การประชุม “องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้” หรือ SCO (Shanghai Cooperation Organisation) ที่จัดขึ้น ณ เมืองท่าเทียนจิน ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน 2025 นับว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการทูตที่โลกจับตามองมากที่สุดในปีนี้ เหตุผลสำคัญมิใช่เพียงเพราะมีการรวมตัวกันของผู้นำโลกกว่า 20 ประเทศ และ 10 ผู้นำองค์กรระหว่างประเทศ  แต่เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังปรับเปลี่ยนจากระบบที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ไปสู่ระเบียบโลกพหุขั้วที่มีประเทศอย่างจีน อินเดีย และรัสเซียเป็นอีกหนึ่งแกนกลาง
 
          จีนในฐานะเจ้าภาพได้ใช้เวทีนี้อย่างเต็มที่เพื่อย้ำบทบาทความเป็นผู้นำโลกที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวเปิดการประชุมโดยย้ำถึงการปฏิเสธแนวคิดสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปยังใช้ในการแบ่งโลกเป็นค่ายตะวันตกกับค่ายตรงข้าม  เขาเน้นย้ำว่าโลกในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นโลกพหุขั้วที่เปิดพื้นที่ให้ทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา มีเสียงที่ดังขึ้นและได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม 
          ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังประกาศมาตรการจับต้องได้ ทั้งการให้เงินช่วยเหลือ 2 พันล้านหยวน และการปล่อยเงินกู้ยืมอีกกว่า 1 หมื่นล้านหยวนแก่ประเทศสมาชิก  รวมทั้งเร่งเดินหน้าจัดตั้งธนาคารพัฒนา SCO และขยายความร่วมมือในด้านพลังงานสะอาด ดิจิทัล และการใช้ระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว(BeiDou)ของจีนให้กับประเทศพันธมิตร  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสถาปนากติกาใหม่ที่จีนเป็นผู้กำหนด บทบาทของจีนจึงมิใช่แค่เจ้าของเวที หากแต่กำลังกลายเป็นสถาปนิกผู้เขียนระเบียบโลกชุดใหม่
          ความน่าเชื่อถือของ SCO ที่มีจีนเป็นแม่งานใหญ่และมีผู้ยินดีร่วมงานจำนวนมาก  คือข้อพิสูจน์ว่าจีนไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวอย่างที่ผู้นำชาติตะวันตกอ้าง   ตรงกันข้ามภาพบนเวที SCO ชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังพัฒนาเลือกใช้เป็นทางเลือกใหม่ ท่ามกลางความผิดหวังต่อกติกาที่มหาอำนาจตะวันตกครอบงำมาอย่างยาวนาน
          อย่างไรก็ตาม ภาพที่สื่อใหญ่ระดับโลกเผยแพร่มิใช่เพียงผู้นำจีน  หากแต่เป็นการปรากฏตัวของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียที่เดินทางมาร่วมประชุม SCO บนแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ7 ปี  โดยเฉพาะภาพของโมดีที่กุมมือวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย พร้อมจูงมือไปทักทายและสนทนากับสี จิ้นผิง  ถือเป็นแขกที่แย่งซีนเจ้าภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ 
          อินเดียซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีนจากเหตุการณ์พิพาทชายแดนในเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่ปี 2020  กลับมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะระหว่างสองผู้นำ  ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีว่าพร้อมจะเปิดทางสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสัมพันธ์กับตะวันตก โมดีจึงกลายเป็นดาวที่เด่นยิ่งขึ้น  เพราะเขาแสดงให้โลกเห็นว่าอินเดียสามารถรักษาความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ และเลือกเล่นเกมสมดุลอำนาจได้อย่างแยบยล
          ในมิติทางการทูต การเคลื่อนไหวของอินเดียถือเป็นกลยุทธ์ “เก็บแต้มสองทาง” กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง อินเดียกำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาพร้อมนโยบายกีดกันการค้าที่แข็งกร้าว  การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียกว่า 50% ได้สร้างความคับข้องใจต่ออินเดีย  ก่อให้เกิดแรงผลักดันให้อินเดียต้องหาพื้นที่หายใจทางเศรษฐกิจจากพันธมิตรอื่น  การแสดงออกในเวที SCO จึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลนิวเดลีมีทางเลือก และไม่ยอมตกเป็นตัวประกันของนโยบายกีดกันของสหรัฐฯอย่างแน่นอน 
          สำหรับรัสเซียก็ใช้เวที SCO ครั้งนี้ในการ “ล้างภาพโดดเดี่ยว” ที่ตะวันตกพยายามสร้างขึ้นหลังการรุกรานยูเครน ภาพของปูตินที่ยืนเคียงข้างสีและโมดีตอกย้ำว่ายังมีเพื่อนอีกมากในโลกที่ไม่พร้อมจะตัดสัมพันธ์กับมอสโก  รัสเซียยังได้ใช้เวที SCO ในการโต้กลับตะวันตก โดยชี้ว่ามาตรการคว่ำบาตรเป็นการบ่อนทำลายความยุติธรรมทางเศรษฐกิจโลก  พร้อมผลักดันแนวคิดปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น IMF และธนาคารโลก ให้สะท้อนเสียงของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น  
          สำหรับ SCO โดยรวม การประชุมเทียนจินคือก้าวย่างสำคัญที่ทำให้องค์กรไม่ถูกมองว่าเป็นเพียง “สโมสรทางความมั่นคง” อีกต่อไป แต่กลายเป็นกลไกความร่วมมือที่จัดสรรทรัพยากรได้จริง การให้เงินช่วยเหลือ การก่อรูปธนาคารพัฒนา การเปิดแพลตฟอร์มด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการให้ใช้ระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว ล้วนทำให้ SCO มีศักยภาพเป็นผู้ให้สินค้าสาธารณะต่อสมาชิกและโลกกำลังพัฒนาได้มากขึ้น  ในเชิงความคิดนี่คือการเสริมความน่าเชื่อถือของ SCO ให้กลายเป็นสถาบันคู่แข่งของระเบียบตะวันตก และในเชิงวาระก็ได้บรรจุหัวข้อใหม่ๆ ที่สะท้อนอนาคต ทั้งเรื่อง AI พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจดิจิทัล
  
  
  โลกภายนอกเองก็ได้ประโยชน์ในเชิงโครงสร้าง เพราะเมื่อ SCO สามารถจัดหาสินค้าสาธารณะอย่างเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน มันย่อมสร้างแรงกดดันให้สถาบันเดิมอย่าง IMF และธนาคารโลกต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น นี่คือการแข่งขันเชิงสถาปัตยกรรมที่แม้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สะท้อนว่าโลกไม่ได้ผูกขาดกับกลุ่มประเทศตะวันตกอีกต่อไป หากแต่มีทางเลือกใหม่ให้กับประเทศที่มองหาช่องทางสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
          ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้สูญเสียเชิงภาพลักษณ์มากที่สุด การที่อินเดียยืนบนเวทีเดียวกับจีนและรัสเซีย พร้อมแสดงความใกล้ชิดในจังหวะที่วอชิงตันกำลังกดดันหนักหน่วง คือสัญญาณชัดเจนว่านโยบายกีดกันและการใช้มาตรการภาษีของทรัมป์มีต้นทุนเชิงยุทธศาสตร์สูงมาก  เพราะทำให้พันธมิตรที่ควรเป็นกำลังหลักของสหรัฐฯ เริ่มมองหาทางเลือกอื่นเพื่อป้องกันตนเอง
          ในสายตาของทรัมป์ การเห็นภาพโมดีจับมือสีและปูตินย่อมไม่ต่างอะไรกับการท้าทายโดยตรง หลักฐานคือการโจมตีทางวาจา การทวีตพาดพิง และการขึ้นภาษีแบบก้าวร้าว ล้วนสะท้อนความโกรธเคืองที่เขาไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลต่ออินเดียได้ดังหวัง
          เมื่อมองในภาพรวม การประชุม SCO ที่เทียนจินจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนโลกยุคใหม่ที่ระเบียบตะวันตกกำลังถูกท้าทายด้วยความเป็นพหุขั้ว  แม้ยังไม่ถึงขั้นพลิกกระดาน แต่ก็เป็น “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่สำคัญ  จีนได้สวมบทสถาปนิกสร้างกติกาใหม่ อินเดียได้ยืนยันสถานะมหาอำนาจอิสระ รัสเซียได้ตอกย้ำว่ามิได้โดดเดี่ยว ส่วน SCO เองก็ได้ยกระดับความน่าเชื่อถือจากสโมสรทางการเมืองกลายเป็นองค์การที่ทรงพลังที่สามารถสร้างสรรค์และเขย่าความรู้สึกของกลุ่มชาติตะวันตกได้
 
ที่มา:บางกอกทูเดย์ 
****************
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น