--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เก็บไข่หลายฟองในตะกร้าหลายใบ ....

โดย อรรถวันท์ เกตุดาว

รัฐบาลประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสานต่อ "วิถีไทย" อันเป็นความสงบสุขร่มเย็นของปวงชนชาวไทยที่สืบทอดกันมายาวนานทุกยุคทุกสมัย และยังคงดำรงต่อไป

อย่างไรก็ดี การมีความหลากหลายในทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาประเทศ ย่อมดีกว่า การมีหนทางเพียงหนทางเดียว เพราะไทยเราถึงแม้จะมีนโยบายดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้ทันกระแสโลก กระนั้นเราก็ยังคงมีวิถีชีวิตแบบไทย ๆ เอาไว้ เพราะนี่คือ "เสน่ห์วิถีไทย" ที่ผู้คนทั่วโลกสืบเสาะแสวงหา เป็นความสงบสุขร่มเย็นแห่งจิตใจ นอกจากนี้แล้วประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ที่ชนทั่วโลกต่างยอมรับ ซึ่งเป็นที่น่ายินดียิ่งกับการยกย่องในระดับโลกเช่นนี้ แต่เราชาวไทยเองก็ต้องเน้นในเชิงประพฤติปฏิบัติด้วย จึงจะเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้

ธรรมะค้ำจุนโลก มีผลให้จิตใจของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชน เห็นความสำคัญ และธรรมะยังเป็นแกนสำคัญในการหล่อหลอมจิตใจให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นกำลังของชาติที่มีคุณภาพ การพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมาย จะเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี อยู่ดีกินดี มีการศึกษา และสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติได้ ความจริงข้อนี้ก็เป็นที่ยอมรับ

การที่รัฐบาลเน้นพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อความเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจก็จริงอยู่ แต่ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาชีวิตจิตใจ และการพัฒนาเชิงเกษตรและอุตสาหกรรมด้วย เสมือนการเก็บไข่หลายฟองไว้ในตะกร้าหลายใบ จะทำให้เราเสี่ยงต่อความล้มเหลวน้อยลง

เพราะหากไข่ในตะกร้าใบไหนต้องสูญเสียหรือถูกทำลายไป ก็ยังมีไข่ในตะกร้าใบอื่น ๆ สำรอง ทำให้ส่งผลกระทบกระเทือนได้น้อยลง ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากเราทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจกันทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง

ศาสนาเป็นรากเหง้าแห่งชีวิต ทำให้ชีวิตเติบโตไปในทิศทางที่ดี กำหนดให้สอดคล้องกับนโยบายของชาติได้โดยไม่ต้องมาแบ่งแยกให้เกิดความแปลกแยกทางความคิด เพราะทุกประเด็นมีผลต่อการเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

กำหนดจิตให้เป็นเอกภาพเดียวกัน คือ ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อำนวยความสะดวกให้เยาวชน โดยมีการสอบเป็นเชิงปฐมภูมิ (Standard Technology Testing) ฯลฯ ประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งด้านการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ทำได้พอสมควร มีกองทุนนวัตกรรม (Fund Innovation Policy) เกิดขึ้น ตรงไหนแจ้งเกิดแล้ว โตได้เร็ว มีความพร้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีคุณูปการมากทางด้านผลิตผลทางการเกษตรและอาหาร ทำให้ประเทศไทยมีความคล่องตัวทางด้านอาหาร มี Feasibility ครบวงจร เติบโตจากพื้นฐานที่ดี มีอินฟราสตรักเจอร์ สามารถเนรมิตโดยใช้ของที่มีอยู่ นำไปแจ้งเกิดแล้วต่อยอด ควรที่จะมีการทดลองใหม่ ๆ แล้วนำไปผ่านการทดสอบที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะมีเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเพื่อมีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในการพัฒนาต่อยอดทางด้านนวัตกรรม

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็มีความเห็นว่า เรามี 40 ผลงานจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีนวัตกรรม แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดอย่างเต็มที่ในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น ให้ไปทำบัญชีภาครัฐมาดูว่า ซื้อของมากี่มากน้อย และเรามีนวัตกรรมไทยอะไรบ้าง หรือนวัตกรรมอะไรบ้างที่สามารถทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนหรือเป็นของเอกชน

ความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรีคือทำอย่างไรจะมีนวัตกรรมไทยเอาไปรองรับการเข้าสู่อาเซียนได้ สามารถนำนวัตกรรมไทยไปขยายผลต่อให้ภาครัฐ ซึ่งจะทำให้นวัตกรรมไทยพุ่งปรี๊ดเลย รายละเอียด ขั้นตอน ระเบียบ กฎหมาย รัฐบาลได้ทำให้สอดคล้องและปลดล็อกให้รัฐและเอกชนทำงานร่วมกันได้แล้ว แต่ละชิ้นงานทั้งวงจรชีวิต ตลอดจนถึงการนำไปใช้

ดังนั้น ณ วันนี้เราบ่นว่าเด็กของเราเรียนโดยท่องจำ แต่หากเราเปิดโรงงานให้เด็กของเราเข้าไปทำงานได้ตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ทำงานทั้งปีในโรงงานเป็นหลัก Mentor นักศึกษาจะรู้สึกว่าเขามีความหมาย

สุดท้ายแล้วเราจะสามารถพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ได้ง่ายขึ้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
--------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สัญญานดี เวิลด์แบงค์ ขยับจีดีพีไทย 2.5%






คนไทยชักมีความหวัง หลังจากรัฐบาลส่งซิกเศรษฐกิจกำลังจะโตมานาน แต่ก็ยังไม่สนิทใจนัก หนนี้แบงก์โลกเคาะเปรี้ยงกับมือ จีดีพีไทยปีนี้มีแววสดใสให้เห็น
 ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ บอกมาว่า ธนาคารโลกได้วิเคราะห์แล้ว เห็นควรปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2559 นี้เพิ่มเป็น 2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโตแค่ 2%

ที่ว่าแบบนี้ก็เพราถะว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของไทยใสปิ๊งๆจริงๆ ดีเกินคาดถึง 3.2% และทั้ง 3 ปัจจัยนี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน แบงก์โลกก็มีคาดกการณ์ประเทศอื่นๆในอาเซียนไปด้วย โดยประเทศที่เติบโตมากสุดคือ พม่า 7.8% รองลงมาคือ เวียดนาม 6.2% อินโดนีเซีย 5.1% มาเลเซีย 4.4%

ดูๆจากตัวเลขนี้ นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทยบอกว่าที่ไทยได้ปรับขึ้นจาก 2% เป็น 2.5% ขึ้นมา 0.5% นี้ ถือว่าอัตราการขยายมากสุด แต่ตัวเลขการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน ซึ่งสะท้อนได้ว่า เศรษฐกิจไทยเป็นแบบค่อยๆฟื้นอย่างช้าๆ ก็เป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยนั่นเอง

โตช้าแบบสโลว์บัทชัวร์หรือไม่..ให้ระวังความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจจะทำให้นโยบายการคลังในครึ่งปีหลัง อาจจะมีประสิทธิภาพลดน้อยถอยลงได้ แล้วก็มีเรื่องเศรษฐกิจจีนที่ยักแย่ยักยันอยู่ เพราะเราผูกกับจีนไว้เยอะ สัดส่วนการค้าขายกับจีนถึง 12% ไปจนถึงเรื่องสินค้าเกษตรที่โตติดลบมานาน สุดท้ายคือภัยธรรมชาติ

ทั้งหมดคือปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง แต่ยังมีเรื่องน่าห่วงอีกหนึ่ง คือสังคมสูงวัย “แก่ก่อนรวย” ที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ พบว่าขณะนี้ประชากรวัยทำงานไทยในปี 2583 หรือ 24 ปีข้างหน้า จะลดลงอีก 11% คือจาก 49 ล้านคน เหลือ 40.5 ล้านคน อันนี้ต้องระวัง ต้องเร่งรับมือและปฏิรูปหลายด้าน ทั้งเรื่องบำนาญ การดูแลสุขภาพ การดูแลในระยะยาว จะทำยังไง เพราะประเทศอื่นๆเจอกันมาเยอะแล้วทั้งสิงคโปร์ ญี่ปุ่น

ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เตือนประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง...!!?


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กระทรวงสาธารณสุข
โดย. ฐานเศรษฐกิจ

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เน้น 6 โรคสำคัญช่วงฤดูหนาว ชี้หนาวที่แล้วมีผู้ป่วยรวมกว่า 5.2 แสนราย

นายแพทย์เจษฎา  โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ในหลายพื้นที่สภาพอากาศเริ่มเย็นลงและบางพื้นที่ยังมีฝนตกอยู่ ซึ่งอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงความชื้นและความหนาวเย็นจะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น กรมควบคุมโรคจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคที่พบบ่อยในฤดูหนาว ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด โรคสุกใส โรคมือ เท้า ปาก และโรคอุจจาระร่วง เฉพาะช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 – กุมภาพันธ์ 2559 มีรายงานผู้ป่วย 6 โรคฤดูหนาวรวม 526,291 ราย เสียชีวิต 141 ราย โดยโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดคือ โรคปอดบวม พบผู้ป่วย 78,628 ราย เสียชีวิต 133 ราย ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่พบผู้ป่วย 43,622 ราย เสียชีวิต 1 ราย โรคอุจจาระร่วงพบผู้ป่วย 374,403 ราย เสียชีวิต 7 ราย โรคสุกใสป่วย 38,343 ราย โรคมือ เท้า ปาก ป่วย 14,166 ราย และโรคหัดพบผู้ป่วย 313 ราย

กลุ่มเสี่ยงที่อาจป่วยได้ง่ายในช่วงนี้คือ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เป็นต้น เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จึงติดเชื้อง่ายและอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่มีความเสี่ยงป่วยง่ายไม่คลุกคลีใกล้ชิดและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด ไอ จาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ขอให้เพิ่มการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ

สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ จะติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจเอาเชื้อที่ฟุ้งกระจายในอากาศ และแพร่กระจายได้กว้างขวางในที่ๆคนอยู่แออัด  หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องพักผ่อนให้มากๆ หยุดเรียน หยุดทำงาน สวมหน้ากากอนามัย หากไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วัน เสี่ยงมีอาการแทรกซ้อนให้รีบไปพบแพทย์ ในกลุ่มเด็กเล็กหากมีอาการไข้สูง หายใจหอบ เด็กเล็กจะซึม ไม่ดูดน้ำ ไม่ดูดนม  หายใจเสียงดัง บางรายหายใจหอบจนชายโครงบุ๋ม

โรคหัด เป็นไข้ออกผื่น ที่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว พบได้ทุกวัย แต่ที่พบบ่อยคือในเด็กเล็ก และสามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด อาการของโรคหัด เริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ และกลัวแสง อาการต่างๆจะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้น การป้องกันโรคหัด ทำได้โดยการแยกผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคหัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกัน

นอกจากนี้ ในช่วงฤดูหนาวมักพบเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง ซึ่งโรคนี้ติดต่อโดยการดื่มน้ำและกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน อาการจะเริ่มด้วยไข้หวัดก่อนแล้วมีอาการถ่ายเหลว โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงแต่อาจทำให้การเจริญเติบโตของเด็กหยุดชะงักไประยะหนึ่ง ด้านโรคมือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก การติดต่อเกิดจากการได้รับเชื้อที่ปนเปื้อนในจากอุจจาระ หรือฝอยละออง น้ำมูกน้ำลาย น้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วยเข้าสู่ปาก

การป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆในฤดูหนาว สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ดื่มน้ำสะอาด กินอาหารปรุงสุกใหม่ไม่มีแมลงวันตอม ใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อกินอาหารร่วมกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงกินอาหารที่มีประโยชน์และเพิ่มผัก ผลไม้สดจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ และต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ไม่หักโหมทำงานหามรุ่งหามค่ำเนื่องจากจะทำให้เกิดความอ่อนเพลีย ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด นอกจากนี้ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆหรือสวมเสื้อหลายๆชั้น เพื่อรักษาร่างกายให้อบอุ่น ที่สำคัญหากป่วยแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพบแพทย์ หากประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

ที่มา.นสพ. ฐานเศรษฐกิจ
*******************************************************

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มหาเศรษฐีจีน เตือน..ฟองสบู่ครั้งประวัติศาสตร์...!!?


จากที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะชะลอตัว พร้อม ๆ กับแผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งล่าสุดธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ราว 6.7% และลดลงมาที่ 6.5% ในปีหน้า และ 6.3% ในปี 2560

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "หวัง เจี้ยนหลิง" มหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของจีน ประธานกลุ่ม "ต้าเหลียนหวันต๋า" ที่ร่ำรวยมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ช่วงหลังได้ขยายการลงทุนไปที่สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับ "ซีเอ็นเอ็น" ว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนในเวลานี้เรียกว่าเป็น "ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน" และเกินจะควบคุม โดยสถานการณ์ฟองสบู่หนักขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากปีที่แล้วเกิดวิกฤต "ฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนแตก" ทำให้บรรดานักลงทุนรายย่อยเสียหายไปจำนวนมาก และปัจจุบันวิกฤตเศรษฐกิจก็เริ่มหันมาเกิดกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

นายหวังกล่าวว่า "ปัญหาใหญ่ที่สุดของธุรกิจภาคอสังหาฯ คือราคาบ้าน ที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเขตเมืองใหญ่เช่น เซี่ยงไฮ้ แต่ในเมืองเล็กราคากลับร่วงลงเนื่องจากมีบ้านใหม่ขายไม่ออกจำนวนมาก แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการทุกอย่าง ทั้งจำกัดการซื้ออสังหาฯ และการปล่อยสินเชื่อ เพื่อชะลอความร้อนแรงแต่ก็ไม่สัมฤทธิผล และยังไม่เห็นทางออกที่ดีสำหรับปัญหานี้"

ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ธนาคารจีนมีการปล่อยสินเชื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 24 ล้านล้านหยวน แย่ไปกว่านั้นในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศจีนสูงถึง 247%

นี่เป็นปัญหาใหญ่มาของจีนเวลานี้ในเวลาที่เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวและมีหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สำนักสถิติแห่งชาติจีนเผยว่าราคาบ้านใน 70 เมืองหลัก ๆ ของจีน ในเดือนสิงหาคมพุ่งขึ้นถึง 9.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่าราคาบ้านชั้นใน ของเมืองเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเพิ่มขึ้น 31.2% และ 23.5% ตามลำดับ ขณะที่ราคาบ้านเขตนอกเมืองเซียะเหมินและเหอเฟยได้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากจากราคาที่เพิ่มขึ้นถึง 43.8% และ 40.3% ตามลำดับ หรือในบางเมืองขึ้นสูงถึง 50%

โดยก่อนหน้านี้มหาเศรษฐีรายนี้ออกมาเตือนถึงปัญหาฟองสบู่อสังหาฯ มาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่กลุ่ม "ต้าเหลียนหวันต๋า" ซึ่งทำธุรกิจอสังหาฯ ประเภทห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานทั่วประเทศจีน ที่ผ่านมาก็ได้ค่อย ๆ ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯแล้ว

ปัญหาคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ถ้าเรายกเลิกมาตรการต่าง ๆ เร็วเกินไป ก็อาจทำให้เศรษฐกิจบอบช้ำต่อไป ดังนั้นเราต้องรอจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาปกติ หมายความเราจะต้องค่อย ๆ ลดหนี้และลดมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ"

อย่างไรก็ตาม นายหวังปิดท้ายว่า แม้สถานการณ์จะมีทิศทางดิ่งลง แต่ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจีนจะเกิดปัญหา "ฮาร์ดแลนดิ้ง"

สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ "ไอเอ็มเอฟ" ให้ความเห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนจะช้าลงเรื่อย ๆ แต่จะยังคงสูงเมื่อเทียบกับบรรทัดฐานเศรษฐกิจทั่วโลก การขยายตัวของจีดีพีถูกคาดการณ์ไว้ที่ 6.6% ปีนี้ และ 6.2% ในปี 2560

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////