--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ธีระ-กนก สุดถ่อย หลุดคำหยาบ กลางจอ "เก็บตกจากเนชั่น"



ธีระ-กนก อกแตกทำเป็นไม่สนข่าวแซยิดหลุดหยาบ"แซเย็ด"

กลางจอในรายการ"เก็บตกจากเนชั่น"ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนลช่วงสายวันนี้ ในเวลาราว08.30-09.30 น.ดำเนินรายการโดยคู่หูนรกกนก รัตน์วงศ์สกุล-ธีระ ธัญวงศ์ไพบูลย์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยความอคติ ได้นั่งเล่าข่าวเช่นเคย

โดยเก็บตกเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ โดยทั้งสองพุ่งความสนใจไปที่ข่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสามารถทำแฮตทริกยิงประตูการแข่งขันฟุตบอลกับทูตได้ถึง3ประตู ถือเป็นความเก่งกาจสามารถในระดับอัจริยะ ทำอะไรก็เก่งไปหมด เก่งเกินมนุษย์ที่จะทำได้จากนั้นก็นำเสนอข่าวอื่นๆที่ทั้งสองคนถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ เช่น ลูกหมีแพนด้าเริ่มคลานได้แล้ว ข่าวเรื่องสาวคาราโอเกะแต่งโป๊เรียกแขกเข้าร้าน เป็นต้นจนกระทั่งใกล้จบรายการเต็มที

นายกนกทำสีหน้าเหมือนไม่ยี่หระและเห็นว่าไร้สาระเต็มทีโดยพูดขึ้นว่า"อ้าว!ธีระแล้วข่าวแซยิดแซเย็ดนี่เราจะไม่พูดเลยเหรอ" นายธีระทำสีหน้าเอือมระอาแล้วพูดว่า"ก็พอดีมีข่าวสำคัญๆอื่นมาก วันนี้ก็เวลาหมดพอดีไง" นายกนกทำสีหน้าสะใจแล้วพูดย้ำอีกว่า"เลยไม่มีเวลาเล่าข่าวแซยิดแซเย็ด"แล้วก็พูดต่อไปว่า"แต่เอาเหอะที่อื่นเขาก็นำเสนอเป็นข่าวใหญ่กันไปแล้ว

พอดีที่ช่องเรามันไม่มีเวลา ก็ไปหาดูที่อื่นแล้วกันนะท่านผู้ชม"โดยธีระทำสีหน้าขำๆสะใจตอนที่กนกพูดคำว่า"แซเย็ด"เวรกรรมมีจริงสื่อหลักทยอยเจ๊ง เนชั่นโอดโดนชาวบ้านบอยคอตศูนย์เฝ้าระวังการคุกคามสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า

ไม่เพียงบริษัทฐานเศรษฐกิจเท่านั้นที่ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงานจนต้องเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมากถึง60คน ก่อนหน้านี้ บริษัทจีจีนิวส์เน็ตเวริ์ค หรือคลื่น บิสิเนสเรดิโอของนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ก็ต้องปิดตัวลงเพราะภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน รวมถึงเครือเนชั่นก็มีการเปิดให้พนักงานเออลี่รีไทร์มาหลายรอบพนักงานเนชั่นรายหนึ่งเปิดเผยว่า ยอดขายสิ่งพิมพ์ในเครือตกหนักมากในช่วง4ปีมานี้ ทั้งหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษTHE NATION หนังสือพิมพ์คมชัดลึก กรุงเทพธุรกิจ และเนชั่นรายสัปดาห์

โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสาน เนื่องจากคนใน2ภาคดังกล่าวมองว่าเครือเนชั่นเลือกที่จะเอียงข้างฝ่ายเผด็จการ และรัฐบาลประชาธืปัตย์ มีอคติต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง"ยอดขายแย่มาก ขนกลับมากองพะเนินตลอด พนักงานเนชั่นขวัญกำลังใจตกต่ำมาก ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงคิวตัวเองต้องโดนบีบออก

ขนาดบริษัทขายตึกที่บางนาแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้สภาพการณ์ดีขึ้นเลย"พนักงานเนชั่นกล่าวขณะที่เครือผู้จัดการก็เจอปัญหาแบบเดียวกับเครือเนชั่น ต้องหาทางออกด้วยการตระเวณคอนเสิร์ตประชาธิปไตยของพันธมิตรมาหล่อเลี้ยงพนักงานในเครือ แต่เมื่อต้องแปรเปลี่ยนเป็นพรรคการเมืองใหม่ ก็อาจทำให้เสียการสนับสนุนจากมวลชนไปได้มาก เพราะฐานของพันธมิตรเป็นฐานเดียวกับมวลชนที่ผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์มานาน โดยเฉพาะภาคใต้และตะวันออก

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ร่วมอวยพร ฉลองวันเกิด ท่านนายกฯทักษิณ

อดเห็น"แม้ว สกายวอล์เกอร์"



อดเห็น"แม้ว สกายวอล์คเกอร์" คนสนิทปัด"โฮโลแกรม"อ้างแค่วิดีโอเป่าเทียนวันเกิด ลูกดอดบินดูไบร่วมงาน
ที่มา มติชนออนไลน์

คนสนิท"แม้ว"เรียงหน้ายันไม่มี"โฮโลแกรม" อ้างแค่วิดีโอ30นาทีถวายผ้าไตรจีวร บอกเจ้าอาวาสแก้วฟ้าปลื้มใจจนคิดเองเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ "เจ๊แดง"สั่งเตรียมระบบถ่ายสดเป่าเทียนข้ามทวีป ลูกทั้งสามบินบินไปร่วมงานเบิร์ธเดย์พ่อที่ดูไบแล้ว
"แม้ว"มาแค่วิดีโอ30นาทีไม่มีโฮโลแกรม

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน กล่าวเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ถึงกรณีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาระบุในลักษณะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมการใช้เทคนิคชั้นสูงทำภาพเสมือนจริง คล้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าร่วมงานทำบุญวันคล้ายวันเกิด 26 กรกฎาคมที่วัดแก้วฟ้าด้วยตัวเอง ว่า จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มีการทำภาพ 3 มิติเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ มาร่วมงานทำบุญวันที่ 26 กรกฎาคมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องนี้ทั้งหมดด้วยตัวเอง โดยได้เดินทางไปเมืองดูไบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อบันทึกเทปวิดีโอ พ.ต.ท.ทักษิณทำพิธีสวดถวายผ้าไตรจีวร ผ้าอาบน้ำฝนและแผ่นทอง ที่จะนำมามอบให้พระสงฆ์ที่ทำพิธีที่วัดแก้วฟ้า 109 ชุด ด้วยตัวเองความยาวประมาณ 30 นาที ซึ่งในช่วงหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดคุยกับประชาชนเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องและเกษตรกรมาด้วยเท่านั้น

"ไม่มีโฮโลแกรม หรือเทคนิคขั้นสูงสร้างภาพ 3 มิติใดๆ ทั้งสิ้น ที่ประชาอาจจะดูหนังมากไปเลยมาเดาว่าจะใช้เทคนิคชั้นสูง เพียงแต่ในวันงานเราจะเปิดวิดีโอที่ผมไปบันทึกมาเปิดระหว่างการร่วมงานทำบุญเท่านั้น และตรงนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบิ๊กเซอร์ไพรส์" นายจารุพงศ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามพระครูปลัดไพศาล กิตฺติภัทฺโท เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้า ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่งสิ่งของที่เป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์มาไว้ที่วัดแล้ว โดยกำชับให้เปิดในวันที่ 26 กรกฎาคม นายจารุพงศ์กล่าวว่า "เจ้าอาวาสคงปลื้มใจ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำพิธีถวายผ้าไตรจีวร ผ้าอาบน้ำฝนและแผ่นทอง จากดูไบ เพื่อนำมามอบให้คณะสงฆ์ถึงวัดแก้วฟ้า จึงคิดว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์"

"เจ๊แดง"สั่งเตรียมระบบถ่ายสด แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง ได้เข้าพบนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ พท.ช่วงเที่ยงวันวันเดียวกันนี้ โดยนางเยาวภากำชับนายณัฐวุฒิ ดูแลเรื่องการจัดงานวันเกิดของคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะระบบการสื่อสารในช่วงการเป่าเทียนวันเกิด ซึ่งต้องเชื่อมโยงเข้ากับการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์พีเพิ่ล ชาแนล ให้เป็นระบบเดียวกัน ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณพูดครั้งเดียวแล้วถ่ายทอดสัญญาณไปทุกสถานที่ที่มีการจัดงานวันเกิด โดยเฉพาะเวทีใหญ่ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ภัตตาคารมังกรหลวง ย่านบางนา และเวทีวัดอุทัยทาราม ย่านพระราม 9 โดยในช่วงเย็นวันที่ 24 กรกฎาคม นายณัฐวุฒิได้นัดแกนนำคนเสื้อแดง ที่จัดงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณทั้ง 3 แห่งมาหารือซักซ้อมทำความเข้าใจกันอีกครั้ง

นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า ในวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ จะมีการถ่ายทอดพิธีทำบุญทางช่องพีเพิลแชนแนล ใน 3 เวทีหลัก ได้แก่ วัดแก้วฟ้า จ.นนทบุรี ลานวัดอุทัยธาราม ถนนพระราม 9 และที่ตลาดนัดคลองถม อ.อาจ สามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยจะส่งสัญญาณเชื่อมต่อไปยังเวทีต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมกัน และจะมีการสนทนาโต้ตอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

โอ๊ค-เอม-อิ๊งไปดูไบร่วมเบิร์ธเดย์ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท. กล่าวว่า ภายในวัดจะมีการติดตั้งจอทีวีพลาสม่าหลายเครื่องเพื่อฉายภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นายจารุวงศ์ไปถ่ายทำมาจากเมืองดูไบ ซึ่งจะปรากฏภาพเสมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังร่วมพิธีอยู่รอบทิศพร้อมกับเปิดเสียงสวดมนต์ของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย นอกจากนี้ในงานเลี้ยงช่วงค่ำที่ภัตตาคารมังกรหลวง พ.ต.ท.ทักษิณจะวิดีโอลิงก์ขอบคุณประชาชนที่ร่วมอวยพรวันเกิด และภายหลังจากคนในครอบครัวชินวัตร อวยพรวันเกิดให้กับพี่ชายจบลง พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเป่าเค้กข้ามทวีปผ่านวิดีโอลิงก์ โดยเทียนที่ปักบนเค้กที่ทีมงานเตรียมไว้ก็จะดับลง
รายงานข่าวจากแจ้งว่า นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทายาท พ.ต.ท.ทักษิณทั้ง 3 คน ทยอยเดินทางไปร่วมงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จัดขึ้นเฉพาะคนในครอบครัว ที่เมืองดูไบแล้ว โดยนายพานทองแท้เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำเค้ก-ผ้าไหมหวังลงกินเนสส์ฯ

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดงานวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดแก้วฟ้าเป็นการสร้างความแตกแยกให้พระสงฆ์ 2 นิกาย ว่า เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนอยากร่วมทำบุญ ซึ่งการทำบุญสามารถไปที่วัดไหนก็ได้ โดยการทำบุญในวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อความแตกแยกหรือนำศาสนามาเป็นเครื่องมือใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงการแจกทุนการศึกษาและจัดติวเตอร์ให้กับเยาวชนด้วยที่ไม่ได้เป็นการหากินกับเด็ก ทั้งนี้ ทราบมาว่าชาวเชียงใหม่จะทำขนมเค้กวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จำนวน 2,492 ก้อน และผ้าไหมหรือกระดาษสาความยาว 2,492 เช่นกัน ซึ่งผู้จัดต้องการให้เรื่องนี้ได้ลงกินเนสส์บุ๊ก
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษก พท. กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะวิดีโอลิงก์ เข้ามาพูดคุยและตอบคำถามเกี่ยวกับทางออกของประเทศไทยในการแก้ปัญหาของประเทศ ตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00-19.00 น. วันที่ 26 กรกฎาคม ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีเพิลชาแนล
สำหรับคำถามที่จะมีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ จากการติดตามสถานการณ์ในประเทศไทย ควรจะแก้ไขปัญหาอะไรก่อน-หลัง แนวทางการแก้ไขปัญหากรณีไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ปากท้องของคนรากหญ้า รวมถึงทางออกปัญหาการเมือง
มท.3เตือนทำผิดกม.เจอฟันแน่

นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เพราะเป็นแค่การจัดงานวันเกิดของชายไทยคนหนึ่งที่หนีคำพิพากษาจำคุกไปอยู่ต่างประเทศ แล้วไม่สามารถจะมาฉลองวันเกิดของตัวเองได้จึงส่งเงินมาให้พรรคพวกจัดงานวันเกิดให้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งวันเกิดทั่วๆ ไปอาจจะมีขึ้นเวทีพูดขอบคุณ แต่ถ้ารวยหน่อยก็อาจจะเช่าสัญญาณวิทยุหรือโทรทัศน์ ถ้าพูดด้วยความปรารถนาดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นการพูดยั่วยุให้เกิดความรุนแรง หรือทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดี รวมทั้งช่องสัญญาณวิทยุโทรทัศน์นั้นๆ ด้วย คนมีเงินจะจัดงานวันเกิดเลี้ยงคนทั้งประเทศก็ได้

"อยากทำก็ทำไปแต่อย่าไปทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะถ้าผิดแล้วก็ต้องดำเนินคดี จะไม่มีการสั่งการให้จังหวัดต่างๆ สกัดการจัดงาน แต่จะให้จับตามองว่ามีอะไรที่เข้าข่ายความผิดหรือไม่" นายถาวรกล่าว

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คงไม่ต้องเตรียมความพร้อม หรือสั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นเสรีภาพ เป็นเรื่องปกติที่ประชาชนจะแสดงออก แต่เชื่อว่าทุกคนเข้าใจและแยกแยะได้ว่า อะไรอยู่ภายใต้กติกากฎหมายก็สามารถปฏิบัติได้

"ที่วัดแก้วฟ้า ก็ไม่สกัดกั้น ไม่ควบคุมใดๆ การจะโฟนอินหรืออะไรก็ตาม เป็นสิทธิและเสรีภาพ ถ้าการดำเนินการทั้งหมดไม่ฝ่าฝืนกฎหมายก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าฝ่าฝืนกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะต้องกำกับควบคุมดูแล" นายบุญจงกล่าว
"สาทิตย์"ถามแม้วเซอร์ไพรส์ให้ประโยชน์ชาติอย่างไร

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีที่เครือข่ายวิทยุชุมชน และโทรทัศน์เคเบิลทีวีจะทำการถ่ายทอดงานแซยิด พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า สามารถดำเนินการได้แต่รายการนั้นต้องไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ไปละเมิดสิทธิของใคร หรือปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย และถ้ามีความผิดพลาดในเชิงของข้อกฎหมายก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่ถ่ายทอดรายการนั้นๆ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะปกติธรรมดาก็เป็นการดูทั่วๆ ไป และมีหน่วยงานตามปกติมีดูกันอยู่แล้ว

"รัฐบาลก็มีหน้าที่แก้ไขปากท้องประชาชนเป็นเรื่องหลัก คงไม่คิดเรื่องของคุณทักษิณเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราจะให้ความสำคัญของคุณทักษิณว่า จะทำอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์ คำถามเดียวเท่านั้นคือ สิ่งเหล่านั้นให้ประโยชน์กับประเทศชาติอย่างไร" นายสาทิตย์กล่าว

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสื้อแดงย้ำชื่อเกินล้านถวายฎีกา ต้น เดือน สิงหาคม



ที่มา ไทยรัฐ

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อยังคงเปิดให้ร่วมลงชื่อจนถึง31 ก.ค. จากนั้นจะตรวจสอบความเรียบร้อยใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ จตุพร พรมพันธุ์ เผยได้ขอร้องทางครอบครัวทักษิณทุกคนไม่ต้องมาลงชื่อให้เป็นเรื่องของปชช.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าววันนี้ (24 ก.ค.) ว่า ในวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ 26 ก.ค.
จะมีการถ่ายทอดพิธีทำบุญทางช่องพีเพิลแชนแนล ใน 3 เวทีหลักที่ วัดแก้วฟ้า จ.นนทบุรี วัดอุทัยธาราม ถนนพระรามเก้า และ ที่ตลาดนัดคลองถม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยจะส่งสัญญาณเชื่อมต่อไปยังเวทีต่างๆทั่วประเทศพร้อมกัน และจะมีการสนทนาโต้ตอบกับพ.ต.ท.ทักษิณด้วยส่วนการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รายชื่อเกิน 1 ล้านคนแล้ว และจะยังคงเปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อจนถึงวันที่ 31 ก.ค. จากนั้นจะตรวจสอบความเรียบร้อยใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ
อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีสารพัดขบวนการจ้องล้มการถวายฎีกา ออกมาพูดจากล่าวหา ใส่ร้าย และเชื่อว่าขบวนการเหล่านี้น่าจะมีไปจนถึงวันทูลเกล้าฯ กรณีที่มีความพยายามโจมตีว่าการถวายฎีกาเป็นสิ่งที่ไม่บังควรนั้น ความจริงในอดีตที่ผ่านมาการถวายฎีกาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง จากหลายบุคคล หลายหน่วยงาน ดังนั้นในสังคมไทยใครก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแต่วันนี้มันมีความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้น
คนส่วนหนึ่งทำได้ไม่มีใครว่า แต่พอคนอีกกลุ่มหนึ่งจะทำก็จะมีกระบวนการขัดขวาง ดิสเครดิตตลอดขณะที่นายจตุพร พรมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า การรวบรวมชื่อประชาชนถวายฎีกานั้น ได้ขอร้องทางครอบครัวของพ.ต.ท.ทักษิณทุกคนว่าไม่ต้องมาลงชื่อ ขอให้เป็นเรื่องของประชาชนเท่านั้น วันนี้ได้มีขบวนการ ออกมาโจมตีในเรื่องนี้กันอย่างหนัก ล่าสุดนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ก็จะออกมาคัดค้านการยื่นฎีกา โดยจะแถลงข่าวเรื่องนี้ในวันที่ 28 ก.ค. ซึ่งตนก็ขอประณามนายวิษณุ

แม้ท่านไม่พึงประสงค์ แต่ประวัติศาตร์จะมอบภารกิจผู้นำให้แก่ท่าน


โดย คุณระลึกถึง
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
24 กรกฎาคม 2552
วันนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองได้ชี้ชัดแล้วว่า อนาคตประเทศไทยแยกไม่ออกจากอนาคตของหนุ่มใหญ่ ที่มีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 ที่ชื่อว่า ..ทักษิณ ชินวัตร..

จากความเก่งกาจทางวิชาการและกล้าตัดสินใจ เป็นผลให้ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จในการงานอาชีพด้านการสื่อสาร ในฐานะอัศวินคลื่นลูกที่3 สู่ความสำเร็จทางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 2 สมัยติดต่อกัน ด้วยคะแนนเสียงบริสุทธิ์ท่วมท้นถึง 19 ล้านเสียง

ในฐานะอัศวินประชาธิปไตยได้กลายเป็นอันตรายต่อตัวทักษิณเอง จนหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ ด้วยเพราะเขาไม่เคยเฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า ประเทศนี้มิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ปกครองด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย

อำนาจที่แท้จริง มิได้อยู่ที่ประชาชน แต่อยู่ที่กลุ่มอำมาตย์ที่มีปากกระบอกปืนและปากกาเป็นเครื่องมือสำคัญ
"ผมพึ่งรู้ว่าประเทศนี้ไม่มีประชาธิปไตย"

ข้อสรุปที่ตกผลึกทางความคิดครั้งแรก ได้เปล่งออกจากปากทักษิณ ในการประชุมใหญ่พรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 หลังจากที่แถลงลาพักร้อนถาวร ที่ห้องโถงทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 4 เมษายน 2549 และตั้งพลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นผู้รักษาการถาวร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ความรักที่ประชาชนมอบให้ จากความสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้สิน ไอ เอ็ม เอฟ ของประเทศไทย ที่คามาจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และประโยชน์สุขที่ประชาชนได้รับเต็มๆ ด้วยความประทับใจที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำให้มาก่อน

นับตั้งแต่กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท,30 บาท รักษาทุกโรค,หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP),ผลงานการปราบปรามยาเสพติด ที่เด่นชัดโดนใจประชาชน

และล่าสุดที่สะกิดใจอำมาตย์มากที่สุด คือนโยบายแก้ความจนอย่างเป็นรูปธรรม
กรณีศึกษาอาจสามารถ ได้สร้างความอิจฉาและระแวงจับผิดในตัว พ.ต.ท. ทักษิณ จากเหล่าอำมาตย์ ผสมพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จึงเข้มขั้นขึ้น
การผนึกกำลังโจมตีใส่ร้ายในข้อหาทางการเมืองมหาโหด ว่า "ไม่จงรักภักดี" ที่เป็นข้อหายอดนิยม ที่ทำลายคนดีๆ ไปมากต่อมากในประวัติศาสตร์ จึงเกิดขึ้น
จากฝีมือมหาอำมาตย์เอก ร่วมกับ พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอันธพาลทางการเมืองพันธมิตรจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง

บทพิสูจน์ว่า พัฒนาการทางความคิดทางการเมืองของประชาชนไทย ได้หลุดพ้นจากวาทะกรรมที่เหล่าอำมาตย์กล่าวประณามเหยียดหยามมานานปี แล้วว่า โง่เง่า ลืมง่าย และไม่รู้จักประชาธิปไตยนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยเหตุการณ์ที่ยืนยันว่า ประชาชนไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าอำมาตย์อีกต่อไป คือชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จนถึงการเลือกตั้งซ่อม ที่สกลนครและศรีสะเกษ เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ...
ประชาชนรู้ทันระบอบอำมาตย์แล้ว...

ยิ่งวันนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาว่า "รัฐบาลเทพประทาน" ได้เปิดเผยตัวเองอย่างล่อนจ้อนว่า ไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ ในการก่อวิกฤตเศรษฐกิจ จากการร่วมก่อการจราจล ยึดทำเนียบและยึดสนามบินเท่านั้น ยังไม่มีความสามารถในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ได้อีกด้วย
การเป็นรัฐบาล 4 ก. ของอภิสิทธิ์ คือ แก้ตัว , กู้เงิน , เก็บภาษี , และโกงกิน ยิ่งกระตุ้นต่อมการเรียนรู้ทางการเมืองของประชาชน ให้มีความแจ่มชัดอย่างสิ้นสงสัย ในความเลวร้ายของ ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

และเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก ยากจนของประชาชนมาตลอด เท่าที่ทุกคนจำความได้
คาถาอันทรงพลังในอดีตที่ว่า อำมาตย์แต่กลุ่มเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม และทุกครั้งที่ทำรัฐประหารนั้น ก็เพื่อเชิดชูคุณธรรมและจริยธรรมนั้น ได้หมดความศักดิ์สิทธิ์ลงอย่างสิ้นสงสัยแล้ว

ยิ่งกลุ่มสหภาพแรงงานรถไฟ ที่เป็นกำลังหลักภาคมวลชนของอำมาตย์ ในการโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยถึง 3 รัฐบาล (ทักษิณ-สมัคร-สมชาย) ได้แสดงบทบาทการเป็นอันธพาลทางการเมือง ด้วยการประท้วงหยุดเดินรถไฟทั่วประเทศ เมื่อ 22-23 มิถุนายน 2552 อย่างไร้เหตุผล ในภาวะที่ประชาชนต้องเดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็น จึงเป็นการตอกย้ำถึงความเลวร้ายหลอกลวงทางการเมือง ของระบอบอำมาตย์ ตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันอย่างสิ้นสงสัย

กระแสเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรม หรือเนื้อแท้ คือการต่อต้านระบอบอำมาตย์ จึงเกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกหัวระแหง กลายเป็นแดงทั้งแผ่นดินแล้วในขณะนี้

ประวัติศาสตร์ความโหดร้ายของระบอบอำมาตย์ ที่เคยเข่นฆ่านักเรียน นิสิตนักศึกษา เมื่อ 6 ตุลาคม 2519ยังเตือนความจำคนไทยไม่ลบเลือน ภาวะการณ์แดงทั้งแผ่นดิน ได้สร้างความรำคาญใจแก่เหล่าอำมาตย์เป็นอย่างมาก

สะท้อนออกที่คำกล่าวของ สุเมธ ตันติเวชกุล เมื่อปลายเดือน พฤษภาคม ที่ว่า "เดือนหน้า ยังจะชุมนุมกันอีกหรือ รำคาญแล้วนะ "
จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอก ของพยากรณ์สถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตได้ว่า การคิดสั้นของเหล่าอำมาตย์ ที่จะเข่นฆ่าประชาชน เพื่อระบบอำนาจใหม่ มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง

ภาวการณ์ปัจจุบันนี้บ่งบอกแล้ว ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางสังคมไทย ด้วยหลายภาวะวิกฤตที่กำลังโถมกระหน่ำมาพร้อม ๆ กัน คือ
ทั้งวิกฤตสงครามในภาคใต้ วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสงครามการเมือง และวิกฤตศรัทธาต่อระบอบอำมาตย์
วันนี้ระบอบอำมาตย์ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า ในวิถีการเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ อำมาตย์ได้เลี้ยงดูไว้ ดั่งสัตว์เลี้ยงในบ้านนั้น ไม่อาจจะเอาชนะใจประชาชนคนรากหญ้า ที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" ได้แล้ว

เมื่อหลอกลวงไม่ได้ ก็ต้องปราบปราม หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมประนีประนอมกับทักษิณ เส้นทางการเมืองมาถึงทางสองแพร่งแล้ว
แต่ด้วย ทิฎฐิมานะและความหลงในอำนาจแห่งระบอบอำมาตย์ ซึ่งใช้ได้ผลมาโดยตลอด ดูจะทำให้เส้นทางแห่งความประนีประนอม ดูจะตีบตัน
ภาพของทักษิณ จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยง ที่จะเป็นเป้าหมายการทำลายของระบอบอำมาตย์

นับวันภาพการทำลายล้างทักษิณ อันเกิดจากอารมณ์เกลียดเป็นการส่วนตัวของ..ผู้สูงวัย แต่ต่ำด้วยวุฒิภาวะทางการเมือง ที่ได้นำประเทศชาติสู่หายนะ ยิ่งชัดเจนขึ้นและชัดเจนขึ้น ด้วยการตอกย้ำจากความล้มเหลวของรัฐบาล อภิสิทธิ์-เนวิน ที่พวกเขาโอบอุ้ม
ประชาชนสิ้นสงสัยแล้วว่า ความทุกข์ยาก อดอยาก เริ่มต้นจากใคร

ภารกิจทางประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง จึงตกอยู่บนบ่าของคนที่ ชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อันไม่อาจจะหลักพ้นได้
....แม้ไม่ประสงค์ แต่ไม่อาจปฎิเสธ....

(ที่มา : voice of TAKSIN (เสียงทักษิณ) ปีที่1 ฉบับที่1 20-30 กรกฎาคม 2552 หน้า 6-7 )

เขาเป็นคนที่ประชาชน รักมาก


(ภาพ นายกฯทักษิณ ตักบาตรในวันคล้ายวันเกิดครบ 59 ปี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า)
โดย คุณขนมต้ม
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
22 กรกฎาคม 2552

ผมคิดว่างานแซยิดของท่านนายกฯทักษิณ
จะเป็นงานที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า**เขาเป็นคนที่ประชาชนรักมาก**กระทู้นี้ อาจจะออกแนวคุยสัพเพเหระสักหน่อยนะครับคือ เท่าที่ดูกระแสแล้ว ผมเห็นว่า การจัดงานแซยิดท่านนายกฯทักษิณครั้งนี้ เป็นอะไรที่จะ "ยิ่งใหญ่" เกินความคาดหมายจริงๆบอกตรงๆ ว่า ไม่เคยเห็นใคร ที่ประชาชนคนไทยจำนวน "ไม่น้อย" ต้องการที่จะแสดงพลัง เพื่อบอกว่า พวกเขารัก และนับถือ ดร.ทักษิณ ขนาดไหนผมนึกถึงงานฉลอง ฯ วันเกิด ของท่านสุลต่านบรูไน (นายกฯ บรูไน) ที่แทบทุกปี พระองค์จะเชิญ ท่านนายกฯทักษิณไปร่วมงานเสมอจำได้

ตอนปีก่อนที่จะถูกปฏิวัติ ดร.ทักษิณ ท่านก็บินไปบรูไน เพื่อร่วมงาน ปีนี้เห็นว่า ตอนไปฟิจิ ขากลับ ท่านแวะบรูไนด้วย (ไม่ยืนยัน)ท่านสุลต่านบรูไน ถ้าคนเก่าๆ จำได้ ผมจำได้ว่า พระองค์เคยเชิญคุณนันทิดา แก้วบัวสาย นักร้องดังสมัยก่อน ไปร้องเพลงในพระราชวังของพระองค์ โดยส่งเครื่องบิน private jet มารับเลย งานวันเกิดของท่านยิ่งใหญ่มากๆทีนี้ ตอนที่ท่านนายกฯทักษิณอยู่เมืองไทย ทุกปี วันเกิด ท่านจะนิมนต์พระไปรับบิณฑบาตรที่บ้าน มีอยู่แค่นั้นจริงๆ ใครจะไปเยี่ยม มอบของขวัญ ท่านไม่เอา

ผมเคยฟังท่านพูดในรายการนายกฯทักษิณคุยกับประชาชน ว่า ท่านไม่ขอรับ (ไม่เหมือนคนติงต๊องบางคน รับงาช้างเขามา ..พอรู้ว่าเกิน 3 พันบาท รีบเอาไปคืนเจ้าของเดิม)ผมเห็นหลายๆ กลุ่ม โดยเฉพาะ คุณชวรัตน์ รมว.มหาดไทย ซึ่งเห็นว่า เพิ่งฉลองวันเกิดไปเมื่อไม่นานมานี้ ประชุมผู้ว่าฯ สั่งให้ดูงานวันเกิดท่านทักษิณ และดูการลงชื่อถวายฎีกา ก็ได้แต่ปลง เำพราะความคิดของเจ้ากระทรวงมหาดไทย มีอยู่แค่นี้และได้เห็นกลุ่มคนหลายๆ กลุ่ม ออกมา "ดีดดิ้น" กับการลงรายชื่อ ก็เลยอยากจะฝากบอก "คนเสื้อแดง...และคนหัวใจแดง" ทั้งหลายว่า ช่างเขาเถิด ใครจะทุรนทุราย ก็ช่างเขาก็เหมือนกันกับการจัดงานวันเกิด ...ถ้าพวกท่านจะทำ ..

ก็ขอให้ทำให้ยิ่งใหญ่ไปเลย เอาให้รู้กันไปทั่ว ใครจะโวยวาย ..ใครจะหมั่นไส้ ...ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับพวกท่านทำดี ..พวกท่านทำบุญทำกุศล คนที่ออกมาพูดต่อต้าน คือพวก "มาร"ทุกวันนี้ ผมได้แต่ขำ ที่เห็น "หน้าตา" ของแต่ละคนที่ออกมา "ดีดดิ้น" เดือดร้อนอะไรก็ไม่ทราบผมเคยนั่งดู "ความคิด" ของพวกเขา เขาก็จะบอกว่า คนพวกนี้ (แดง) หลงไหลกับเงินของทักษิณที่หว่าน หรือ คำพูดออดอ้อนผมก็ได้นั่งพิจารณาดู คนที่พูดๆ กันอยู่นั้น ...คนพวกนี้ล้วนแต่เป็น "ตัวงาบงบประมาณ" และ "สวาปาม" กันทั้งนั้น ก็ปล่อยให้เขาคิดกันไป ...นานาจิตตัง เราไปห้ามความเชื่อความคิดของเขาไม่ได้ไม่อยากจะบอกว่ามีใครบ้าง ฝ่ายค้าน (พรรคเพื่อไทย) เขาทำหน้าที่เปิดโปงอยู่แล้วสรุปในกระทู้นี้ก็คือ ผมมองไว้ว่า งานวันเกิดของท่านนายกทักษิณปีนี้ จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่จริงๆและมันเป็นสิ่ง "มหัศจรรย์" เหลือเกิน ที่จะได้เห็นสิ่งที่คนรักทักษิณเขาจัดยอมรับว่า "ทึ่ง" และขอยกย่องพวกท่านทั้งหลายว่า เยี่ยมจริง ๆ ครับความรักและศรัทธานั้น
ยิ่งใหญ่จริง ๆ ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เปิดใจ นิค นอสติทส์ "แดงกับเหลือง"


วันพฤหัส 23 กรกฎาคม 2009
Nick Nostitz at the FCCT๑๖ กรกฏาคม ๒๕๕๒
โดย Nick Nostitz
ที่มา – New Mandalaแปลและเรียบเรียง
(เป็นการถอดความจากบทสัมภาษณ์ของนิค นอสติทส์เมื่อคืนที่แล้ว ในงานเปิดตัวหนังสือ “แดงกับเหลือง” ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย)

นิค นอสติทส์ ภาพโดย จำไม่ได้ ขอบคุณค่ะ
การเขียนหนังสือนับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุด และเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวด้วยเช่นกัน เรื่องส่วนตัวต่างๆที่เก็บไว้กับตัวเองมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ต้องออกสู่สายตาสาธารณะชนให้คนอื่นได้รับรู้ ในเรื่องที่คุณเชื่ออยู่อย่างลึกซึ้งนับเป็นเรื่องที่น่ากลัว

อีกนัยหนึ่ง ส่วนที่ผมตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ การทำหนังสือซึ่งผมคิดว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นช่างภาพอาชีพ และเป็นนักข่าว และเป็นเครื่องมือที่วิเศษในการสื่อสาร

ผมพยายามที่จะอธิบายเกี่ยวกับเบื้องหลังของหนังสือเล่มนี้ว่าเริ่มต้นเพราะอะไร อะไรที่ผลักดันให้ผมเขียนหนังสือนี้ขี้นมา และผมเข้ามาเกี่ยวข้องในการเมืองไทยอย่างไร

หลังจากที่ผมได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตกลางคืนของกรุงเทพได้หลายปี งานส่วนตัวต่อมาของผมจะเน้นไปในเรื่องปัญหาทางสังคมในเมืองหลวงและในชนบทมากขี้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ผมได้สัมผัสในเวลานั้น ซึ่งไม่ได้ลงพิมพ์ในหนังสือเล่มที่แล้ว และเป็นการนำผมเข้าสู่ในเรื่องทางการเมือง เมื่อเหตุการทางการเมืองแสดงให้เห็นได้ชัดพอที่จะจับภาพเอาไว้ได้ในปลายปี ๒๕๔๘

เช่นเดียวกับนักข่าวอีกหลายๆคน ผมได้ติดตามการประท้วงของพันธมิตรก่อนการทำรัฐประหาร และผมมีความสนใจในอีกฝ่ายเช่นกัน ประสบการณ์สำคัญสำหรับผมก็คือ เมื่อผมได้ไปเยี่ยมคาราวานคนจนผู้สนับสนุนทักษิณที่นวนคร เขตอุตสาหกรรมชานเมือง ซึ่งเป็นการตั้งแค้มป์ครั้งสุดท้ายก่อนจะไปชุมนุมกันที่กรุงเทพ ผมคิดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินให้พวกประท้วง แต่เมื่อผมได้สนทนากับชาวนาที่ส่วนใหญ่จะยากจน เมื่อได้พูดถึงทักษิณ ผมพบว่าพวกเขามีมุมมองหลากหลายมากกว่าที่ผมคาดคิดตั้งแต่แรก

พวกเขาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาทราบว่าทักษิณมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง แต่นโยบายของทักษิณได้ช่วยทำให้ชีวิตพวกเขาดีขี้น ผมต้องยอมรับว่าพวกเขาทำให้ผมต้องอึ้ง ทำให้ผมต้องคิดหนัก โดยเฉพาะเมื่อผมต้องเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมืองไทย มันไม่สำคัญว่าผมจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ที่สำคัญกว่าคือการเสนอความเห็นของประชาชนต่างหาก เป็นประสบการณ์มาจากชีวิตจริง ถ้าผมจะต้องรายงานข่าวของพวกเขา ผมต้องพยายามทำตัวให้อยู่ในสภาพเดียวกับพวกเขา

หลังจากการทำรัฐประหาร ตอนนั้นมีเพียงการประท้วงย่อยๆ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม จากอารมณ์ที่แสดงออกของชาวบ้านทั้งหลาย ผมมีความสังหรณ์ใจว่า การทำรัฐประหารเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทางการเมืองในประเทศไทย ไม่ว่าการประท้วงจะเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอย่างไร ประชาชนเพิ่งหายตกใจจากการที่เขาได้สูญเสียนายกรัฐมนตรีของเขาจากการทำรัฐประหาร

ผมไม่เคยชอบกับการทำงานประจำ ก็เลยมาเป็นนักข่าวอิสระซึ่งทำให้มีเวลาของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากไปกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดห่างจากบ้านผมเพียงแค่สิบนาที ผมเห็นว่าเป็นโอกาสทองที่ผมจะได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนี้

ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยเกิดขี้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นครั้งแรกที่ภูมิภาคที่กว้างใหญ่และชนชั้นทางสังคมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกันในการดิ้นรนทางการเมืองเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันส่วนใหญ่มีการศึกษาและพวกศักดินาที่ร่ำรวย ทำให้การพัฒนาเป็นไปด้วยความยากลำบากและคาดการณ์ไม่ได้

ครั้งแรกผมรู้สึกค่อนข้างกลัว เนื่องจากเป็นนักข่าวต่างชาติ และอาจจะเป็นเพียงนักข่าวคนเดียวที่รายงานเหตุการณ์นี้ ซึ่งรายล้อมไปด้วยผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ บางครั้งจะมีเจ้าหน้าที่สืบราชการลับจำนวนมากกว่าผู้ประท้วงเสียอีก

แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผมได้พบปะกับผู้คน และได้ทำความรู้จักตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งฝ่ายผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผมมักจะตีสนิทกับพวกนี้ก่อน โดยการแนะนำตัวผม บอกความประสงค์ของผมว่าผมเป็นนักข่าว ไม่ใช่เป็นนักเคลื่อนไหว และได้ถามพวกเขาว่าผมจะสร้างปัญหาหรือไม่ หรือถ้าผมทำผิดใดๆ ผมยินดีเปิดใจน้อมรับฟัง

นับเป็นปีๆที่ผมร่วมการชุมนุมประท้วงจนนับครั้งไม่ถ้วน เจ้าหน้าที่บางคนก้าวร้าวมาก ซึ่งหลายคนได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับผม ส่วนใหญ่ผมเรียนรู้จากความรู้และประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะคอยให้คำแนะนำผมบ่อยๆ บางครั้งก็ปกป้องผม ไม่เคยมีใครขัดขวางการทำงานของผมหรือกดดันผม

ยิ่งผมหลงใหลกับเรื่องนี้เท่าไร ผมยิ่งหดหู่กับการไม่ได้รับความสนใจมากขี้นเท่านั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ชลมุนเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคมผ่านไปสองปีครึ่ง ผมจึงคิดว่าผมขายรูปแรกที่เกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองนั้นได้ แม้แต่ทุกวันนี้ผมยังไม่ได้ทุนคืนจากสิ่งที่ผมได้ลงทุนและเสียเวลาไปกับเรื่องนี้เลย

เกือบทุกครั้งที่ผมอ่านบทความจากสื่อต่างๆ ผมยังไม่เคยอ่านพบบทความไหนที่สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ผมได้พบจริงจากการทำงานภาคสนามเลย ผมไม่มีที่ที่จะให้เผยแพร่ต่อเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ผมรู้สึกว่ากำลังก่อตัวขี้นในประเทศที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ และเป็นประเทศที่ผมรักเป็นอย่างยิ่ง

ดร.ไมเคิล เนลสัน ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมขอคำปรึกษาในเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆอยู่เสมอ ได้ชักชวนให้ผมเขียนบทความลงในนิวแมนดาลา ซึ่งเป็นเว็บไซต์วิชาการเล็กๆ แรกๆผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ เพราะผมไม่ได้รับเงินจากการเขียน และผมยังคงถังแตกอยู่เสมอ แต่เมื่อผมเริ่มต้นเขียน ผมคิดเสียว่าอย่างน้อยก็เป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อเขียนในสิ่งที่ผมคิดว่าจะจัดพิมพ์ขี้น และมีคนที่สนใจอ่านอย่างจริงจังในจำนวนไม่น้อยทีเดียว
บทความที่ ๓ ที่ผมเขียนลงในนิวแมนดาลา ในวันที่มีเหตุการณ์จราจลประมาณวันที่ ๗ ตุลาคม ได้ส่งผลกระทบต่อผมอย่างไม่น่าเชื่อ บทความของผมถูกประชาไทแปลเป็นไทย ถูกโพสต์แล้วโพสต์อีกในกระดานข่าวและบล็อกต่างๆ และได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และแม้กระทั่งอ่านบทความของผมออกทีวี ในรายการความจริงวันนี้ ซึ่งเป็นทีวีเสื้อแดงและทีวีช่อง ๑๑

หลายคนชอบที่ผมเขียน แต่มีอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่มาจากเหล่าผู้ที่เลื่อมใสค่ายพันธมิตรและกล่าวหาว่า ผมได้รับเงินสินบนจากทักษิณก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่สุด ในเวลานั้นผมได้รับคำขู่ แม้แต่ทุกวันนี้คุณยังคงเห็นได้จากหลายกระดานข่าวในเว็บไซต์ ที่ทั้งดูถูกและกล่าวหาว่า ผมได้รับเงินในฐานะเป็นนักวิ่งเต้นให้ทักษิณ

หนึ่งเดือนหลังจากที่ผมได้รายงานข่าวออกไป ผมได้ถูกข่มขู่อย่างรุนแรง และการข่มขู่ได้ยุติลงเมื่อคนเริ่มเกลียดคนอื่นมากกว่าผม และผมโชคดีที่มีเพื่อนในหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ได้ดูแลผม เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งยังได้ทำการอารักขาผมเมื่อผมออกไปปฎิบัติงาน จนกระทั่งความรู้สึกของผู้คนได้ลดระดับลง
เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในประเทศไทยคือ หลายๆคนไม่ได้ใช้เหตุผลเพื่อจัดการกับประเด็นต่างๆ แต่ใช้อารมณ์ล้วนๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก

ครั้งแรกผมต้องการรวบรวมปัญหาทางการเมืองทั้งหลายในหนังสือที่ผมกำลังตระเตรียมเรื่องราวไว้ถึง ๙ ปี ในเรื่องปัญหาสังคมและความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมมีรูปจำนวนมากและหัวข้อที่แสนจะซับซ้อนอยู่ในมือ บางคนได้บอกผมว่านี่จะทำเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย หลังจากที่ผมได้คิดทบทวนแล้วก็น่าจะทำได้ตามนั้น และหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการตีพิมพ์ในไม่ช้า

ผมไม่เสียเวลาจะหาสำนักพิมพ์ต่างชาติ ผมคิดว่าสำนักพิมพ์ในประเทศนี่แหละเหมาะสำหรับหนังสือที่ผมกำลังคิดจะทำออกมา เป็นใครก็ได้ที่เห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ เป็นการใช้งบประมาณที่น้อยมากกว่าใช้สำนักพิมพ์ต่างชาติ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องรอง แต่ถึงจะใช้งบน้อยเราก็สามารถทำหนังสือออกมาให้น่าดูได้ ผมจึงติดต่อ นายดีทาร์ด อังเดร แห่งไวท์โลตัส(White Lotus) ซึ่งตกลงรับความคิดผมในทันที
ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างเร่งด่วน และเมื่อเกิดการจราจลในวันสงกรานต์ ผมต้องคิดหนักว่าผมควรจะเปลี่ยนเรื่องอีกไหม ซึ่งตอนนั้นต้นฉบับเสร็จแล้วและกำลังรอตรวจทานเพื่อจะรวมเรื่องราวต่างๆ ผมตัดสินใจไม่เปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากถ้าจะลงรูปทั้งหมดงบประมาณจะไม่พอ และถ้าผมกลับไปแก้ไขใหม่ จะยิ่งทำให้หนังสือล่าช้าออกไปอีก ผมยังได้ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับการจราจลในวันสงกรานต์นั้น และยังคงมีอีกเยอะที่จะตามมา เราตัดสินใจจะหยุดพักโครงการหนังสือในปลายปี ๒๕๕๑ และจะออกหนังสืออีกเล่มเมื่อเหตุการณ์ของปีนี้ดูชัดเจนกว่านี้

จู่ๆก็มีเรื่องประหลาดเกิดขี้น สำนักพิมพ์ ๔ แห่งปฎิเสธที่จะพิมพ์หนังสือของผม ผมแน่ใจว่าหนังสือไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการทำงานที่กำหนดไว้ สำนักพิมพ์แห่งที่ ๔ ซึ่งมีมารยาทได้อธิบายถึงสาเหตุที่ไม่สามารถพิมพ์หนังสือของผมได้ เขากล่าวว่าเขาชอบหนังสือของผม และไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ แต่เป็นหนังสือที่แสดงปัญหาของสังคมไทยชัดเกินไป และจะสร้างปัญหาให้กับโรงพิมพ์ของเขาได้ในภายหลัง เขาแนะนำผมให้ไปหาโรงพิมพ์ขนาดกลาง และได้กล่าวว่าถ้าผมไม่สามารถติดต่อโรงพิมพ์ใดๆได้ เขาจะช่วยผมหา หลังจากนั้นหนึ่งวันเพื่อนที่น่ารักของผมได้ติดต่อโรงพิมพ์ที่ยอมพิมพ์หนังสือของผม เขาเป็นกังวลแต่เพียงว่าหนังสือผมไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น

ผมต้องการกล่าวบางอย่างต่อบุคคลหลายคนที่กล่าวหาว่าผมมีความลำเอียง ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมลำเอียง ผมได้ทำงานภาคสนาม ผมได้คลุกคลีกับทั้งสองฝ่าย แน่นอนผมมีความเห็นใจ ในบรรยากาศเช่นนี้ ใครก็ตามที่ติดตามในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และพูดว่าไม่มีความเห็นใจ ถือว่าเป็นคนโกหก แต่ผมไม่ได้ให้ความเห็นใจมาเป็นอุปสรรคต่อการรายงานความจริงและความเที่ยงตรง ผมไม่เคยปิดบังในสิ่งที่ผมเห็น
ความเห็นใจของผม มีให้ต่อคนยากจนเสมอ ต่อประชาชนซึ่งไม่มีปากมีเสียง เมื่อพวกเขาเรียกร้องหาชีวิตที่ดีขี้น โดยเฉพาะอุดมคติในเรื่องที่ว่าความมีโอกาสเท่าเทียมกัน เรื่องเหล่านี้จะเกิดขี้นกับคนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ด้อยโอกาส

ผมไม่ยอมรับเหตุผลที่ว่า คนเหล่านี้ขาดการศึกษาเกินกว่าที่จะเลือกทางของตัวเองได้ เป็นมุมมองของพวกชนชั้นนิยมที่คอยอ้างตัวว่ามีบุญคุณ นิยมใช้คำหลอกลวงและศิลปะในการโต้แย้งเพื่ออธิบายเรื่องนี้ สำหรับผมแล้วถือว่าขาดเหตุผลและสวนทางกับหลักการทางมนุษยธรรม ที่ผมพยายามที่จะทำตามอยู่
ภรรยาของผมที่อยู่ด้วยกันมา ๑๕ ปี ก็มาจากในส่วนของสังคมไทยที่ด้อยโอกาศเช่นกัน แต่เธอมีสามัญสำนึกมากมาย ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการศึกษาเสียอีก ผมเชื่อว่าผมได้เรียนรู้จากเธออย่างมากมายพอๆกับที่เธอได้เรียนรู้จากผม

ทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายทักษิณ หรือแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงต่างๆไม่ต้องการความเห็นใจจากคนอย่างผม เนื่องจากพวกเขามีแหล่งที่จะให้แสดงออกต่อสาธารณะชนได้หลายทาง

มันไม่เกี่ยวกันกับการที่ผมจะชอบหรือไม่ชอบทักษิณ ที่สำคัญก็คือ ผู้ที่สนับสนุนทักษิณมีเหตุผลที่สมควรที่จะเลือกรัฐบาลทักษิณ ถึงแม้ว่าถ้าผมไม่เห็นด้วย ผมก็ยังคงเคารพต่อทางเลือกของพวกเขา
ประเด็นตรงนี้คือ บุคคลที่มีมุมมองอย่างพวกชนชั้นนิยม ไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงประสบการณ์ของชีวิตในไทยของชนชั้นทางสังคมเหล่านี้ ต่อการดิ้นรนของพวกเขาในแต่ละวัน

ผมต้องการจะบอกว่า ผมมีความเห็นใจในคนธรรมดาที่เป็นเสื้อเหลืองเช่นกัน ผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการสร้างประเทศไทยให้ดีขี้นตามแนวทางของพวกเขา เรื่องที่พวกเขาเรียกร้องเป็นความถูกต้องอย่างแท้จริง คนที่มีความคิดอย่างยุติธรรมจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธได้ว่าปัญหาที่พวกเขาอ้างถึงจะขาดเหตุผล

เรื่องที่น่าเศร้าสำหรับประเทศไทยก็คือ มีการเปลี่ยนแปลงทางชนชั้นที่น้อยมากกับสังคมที่ขาดความยืดหยุ่นในโครงสร้าง และแทบจะไม่มีความคิดเห็นที่ลงรอยกันเลย เพื่อที่จะทำให้ปัญหามันง่ายขี้น ระหว่างชาวนาอีสานและคนไทยเชื้อจีนในกรุง หรือระหว่างคนชนบทและคนกรุงที่ยากจนและคนส่วนใหญ่ในห้องประชุมนี้
การขาดการสื่อสารเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการขัดแย้งที่รุนแรง ประเทศไทยเพิ่งจะเป็นประชาธิปไตย และเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสังคมพหุลักษณ์ (pluralistic society) จะต้องใช้เวลามากกว่านี้ก่อนที่รัฐและประชาชนสามารถสร้างเวทีในการต่อสู้ตามวิถีทางที่เป็นระเบียบ ด้วยสันติวิธี และในทางที่ให้เกิดผลดี

ผมมองความขัดแย้งจากประวัติศาสตร์ มันปวดร้าว แต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในความผิดเพื่อจะได้ไม่ทำซ้ำอีก แม้กระทั่งขณะนี้ผมรู้สึกว่า ผมได้รับเกียรติที่จะได้ร่วมเป็นพยานในบันทึกเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งผมได้เรียนรู้มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มเสียอีก

ผมแน่ใจว่า สักวันหนึ่งความขัดแย้งเหล่านี้จะถูกแก้ไขได้ (ไม่ใช่ต้องเจ็บปวดและต้องเสียเลือดเนื้อกันมากกว่านี้นะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมกลัว) และประเทศไทยจะไปในทิศทางที่ดีขี้น และจะก้าวต่อไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและประสบความสำเร็จ
ขอบคุณครับ

แซยิด"แม้ว" ที่วัดแก้วฟ้า



แซยิด"แม้ว"จัดที่"วัดแก้วฟ้า"
ส่งชุดสังฆทานตรงจากดูไบ-ทำพิธีแก้กรรม"หลวงตาบัว-สนธิ"คว่ำบาตรจัดแซยิด"ทักษิณ"ที่วัดแก้วฟ้าเมืองนนท์ "แม้ว"ส่งชุดสังฆทานมาจากดูไบ พร้อมชุดมหาสังฆทาน แผ่นทองคำ 109 แผ่น เตรียมสวดหงายบาตรแก้พิธีกรรม"หลวงตาบัว-สนธิ" เผยโฟนอิน"บิ๊กเซอร์ไพรส์"หลายเวที เพื่อไทยชี้นายใหญ่หมดกรรม 26 ก.ค. บอกธ.ค.เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนปี 2475

ปชป.ไม่หลวมตัวทะเลาะ"แม้ว"
หลังนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ออกมาเปิดเผยว่า ในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 60 หรือแซยิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมี บิ๊กเซอรไพรส์ ในวันที่ 26 กรกฎาคม นั้นปรากฏว่า รัฐมนตรีสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตอบโต้ โดยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ผมไม่ได้สนใจ

ขณะที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องจับตาการจัดงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ในระยะหลัง พ.ต.ท.ทักษิณคงหวั่นไหวมาก กลัวคนลืม เพราะเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวบุรีรัมย์ พ.ต.ท. ทักษิณเป็นนักการตลาดอยู่แล้ว จึงพยายามหาวิธีการตลาดใหม่ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่เราจับได้ตั้งแต่ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจะไม่เสียเวลากับเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะมีปัญหาบ้านเมืองที่จะต้องแก้ไขอีกมาก จึงไม่ควรไปหลงเกมทะเลาะตอบโต้กับ พ.ต.ท.ทักษิณรายวัน
ยึด"วัดแก้วฟ้า"จัดแซยิด"แม้ว"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย เผยแพร่กำหนดการพิธีทำบุญอายุวัฒนมงคล ครบ 60 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดแก้วฟ้า ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ในวันที่ 26 กรกฎาคม โดยถือฤกษ์ยามด้วย 9 โดยเริ่มเวลา 09.00 -11.00 น. จะมีพิธี บำเพ็ญกุศล รับทักษิณานุประทาน มีพระสงฆ์จำนวน 109 รูป สวดแก้บ่วงกรรม ปลดกรรม ตามด้วยสวดบังสุกุลตาย บังสกุลเป็น สวดหงายบาตรแก้เคล็ด และพิธีเสริมดวง เจริญปัญญา และปลดปล่อยชีวิตสัตว์ (โค-กระบือ) ส่งชุดสังฆทาน-ทองคำแผ่นจากดูไบ

นายไพรัช ชัยชาญ ผู้ประสานงานพิธีทำบุญอายุวัฒนมงคล 60 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่งผ้าอาบน้ำฝนซึ่งสวดอนุโมทนา ที่จะนำเข้าร่วมพิธีจากดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มาถึงที่พรรคเพื่อไทยแล้วเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีชุดมหาสังฆทาน และแผ่นทองคำอีก 109 แผ่นด้วย ตนได้นำของทั้งหมดไปไว้ที่วัดเรียบร้อยแล้ว การจัดพิธีครั้งนี้ เป็นการประสานงานร่วมกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมสิทธินายก รองเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นประธานในพิธีและยังเป็นผู้นิมนต์พระสงฆ์ทั้ง 109 รูปให้

"ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์นั้น ยืนยันว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ขึ้นที่วัดแก้วฟ้าอย่างแน่นอน เป็นของที่โลกเห็นแล้วต้องตะลึงว่าเป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำเองกับมือ เพื่อตอบแทนให้กับประชาชนที่มาให้กำลังใจและมาอวยพรวันเกิดให้กับท่าน อย่างไรก็ตาม ในเวลา 20.00 น. ที่ภัตตาคารมังกรหลวง พ.ต.ท.ทักษิณจะเป่าเค้กวันเกิดผ่านระบบวิดีโอลิงก์และพูดคุยกับผู้ที่มาร่วมงานด้วย และหากมีเวลาก็จะโฟนอินไปยังเวทีอื่นๆ ที่จัดงานด้วย" นายไพรัชกล่าว ทำพิธีแก้กรรม"หลวงตาบัว-สนธิ"

นายไพรัชกล่าวว่า การทำบุญครั้งนี้จุดประสงค์ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้กรรมจากเมื่อคราวที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ทำพิธีคว่ำบาตร พ.ต.ท.ทักษิณถึง 3 ครั้ง ในการต่อต้านการแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จึงต้องทำพิธีสวดหงายบาตรแก้เคล็ด ดังนั้น การทำบุญครั้งนี้จะเป็นการถอนวิบากกรรมจากการทำพิธีคว่ำบาตรครั้งนั้นด้วย ธ.ค.ซ้ำรอย2475"จลาจลรากหญ้า"

ด้านนายประชากล่าวว่า กรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณจะหมดในวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งเป็นกรรมเก่าจากชาติปางก่อน โดยมีซินแสมาบอกว่า เดือนธันวาคมนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เหมือนสมัยปี 2475 เกิดจลาจลจากรากหญ้า แต่ไม่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น น่าจะมีการเลือกตั้งใหญ่ก่อนเดือนธันวาคม เพราะทุกอย่างจะประเดประดังเข้าใส่รัฐบาลจนอยู่ไม่ได้ ส่วนบิ๊กเซอร์ไพรส์อยู่ที่เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้า ตนพูดรายละเอียดไม่ได้ สำหรับเหตุผลที่เลือกจัดพิธีที่วัดแก้วฟ้า เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีโบสถ์อายุหลายร้อยปีที่ขึ้นชื่อว่าเมื่อใครไปอธิษฐานขอที่โบสถ์นั้นสมหวังหมด

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณหมดกรรมแล้วจะกลับไทยเลยหรือไม่ นายประชากล่าวว่า เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับไทยครั้งแรกหลังถูกรัฐประหาร ตนเป็นคนหนึ่งที่ร่วมกับคณะเดินทางไปรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะฮ่องกงและบินกลับไทย และครั้งนี้ได้นัดแนะ หมายตาเที่ยวบิน EK 737 (Emirate Airlines) ซึ่งเป็นเครื่องบินแอร์บัส เอ 380-800 ไว้ และตนจะร่วมเดินทางไปรับ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาอีกครั้ง
เตรียมโชว์"บิ๊กเซอร์ไพรส์"2เวที

ด้านนายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งแกนนำเสื้อแดงมาแล้วว่าจะพูดเรื่องบิ๊กเซอร์ไพรส์ในการโฟนอิน วันที่ 26 กรกฎาคม แต่ยังไม่ได้บอกว่าบิ๊กเซอร์ไพรส์ที่ว่านั้นเป็นเรื่องอะไร โดยโฟนอินเพื่อพูดเรื่องบิ๊กเซอร์ไพรส์ ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และ 2.เวทีของวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ที่ลานอเนกประสงค์ วัดอุทัยธาราม หรือวัดบางกะปิ กรุงเทพฯ ส.ค.เริ่มไล่"รบ.มาร์ค"เต็มสูบ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.กล่าวว่า เสร็จสิ้นการชุมนุมใหญ่เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชนถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 31 กรกฎาคม คนเสื้อแดงจะทำกิจกรรมอย่างหนักในเสริมสร้างความเข้มแข็ง ตั้งแต่อบรมแกนนำคนเสื้อแดงในภูมิภาค จัดทำหลักสูตรสัมมนาคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดพร้อมกับเดินสายทำบัตรสมาชิกเสื้อแดง ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม เพื่อให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ และระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างเข้มข้น แบ่ง8โซนรุกสร้างมวลชน

แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดงเปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม คนเสื้อแดงจะเริ่มลงพื้นที่ทำกิจกรรมอย่างหนัก ภายใต้ชื่อโครงการไว้ว่า "โรงเรียน นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน" เพื่อเตรียมความพร้อมด้านมวลชนในต่างจังหวัด นอกจากนี้ นายนิสิตซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลงานมวลชนของคนเสื้อแดงใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาการควบคุมมวลชนในแต่ละพื้นที่ จนทำให้ภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดงเสียหายหลายครั้ง จึงได้จัดระบบการดูแลควบคุมและประสานมวลชนคนเสื้อแดงทั้งประเทศขึ้นมาใหม่ด้วยการแบ่งเป็น 8 เขตความรับผิดชอบให้คณะกรรมการมวลชนสัมพันธ์เสื้อแดง ไปเตรียมความพร้อมด้านมวลชนสำหรับการเคลื่อนไหวใหญ่ หลังเสร็จสิ้นรวบรวมรายชื่อถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับ 8 เขตในความรับผิดชอบของคณะกรรมการมวลชนสัมพันธ์ประกอบด้วย 1.ภาคอีสาน 19 จังหวัด 2.ภาคตะวันตก 7 จังหวัด 3.ภาคตะวันออก 8 จังหวัด 4.ภาคกลาง 10 จังหวัด 5.ภาคเหนือตอนบน 6.ภาคเหนือ ตอนล่าง 7.กทม. และ 8.ภาคใต้ 14 จังหวัด "เมืองคอน"เลือกวัดบ้าน"สมชาย"จัด

ด้านนายโชคดี ประทุมมาศ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการจัดทำบุญครบรอบวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจัดที่ศาลาชินวัตรวัดสวนขัน ต.สวนขัน อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป โดยจะเก็บภาพกิจกรรมทั้งหมดให้ พ.ต.ท.ทักษิณดู ว่าคนภาคใต้ยังรักท่านอยู่ ไม่ใช่มีเฉพาะคนภาคเหนือและอีสานเท่านั้น ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนในพื้นที่ ต.สวนขัน คงไม่มา เพราะต้องร่วมงานบุญที่ จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ จะรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา ซึ่งมั่นใจว่าได้รายชื่อครบหมื่นชื่อแน่นอน

ส่วนที่ จ.พะเยา นายไพโรจน์ ตันบรรจง ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง จัดทำบุญวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดศรีอุโมงค์คำ อ.เมือง จ.พะเยา ใช้ชื่องานว่า ล้านดวงใจ สร้างบุญใหม่ เพื่อไทยร่มเย็นŽ ที่ จ.ปทุมธานีจะจัดงานที่ศาลาอเนกประสงค์วัดแสงสรรค์ ถนนเลียบคลองสอง ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีน 200 โต๊ะ เวลา 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินมาร่วมพูดคุย ขณะที่กาญจนบุรี พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง จะจัดงานฉลองเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) ต.บ้านใต้ อ.เมืองกาญจนบุรี และที่วัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี

พญาไม้ สอนมารยาทการฑูต "กษิต"

โดย พญาไม้
ที่มา เวบไซต์ บางกอกทูเดย์
22 กรกฎาคม 2552

ในมารยาททางการทูตนั้น ..การยื่นคำขาด ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม นอกจากเสียว่า ..ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ปรารถนาจะทำสงครามกับอีกฝ่ายหนึ่งการเดินเทิ่งๆ เข้าไป

เพื่อขอให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง กระทำการในสิ่งที่ประเทศหนึ่งต้องการมารยาททางการทูตนั้นเขาก็ไม่ทำกัน ..เพราะกระทรวงการต่างประเทศ เขามีไว้เพื่อการเจรจา จึงจะต้องมีจังหวะจะโคน และพิธีกรรม และยิ่งเมื่อประเทศอันเป็นเอกราช เขาภาคเสธต่อคำร้องขอ ก็มิได้แปลว่า เขาจะไม่พิจารณาในสิ่งที่เราขอไป ..จึงไม่มีเหตุผลใด ที่จะไปพิพากษาเขาว่า ..

เขาเลือกใคร..น่าเห็นใจนิการากัว ..เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามจะเลือกใคร ระหว่างรัฐบาลไทยกับทักษิณ ชินวัตร ในตำแหน่ง “นักโทษ” ที่รัฐบาลไทยหยิบยื่นให้ทักษิณ ชินวัตร นั้น ..และขอให้เขาส่งกลับในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนนั้นสำหรับประเทศต่างๆ แล้ว ทักษิณ ชินวัตร คือ นายกรัฐมนตรี ที่ถูกปฏิวัติโดยกองทัพ ..

และถึงวันนี้ พรรคการเมืองของเขา ก็คือพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสำหรับประเทศทั้งหลายนั้น ..เขาคือหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านตัวจริงในระบอบประชาธิปไตย ระบอบที่พรรคฝ่ายค้านจะกลับมาเป็นรัฐบาลเมื่อใดก็ได้ ..เมื่อมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หรือเมื่อชนะในการเลือกตั้งใหญ่ประเทศทั้งหลาย จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง สำหรับการรักษาสถานภาพระหว่างเขากับประเทศไทย ..

เพราะรัฐบาลไทยไม่ใช่ประเทศไทย จึงเป็นเรื่องน่าเห็นใจ ที่รัฐบาลทั้งหลาย ..จะอึดอัดใจในทุกครั้ง ที่มีการล่วงเกินเข้าไปในวินิจฉัยของพวกเขา..เมื่อมองไปยังที่มาของ ..รัฐบาลไทย ..ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ..กับปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดรัฐบาลนี้ขึ้นมา..

รัฐบาลเสียงข้างน้อย ..ทางที่เหมาะที่ควร ..รัฐบาลบริหารประเทศไปตามกำลังความสามารถจะดีกว่า..มาไล่ล่าในตัวบุคคลที่ไม่สามารถไล่ล่าได้อย่าเที่ยวไล่ทะเลาะกับคนทั้งโลกที่ไม่สนองตอบอย่าเที่ยวทะเลาะกับคนทั้งโลกที่ให้ที่พักพิงกับทักษิณ ..เพราะเขาคือหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านโลกจะไม่ปฏิเสธหรือเป็นศัตรูกับ ..หัวหน้าพรรคการเมือง ที่มีเสียงเกินครึ่งในรัฐสภา และหัวหน้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย..กิจการต่างประเทศเป็นเรื่องของ “คนชั้นสูง” หรือ “ผู้ดี”ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือยอมรับ ..เขามีภาษาของเขา ..ทุกๆ ประเทศจึงต้องเฟ้นต้องเลือกกันนักหนา ..ไม่ให้กุ๊ย ให้สวะ เข้ามากรายใกล้

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สถานีสีแดง/ซอยสวัสดี


ที่มา สยามรัฐ
สุรนันทน์ เวชชาชีวะ 22/7/2552

มีข่าวว่า นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีคณะทำงานพิเศษเพื่อรวบรวมรายชื่อวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และสถานีเคเบิลทีวี ของผู้ที่สนับสนุนอดีตนายรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มคนเสื้อแดง

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่ามีวิทยุชุมชน 9 แห่ง เว็บไซต์ 17 แห่ง และสถานีโทรทัศน์เคเบิล 1 แห่ง ทั้งยังได้มีการประสานกับตำรวจและกระทรวงไอซีทีเพื่อดำเนินการจับกุมแล้วด้วย

โดยเนื้อหานั้นมีการกล่าวหาว่าเป็นการ “ปลุกระดมและยุยงให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาลและสถาบัน โดยแต่งเพลงโจมตีรัฐบาลและระบอบอำมาตย์” ทั้งยังมีการถ่ายทอดภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ “ตลอดวันตลอดคืน” ทางสถานีโทรทัศน์เคเบิลด้วย

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลต้องดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น โดยให้หน่วยงานที่ติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ และเรียกร้องว่า “คนที่อยากจะแสดงออกต้องมีขอบเขต ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็ติดหล่มอยู่ตลอดเวลา หากเป็นการแสดงออกเฉยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเชิญชวนให้คนทำผิดกฎหมายนั้นไม่ได้ รวมทั้งปัจจุบันสื่อมีหลากหลาย บางทีคนก็เลือกที่จะรับข้อมูลด้านเดียว ซึ่งก็เป็นปัญหา”

เรื่องนี้รัฐบาลควรที่จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังเป็นคนไทย ผู้นั้นย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และอาจเลือกช่องทางที่จะแสดงออกได้อย่างเสรี ไม่ควรมีผู้ไปปิดกั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นอำนาจรัฐที่ใช้อย่าง “เหมารวม” ไปยังทุกคนที่ “ต่อต้าน” รัฐบาล

เพราะ นายกฯอภิสิทธิ์ เองมิได้แจ้งเสียด้วยว่าอะไรคือ “ขอบเขต” ของการแสดงออก การเรียกร้อง การประท้วงนั้นย่อมทำได้ หรือแม้แต่การที่จะ “โน้มน้าว” ให้ผู้ชมผู้ฟัง “คล้อยตาม” ก็คงไม่ผิดอะไร ทั้งที่ผู้ไม่เห็นด้วยอาจตีความว่าเป็นการ “ปลุกระดม”

ซึ่งก็เป็นยุทธวิธีที่มีทั่วโลก ใครได้ดูโทรทัศน์เคเบิล ฟังวิทยุชุมชน หรืออ่านเว็บไซต์ ที่มีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ย่อมจะเห็นว่ามีจุดยืนและการแสดงออกทางความคิดที่ชัดเจน และหลายครั้งอาจเรียกได้ว่า “ปลุกระดม” ด้วยคำพูดที่ “รุนแรง”

แต่หากเชื่อในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว ก็ควรที่จะทำใจให้ “เปิดกว้าง” และไม่ควรที่จะกล่าวหาว่ามีใครที่เลือกรับ “ข้อมูลเพียงด้านเดียว” นั้น “เป็นปัญหา” เพราะทีวีมีรีโมต์ วิทยุมีแป้นหมุนหรือปุ่มกด และเว็บไซต์มีนับแสนที่จะท่องไปในโลกกว้าง

ประชาชนไม่ได้ “กินหญ้า” เขาเลือกชมเลือกอ่าน เลือกฟังเลือกดูได้!!
และในทางการเมืองนั้น หากปิดกั้นฝ่ายหนึ่ง แต่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามออกอากาศได้อย่างเสรีในท่วงทำนองเดียวกัน รัฐบาลจะโดนข้อกล่าวหาว่า “สองมาตรฐาน” และเป็นการใช้อำนาจรัฐในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ
เพราะ “สีแดง” เขาก็จ้องจับผิด “สีเหลือง” เช่น ASTV อยู่เหมือนกัน!!

อย่างไรก็ตาม ใครจะมีความเห็นเช่นไร ย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และต้องมีความรับผิดชอบในคำพูดและการแสดงออกของตนเองและพรรคพวก การใช้สิทธิเสรีภาพย่อมกระทำได้แต่จะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ทั้งยังมีกรอบศีลธรรมและจริยธรรมจรรยาอันดีงามของสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน
การรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์จึงต้องเป็นงานที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดของทุกรัฐบาล และผู้ที่กระทำผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ก็ต้องระวังไม่ใช้เรื่องดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ทั้งยังต้องปกป้องสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งสามารถฟ้องร้อง “หมิ่นประมาท” ได้ โดยรัฐบาลจะต้องยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม สร้างความเชื่อมั่นในความโปร่งใส และไม่ให้มีการแทรกแซงโดยอำนาจอันมิชอบ
การใช้อำนาจโดยกล่าวหาแบบ “ยกเข่ง” ใครเกี่ยวข้องเป็นผิด ใครคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาลต้องเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ถึงขนาดต้องมีบัญชีรายชื่อไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ทำไปยิ่งจะเป็นการ “ปลุกเร้า” และทำให้มีการเรียกร้องหาความ “ยุติธรรม” มากยิ่งขึ้น หาใช่ความ “สมานฉันท์” ที่ต้องการ

อันเป็นการสร้างแนวร่วมที่เป็น “ศัตรู” มากกว่า “มิตร” และนำมาซึ่งความแตกแยกล่มสลายในที่สุด!!

กษิตแจงสื่อนอก ประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์



วันพุธ 22 กรกฎาคม 2009
Wed, 2009-07-22
ที่มา – ประชาไท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ภายหลังจากที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แถลงข่าวผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่โรงแรมลากูนา บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ตแล้ว ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถาม

ทั้งนี้มีผู้สื่อข่าวจากประเทศอินโดนีเซีย ได้ถามว่าการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพูดว่า ไทยพร้อมที่จะให้คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เข้ามาสอบสวนในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่ให้มีการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้ง 2 อย่างจะไปด้วยกันอย่างไร

นายกษิต ตอบว่า ตนไม่ได้อยู่ตอนที่ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ แต่ตนคิดว่าเราอยู่ในสังคมเปิดเราไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีกลไกสิทธิมนุษยชนนี้ เราก็ยังเป็นสังคมเปิดสังคมที่มีกฎเกณฑ์และไม่มีการแทรกแซงกระบวนการทางกฎหมาย อย่างที่ตนพูดมาตลอดเมื่อวันที่ 31ธันวาคมปีที่แล้ว นายกฯ ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อรัฐสภา ซึ่ง 7 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเราให้ความเคารพกฎหมาย และการบริหารจะต้องโปร่งใส และถ้าหากใครทำอะไรผิดก็จะต้องสอบสวน ไม่มีการละเว้น

“ในรัฐธรรมนูญของไทย องค์พระมหากษัตริย์ อยู่เหนือการเมือง ดังนั้นอย่าสับสน เพราะมีบางคน บางกลุ่มมีความต้องการดึงสถาบันลงมาสู่การเมือง ขออย่าสับสน

“ประเด็นที่สองคือสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีใครคุ้มครองในเวลาที่ถูกโจมตี เราต้องมีกฎหมายเพื่อที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ คือกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะท่านไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถที่จะไปฟ้องร้องดำเนินคดีใครต่อศาลได้ เหมือนอย่างกรณีที่มีกฎหมายคุ้มครองผู้พิพากษา เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะไปฟ้องศาลได้ ในกรณีประเทศไทยก็คล้ายๆ กับหลายประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือประเทศที่จำเป็นต้องคุ้มครองสิทธิของผู้พิพากษาที่จะรักษาบทบาทธำรงบทบาทรักษาความเป็นธรรม ให้ปราศจากภัยคุกคาม ขอให้เข้าใจ ต้องแยกแยะให้ได้ว่าในการเมืองไทยมีผู้ที่ต้องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาในการเมือง ซึ่ง ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง” นายกษิตกล่าว

จับเงาตัวเอง..เหลวทั้ง ครม.




เวลาและวารี ไม่ยินดีจะรอใคร!!!ฉะนั้น คนที่ทำงานเป็นย่อมจะรู้ดีว่า หากจะให้เห็นผลงานทันอกทันใจ จะต้องลงมือทำให้ทันกับเวลาที่เดินไปข้างหน้าตลอดเวลาหากอาศัยเพียงลมปาก ซื้อเวลาปล่อยผ่านไปวันๆ

ผลงานที่ได้ก็เพียงแค่น้ำลายที่ฟุ้งกระจายและหล่นร่วงลงสู่พื้นดินเท่านั้นย่อมยากจะจับต้องได้ หรือยากที่จะเป็นรูปธรรมให้ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจทำงานเป็นหรือไม่เป็น ต่างกันตรงนี้แหละโดยเฉพาะในการเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สื่อมวลชนต่างๆต้องการเห็นผลงานและตรวจสอบการทำงานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพประชาชนทั้งประเทศก็แหงนคอรอคอยผลงานที่จะช่วยให้ลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยกันทั้งนั้นดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อผ่านระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลมาได้ 6 เดือน หรือ 180 วันแล้ว จะมีคำถามพุ่งเข้าใส่รัฐบาลที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีว่าผลงานอยู่หนใดผลงานมีอะไรบ้าง???

เพราะในความเป็นจริง ดูเหมือนแม้แต่ผู้ที่เชียร์หรือสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ยังยอมรับว่ายังหาผลงานที่เป็นจุดเด่นจริงๆ จังๆ ของรัฐบาลชุดนี้ได้ลำบากแต่หากมองหาร่องรอยความขัดแย้งในการทำงานร่องรอยของปัญหาและความล้มเหลวในการทำงานสารพัดโครงการแล้ว…น่าจะหาได้ง่ายกว่าทั้งๆ ที่หากยังจำกันได้ในช่วงการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์เคยออกนโยบาย แผนปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง เอาไว้อย่างสวยหรูแต่ทำไมเมื่อได้โอกาสพลิกขึ้นมาเป็นรัฐบาลเข้าจริงๆ จนผ่านไปกว่า 180 วันแล้ว ผลงานกลับไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนังแต่อย่างใดซึ่งในแผนปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง ที่ นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะทำงานขับเคลื่อนวาระประชาชนของพรรค ได้ประกาศไว้นั้นมีทั้งเรื่องลดค่าครองชีพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนโยบายเรียนฟรีที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันไว้ด้วยว่า พร้อมจะรับผิดชอบกับสิ่งที่พรรคได้ประกาศออกไป หากว่าไม่สามารถทำได้จริงแล้ววันนี้ เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มในมือ

แม่ทัพนายกองขุนทหารที่คุมกำลังในยุคปัจจุบัน ก็หนุนอย่างพร้อมพรั่งกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ทำตัวเรียบร้อย ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานของรัฐบาลเลยแม้แต่นิดเดียวกลุ่มสังคมชั้นสูง กลุ่มธุรกิจ กลุ่มผู้กุมอำนาจ ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมให้กำลังใจและให้แรงเชียร์กันอย่างชัดเจนแล้วไฉนผลงานของรัฐบาลเทพประทานจึงหาได้ยากยิ่งด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ว่า 6 เดือนแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนได้จริงทั้งยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้

แม้แต่การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009เพราะถึงขณะนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ จนทำให้ลุกลามไปทั่วประเทศสุดท้ายต้องเปลี่ยนโหมดจากการป้องกันการแพร่กระจายมาเป็นโหมดของการรักษาเยียวยา และรอคอยความหวังที่ฝากไว้กับวัคซีนซึ่งกว่าจะมาก็อีก 5 เดือน ประมาณเดือนธันวาคมหรือมกราคม 2553 โน่นแหละซึ่งไม่รู้ว่าระหว่างทางที่รอคอย ประชาชนคนไทยจะต้องตายกันอีกเท่าไร

เพราะเวลานี้ได้ใช้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยการเปลี่ยนการสรุปรายงานจาก Daily Report มาเป็น Weekly Reportไปแล้วฉะนั้น ตัวเลขต่างๆ จึงถูกประวิงให้ล่าช้าไปหมดแม้แต่ข้าราชการระดับ 8–9–10 ในกระทรวงยังบ่นอุบว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีไม่ใช้งาน เลือกใช้แต่คนรอบข้างที่ทำงานไม่เป็น หรือทำงานให้เสียหายมาแล้วก็ยังทู่ซี้ใช้งานกันอยู่มาที่เรื่องของ ปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งรัฐบาลแทนที่จะสร้างผลงานให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข เพราะสู้อุตส่าห์ทุ่มทุนแจกเงินช่วยค่าครองชีพเป็นเช็คช่วยชาติคนละ 2,000 บาทให้กับ 8 ล้านกว่าคนแต่เงินเช็คช่วยชาติช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับการที่กระทรวงการคลังได้มีการไปขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพราะเติมน้ำมันราคาแพงหูตูบแค่ 2-3 ครั้ง ก็หมดเกลี้ยงแล้ว2,000 บาท

จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เป็นการทำที่ไม่เหมาะสมแทนที่จะขึ้นภาษีเหล้าขาวกลับขึ้นภาษีน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนในการขนส่ง ต้นทุนสินค้าทุกชนิด จนทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นแต่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่าง นายกรณ์ จาติกวณิชรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหรือแม้แต่นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ก็อ้างแต่ว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดจากระดับ 120 เหรียญต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว

แต่ราคาน้ำมันในประเทศไทยก็ยังสูงอยู่ในระดับเดิมๆและแม้ว่าจะมีกระแสข่าวออกมาว่า เพื่อลดแรงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน อาจจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงมา แต่ก็มีข่าวออกมาในทันทีว่า หากลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันก็จะเพิ่มการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแทนในทันทีซึ่งสุดท้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ยังไม่กล้าที่จะพิจารณาเรื่องนี้แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ราคาน้ำมันที่ยังสูงอยู่ ได้กดดันให้ค่าครองชีพไม่ได้ลดลงอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศไว้ยิ่งเรื่องของ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนเห็นชัดเจนว่าปัญหายุติหรือว่าปัญหารุนแรงขึ้นกันแน่

เพราะการลอบทำร้ายลอบฆ่าผู้บริสุทธิ์ ยังคงเกิดเป็นรายวันไม่ยอมหยุด ซ้ำบางช่วงยังปะทุมากขึ้นด้วยแต่แทนที่นายอภิสิทธิ์จะเลือกลงไปดูแล สร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนและข้าราชการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับเลือกที่จะไปลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วขนกองกำลังอารักขาไปเต็มเพียบ ทั้งกำลังทหาร ทั้งเฮลิคอปเตอร์หรือแม้แต่เสื้อเกราะทั้งๆ ที่บุรีรัมย์ไม่ได้เป็นดินแดนมิคสัญญี หรืออันตรายมีเหตุรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้เสียเมื่อไหร่ภาพที่ออกมาในสายตาประชาชนจึงติดลบไปเต็มๆ

แถมผลงานที่ได้ก็คือ ไปรับงาช้างคู่งามมาจาก นายโสภณซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งปกติงาช้างคู่งามๆขนาดนั้น มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000–300,000 บาทอย่างแน่นอนเลยกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกว่า รับของที่มีมูลค่ามากกว่า 3,000 บาทได้อย่างไร!!!ในขณะที่นายโสภณเองก็โดนตั้งคำถามว่า งาช้างคู่งามและมีราคาขนาดนี้ ตอนลงบัญชีแจ้งทรัพย์สินไม่เห็นแจ้งเอาไว้เลยว่างาช้างนี้ท่านได้แต่ใดมาที่สำคัญ แม้แต่แผนงานในเรื่องของ นโยบายเรียนฟรีซึ่งควรเป็นมาตรการที่ทำได้จริงมากที่สุด กลับกลายเป็นว่าในช่วงเปิดเทอมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มาตรการเรียนฟรีถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาผู้ปกครองทั่วประเทศอย่างหนักเพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ปกครองคนใด พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรียนฟรีเลยจริงๆมีแต่จ่ายน้อยหรือว่าจ่ายมากซึ่งส่วนใหญ่และโดยเฉพาะกรณีที่บุตรหลานเรียนอยู่โรงเรียนเอกชน เกือบ 100% ยังจ่ายหนักในระดับเรือนหมื่นบาทต่อภาคการศึกษาอยู่เช่นเดิมแต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในช่วงของการถามหาผลงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น

ปรากฏว่ามีกรณีของการขัดแย้งในรัฐบาลออกมาเป็นระยะ เช่น กรณี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีความขัดแย้งในการทำงาน แย่งผลงานกับ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาโดยตลอด จนทำให้การแก้ไขในเรื่องราคาพืชผลทางด้านการเกษตรไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควรหรือกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่า นายกอร์ปศักดิ์มีการไปบ่นกับคนใกล้ชิด แล้วคนใกล้ชิดก็เอามาเล่าต่อให้นักข่าวสายทำเนียบฟังอีกทีว่านายกอร์ปศักดิ์ไม่แฮปปี้กับการทำงานของ นายกรณ์จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานของนายกรณ์ที่มัวไปให้ความสำคัญกับมาตรการไทยเข้มแข็งซึ่งเป็นมาตรการระยะปานกลางถึงระยะยาว และเอาแต่ลงพื้นที่ต่างจังหวัด แทนที่จะเร่งมาตรการระยะสั้น เร่งการเบิกจ่ายงบ เพื่อให้เศรษฐกิจกระเตื้องเร็วขึ้นกลับไม่ทำ

รวมไปถึงแม้แต่กระทั่งการทำงานของนายอภิสิทธิ์นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เพราะภาพของนายอภิสิทธิ์ในเรื่องการทำงาน สะท้อนว่าที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจังมัวแต่ไปให้ความสำคัญกับงานรับเชิญไปเปิดงานสัมมนาและงานแสดงสินค้า โดยแต่ละวันจะมีงานกล่าวปาฐกถาไม่ต่ำกว่า 1-2 งานและเกิดปัญหางานชนกันมาแล้วคือ มีกำหนดแถลงผลงานรัฐบาล 6 เดือนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แต่นัดชนกับการแถลงผลงานของกระทรวงยุติธรรม ทำให้ที่สุดไม่ไปแถลงผลงานร่วมกับ สศช.พอเรื่องนี้ปูดออกมาเท่านั้น นายกอร์ปศักดิ์ก็ดิ้นพล่านรีบแก้ข่าวเลยว่า ไม่จริง ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ยังทำงานร่วมกับทั้งนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ได้เป็นอย่างดีแต่แน่นอนว่าเรื่องนี้แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งคอเป็นเอ็นแต่ลึกๆ แล้วก็ยังเป็นร่องรอยที่เห็นชัดเจนถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้นอกเหนือจากผลงานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวินซึ่งจนวันนี้ โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องจำเป็นของคนกรุงเทพฯแต่พอถูกเอาไปโมดิฟายด์เป็นโครงการโคตรรถเมล์ฝังเพชรเท่านั้น

โครงการนี้ก็เลยไม่เกิดถึงเวลาหรือยัง ที่นายอภิสิทธิ์จะต้องหันมาทบทวนบทบาทของตนเอง ทบทวนความสามารถในการทำงานของตนเองและบรรดารัฐมนตรีร่วมคณะทั้งหลายว่าหากมีผลงานแค่ไรฝุ่นแบบนี้ ประชาชนมองไม่เห็นจริง!!!หากยังไม่ยอมตาสว่าง...เวลาที่พยายามซื้ออาจจะหดสั้นลงก็เป็นได้เพราะทุกวันนี้นายกฯ อภิสิทธิ์และ ครม. มีสภาพเหมือน“คนไล่จับเงาตัวเอง”?!? ■