THAIAMM-NEWS
ข่าวสารเพื่อความรู้
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568
จะกลายเป็นสนามกลยุทธ์เกมภาษีนำเข้าและโลกในแนวทางฉบับสมบูรณ์
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568
Digital Nomad ครองเชียงใหม่ ความท้าทายในการพัฒนาเมือง...???
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568
SCO ซัมมิต(Shanghai Cooperation Organisation)...
ความน่าเชื่อถือของ SCO ที่มีจีนเป็นแม่งานใหญ่และมีผู้ยินดีร่วมงานจำนวนมาก คือข้อพิสูจน์ว่าจีนไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวอย่างที่ผู้นำชาติตะวันตกอ้าง ตรงกันข้ามภาพบนเวที SCO ชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังพัฒนาเลือกใช้เป็นทางเลือกใหม่ ท่ามกลางความผิดหวังต่อกติกาที่มหาอำนาจตะวันตกครอบงำมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ภาพที่สื่อใหญ่ระดับโลกเผยแพร่มิใช่เพียงผู้นำจีน หากแต่เป็นการปรากฏตัวของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียที่เดินทางมาร่วมประชุม SCO บนแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ7 ปี โดยเฉพาะภาพของโมดีที่กุมมือวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย พร้อมจูงมือไปทักทายและสนทนากับสี จิ้นผิง ถือเป็นแขกที่แย่งซีนเจ้าภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์
อินเดียซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีนจากเหตุการณ์พิพาทชายแดนในเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่ปี 2020 กลับมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะระหว่างสองผู้นำ ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีว่าพร้อมจะเปิดทางสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสัมพันธ์กับตะวันตก โมดีจึงกลายเป็นดาวที่เด่นยิ่งขึ้น เพราะเขาแสดงให้โลกเห็นว่าอินเดียสามารถรักษาความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ และเลือกเล่นเกมสมดุลอำนาจได้อย่างแยบยล
ในมิติทางการทูต การเคลื่อนไหวของอินเดียถือเป็นกลยุทธ์ “เก็บแต้มสองทาง” กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง อินเดียกำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาพร้อมนโยบายกีดกันการค้าที่แข็งกร้าว การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียกว่า 50% ได้สร้างความคับข้องใจต่ออินเดีย ก่อให้เกิดแรงผลักดันให้อินเดียต้องหาพื้นที่หายใจทางเศรษฐกิจจากพันธมิตรอื่น การแสดงออกในเวที SCO จึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลนิวเดลีมีทางเลือก และไม่ยอมตกเป็นตัวประกันของนโยบายกีดกันของสหรัฐฯอย่างแน่นอน
สำหรับรัสเซียก็ใช้เวที SCO ครั้งนี้ในการ “ล้างภาพโดดเดี่ยว” ที่ตะวันตกพยายามสร้างขึ้นหลังการรุกรานยูเครน ภาพของปูตินที่ยืนเคียงข้างสีและโมดีตอกย้ำว่ายังมีเพื่อนอีกมากในโลกที่ไม่พร้อมจะตัดสัมพันธ์กับมอสโก รัสเซียยังได้ใช้เวที SCO ในการโต้กลับตะวันตก โดยชี้ว่ามาตรการคว่ำบาตรเป็นการบ่อนทำลายความยุติธรรมทางเศรษฐกิจโลก พร้อมผลักดันแนวคิดปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น IMF และธนาคารโลก ให้สะท้อนเสียงของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น
สำหรับ SCO โดยรวม การประชุมเทียนจินคือก้าวย่างสำคัญที่ทำให้องค์กรไม่ถูกมองว่าเป็นเพียง “สโมสรทางความมั่นคง” อีกต่อไป แต่กลายเป็นกลไกความร่วมมือที่จัดสรรทรัพยากรได้จริง การให้เงินช่วยเหลือ การก่อรูปธนาคารพัฒนา การเปิดแพลตฟอร์มด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการให้ใช้ระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว ล้วนทำให้ SCO มีศักยภาพเป็นผู้ให้สินค้าสาธารณะต่อสมาชิกและโลกกำลังพัฒนาได้มากขึ้น ในเชิงความคิดนี่คือการเสริมความน่าเชื่อถือของ SCO ให้กลายเป็นสถาบันคู่แข่งของระเบียบตะวันตก และในเชิงวาระก็ได้บรรจุหัวข้อใหม่ๆ ที่สะท้อนอนาคต ทั้งเรื่อง AI พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจดิจิทัล
โลกภายนอกเองก็ได้ประโยชน์ในเชิงโครงสร้าง เพราะเมื่อ SCO สามารถจัดหาสินค้าสาธารณะอย่างเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน มันย่อมสร้างแรงกดดันให้สถาบันเดิมอย่าง IMF และธนาคารโลกต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น นี่คือการแข่งขันเชิงสถาปัตยกรรมที่แม้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สะท้อนว่าโลกไม่ได้ผูกขาดกับกลุ่มประเทศตะวันตกอีกต่อไป หากแต่มีทางเลือกใหม่ให้กับประเทศที่มองหาช่องทางสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้สูญเสียเชิงภาพลักษณ์มากที่สุด การที่อินเดียยืนบนเวทีเดียวกับจีนและรัสเซีย พร้อมแสดงความใกล้ชิดในจังหวะที่วอชิงตันกำลังกดดันหนักหน่วง คือสัญญาณชัดเจนว่านโยบายกีดกันและการใช้มาตรการภาษีของทรัมป์มีต้นทุนเชิงยุทธศาสตร์สูงมาก เพราะทำให้พันธมิตรที่ควรเป็นกำลังหลักของสหรัฐฯ เริ่มมองหาทางเลือกอื่นเพื่อป้องกันตนเอง
ในสายตาของทรัมป์ การเห็นภาพโมดีจับมือสีและปูตินย่อมไม่ต่างอะไรกับการท้าทายโดยตรง หลักฐานคือการโจมตีทางวาจา การทวีตพาดพิง และการขึ้นภาษีแบบก้าวร้าว ล้วนสะท้อนความโกรธเคืองที่เขาไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลต่ออินเดียได้ดังหวัง
เมื่อมองในภาพรวม การประชุม SCO ที่เทียนจินจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนโลกยุคใหม่ที่ระเบียบตะวันตกกำลังถูกท้าทายด้วยความเป็นพหุขั้ว แม้ยังไม่ถึงขั้นพลิกกระดาน แต่ก็เป็น “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่สำคัญ จีนได้สวมบทสถาปนิกสร้างกติกาใหม่ อินเดียได้ยืนยันสถานะมหาอำนาจอิสระ รัสเซียได้ตอกย้ำว่ามิได้โดดเดี่ยว ส่วน SCO เองก็ได้ยกระดับความน่าเชื่อถือจากสโมสรทางการเมืองกลายเป็นองค์การที่ทรงพลังที่สามารถสร้างสรรค์และเขย่าความรู้สึกของกลุ่มชาติตะวันตกได้
ที่มา:บางกอกทูเดย์ ****************
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
สินเชื่อบ้าน-รถ-SMEs มีสัญญาเงินกู้ก่อน 1 ม.ค.67 (สมาคมแบงก์จ่อพักดอกเบี้ย)
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567
ระดับความรุนแรงของพายุแม่เหล็กโลก..//
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567
พาณิชย์คุมเข้มราคาสินค้าช่วงกินเจ.....II?
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
ความตกลงหุ้นส่วน ทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชีย...!!
คอลัมน์ ช่วยกันคิด
โดย ดร.ปภาภรณ์ ชุณหชัชราชัย กมลพงศ์ วิศิษฐวาณิชย์
แม้สายฝนที่โปรยปรายในระยะนี้จะช่วยลดอุณหภูมิความตึงเครียดของการเจรจา RCEP ให้ผ่อนคลายขึ้น ราบรื่นขึ้น และเริ่มฉายภาพความสำเร็จในอีกไม่ช้า อย่างไรก็ดี คำถามที่ว่าการเจรจา RCEP จะจบเมื่อไหร่ ? ก็ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้อย่างเต็มปาก
บางคนก็เดาว่าปีหน้า บางคนก็บอกว่าปีนี้ (พ.ศ. 2562) และอีกหลายความเห็นก็บอกว่า ควรจบตั้งนานแล้ว…อ้าววว !! แล้วทีนี้จะคอนเฟิร์มได้ตอนไหนละว่า การเจรจา RCEP จะจบเมื่อไหร่… เอาเป็นว่าถ้าตอบตามเป้าหมายของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี RCEP กำหนดไว้ก็คาดว่า จะสามารถบรรลุผลการเจรจาได้ภายในปี พ.ศ. 2562
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า อาร์ (R) ซี (C) อี (E) พี (P) นี้คืออะไร ???? RCEP คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ กรอบการเจรจาเปิดเสรีระดับพหุภาคี ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอาเซียน อีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอินเดีย
โดยเหตุผลหลักที่ 16 ประเทศนี้มารวมตัวกันก็เพราะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ครอบคลุมหนึ่งในสามของเศรษฐกิจโลก) เพื่อเปิดการค้าเสรีภายใต้ความตกลงที่มีคุณภาพ ทันสมัย และครอบคลุมทุกมิติการค้า อาทิ การค้าสินค้า การค้า บริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
สำหรับกลไกการเจรจา RCEP จะมีคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP ทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาในภาพรวม โดยมีคณะทำงานและคณะทำงานย่อยด้านต่าง ๆ แยกออกไปเจรจาในประเด็นเฉพาะทาง อาทิ คณะทำงานด้านการค้า สินค้า คณะทำงานด้านการค้าบริการ คณะทำงานด้านการลงทุน คณะทำงานด้านการแข่งขัน คณะทำงานด้านกฎหมาย คณะทำงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คณะทำงานย่อยสาขาการค้าบริการด้านการเงิน และคณะทำงานย่อยด้านบริการโทรคมนาคม เป็นต้น
RCEP เริ่มเจรจาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 แต่ทว่าการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปแล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนดั่งใจนึก ยิ่งมีประเทศสมาชิกมากเพียงใด ก็ยิ่งมีความเห็นที่หลากหลาย ยากต่อการประสานหาท่าทีกลางระหว่างกัน
นอกจากนี้ หากพิจารณาระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก RCEP ก็จะเห็นได้ว่า มีระดับของการพัฒนาที่ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่มาก จึงนับว่าเป็นความท้าทายของผู้เจรจากรอบนี้ที่จะต้องทำการศึกษาเชิงลึก เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการเจรจาในส่วนของประเทศตนเอง รวมถึงยังต้องมีความเข้าใจในส่วนของประเทศสมาชิก RCEP ต่าง ๆ ด้วย
ซึ่งยังมีอีกความท้าทายหนึ่งของการเจรจา RCEP คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ จะต้องกำหนดท่าทีให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อใช้สำหรับเจรจาต่อรองกับอีก 6 ประเทศคู่เจรจาอาเซียน ดังนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ได้มาซึ่งท่าทีกลางของอาเซียน และสามารถนำไปใช้เจรจากับประเทศคู่เจรจาอาเซียนทั้ง 6 ประเทศต่อไป
หากมองการเจรจา RCEP ในด้านสาขาการค้าบริการด้านการเงิน หรือเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า สาขาบริการทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงาน 4 หน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบต่อการเจรจา RCEP คือ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการบริการด้านการเงินจะครอบคลุม 3 สาขา ได้แก่ การธนาคาร ประกันภัย และหลักทรัพย์
ภายใต้ความตกลง RCEP ก็จะมุ่งเน้นให้เกิดการยกระดับพันธกรณีให้ผูกพันมากกว่าความตกลงเก่า ๆ ที่เคยมีมา เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น และความตกลงอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น
ปัจจุบันความตกลงสาขาการค้าบริการด้านการเงิน ภายใต้ความตกลง RCEP สามารถหาข้อสรุปได้แล้ว ดังนั้น ถึงแม้ว่าท่าทีและข้อกังวลที่แตกต่างกันของ 16 ประเทศสมาชิก RCEP จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเจรจา RCEP บรรลุผลล่าช้ากว่าเป้าหมายมาหลายครั้ง แต่ ณ จุดนี้ จึงขอพยากรณ์แบบโลกสวยไว้ว่า การเจรจา RCEP สามารถหาข้อสรุปได้อย่างมีนัยสำคัญภายในปี พ.ศ. 2562
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ประกาศเปลี่ยนแปลง กก.บห.ไทยรักษาชาติ พ้นตำแหน่ง 6 คน..!!?
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ระบุว่า ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคไทยรักษาชาติ และคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2561 โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ จํานวน 7 คน นั้น
บัดนี้พรรคไทยรักษาชาติได้มีหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา 38 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กรณี นายกมล วิจิตรโสภาพันธ์ ลาออกจากตําแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ตามข้อบังคับพรรคไทยรักษาชาติ พ.ศ.2561 ข้อ 31 วรรคหนึ่ง (2) และข้อ 30 นายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว ตามมาตรา 38 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
ดังนั้นจึงทําให้คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติพ้นจากตําแหน่งทั้งคณะ จํานวน 6 คนประกอบด้วย 1.นายวีรภัทร พาสุนันท์ รองหัวหน้าพรรค 2.นางธัญญ์รวี สุจิโรจน์ธนกุล เลขาธิการพรรค 3.นายพีรพงศ์ พาสุนันท์ รองเลขาธิการพรรค 4.นางสาวสุรภา ยุวนบุณย์ เหรัญญิกพรรค 5.นายศิรเมศร์ เสถียรุจิกานนท์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค 6.นางสาวจิรัตธิติกาล คุ้มเสือ โฆษกพรรค
ที่มา.เว็บไซต์ราชกิจจาฯ
*****************************************************************
บิ๊กตู่ ประกาศสู้....!!?
เมื่อเวลา 09.10 น. พรรคไทยรักษาชาติ ได้ยื่นบัญชีรายชื่อต่อ กกต. โดยมีการเปิดภาพเป็นภาพ ทูลกระหม่อมฯ และได้ยื่นให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพ ซึ่งเป็นภาพของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ออกแถลงการณ์ด่วน
สารจากนายกรัฐมนตรี 8 กุมภาพันธ์ 2562
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
นับเป็นเวลากว่าสิบปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน
ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย
การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้ในบางเรื่อง ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์ จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้น ในประเทศมาก่อน
เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลา สี่ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใดๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม
รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้น และไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ
พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็ก ๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วง เปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผมได้พิจารณาไตร่ตรอง และทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่างๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่
อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเรา ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป
ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใดๆ เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี
มีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทั้งนี้ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”
ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุขเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน
………….สวัสดี
ที่มาของบทความ จาก.เวป นสพ.ข่าวสด
*****************************************************
วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เปิดศูนย์บริการ SME เสริมแกร่งพื้นที่ EEC
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กนอ.ได้เปิดศูนย์ให้บริการSMEsIndustrial Transformation Center: SMEs-ITC ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ขึ้นเป็นแห่งแรกเพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)และสตาร์ตอัพ ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ให้มีความเชี่ยวชาญในการประกอบธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งจะเป็นผลให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเติบโตแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยรูปแบบการพัฒนาการให้บริการของศูนย์SMEs ITC ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.การให้บริการพื้นที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน 2.แหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญทุกอุตสาหกรรม 3.ศูนย์รวบรวมความรู้ 4.แหล่งรวมไฟล์/เว็บเพื่อการจับคู่ 5.ศูนย์นวัตกรรม6.บริการด้านทรัพยากรร่วมกัน7โปรแกรมด้านการเงิน 8.ห้องประชุม 9.ห้องฝึกอบรม10.ห้องเจรจาธุรกิจและ 11.ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีหนังสือสำหรับการค้นคว้าหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมกว่า5,000เล่มพร้อมทั้งระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
นอกจากนี้ ภายในศูนย์ให้บริการดังกล่าว จะมีผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญร่วมเป็นพี่เลี้ยง ให้การส่งเสริมและพัฒนาสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ
ที่มา:หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
-----------------------------------------------
'ธ.ก.ส.'เตรียมเสนอแนวทางช่วยคนจนเฟส 2.....!!

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยระยะ 2 ของ ธ.ก.ส. ว่า สัปดาห์หน้าจะเสนอแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณา หลังจากสำรวจความต้องการเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยแบบเจาะลึก เพื่อให้การแก้ไขปัญหาตรงจุดมากขึ้น พร้อมทั้งสำรวจความต้องการสินค้าเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อหาช่องทางการทำตลาดสินค้าเกษตรก่อนที่จะหาอาชีพเสริมทดแทนการปลูกข้าวเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน หากได้รับอนุมัติให้ดำเนินการก็จะเร่งลงพื้นที่ทำความเข้าใจเกษตรกรผู้มีรายได้ทันที
ทั้งนี้ เบื้องต้น ธ.ก.ส.จะใช้โมเดลการเพิ่มรายได้เกษตรกรจังหวัดกระบี่ที่ประสบความสำเร็จด้วยการที่ ธ.ก.ส.จะเข้าไปสำรวจและเจรจาหาตลาดให้กับสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง โดยจะหาเกษตรกรต้นแบบที่เป็นเอสเอ็มอีเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ในพื้นที่รวบรวมผลผลิตและจัดจำหน่ายต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรต้นแบบ 2,000 รายทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกประเภทสินค้าเกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาด อาทิ ผักไฮโดรโปรนิกส์ กล้วยแปรรูป และหญ้าเนเปียร์ จากนั้นจะให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยสมัครใจเข้าโครงการกับเกษตรกรผู้นำ เพื่อส่งสินค้าเกษตรให้กับผู้นำ ทำให้สินค้าเกษตรที่ผลิตมีตลาดรองรับทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ยอมรับแนวทางการเพิ่มรายได้ครั้งนี้ให้กับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยอาจต้องใช้ระยะเวลา เพราะต้องทำควบคู่กับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาช่องทางการทำตลาด และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ หากการรวมกลุ่มกันผลิตสินค้าเกษตรได้มีประสิทธิภาพ ธ.ก.ส.ก็จะพิจารณาปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*******************************************
วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560
กสอ.ตีฆ้อง เปิดรับ SMEs ยื่นขอกู้ กองทุน 2หมื่นล้าน ทั่วไทย...
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผย ว่า ขณะนี้ได้ร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ย การจัดทำขั้นตอนการดำเนินงาน และกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะเข้าเงื่อนไขการพิจารณาได้รับเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ หรือกองทุน 20,000 ล้านบาทใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยล่าสุดมีการหารืออาจคิดอัตราดอกเบี้ย 1-3% จากเดิมที่กำหนดไว้ 1% ระยะชำระคืน 7 ปี ไม่ต้องชำระเงินต้นคืน 3 ปีแรก และจะเริ่มพิจารณาอนุมัติวงเงินก้อนแรกภายในปลายเดือนเมษายนนี้
"วงเงิน 20,000 ล้านบาทไม่ได้มาก หากเทียบกับ SMEs ที่มีอยู่ทั่วประเทศ กำลังพิจารณาว่าจะจัดสรรอย่างไรให้กระจายได้ทั่วถึง เบื้องต้นอาจจะได้รับ 100 ล้านบาทเท่า ๆ กัน จากนั้นจะพิจารณาอีกครั้งสำหรับจังหวัดที่มีผู้ยื่นขอเข้ามามาก เช่น จังหวัดเล็ก SMEs ยื่นขอน้อยได้งบฯไป 100 ล้านบาท ส่วนจังหวัดใหญ่มียื่นขอมามากจะเพิ่มงบฯลงไปอีก 500-1,000 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่จะอนุมัติให้แต่ละรายขั้นสูงอาจจะไม่เกิน 10 ล้านบาท"
โดยเบื้องต้นกำหนดคุณสมบัติ คือ SMEs ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต้องมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ในอนาคตได้ ซึ่ง SMEs สามารถยื่นขอใช้สิทธิ์รับเงินกองทุนผ่านช่องทาง SME Support Center และศูนย์ช่วยเหลือ SME Recue Center ที่ตั้งอยู่ในอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ตั้งแต่บัดนี้ และในวันที่ 5 เม.ย.นี้จะร่วมประชุมกับทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทำการประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกรับทราบ
สำหรับขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติวงเงินกองทุนให้ SMEs แต่ละราย จะต้องผ่านคณะอนุกรรมการหลัก 3 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนประจำจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และผู้แทนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ประธานหอการค้าจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ผู้แทนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) เกษตรจังหวัด เป็นต้น มีอำนาจหน้าที่อนุมัติพิจารณากลั่นกรอง คัดเลือกและวิเคราะห์ศักยภาพของ SMEs ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารประกาศกำหนดตามนโยบายจังหวัด ทั้งนี้ หาก SMEs รายใดผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณาจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ 2
ชุดที่ 2 คณะอนุกรรมการวิเคราะห์การเงิน มีอุตสาหกรรมจังหวัดเป็นประธาน และผู้แทนสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งรัฐและเอกชน ผู้แทนชมรมธนาคารจังหวัด เป็นต้น มีหน้าที่พิจารณาวงเงินให้กู้และสรุปผลการวิเคราะห์ทางการเงิน ทั้งนี้ หาก SMEs รายใดผ่านการพิจารณาจะถูกส่งกลับไปยังชุดที่ 1 เพื่ออนุมัติเป็นทางการต่อไป แต่หากรายใดไม่ผ่านการพิจารณาจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการชุดที่ 3
ชุดที่ 3 คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี มีผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคเป็นประธาน และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น มีหน้าที่วิเคราะห์ กำหนดรูปแบบและวงเงินที่สมควรอนุมัติในการส่งเสริมและพัฒนา
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////