--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ส่งออก.. ลดฮวบทั่วเอเชีย แห่ปรับโมเดล เศรษฐกิจ พึ่งดีมานด์..ภายใน !!?

ประเทศ ในเอเชียส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และตลาดส่งออกสำคัญก็หนีไม่พ้นจีน พี่ใหญ่ของภูมิภาค การชะลอตัวของเศรษฐกิจแดนมังกรจึงส่งผลกระทบอย่างหนัก แม้หลายประเทศจะพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้วยการหันไปพึ่งดีมานด์ภายในประเทศ แต่กลับไม่ประสบผลมากนัก

วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า ยอดส่งออกไม่รวมสินค้าน้ำมันในเดือนมกราคมที่ผ่านมาของสิงคโปร์ลดลงอย่าง เหนือความคาดหมายถึง 9.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงเกือบเท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลกเมื่อ 8 ปีก่อน และร่วงมากกว่าเดือนธันวาคมปีกลายที่ติดลบ 7.2%

และถ้าเจาะเฉพาะตัว เลขการส่งออกไปยังจีน คู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของสิงคโปร์จะพบว่ายอดส่งออกร่วงหนักถึง 25.2% สะท้อนถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลงในจีน ที่ปี 2558 มีอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 25 ปี

สถานการณ์ในสิงคโปร์ไม่ต่างจาก หลายประเทศในเอเชียที่เน้นใช้ "การผลิตเพื่อส่งออก" อาทิ เกาหลีใต้ที่ยอดการส่งออกเดือนที่แล้วติดลบ 18.8% เป็นการลดลงมากที่สุดนับจากสิงหาคม 2552 เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่ตัวเลขการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศใน เดือนดังกล่าวหดตัว 20.7% แม้แต่อินเดียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับหนึ่งของ โลก การส่งออกเดือนมกราคมก็ลดลง 13.6% เป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน

ไม่น่าประหลาดใจที่ตัวเลขการส่งออกของหลายประเทศข้างต้น ทรุดหนัก เมื่อหันกลับมาดูการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนแรกของปี 2559 ที่ลดลง 11.2% และ 18.8% ตามลำดับ เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางจากทั่วโลกเพื่อนำมา ผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย แล้วส่งออกอีกต่อหนึ่ง หากจีนส่งออกได้น้อยลงก็ย่อมนำเข้าลดลงตามไปด้วย

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจจีนแล้ว อีกปัจจัยที่ฉุดการส่งออกในเอเชียคือ กระแสการค้าโลกที่ซบเซาลง ปรากฏการณ์ ดังกล่าวเริ่มต้นจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ชะลอตัว ลุกลามไปสู่สินค้าประเภทอื่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศที่แผ่วลงกดดันให้ผู้บริโภคและภาค ธุรกิจระมัดระวังการใช้จ่าย แม้แต่ในประเทศที่ไม่ได้อาศัยรายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์มากนักอย่างอินเดียก็ เริ่มเห็นสัญญาณการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ลดลง

ยิ่งไปกว่านั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปถูกขับเคลื่อนด้วยภาคบริการภายในประเทศ เหล่านั้น ไม่ใช่การนำเข้าสินค้าจากฝั่งเอเชีย ประเทศตลาดเกิดใหม่ จึงไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวในประเทศตะวันตกมากนัก ในทางตรงข้าม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐกลับผลักดันให้เงินทุนไหล ออกจากประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

หลายประเทศในเอเชียพยายามลดการพึ่งพา การส่งออกและหันไปให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เช่น อินโดนีเซียและไทยที่ผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐโดยเฉพาะในโครงการ "เมกะโปรเจ็กต์" เพื่อกระตุ้นการเติบโต หรือกรณีของเกาหลีใต้ที่ภาครัฐอัดฉีดมาตรการกระตุ้นแบบเข้มข้นเพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส

แต่ปรับ เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาดีมานด์ภายนอกมาสู่ดีมานด์ภายในต้อง อาศัยเวลาและเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างที่จีนกำลังประสบในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคเชิงโครงสร้าง อาทิ สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนที่สูง กฎหมายที่ปกป้องและให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ยากจะเกิดการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการบริโภคภายใน บางประเทศอาจไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ได้สำเร็จและต้องล้มแผนกลางคัน

การหันมาพึ่งพาดีมานด์ภายในของหลายประเทศในเอเชียทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตและการใช้จ่าย เครดิต สวิสมองว่า ประเทศที่อยู่ในข่าย ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย อินโดนีเซีย อินเดีย และจีน

ส่วนสิงคโปร์ยังไม่มีแผนจะลดการพึ่งการส่งออก แต่ใช้วิธียกระดับสินค้าส่งออกไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้น  ปรับเปลี่ยนจากโมเดล "Re-export" ที่ใช้มาอย่างยาวนาน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พาณิชย์..ขอ งบ 1.5 พันล้านบาท ดันวิสาหกิจชุมชน....!!?

กระทรวงพาณิชย์ เตรียมของบประมาณจากรัฐบาลวงเงินรวม 1,500 ล้านบาท ดันวิสาหกิจชุมชนสู่อี-คอมเมิร์ซและต่อยอดเอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การกระทรวงพาณิชย์จะขอใช้งบกลางวงเงิน 1,500 ล้านบาทต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้าในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจากภายในประเทศผ่านโครงการประชารัฐ 2 ระดับ ได้แก่ 1. Local Economy โดยจะผลักดันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ และขยายตลาดไปสู่อี-คอมเมิร์ซใช้งบประมาณส่วนนี้ 620 ล้านบาท ในการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวและมันสำปะหลัง รวมทั้งผลักดันการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ตลอดจนนำร่อง 10 หมู่บ้านทำมาค้าขาย, เปิด 5 ตลาดกลางครบวงจร และ 3 ศูนย์กระจายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนในการสร้างอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ตั้งเป้าให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และมูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ภายใน 1 ปี

ส่วนโครงการที่ 2 ได้แก่ Global Economy เป็นการผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสู่ตลาดโลก โดยจะทำการตลาดเชิงลึกแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ ประสานความร่วมมือกับองค์กรเจโทรแห่งญี่ปุ่นและร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทยในการสร้างองค์ความรู้เฉพาะประเทศนั้น ๆ ลักษณะ 1 มหาวิทยาลัย 1 ประเทศในกลุ่ม CLMV นอกจากนี้ ยังจะทำแบรนด์ดิ้งสินค้าไทย ตลอดจนเพิ่มนวัตกรรมเข้าไปในตัวสินค้าและมุ่งเน้นส่งเสริมธุรกิจในภาคบริการมากขึ้น กำหนดเป้าหมายให้มีการขยายมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ภายใน 1 ปี รวมทั้งเพิ่มจำนวนเอสเอ็มอีเข้าสู่ตลาดอี-คอมเมิร์ซ 100,000 ราย ภายใน 3 ปี และ 200,000 รายภายใน 5 ปี ใช้งบประมาณส่วนนี้ 860 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

บริษัทยักษ์ใหญ่มีสะเทือน ครม.ไฟเขียวปรับปรุงพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า แก้ธุรกิจผูกขาด...!!?

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ....เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าให้มีความเป็นอิสระ และปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรมและเสมอภาค  โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีผ่านความเห็นชอบจากครม. จำนวน 7 คน คุณสมบัติอายุ 45-60 ปี วาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี ติดต่อไม่เกิน 2 วาระ โดยตั้งขึ้นเป็นสำนักงานในหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีความอิสระ ซึ่งงบประมาณสำหรับการจัดตั้งในปีแรกรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุน สำหรับปีต่อไปให้ใช้เงินงบประมาณจากค่าจดทะเบียนทางการค้า โดยหักมา 10 % เป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า โดยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกประเภทตั้งอยู่ภายใต้การบังคับตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ยกเว้นมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือจัดให้มีสาธารณูปโภค

นอกจากนี้ยังปรับปรุงนิยามของคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้ครอบคลุมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดทางธุรกิจ และเพิ่มนิยามคำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” และ ปรับปรุงนิยามคำว่า ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด โดยให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเป็นผู้มีอำนาจในการออกประกาศ หลักเกณฑการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด รวมทั้งเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า ปัจจัยสภาพการแข่งขันของตลาด

“การควบรวมกิจการทั้งหลายของบริษัทต่อไปนี้ จะต้องขออนุญาต เช่น ห้างสรรพสินค้า A ขายสินค้าชนิดหนึ่ง ห้างสรรพสินค้า B ก็ขายสินค้าชนิดเดียวกัน วันหนึ่งห้างสรรพสินค้า A B C มารวมกัน อย่างนี้เรียกว่าเริ่มจะมีการผูกขาดทางการตลาดแล้ว โดยจะมีการทบทวนกับผู้ประกอบการธุรกิจทุก ๆ 5 ปี ตามพ.ร.บ.ทบทวนกฎหมาย ว่าลีลา ท่าทางแบบไหนที่เป็นการบ่งชี้ว่ามีอำนาจเหนือตลาดหรือผูกขาด เพราะปัจจุบันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าธุรกิจมีชั้นเชิงที่จะสร้างการผูกขาดหลากหลายรูปแบบ”

ทั้งนี้มีข้อคิดเห็นจากสำนักอัยการสูงสุดว่าการให้อำนาจคณะกรรมการ ฯสามารถยกเลิกโทษจำคุกในการควบรวมธุรกิจเพื่อดำเนินการให้เกิดการผูกขาด อาจจะทำให้ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม จึงให้กฤษฎีกาพิจาณาทบทวนอีกครั้งและขอความคิดเห็นจาอภาคเอกชนด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////