า รัฐบาลกำลังสับสนโดยในมิติหนึ่งต้องการเสียง แจกที่ดินให้เช่า 1 ล้านไร่ใน 1 ปีโดยหารู้ไม่ว่าจะนำมาสู้การกระจุกตัวของที่ดิน กำลังจะแปลที่ดินของรัฐ ของหลวง ไปให้นายทุน เป็นการก่อการกระจุกตัวรอบใหม่ นอกจากนี้การครอบครองที่ดินโดยมีสัญญาเช่าถูกกว่าการซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้นายทุนยิ่งซื้อได้สบาย และที่สำคัญมากกว่านั้น มันจะถูกผูกขาดโดยนายทุนต่างชาติที่มีพร้อม
นโยบายฟอกที่ดินให้นายทุนโดยผ่านมือเกษตรกรก่อน” นายไพโรจน์กล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายฟอกที่ดิน ไม่สามารถแกปัญหาการกระจายสิทธิการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมได้ นอกจากนั้นคนทำโฉนดชุมชนต้องแสดงตัวว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่หวังได้ที่ดินชั่วคราวแล้วเอาไปแบ่งกัน แต่จะรักษาไว้ให้ลูกหลาน
อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำถึง 3 เรื่องหลังกที่ต้องต่อสู้ว่า ประกอบด้วย 1.เรื่องโฉนดชุมชน ซึ่งใช้ประโยชน์เป็นเจ้าของร่วม คืออำนาจที่เคยมีอยู่ในรัฐหรือเอกชนไปให้ชุมชน เป็นการปฎิรูปอำนาจ มีคนอยู่ในที่ดินอยู่แล้วเพียงแต่ให้เป็นจริงในหลักการ 2.มีธนาคารที่ดิน เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นการปฏิรูปที่ดิน และ 3.ที่ถอยไปแล้วเรื่องภาษีที่ดิน ควรต้องจัดเก็บในอัตราก้าวหน้า สำหรับผู้ที่มีที่ดินมากเพื่อกระจายความเท่าเทียม
หวั่น คลอด “ระเบียบสำนักนายกฯ เรื่องโฉนดชุมชน” พิกลพิการ สร้างปัญหา
นายนิพนธ์ บุญญภัทโร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นนโยบายรัฐบาลมีระบุตามรัฐธรรมนูญมาตรา 66 65 และ 85 เพื่อกระจายการถือครองที่ดินให้เกษตรกร แก้ปัญหาทำกินอย่างยั่งยืน ในส่วนการบุกรุกทำลายป่าหรือการตั้งชุมชนในพื้นที่ป่าที่มีข้อขัดแย้งว่าใครมาก่อนมาหลัง ที่มีกรณีปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐแผวถางทำลายทรัพย์สินชาวบ้านโดยอ้างข้อกฎหมาย รัฐบาลได้ให้ชะลอการดำเนินการในพื้นที่ไปก่อนจนกว่าจะมีการจัดการโฉนดชุมชนแล้วเสร็จ
โฉนดชุมชนเมื่อแก่ตัวจะเป็นรูปแบบการปกครองตนเอง โดยประชาชน เพื่อประชาชน อีกรูปแบบหนึ่ง” นายนิพนธ์แสดงความเห็น
ในส่วนการให้ความหมาย นายนิพนธ์ กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยปะปนกันไป โดยที่สำคัญต้องมีภาครัฐสนับสนุน ในส่วนงบประมาณเพื่อจัดทำแผน ให้ความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่มีโฉนดของปัจเจกอยู่ในนั้นให้เป็นผืนดินเดียว มีอาณาเขตชัดเจน เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ดั่งเดิม มีกติกาในการอยู่ร่วมกันซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้อนาคตอาจต้องมีการอบรม มีพี่เลี้ยงในเรื่องฉโนดชุมชน โดยรัฐสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรม วิถีชีวิตที่ถูกต้องเป็นธรรม
นายนิพนธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย่งที่มีในระดับพื้นที่ด้วยว่า แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เหมารวมไม่ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ใดมีความขัดแย้งรัฐกับชุมชน กรมป่าไม้ต้องตกลงและยอมถอย และคณะรัฐมนตรีก็ต้องดำเนินการได้ เพราะกฏหมายรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ เช่นพื้นที่ อ.เคียนซา เป็นที่ราชพัสดุที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าทำเหมืองลิกไนต์ สามารถทำเป็นโฉนดชุมชนได้ พื้นที่อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ป่าสงวนที่นายทุนบุกรุกเมื่อปี 2528 มีนายทุนเช่าเป็นเวลา 15 ปี ครบสัญญาเช่าปลูกปาล์ม รัฐบาลต้องตัดสินใจให้ชัดเจน เมื่อรัฐประกาศเป็นพื้นที่สปกงแล้วจะต้องขับไล่ให้นายทุนออกไป แต่นายทุนก็มีอิทธิพล ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมีอิทธิพล จึงไม่มีใครแก้ปัญหาได้ ดังนั้นโฉนดชุมชน จึงต้องดูเป็นแต่ละพื้นที่ไป
พื้นที่เอกชนต้องเปิดโอกาสให้ทำโฉนดชุมชน แต่ให้ชุมชนร้องขอยื่นเข้ามาหลังระเบียบสำนักนายกฯ ประกาศออกมา แต่ขณะนี้ยังเป็นร่างอยู่ จึงต้องรับฟังประชาชน และกระบวนการการมีส่วนร่วมที่ถูกต้อง การประชุม ครม.ก็ไม่มีร่างระเบียบฯ เสนอเข้าไป อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ยังคงเห็นภาคประชาชนขับเคลื่อนมีข้อคิดเห็น แต่ตอนนี้ยังมีความสับสนมากมายที่ดินหนองเสือ ธัญญบุรีที่นายกฯ ไปแจกที่ดิน ก็ยังมีความสับสนอยู่" นายนิพนธ์ กล่าว
นายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ ประธานคณะทำงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาที่ปรึกษาฯ กล่าวว่าสิทธิร่วมในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยโฉนดชุมชนมีปัญหาตรงที่การมุงเน้นเอาแต่เอกสาร ทั้งที่การจัดการทรัพยากรร่วมในกฎหมายมีการเปิดช่องไว้ ทั้งกฎหมายอุทยานแห่งชาติ มาตร 19 และกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติมาตรา 15-16 สามารดำเนินการโดยไม่ต้องออกกฎหมายได้เลย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าเอาจริงหรือเปล่า ส่วนตัวคิดว่าการออกระเบียบ หรือกฎหมายที่เป็นสูตรสำเร็จเพื่อใช้ทั่วประเทศจะเป็นปัญหา และห่วงระเบียบสำนักนายกฯ ที่จะออกมา เพราะเชื่อว่าถึงปัจจุบันหลักการยังจูนกันไม่ตรงกัน การจัดการร่วมกันของชุมชนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากติดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ดินเป็นของแม่ธรณี ไม่มีกรรมสิทธิเป็นเพียงการขออนญาติใช้ หรือไร่หมุนเวียนของภาคเหนือไม่มีใครเป็นเจ้าของแต่หมุนเวียนใช้ร่วมกัน เรื่องการจัดการอย่างมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย แต่ว่ากันในการจัดการแต่ละเรื่อง ในแต่ละพื้นที่มีสภาพแตกต่างกัน
นายวีรวัธน์ กล่าวต่อมาถึงข้อเสนอในเรื่องหลักการโฉนดชุมชน 6 ข้อ ประกอบด้วย 1.สิทธิการใช้ร่วมกัน ทำได้ทุกพื้นที่ไม่ว่าที่ดินรัฐหรือเอกชน หากอยู่บนหลักการว่าทำให้เกิดความเป็นธรรมได้ แม้จะมีกรรมสิทธิเป็นราย แต่หากมีรูปแบบการจัดการร่วมกันก็สามารถทำได้ 2.ต้องเป็นการจัดการร่วมของชุมชน ชุมชนทำกฎเกณฑ์ของตนเองออกมาอย่างชัดเจน รัฐทำหน้าที่สนับสนุนให้กฎเกณ์นั้นเดินต่อไปได้ 3.ต้องยั่งยืน อยู่ไปชั่วลูกหลาน 4.สอดคลองวัฒนธรรมความเชื่อแต่ละพื้นที่ 5.มีกฎเกณฑ์ ที่เป็นที่รู้ ยอมรับ เช่นการใช้จารีตประเพณี หรืออาจเขียนขึ้นมาเป็นธรรมนูญ 6.การจัดการเรื่องที่ดิน ต้องจัดการเป็นองค์รวม อย่างมองเรื่องเดียว
อย่างไรก็ตามยังมีตัวขวาง 2 ส่วน คือ 1.ผู้ปฎิบัติการในพื้นที่ใช้กฎหมายเล่นงานชาวบ้าน และ 2 ซึ่งถือเป็นตัวขัดขวางใหญ่ คือสาธารณะชน สิทธิร่วมถูกขวางโดยทุนนิยม ต้องมีการทำความเข้าใจ
ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องออกกฏระเบียบชัดเจน และไม่มีกติกาไหนใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่วิตกว่ากฏระเบียบสำนักนายกฯ ออกมาปฏิบัติไม่ได้ เพราะหลักการไม่ชัดเจน หากหลักการชัดเจนกฏระเบียบต้องกลับมาที่เจตนารมย์ ซึ่งหากไม่ชัดเจนทำให้ราชการสับสน และผลักดันโฉนดชุมชนยาก
โฉนดชุมชนสะท้อนการกระจายอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการจัดการทรัพยากรของชุมชน” ดร.นวลน้อย กล่าว
นายประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กล่าวว่า เรื่องนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน มีการพูดชัดเจนใน 3 เรื่อง คือคุ้มครองพื้นที่เกษตร รับรองสิทธิชุมชนโดยโฉนดชุมชน และจัดหาที่ดินรูปในแบบธนาคารที่ดิน ซึ่งนโยบายเหล่านี้เป็นความหวังของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมมีช่องว่าในการถือครองที่ดินสูง มีการถือครองที่ดินไม่ถูกต้อง มีที่ดินเอ็นพีแอล ที่ดินเช่าซื้อ (ที่ดินสีเทา) ในกรณีที่ดินสหกรณเช่าซื้อที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ราชพัสดุ ให้เช่าไม่จำกัดผู้ซื้อสิทธิ และสามารถซื้อสิทธิติดๆ กันได้ ไม่มีการกำหนดจำนวนการซื้อ
โฉนดชุมชนที่พูดในวันนี้ เป็นฟางเส้นสุดท้ายของรัฐกับประชาชน” นายประยงค์แสดงความเห็น และกล่าวว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่ระบุถึงการจัดการโฉนดชุมชนในที่ดินของรัฐ แต่ในพื้นที่ อ.โนนดินแดง เป็นที่ดินรัฐก็ยังมีปัญหาการข่มขู่คุกคาม และการกดดันในพื้นที่ ทำให้ไม่แน่ใจว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่คาดว่าจะออกในสัปดาห์หน้า จะเป็นเครื่องมือกระจายการถือครองที่ดินได้จริง ซึ่งถ้าออกได้ตามความต้องการของประชาชนได้ถือว่าดี เพราะจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนได้ แต่หากไม่ดีก็เป็นปัญหา คำถามคือประชาชนต้องเดินหน้าต่อ หรือจะทำให้แท้ง เพราะร่างระเบียบสำนักนายกไม่ใช้แก้วสารพัดนึก ที่คิดว่าจะเป็นปัญหาได้ทุกอย่าง อีกทั้งยังหวั่นว่าจากออกมาแบบพิกลพิการ
ระเบียบสำนักนายฯ ยกสะท้อนความล้มเหลวในการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาล” นายประยงค์กล่าวย้ำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)