--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568

จะกลายเป็นสนามกลยุทธ์เกมภาษีนำเข้าและโลกในแนวทางฉบับสมบูรณ์

ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์
ในเรื่องดังกล่าวของรสชาติของโดนัลด์ ได้มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสำหรับ 36% และชิ้นส่วนเป็น 145% คุณสมบัตินี้สำหรับนโยบายภาษี (Reciprocal Tariff) ที่มุ่งหวังให้ประเทศทั่วโลกกลับมาภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมการบินลอตเตอรี่ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเฮนรีเป็น 125% ตรวจสอบจำกัดเฉพาะแร่ธาตุหายากและสินค้าอย่างเป็นทางการของนักรบสู่การสืบสวนใช้นโยบายนำเข้านำเข้าสินค้าระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยอ้างว่าเหตุผลว่า ฟังคำกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ชาตินิยมของเศรษฐกิจในรูปแบบ “America First” แต่หากมองลึกลงไปถึงลูกค้าของการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ "เกมต่อสู้" โดยทั่วไปและแนวคิดที่คาดว่าจะเขียนได้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของเขาคือ "Trump: The Art of the Deal" คำแนะนำของเค้าไม่ใช่แค่การขึ้นภาษีตามปกติแต่คือบางทีมากที่สะท้อนการพิจารณาของเศรษฐกิจ และการพิจารณาการทบทวนในแบบที่โลกเข้าสู่สภาตั้งแต่สมัยก่อนเข้ามามีบทบาทขาว
ภาษีที่ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจแต่คือกลยุทธ์ทางอำนาจ
อัตราภาษีที่น่าเชื่อถือกำหนดตำแหน่ง 36% และการควบคุมทะยานถึง 145% สำหรับจีนส่วนที่เพิ่มขึ้นมีนัยกับประเทศที่สะท้อนจากส่วนประกอบของสินค้า แต่คือ “ความเข้มข้นของเกมการต่อสู้” ความใสและแน่วแน่การค้าในสายตาของสายการบินไม่ได้ดำเนินการบนส่วนของเกลียวแบบต่างๆ ในขณะที่สนามเป็นประลองระหว่าง “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” ซึ่งเริ่มต้นการสืบสวนสอบสวนอีกครั้งอย่างแรกได้เปรียบมากเกินไป, เสรีแบบเดิมจึงถูกตีความที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างเด่นชัดอย่างเด่นชัด และมองหาภาษีที่เน้นหลักในการต่อสู้และเรียกความสมดุลในการตั้งเป้าหมายให้ตรงส่วนหลักอ่านแนวคิดที่ช่วยในการถ่ายทอดหนังสือ Trump: ศิลปะของข้อตกลงอาจจะทำให้การดำเนินแนวทางปฏิบัติของกลยุทธ์การตัดสินใจของเขาอย่างแนบแน่นในการตั้งเป้าหมายให้สูงเกินจริงการปฏิบัติการในหลักสูตรหรือการดำเนินการทางจิตวิทยาคู่ในเชิงลึกได้การขึ้นภาษีมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เศรษฐกิจแต่คือ “ภาวะวิกฤตเทียม” (Artificial Crisis) ที่จงใจเพื่อเร่งให้ทุกต้องเปิดด้านในสุดของชั้นนี้ โต๊ะนั้นเงื่อนไขที่ถือไพ่อย่างเป็นทางการความต้องการ
ภาษีคือการแสดงอำนาจภายในสู่เวทีโลก
ผู้นำของผู้นำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผลภาพรวมให้เห็น “เกมการเมืองภายใน” จากการที่จะเห็นการเสริมฐานคู่ของการใช้การขึ้นภาษีของรัฐอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมฐานเสียงของผู้ถือหุ้นรีพับลิกัน กับสินค้านำเข้าจะมองเห็นภาษีกำลัง "ปกป้องงาน" ของคนอเมริกันและส่งเสริมการผลิตในสภาแลกกับราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภค ลาสเวกัส นวัตกรรมในการตั้งคำถามต่อพันธมิตรเดิมอียูญี่ปุ่นว่า โดยไม่กลัวการต่ออย่างเป็นทางการอย่างเป็นทางการเนื่องมาจากเป้าหมายคือบีให้ประเทศจะต้องหวนกลับมาอีกครั้งภายใต้เงื่อนไขที่อเมริกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เดินเกมบุ๋นท่ามกลางหมากบู๊
สำหรับการเริ่มต้นใหม่ระหว่างนั้นกับวิทยาการจากทั่วโลกที่ผ่านมาตรการภาษีจากมาถึงในรูปแบบต่างๆ เป็นแนวทางแรกและวันนี้ต้องเผชิญอีกครั้งโดยใช้ “เกมบู๊” ที่จับหน้าด้วยภาษีจีนกลับมาใช้ “เกมบุ๋น” ในการสืบสวนค่อยเป็นค่อยไป เช่น การขึ้นภาษีสินค้าที่มีความนัยสูงอย่างตรงไปตรงมา และอเมริกาการร่วมมือแบบพหุภาคีเช่น RCEP และ BRICS+ การเร่งขยายตลาดผ่าน Belt and Road Initiative ในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศกำลังพัฒนาส่วนต่างๆ “หยวนดิจิทัล” เพื่อลดปริมาณเงินในองค์กร “ต่อต้านการต่อต้าน” สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การโต้แย้งทันที แต่การดำเนินการทางเลือกใหม่ในการสืบสวนอย่างมีประสิทธิภาพหลักคิดวิเคราะห์ของซุนวู ( The Art of War ) “ชัยชนะที่แท้จริงคือการสู้รบ” ผู้บริหารแบบตรงไปตรงมาสร้างความสมดุลใหม่อย่างเงียบเชียบแต่
การเผชิญกับหน้าผู้ชนะถาวร
เกมการค้าระหว่างธุรกิจกับจีนหรือประเทศต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเรื่องดุลการค้าราคาหรือสินค้า แต่เป็นการสู้รบเพื่อกำหนดทิศทางของระเบียบโลกใหม่” กำลังเปลี่ยนผ่านจากเสรียุคสมัยของโลกที่แต่ละประเทศกลับมาหาผลประโยชน์ของประเทศชาติแบบเดี่ยว ๆ ที่เป็นผู้สร้างประกาศและดำเนินการช่วยเหลือในเชิงการเมืองอย่างตรงไปตรงมาการสอบสวนและไม่เพียงแต่เรื่องของพาณิชย์เท่านั้นคือ “การเชิงกลยุทธ์เรื่องบีบบังคับ” (Coercive Diplomacy) ใช้ระบบของแข็ง (พลังแข็ง) “การปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกแบบสดๆ” (Strategic Soft Power) โดยวางยุทธศาสตร์ให้ผลลัพธ์สะสมทีละน้อยแต่แข็งแกร่ง
ประเทศไทยและเราจะทำเช่นนั้นได้
สำหรับประเทศที่พบกับอย่างไทยการเผชิญหน้าของสองทิศทางคือกระแสสำคัญว่าโลกหลังยุคเสรีนิยมจะไม่แน่นอนอีกต่อไปการรองรับตลาดที่แสดงให้เห็นและนโยบายเศรษฐกิจต้องสร้างการรับรู้ (ความยืดหยุ่น) และการควบคุมตัวของตลาดทำให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้ในการขับเคลื่อนเวทีการเร่งสร้างความสามารถด้านเทคโนโลยีและการต่อสู้แบบพยุหะในเวทีจะสามารถประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง
ภาษีคือที่โลกคือกระดาน
นโยบายภาษีนำเข้าของเพื่อตรวจสอบการเป็นกำแพงเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวคือมิติหนึ่งคือ “เป็นหมาก” โดยใช้กลยุทธ์จากหนังสือ The Art of the Deal มาแปลงเป็นกรีซของการตรวจสอบการใช้ภาษีสำหรับการควบคุมใหม่เพื่อเปลี่ยนสมการอำนาจและเพื่อวางผู้นำควบคุมโต๊ะจีนในอย่างแยบคายด้วยการใช้นิ่งนิ่งสยบความพัฒนาความร่วมมือและเปลี่ยนการวิจารณ์โลกอย่างไม่ส่งเสียงโดยตรงสามารถชนะได้ในลักษณะนี้แต่ผู้ที่เข้ามาดูเกมขาดความเข้มข้นมาก คือผู้ที่จะอยู่รอดบนกระดานเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว
รายการอ้างอิง
ทรัมป์, ดีเจ และ ชวาร์ตซ์, ที. (1987). ทรัมป์: ศิลปะแห่งการตกลง. สำนักพิมพ์แรนดอมเฮาส์ ไ
ทยพับลิกา. (2025, 3 เมษายน) “ประกาศประกาศมาตรการภาษีศุลกากรขึ้นภาษีนำเข้าไทย 36%” สืบค้นจาก https://thaipublica.org/2025/04/trump-pauses-reciprocal-tariffs-on-countries/
The Standard. (4 เมษายน 2568). “ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีน 145% และไทย 37%” สืบค้นจาก https://thestandard.co/trump-imposes-37-percent-tariff-on-thailand/ รอยเตอร์ส (5 เมษายน 2568) จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 125% ระงับการส่งออกแร่ธาตุหายาก สืบค้นจาก https://www.reuters.com/world/china-responds-trump-tariffs-rare-earths-2025
บีบีซีไทย. (2025, 5 เมษายน) “สงครามภาษีรอบใหม่มี-จีนกับผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก” แปลจาก https://www.bbc.com/thai/international-65193801
ซุนวู. (ศิลปะแห่งสงคราม). (แปลโดย วิวัฒน์ พันธุมโกมล). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดอกหญ้า.
ธนินท์ เจียรวนนท์. (2563). กลยุทธ์จีน. กรุงเทพฯ: มติชน.

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

Digital Nomad ครองเชียงใหม่ ความท้าทายในการพัฒนาเมือง...???

โลกยุคนี้น่าสนุกตรงที่มี ‘คำบัญญัติใหม่’ ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปให้เราเรียนรู้อยู่เสมอ จริงอยู่ที่ว่าเราไม่ต้องตามทันทุกอย่างจนกลายเป็นคน FOMO (Fear of Missing Out) ขนาดนั้น แต่หลายครั้งการทำความเข้าใจที่มาที่ไปในเบื้องลึกของสิ่งเหล่านั้นก็สนุกดี ทำให้เราได้รู้จักโลกในแง่มุมใหม่ ๆ และมากไปกว่านั้น มันอาจนำไปสู่ทางเลือกใหม่ ๆ ในชีวิตเลยก็ได้ คราวนี้เราจะพูดถึง ‘Digital Nomad’ ซึ่งนิยามสั้น ๆ ของคนเหล่านี้คือ กลุ่มคนที่ทำงานผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก และใช้ชีวิตแบบไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง โดยต่างจากฟรีแลนซ์ตรงที่ไม่ได้โฟกัสที่สัญญาการจ้างงานที่เป็นอิสระ แต่โฟกัสที่สถานที่ทำงานที่เป็นอิสระแทน
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง แต่ที่พิเศษ ไม่ใช่แค่นิยามศัพท์เพียงเท่านั้น
ข้อมูลทางสถิติหนึ่งที่น่าสนใจคือ ช่วง 20 ปีหลังมานี้ เชียงใหม่ไม่เพียงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนกรุงฯ ชอบมาพักผ่อน ต่างชาติชอบมาเยือน แต่กลายเป็นแหล่งสำคัญที่ชาว Digital Nomad หลากหลายประเทศทั่วโลกเลือกอาศัยอยู่
จังหวัดนี้มีดีอะไร ทำไมผู้คนต้องแห่กันมา เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง และเมืองอื่น ๆ ต้องปรับตัวให้รองรับเหล่า Digital Nomad รึเปล่า ‘เมียงเมือง’ คอลัมน์ใหม่แกะกล่องที่พูดถึงเรื่องเมืองในแง่มุมสนุก ๆ จะพาทุกคนไปหาคำตอบ
โดย ดร.จิรันธนิน กิติกา อาจารย์หัวใหม่แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ แอม-เอมิลิญา รัตนพันธ์ Digital Nomad สาวไทยผู้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานทั่วโลก ก็จะมาร่วมแสดงความคิดเห็นกับเมียงเมืองในวันนี้
>Why moving?
จิรันธนินเล่าให้ฟังว่า จริง ๆ แล้ว Digital Nomad เป็น Term ที่ไม่ได้ใหม่นัก แต่เกิดมาตั้งแต่ปี 1997 ที่โลกกำลังเข้าสู่ศตวรรษแห่ง Digital Life โดย Tsugio Makimoto ชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ในปี 1997 Digital Nomad เป็นเพียงนิยามของคนที่ ‘ทำงานแบบหลุดพ้นจากเวลาและสถานที่’ แต่เมื่อปี 2004 คำนี้ก็ถูกนำมาวิพากษ์ต่อโดยนักวิจัยเชิงสังคม Tanya Mohn และมีการพูดถึง Gen N ซึ่งเป็นคนระหว่าง Gen Y และ Z เกิดตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นไป ซึ่งไม่เคยไม่มีคอมพิวเตอร์ ทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้ทุกเวลา
Tanya Mohn เรียก Gen N ว่าเป็นคน New Rich (ความรวยใหม่) ซึ่งความรวยนั้นไม่ได้หมายถึงอาชีพที่มั่นคง มีบ้าน มีรถอีกต่อไป แต่หมายถึงการร่ำรวยประสบการณ์ ความหมายของ Digital Nomad ในปี 2004 เป็นต้นมาเลยรวมถึงคุณค่าเหล่านี้ด้วย
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง แล้วความน่าสนใจก็เกิด เมื่อความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และ Digital Nomad ยุคปี 2011 เป็นต้นไป เริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกประเทศกันแพร่หลายมากขึ้น ประเทศที่ต่างชาติมองว่า Exotic อย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ก็ติดอันดับจุดหมายปลายทางหลัก โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ ก็เคยติด Top 10, Top 5 รวมไปถึงอันดับ 1 เลยทีเดียว
“พี่ไปอยู่ต่างประเทศยาว ๆ มา 3 ปี กับแฟนที่ทำงานออนไลน์เหมือนกัน” แอม สาว Digital Nomad ตัวจริงเสียงจริงเล่าให้เราฟัง
เธอเริ่มจากอเมริกาเหนือ ขี่มอเตอร์ไซค์ลงใต้เรื่อย ๆ บางที่ที่อินเทอร์เน็ตไม่ดีก็แค่ขับผ่าน ที่ไหนเหมาะ ๆ ก็อยู่ยาว ๆ เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางต่อ โดยมีปานามาที่อยู่ 3 เดือน เม็กซิโก 6 เดือน เอกวาดอร์ 3 เดือน เปรูเกือบ 3 เดือน และอาร์เจนตินา 6 เดือน
“ที่ชอบที่สุดคืออาร์เจนตินา เพราะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นิสัยคนก็ดี กิจกรรมก็เยอะ ได้คิดตลอดว่าเย็นนี้จะไปทำอะไรดี เราก็รู้สึกเอนจอย” แอมเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอบอกว่าที่ที่เหมาะต้องมีสถานที่ทำงานให้เลือก อาหารการกินดี ค่าครองชีพรับได้ และมีความเปิดกว้าง
“กับบางเมือง มีร้านกาแฟก็จริง แต่ถ้าเราเอาแล็ปท็อปเขาไปนั่งทำงานยาว ๆ คนในร้านกาแฟอาจจะไม่เข้าใจเรา” เพราะเหตุนี้ จึงไม่ใช่ทุกเมืองจะเหมาะ
ปัจจุบันแอมเลือกปักหลักที่เชียงใหม่มานานถึง 5 ปี แม้ว่าเธอจะสนใจที่นี่เพราะมี ‘โน้ส อุดม’ เป็นไอดอล (เธอเป็นติ่งนั่นเอง) แต่ก็อยู่ต่อเพราะเป็นเมืองที่ถูกจริตชาวดิจิทัลพเนจรอย่างเธอ
นอกจากคนไทยจะชอบไปทำงานที่เชียงใหม่ จิรันธนินเผยว่า เชียงใหม่เป็นที่นิยมสำหรับ Digital Nomad ต่างชาติ เพราะค่าครองชีพที่พวกเขาคิดว่าถูก ทั้งยังใช้ชีวิตแบบ Modern Man ได้ มีครัวซองต์ให้กิน มีกาแฟดี ๆ มีริมปิงซูเปอร์มาร์เก็ตให้ซื้อของ มีสนามบินนานาชาติ ในทางกลับกันก็มีที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่เดินทางไปได้แบบไม่ไกลนัก
แม้ว่าเมืองเชียงใหม่จะขยายโดยไม่คำนึงถึงคนเท่าไหร่ งานในเมืองก็รายได้ต่ำ (เกินไป) แต่สำหรับจิรันธนิน เชียงใหม่ก็ ‘ดีสำหรับคนพลัดถิ่น’ ที่ทำงานรับเงินจากต่างประเทศ พวกเขาไปไหนมาไหนได้สะดวกเมื่อเช่ามอเตอร์ไซค์ ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะมีกลไกซื้อส่งต่อรถกันเองเป็นเครือข่าย
อาจารย์จิรันธนินวิจัยโดยใช้ตัวละคร 5 ตัว จาก 5 อาชีพหลักของเหล่า Digital Nomad ได้แก่ Digital Software, คนทำ Logistic, Content Creator, Designer และคนที่เชื่อในวัฒนธรรมอื่น เช่น สาย Sustainable หรือ Feminist
“5 คนนี้ เขาเป็นคนที่ได้เปรียบในการเข้ามาประเทศไทยหมดเลย เขาเป็นคนขาว” อาจารย์พูดถึง White Privilage เมื่อเราถามถึงอัตลักษณ์ของ Digital Nomad ในเชียงใหม่ “เขาได้เปรียบจากการถือสัญชาติ รายได้ต่อเดือนที่สูงกว่า และพลังบางอย่างของวีซ่า เขาสามารถ Hopping จากเชียงใหม่ ไปฮอยอัน ข้ามไปเสียมเรียบ บาหลีได้ ทั้งหมดเป็นประเทศที่เขาได้เปรียบในการถือวีซ่า
“เขามีชอยส์มากกว่าคนในประเทศด้วยซ้ำ”
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง อย่างที่เราพูดเรื่อง New Rich ไปในตอนต้น แทนที่จะเป็นเงินหรือของแพง ๆ พวกเขาเหล่านี้ก็ ‘อวดรวย’ กันด้วยประสบการณ์แปลกใหม่อย่างการได้ขี่ช้าง นอนอาบแดด ลองชิมกาแฟผสมอะโวคาโด นั่นแหละ
ตอนนี้ Digital Nomad ต่างชาติในเชียงใหม่อยู่ได้โดยการเล่นแร่แปรธาตุ อาศัยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ใช้วีซ่านักเรียนและลงเรียนภาษาไทย แต่ในอนาคตคงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะไทยกำลังจะปั้น Smart Visa ให้คนเหล่านี้อยู่ได้ฟรี ๆ ได้ถึง 4 ปี ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเกิดขึ้นจริง จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แล้วแต่ว่าเราจะมองในแง่มุมไหน
โดยจากการค้นคว้าของผู้เขียน Migration Policy Institute รายงานว่า เกินกว่า 25 ประเทศเพิ่งออกวีซ่าที่เป็นมิตรสำหรับ Digital Nomad ซึ่งเป็นการปฏิรูปนโยบายคนเข้าเมือง และหวังว่าจะช่วยชดเชยรายได้ที่เสียไปในช่วงโรคระบาดได้ นี่ก็เป็นอีกข้อมูลที่น่าสนใจ
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง
What’s next?
เมื่อมีกลุ่มคนใหม่ ๆ เข้ามาอยู่ แน่นอนว่าเมืองก็ต้องเปลี่ยนไป
จากการวิจัย จิรันธนินพบว่า ความ ‘ต้นทุนถูก’ ของเชียงใหม่ ทำให้ Digital Nomad ต่างชาติทั้งหลาย ทั้งเช่าบ้าน เช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ทั้งเช่าออฟฟิศกันมากมาย เวลาผ่านไป ผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ ก็เริ่มเห็นศักยภาพในหาลูกค้าต่างชาติ จนเกิดดีลพิเศษต่าง ๆ ในย่านสันติธรรมและช้างเผือก ส่วนผู้ประกอบการที่รู้ทันก็เริ่มทำธุรกิจ Co-working Space รูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ชาว Nomad เป็นพิเศษ
พื้นที่ที่เหล่า Nomad เข้าไปใช้ มักจะเป็นอาคารเก่า รีโนเวตใหม่ออกมาคลีน ๆ ไม่ได้มีคาแรกเตอร์เป็นพิเศษ และมีเฟอร์นิเจอร์ที่ ‘Anti-office’ ดูไม่เหมือนที่ทำงาน หากแต่เป็นโซฟา โต๊ะ Daybed ต่าง ๆ โดยทั้งหมดจะไม่เป็น Fixed Furniture เพราะจะต้องปรับพื้นที่เป็นห้องสัมมนาหรือห้องประชุมได้ ซึ่งย่านหลัก ๆ มี 3 ที่ คือ สันติธรรม เจ็ดยอด และหลัง ม.เชียงใหม่ ที่ทั้งใกล้หอพักและใกล้แหล่งอาหารการกิน
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง การมีอยู่ของ Digital Nomad ในเชียงใหม่ ทำให้เศรษฐกิจของเมืองเปลี่ยนไปไหม – เราถาม
“ผมว่าส่งผลกับเศรษฐกิจระดับกลาง กับนักธุรกิจที่หาเงินกับ Nomad แต่ระดับฐานรากหรือระดับรัฐไม่เกี่ยว รัฐไม่ได้อุปถัมภ์ให้ฐานรากดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ป้าขายข้าวแกงติดต่อกับ Nomad ได้ ไม่ได้ออกแบบ Smart City เพื่อ Nomad” จิรันธนินตอบ “รัฐมองเห็นว่าจะได้เงินจากกลุ่มที่มาอยู่ แต่ไม่ได้สร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เมือง แล้วก็ไม่ได้เข้าใจการต่อรองของทั้งคนอยู่และคนพลัดถิ่นด้วย”
นอกจากนี้ เขายังมองว่ามีผู้คนน่าสนใจมากมายที่เข้ามาในเมืองเชียงใหม่ จะให้องค์ความรู้ที่หลากหลายแก่นักเรียน นักศึกษาได้ด้วย ข้อหนึ่งที่เราเป็นกังวลหลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ Nomad เต็มเมืองเชียงใหม่ คือสักวันหนึ่ง เชียงใหม่จะเต็มไปด้วยคนต่างถิ่น สถาปัตยกรรมเดิม ๆ ก็จะถูกดัดแปลงเป็น Co-working Space หน้าตาเรียบง่ายไปเสียหมด ไปจนถึงการ Gentrification (การเปลี่ยนแปลงและเข้าไปแทนที่ของชนชั้นในชุมชน) อย่างชัดเจน แต่จิรันธนินเห็นต่าง
เขามองว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เมืองนี้ก็จะไม่ตอบโจทย์ชาว Nomad ที่มีค่านิยม New Rich อยากสัมผัสประสบการณ์เฉพาะท้องที่อีกต่อไป
“ผมเชื่อว่าสุดท้ายมันจะสมดุล” นักวิจัยยืนยัน “เขามองว่าพวกนี้คือต้นทุนที่พวกเขาจะได้มาเที่ยว เขาไม่ทำลายต้นทุนตัวเองหรอก”
เมื่อ Digital Nomad ครองเชียงใหม่ แล้วอะไรคือโอกาส-ความท้าทายในการพัฒนาเมือง Digital Nomad เป็นใคร ทำไม ‘เชียงใหม่’ ถึงติดท็อปโลกเมืองที่คนเหล่านี้รักมาเกือบ 20 ปี และเราจะต่อยอดอะไรได้บ้าง นอกจากเชียงใหม่ ด้วยโลเคชันที่เป็นทางผ่านจากกรุงเทพฯ ไปอีสาน ตอนนี้โคราชก็กำลังสนใจ ‘ดัก’ Digital Nomad เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่โคราชต้องเข้าใจก็คือธรรมชาติของ Nomad ว่าชอบท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ไม่แข็งเกร็ง ไม่ใช่การไหว้พระ 9 วัด แต่เป็นการสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องที่ และต้องทำให้เมืองเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสะดวกสบาย ไปไหนมาไหนง่ายด้วย “ถ้าจะเป็น Nomad Destination ที่ดีกว่าเชียงใหม่ ต้องถอดบทเรียนจากเชียงใหม่ทั้งข้อดีและข้อเสียไปให้ดีขึ้น” เขาบอกว่าข้อเสียของสถานการณ์ที่เชียงใหม่คือ ตอนนี้เมืองกำลังพัฒนาไม่ทัน และกลางเมืองเป็นพื้นที่คนนอกอยู่ไปแล้ว “โคราชต้องเป็นพื้นที่ที่คนอยู่และคนพลัดถิ่นอยู่ด้วยกันได้ ร่ำรวยด้วยกันได้ เป็น Sharing Economy ไม่ต้องไปโฟกัสที่ว่าจะเก็บเงิน Nomad ยังไง แต่ลูกหลานเราก็ต้องทำงานได้ดีขึ้นด้วย มันจะต้องถูกคิดเป็นระบบเชื่อมกัน” แต่ถึงอย่างนั้น จิรันธนินก็ย้ำว่า ทุกเมืองเป็นเมืองแห่งอนาคตได้ และแต่ละเมืองก็มีอนาคตแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อ Nomad เหมือนกันทั้งหมด Digital Nomad เป็นใคร ทำไม ‘เชียงใหม่’ ถึงติดท็อปโลกเมืองที่คนเหล่านี้รักมาเกือบ 20 ปี และเราจะต่อยอดอะไรได้บ้าง
When nomad becomes normal
แอมเล่าให้เราฟังว่า เธอจะปักหลักที่เชียงใหม่อีกไม่เกิน 5 ปี ตอนนี้เธอเพิ่งมีลูกน้อยมาเป็นสมาชิกคนที่ 3 ของครอบครัว และวางแผนจะใช้ชีวิต 5 ปีถัดไปที่แคนาดา
“พี่ไม่รู้สึกว่าเราต้องยึดติดกับที่ไหนเลย ยิ่งเห็นมาก ยิ่งเปิดโลกมาก” เธอเล่าอย่างสดใส “พี่อยากให้ลูกเห็นว่าโลกมันกว้าง และอยากให้ลูกเปิดกว้างเรื่องเจนเดอร์”
ชาว Nomad นั้นเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย ๆ นี่คงเป็นโจทย์ท้าทายของเมืองต่าง ๆ ที่จะทำให้ Nomad รุ่นใหม่ มีทัศนคติและความต้องการใหม่ ๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์ และอยากมาร่วมขับเคลื่อนเมืองอยู่เสมอ ซึ่ง Digital Nomad Family อย่างครอบครัวของแอมก็ถือเป็นภาพใหม่และโจทย์ใหม่ของยุคนี้ ต่างจากเมื่อก่อนที่จะมีภาพเป็นคนซ่าวัย 20 กว่า
สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่า Digital Nomad ยุคนี้เดินทางไปทั่วโลก และทำให้เรารู้สึกถึงความเป็น Global Citizen ในตัวพวกเขา แต่สำหรับเรา ทุกที่ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน เพราะผู้คนยังไม่สามารถย้ายไปไหนมาไหนในโลกโดยไร้เงื่อนไขขนาดนั้น
ต่างชาติที่เข้ามาอยู่เชียงใหม่ก็เป็นคนขาวจากประเทศโลกที่หนึ่งที่ถือเงินใหญ่กว่า และมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าหลายอย่าง
คนเอเชียยังต้องคำนึงถึงอันตรายจากกระแส Asian Hate แล้วทำการบ้านตอนเลือกประเทศให้ดี
ผู้หญิงยังต้องระวังตัวให้มาก ๆ อย่างที่แอมเล่าว่า หากแฟนหนุ่มไม่ได้ไปด้วย เธอก็คงไม่มีโอกาสได้ไปเยือนหลายพื้นที่
อย่างไรก็ตาม Digital Nomad ก็จะเป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาเมืองยุคใหม่แน่นอน
ที่มา:The Cloud. xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568

SCO ซัมมิต(Shanghai Cooperation Organisation)...

การประชุม “องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้” หรือ SCO (Shanghai Cooperation Organisation) ที่จัดขึ้น ณ เมืองท่าเทียนจิน ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน 2025 นับว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการทูตที่โลกจับตามองมากที่สุดในปีนี้ เหตุผลสำคัญมิใช่เพียงเพราะมีการรวมตัวกันของผู้นำโลกกว่า 20 ประเทศ และ 10 ผู้นำองค์กรระหว่างประเทศ แต่เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังปรับเปลี่ยนจากระบบที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ไปสู่ระเบียบโลกพหุขั้วที่มีประเทศอย่างจีน อินเดีย และรัสเซียเป็นอีกหนึ่งแกนกลาง
จีนในฐานะเจ้าภาพได้ใช้เวทีนี้อย่างเต็มที่เพื่อย้ำบทบาทความเป็นผู้นำโลกที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวเปิดการประชุมโดยย้ำถึงการปฏิเสธแนวคิดสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปยังใช้ในการแบ่งโลกเป็นค่ายตะวันตกกับค่ายตรงข้าม เขาเน้นย้ำว่าโลกในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นโลกพหุขั้วที่เปิดพื้นที่ให้ทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา มีเสียงที่ดังขึ้นและได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม
ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังประกาศมาตรการจับต้องได้ ทั้งการให้เงินช่วยเหลือ 2 พันล้านหยวน และการปล่อยเงินกู้ยืมอีกกว่า 1 หมื่นล้านหยวนแก่ประเทศสมาชิก รวมทั้งเร่งเดินหน้าจัดตั้งธนาคารพัฒนา SCO และขยายความร่วมมือในด้านพลังงานสะอาด ดิจิทัล และการใช้ระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว(BeiDou)ของจีนให้กับประเทศพันธมิตร สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสถาปนากติกาใหม่ที่จีนเป็นผู้กำหนด บทบาทของจีนจึงมิใช่แค่เจ้าของเวที หากแต่กำลังกลายเป็นสถาปนิกผู้เขียนระเบียบโลกชุดใหม่
ความน่าเชื่อถือของ SCO ที่มีจีนเป็นแม่งานใหญ่และมีผู้ยินดีร่วมงานจำนวนมาก คือข้อพิสูจน์ว่าจีนไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวอย่างที่ผู้นำชาติตะวันตกอ้าง ตรงกันข้ามภาพบนเวที SCO ชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังพัฒนาเลือกใช้เป็นทางเลือกใหม่ ท่ามกลางความผิดหวังต่อกติกาที่มหาอำนาจตะวันตกครอบงำมาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ภาพที่สื่อใหญ่ระดับโลกเผยแพร่มิใช่เพียงผู้นำจีน หากแต่เป็นการปรากฏตัวของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียที่เดินทางมาร่วมประชุม SCO บนแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ7 ปี โดยเฉพาะภาพของโมดีที่กุมมือวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย พร้อมจูงมือไปทักทายและสนทนากับสี จิ้นผิง ถือเป็นแขกที่แย่งซีนเจ้าภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์
อินเดียซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีนจากเหตุการณ์พิพาทชายแดนในเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่ปี 2020 กลับมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะระหว่างสองผู้นำ ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีว่าพร้อมจะเปิดทางสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสัมพันธ์กับตะวันตก โมดีจึงกลายเป็นดาวที่เด่นยิ่งขึ้น เพราะเขาแสดงให้โลกเห็นว่าอินเดียสามารถรักษาความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ และเลือกเล่นเกมสมดุลอำนาจได้อย่างแยบยล
ในมิติทางการทูต การเคลื่อนไหวของอินเดียถือเป็นกลยุทธ์ “เก็บแต้มสองทาง” กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง อินเดียกำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาพร้อมนโยบายกีดกันการค้าที่แข็งกร้าว การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียกว่า 50% ได้สร้างความคับข้องใจต่ออินเดีย ก่อให้เกิดแรงผลักดันให้อินเดียต้องหาพื้นที่หายใจทางเศรษฐกิจจากพันธมิตรอื่น การแสดงออกในเวที SCO จึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลนิวเดลีมีทางเลือก และไม่ยอมตกเป็นตัวประกันของนโยบายกีดกันของสหรัฐฯอย่างแน่นอน

สำหรับรัสเซียก็ใช้เวที SCO ครั้งนี้ในการ “ล้างภาพโดดเดี่ยว” ที่ตะวันตกพยายามสร้างขึ้นหลังการรุกรานยูเครน ภาพของปูตินที่ยืนเคียงข้างสีและโมดีตอกย้ำว่ายังมีเพื่อนอีกมากในโลกที่ไม่พร้อมจะตัดสัมพันธ์กับมอสโก รัสเซียยังได้ใช้เวที SCO ในการโต้กลับตะวันตก โดยชี้ว่ามาตรการคว่ำบาตรเป็นการบ่อนทำลายความยุติธรรมทางเศรษฐกิจโลก พร้อมผลักดันแนวคิดปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น IMF และธนาคารโลก ให้สะท้อนเสียงของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น
สำหรับ SCO โดยรวม การประชุมเทียนจินคือก้าวย่างสำคัญที่ทำให้องค์กรไม่ถูกมองว่าเป็นเพียง “สโมสรทางความมั่นคง” อีกต่อไป แต่กลายเป็นกลไกความร่วมมือที่จัดสรรทรัพยากรได้จริง การให้เงินช่วยเหลือ การก่อรูปธนาคารพัฒนา การเปิดแพลตฟอร์มด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการให้ใช้ระบบดาวเทียมเป่ยโต่ว ล้วนทำให้ SCO มีศักยภาพเป็นผู้ให้สินค้าสาธารณะต่อสมาชิกและโลกกำลังพัฒนาได้มากขึ้น ในเชิงความคิดนี่คือการเสริมความน่าเชื่อถือของ SCO ให้กลายเป็นสถาบันคู่แข่งของระเบียบตะวันตก และในเชิงวาระก็ได้บรรจุหัวข้อใหม่ๆ ที่สะท้อนอนาคต ทั้งเรื่อง AI พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจดิจิทัล

โลกภายนอกเองก็ได้ประโยชน์ในเชิงโครงสร้าง เพราะเมื่อ SCO สามารถจัดหาสินค้าสาธารณะอย่างเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน มันย่อมสร้างแรงกดดันให้สถาบันเดิมอย่าง IMF และธนาคารโลกต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น นี่คือการแข่งขันเชิงสถาปัตยกรรมที่แม้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สะท้อนว่าโลกไม่ได้ผูกขาดกับกลุ่มประเทศตะวันตกอีกต่อไป หากแต่มีทางเลือกใหม่ให้กับประเทศที่มองหาช่องทางสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้สูญเสียเชิงภาพลักษณ์มากที่สุด การที่อินเดียยืนบนเวทีเดียวกับจีนและรัสเซีย พร้อมแสดงความใกล้ชิดในจังหวะที่วอชิงตันกำลังกดดันหนักหน่วง คือสัญญาณชัดเจนว่านโยบายกีดกันและการใช้มาตรการภาษีของทรัมป์มีต้นทุนเชิงยุทธศาสตร์สูงมาก เพราะทำให้พันธมิตรที่ควรเป็นกำลังหลักของสหรัฐฯ เริ่มมองหาทางเลือกอื่นเพื่อป้องกันตนเอง
ในสายตาของทรัมป์ การเห็นภาพโมดีจับมือสีและปูตินย่อมไม่ต่างอะไรกับการท้าทายโดยตรง หลักฐานคือการโจมตีทางวาจา การทวีตพาดพิง และการขึ้นภาษีแบบก้าวร้าว ล้วนสะท้อนความโกรธเคืองที่เขาไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลต่ออินเดียได้ดังหวัง
เมื่อมองในภาพรวม การประชุม SCO ที่เทียนจินจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนโลกยุคใหม่ที่ระเบียบตะวันตกกำลังถูกท้าทายด้วยความเป็นพหุขั้ว แม้ยังไม่ถึงขั้นพลิกกระดาน แต่ก็เป็น “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่สำคัญ จีนได้สวมบทสถาปนิกสร้างกติกาใหม่ อินเดียได้ยืนยันสถานะมหาอำนาจอิสระ รัสเซียได้ตอกย้ำว่ามิได้โดดเดี่ยว ส่วน SCO เองก็ได้ยกระดับความน่าเชื่อถือจากสโมสรทางการเมืองกลายเป็นองค์การที่ทรงพลังที่สามารถสร้างสรรค์และเขย่าความรู้สึกของกลุ่มชาติตะวันตกได้
ที่มา:บางกอกทูเดย์
****************

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สินเชื่อบ้าน-รถ-SMEs มีสัญญาเงินกู้ก่อน 1 ม.ค.67 (สมาคมแบงก์จ่อพักดอกเบี้ย)

สมาคมธนาคารไทย ร่วมมือกับภาครัฐเตรียมออกมาตรการลดภาระชำระหนี้ ช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย “บ้าน-รถยนต์-ธุรกิจขนาดเล็ก” โดยเป็นสัญญาเงินกู้ที่ทำก่อน 1 ม.ค. 2567 และเป็นสัญญาที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ตามที่สมาคมธนาคารไทยได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยตระหนักถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง ทำให้รายได้ธุรกิจและครัวเรือนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
อีกทั้งยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาวะการเงินของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการ SMEs เปราะบางขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย ที่ยังมีหนี้สูงและประสบความยากลำบากในการชำระหนี้ ทั้งสี่หน่วยงานข้างต้น จึงเห็นร่วมกันในการที่ต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดภาระทางการเงินเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้
มาตรการเพิ่มเติมนี้จะเป็นความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชนในการมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงและประสบปัญหาในการชำระหนี้ ให้สามารถประคองตัว รักษาสินทรัพย์สำคัญ ทั้งที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ และสถานประกอบการไว้ ผ่านแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระต่องวดอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เข้าร่วมมาตรการ โดยผ่อนชำระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น และพักชำระดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับยกเว้นสำหรับดอกเบี้ยที่พักแขวนไว้
ซึ่งจะเป็นการช่วยอย่างตรงจุดและเป็นรูปธรรม โดยจะมีแรงจูงใจให้ลูกหนี้รักษาวินัยในการผ่อนชำระ ทั้งในช่วงเข้าร่วมมาตรการและหลังจบมาตรการ โดยระหว่างเข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้จะไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดภาระหนี้ให้ได้อย่างแท้จริง และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์จงใจผิดนัดชำระหนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้
ทั้งนี้ มาตรการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้จะเป็นมาตรการชั่วคราว และเป็นมาตรการครอบคลุมเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ขนาดเล็กที่ตั้งใจจะลดหนี้และมีโอกาสที่จะกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติในระยะข้างหน้า เมื่อรายได้ฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นจุดตั้งต้นของการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และรองรับกับมาตรการระยะถัดไปของภาครัฐ ที่จะส่งเสริมการเข้าสู่ระบบข้อมูลที่ทุกภาคส่วนสามารถทราบถึงภาระและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ ไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้เกินกำลัง หรือเกินความจำเป็น รวมถึงให้มีรายได้ขั้นต่ำที่พอเพียงในการดำรงชีพ หรือยกระดับทักษะและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจรายเล็ก
โดยกลุ่มเป้าหมายคือลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อขนาดเล็ก ที่เป็นไปตามเกณฑ์สำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เป็นสัญญาเงินกู้ที่ทำก่อน 1 มกราคม 2567 และเป็นสัญญาที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด อ้างอิงข้อมูล ณ 31 ตุลาคม 2567 ซึ่งคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เกณฑ์การเข้าร่วม และรายละเอียดของมาตรการ สมาคมธนาคารไทย กระทรวงการคลัง และ ธปท.อยู่ระหว่างการดำเนินการ จะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ระดับความรุนแรงของพายุแม่เหล็กโลก..//

ห้องสมุดดาราศาสตร์
โดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ที่มนุษย์คุ้นเคยที่สุด เป็นดาวที่เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด และให้พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิตบนโลก ดวงอาทิตย์ที่ดูเหมือนเป็นทรงกลมเกลี้ยงที่สงบเงียบแท้จริงแล้วมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา บางครั้งอาจเกิดการปะทุใหญ่ บนพื้นผิว พ่นทั้งพลังงานและอนุภาคพลังงานสูงออกมาเป็นปริมาณมาก ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงโลกได้
พายุสุริยะจากดวงอาทิตย์ ทำให้สนามแม่เหล็กโลกปั่นป่วน ส่งผลกระทบหลายด้านต่อโลก
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปะทุบนดวงอาทิตย์ที่มีผลมาถึงโลกคือ พายุแม่เหล็กโลก เกิดจากลมสุริยะที่มีความรุนแรงปะทะเข้ากับสนามแม่เหล็กของโลกจนทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้การปะทะนี้จะเกิดขึ้นในอวกาศเหนือชั้นบรรยากาศโลกไป แต่ก็ส่งผลกระทบต่อโลกได้ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเทคโนโลยีอวกาศ เช่นดาวเทียม การส่งกำลังไฟฟ้า หรือการสื่อสารวิทยุ ส่วนผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตมนุษย์มีไม่มากนัก
องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ โนอา (NOAA--National Oceanic and Atmospheric Administration) ได้กำหนดมาตราหนึ่งสำหรับแสดงระดับความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศนอกโลกที่จะมีผลต่อโลกไว้เพื่อความสะดวกในการสื่อสารกับสาธารณชน มาตรานี้แสดงด้วยตัวเลขในทำนองเดียวกับมาตราริกเตอร์ที่แสดงความรุนแรงของแผ่นดินไหวหรือมาตราฟุชิตะที่ใช้ในการแสดงความรุนแรงพายุ
มาตรา ระดับความแรง ผลกระทบ
G 5 รุนแรงที่สุด ระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าและระบบป้องกันเสียหายทั่ว ระบบสายส่งไฟฟ้าอาจล่มหรือดับถาวร หม้อแปลงไฟฟ้าอาจเสียหาย ยานอวกาศมีปัญหาจากประจุเข้มข้นที่สะสมที่ผิวยาน มีปัญหาด้านการสื่อสารและการควบคุมทิศ กระแสไฟฟ้าในท่อส่งน้ำอาจสูงหลายร้อยแอมแปร์ การกระจายสัญญาณความถี่สูงล้มเหลว เกิดแสงเหนือแสงใต้ลามไปถึงระดับละติจูดแม่เหล็ก 40 องศา
G 4 รุนแรงมาก ระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าอาจเกิดความเสียหายเป็นพื้นที่กว้าง ยานอวกาศอาจเกิดการสะสมประจุขึ้นที่พื้นผิวและอาจมีปัญหาในการสื่อสารและควบคุมทิศ เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นในท่อส่งน้ำ เกิดแสงเหนือแสงใต้ลามไปถึงละติจูดแม่เหล็ก 45 องศา การกระจายสัญญาณความถี่สูงขัดข้องเป็นระยะ
G 3 รุนแรงปานกลาง แรงดันไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้าผิดปรกติ แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบปรับแรงดัน อาจเกิดการสะสมประจุในชิ้นส่วนของดาวเทียมและอาจเกิดความผิดพลาดกับระบบควบคุมทิศทาง มีปัญหากับระบบกระจายสัญญาณวิทยุความถี่ต่ำเป็นระยะ เกิดแสงเหนือแสงใต้ลามลงไปถึงระดับละติจูดแม่เหล็ก 50 องศา
G 2 ปานกลาง ระบบสายส่งไฟฟ้าที่ละติจูดสูง ๆ อาจเกิดความผิดปรกติของแรงดัน หากเกิดเป็นเวลานานอาจทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าเสียหาย การควบคุมทิศทางของดาวเทียมอาจเกิดความผิดปรกติแต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบรักษาทิศทาง และอาจทำให้วงโคจรเปลี่ยนแปลง สัญญาณความถี่สูงที่ละติจูดสูงอาจอ่อนกำลัง เกิดแสงเหนือใต้ลามมาถึงระดับ 55 องศา
G 1 น้อย เกิดความผันผวนของแรงดันในระบบส่งกำลังไฟฟ้าเล็กน้อย สัตว์ที่อพยพโดยใช้สนามแม่เหล็กในการกำหนดทิศอาจสับสน เกิดแสงเหนือใต้ที่ละติจูดสูง
ที่มา:สมาคมดาราศาสตร์ไทย - thaiastro.nectec.or.th

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พาณิชย์คุมเข้มราคาสินค้าช่วงกินเจ.....II?

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายในการกำกับดูแลราคาและปริมาณสินค้า “ห้ามขาด ห้ามแพง” และได้มอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวงสำรวจตลาดในกรุงเทพและปริมณฑล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ มอบกรมการค้าภายในลงพื้นที่สำรวจตลาดรังสิต พบตลาดมีการจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก ในส่วนของราคาและปริมาณทั้งผักสดและอาหารสดปรุงสำเร็จ มีปริมาณ เพียงพอและราคาอยู่ในเกณฑ์ปกติ พบผักบางรายการมีการแบ่งขายราคาประหยัดเพียงกำละ 10 บาท
นายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังจากตรวจเยี่ยมตลาดรังสิต ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ให้มีการกำกับดูแลสินค้า “ห้ามขาด ห้ามแพง” ผมจึงได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่สำรวจราคาและปริมาณสินค้าในตลาดสดช่วงเทศกาลกินเจ 3-11 ตุลาคม 67 ในโครงการ “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด” โดยร่วมกับสมาคมตลาดสด คุณขจรศรี สีม่วง ผู้จัดการสมาคมตลาดสดไทย และคุณสุดารัตน์ ชินวิรารัตน์ ผู้จัดการตลาดสดรังสิตและพันธมิตรต่างๆ เพื่อดูแลผู้บริโภคในช่วงเทศกาลกินเจ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงกินเจให้ซื้อได้ในราคาประหยัด จึงได้ลงพื้นที่ตลาดรังสิต ซึ่งเป็นตลาดในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบวัตถุดิบและเครื่องปรุงประกอบอาหารเจ ราคาลดลง และส่วนใหญ่ทรงตัว อาทิ เห็ดหอมธรรมชาติ ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน โปรตีนเกษตร และซอสปรุงรสประเภทถั่วเหลืองต่างๆ ไม่มีการปรับราคาเพิ่มแต่อย่างใด ในส่วนของอาหารสดปรุงสำเร็จที่เป็นเมนูเจ ในตลาดรังสิต ราคาเริ่มต้นที่ 30-40 บาท
ในส่วนของผักสด มีการขายปลีก คะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ผักกาดขาว มะเขือเทศ และมะนาว ราคาลดลงจากปีก่อน ในส่วนของแตงกวา ฟักเขียว หน่อไม้และข้าวโพด ราคาทรงตัวเท่ากับปีก่อน โดยในตลาดนี้ มีการจัดแบ่งขายเป็นกำ ขายในราคาประหยัด อาทิ ผักบุ้งจีน คะน้า ต้นหอม ชุดเครื่องต้มยำ กำละ 10 บาท
นายวิทยากรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังมีการตั้งจุดตรวจตราชั่งมาตรฐาน ภายในตลาดรังสิต เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่าซื้อราคาที่ถูกต้องแล้วยังได้น้ำหนักที่ครบถ้วน จึงขอเชิญชวนผู้บริโภคประชาชนทุกท่านมาร่วมจับจ่ายใช้สอยในตลาดรังสิต และนอกจากนี้จะได้มีการลงพื้นที่สำรวจในตลาดอื่นๆอีกในกทม. และปริมณฑล ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจและออกมาจับจ่ายใช้สอย และหากพบเห็นความผิดปกติในด้านราคาและปริมาณสินค้า สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน
ในส่วนประชาชนได้รับเงินรัฐหนึ่งหมื่นบาทมีส่วนกระตุ้นในการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างดี ทางกระทรวงพาณิชย์จึงได้มาสำรวจตลาดในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลก็พบว่า ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก ก็เป็นการหมุนเวียนเงินในระบบ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง มีหน้าที่กำกับดูแลราคาไม่ให้เกิดความผิดปกติโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ สั่งการให้กรมการค้าภายในมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและได้พูดคุยกับสมาคมที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์ไม่ให้สินค้าขาดแคลน และจากการจัดกิจกรรมดังกล่าวคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ 2,250 ล้านบาท ลดค่าของชีพให้กับประชาชนได้กว่า 750 ล้านบาท ซึ่ง โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและสอดรับกับโครงการเงินดิจิตอลของรัฐบาลด้วย“ นายวิทยากร กล่าว
ที่มา.เนชั่น ออนไลน์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ความตกลงหุ้นส่วน ทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเอเชีย...!!

 คอลัมน์ ช่วยกันคิด

โดย ดร.ปภาภรณ์ ชุณหชัชราชัย กมลพงศ์ วิศิษฐวาณิชย์

แม้สายฝนที่โปรยปรายในระยะนี้จะช่วยลดอุณหภูมิความตึงเครียดของการเจรจา RCEP ให้ผ่อนคลายขึ้น ราบรื่นขึ้น และเริ่มฉายภาพความสำเร็จในอีกไม่ช้า อย่างไรก็ดี คำถามที่ว่าการเจรจา RCEP จะจบเมื่อไหร่ ? ก็ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้อย่างเต็มปาก

บางคนก็เดาว่าปีหน้า บางคนก็บอกว่าปีนี้ (พ.ศ. 2562) และอีกหลายความเห็นก็บอกว่า ควรจบตั้งนานแล้ว…อ้าววว !! แล้วทีนี้จะคอนเฟิร์มได้ตอนไหนละว่า การเจรจา RCEP จะจบเมื่อไหร่… เอาเป็นว่าถ้าตอบตามเป้าหมายของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี RCEP กำหนดไว้ก็คาดว่า จะสามารถบรรลุผลการเจรจาได้ภายในปี พ.ศ. 2562

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า อาร์ (R) ซี (C) อี (E) พี (P) นี้คืออะไร ???? RCEP คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ กรอบการเจรจาเปิดเสรีระดับพหุภาคี ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอาเซียน อีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอินเดีย

โดยเหตุผลหลักที่ 16 ประเทศนี้มารวมตัวกันก็เพราะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ครอบคลุมหนึ่งในสามของเศรษฐกิจโลก) เพื่อเปิดการค้าเสรีภายใต้ความตกลงที่มีคุณภาพ ทันสมัย และครอบคลุมทุกมิติการค้า อาทิ การค้าสินค้า การค้า บริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน

สำหรับกลไกการเจรจา RCEP จะมีคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP ทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาในภาพรวม โดยมีคณะทำงานและคณะทำงานย่อยด้านต่าง ๆ แยกออกไปเจรจาในประเด็นเฉพาะทาง อาทิ คณะทำงานด้านการค้า สินค้า คณะทำงานด้านการค้าบริการ คณะทำงานด้านการลงทุน คณะทำงานด้านการแข่งขัน คณะทำงานด้านกฎหมาย คณะทำงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คณะทำงานย่อยสาขาการค้าบริการด้านการเงิน และคณะทำงานย่อยด้านบริการโทรคมนาคม เป็นต้น

RCEP เริ่มเจรจาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 แต่ทว่าการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปแล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนดั่งใจนึก ยิ่งมีประเทศสมาชิกมากเพียงใด ก็ยิ่งมีความเห็นที่หลากหลาย ยากต่อการประสานหาท่าทีกลางระหว่างกัน

นอกจากนี้ หากพิจารณาระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก RCEP ก็จะเห็นได้ว่า มีระดับของการพัฒนาที่ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่มาก จึงนับว่าเป็นความท้าทายของผู้เจรจากรอบนี้ที่จะต้องทำการศึกษาเชิงลึก เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการเจรจาในส่วนของประเทศตนเอง รวมถึงยังต้องมีความเข้าใจในส่วนของประเทศสมาชิก RCEP ต่าง ๆ ด้วย

ซึ่งยังมีอีกความท้าทายหนึ่งของการเจรจา RCEP คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ จะต้องกำหนดท่าทีให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อใช้สำหรับเจรจาต่อรองกับอีก 6 ประเทศคู่เจรจาอาเซียน ดังนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ได้มาซึ่งท่าทีกลางของอาเซียน และสามารถนำไปใช้เจรจากับประเทศคู่เจรจาอาเซียนทั้ง 6 ประเทศต่อไป

หากมองการเจรจา RCEP ในด้านสาขาการค้าบริการด้านการเงิน หรือเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า สาขาบริการทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงาน 4 หน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบต่อการเจรจา RCEP คือ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการบริการด้านการเงินจะครอบคลุม 3 สาขา ได้แก่ การธนาคาร ประกันภัย และหลักทรัพย์

ภายใต้ความตกลง RCEP ก็จะมุ่งเน้นให้เกิดการยกระดับพันธกรณีให้ผูกพันมากกว่าความตกลงเก่า ๆ ที่เคยมีมา เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น และความตกลงอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น

ปัจจุบันความตกลงสาขาการค้าบริการด้านการเงิน ภายใต้ความตกลง RCEP สามารถหาข้อสรุปได้แล้ว ดังนั้น ถึงแม้ว่าท่าทีและข้อกังวลที่แตกต่างกันของ 16 ประเทศสมาชิก RCEP จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเจรจา RCEP บรรลุผลล่าช้ากว่าเป้าหมายมาหลายครั้ง แต่ ณ จุดนี้ จึงขอพยากรณ์แบบโลกสวยไว้ว่า การเจรจา RCEP สามารถหาข้อสรุปได้อย่างมีนัยสำคัญภายในปี พ.ศ. 2562

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

******************************************************

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ประกาศเปลี่ยนแปลง กก.บห.ไทยรักษาชาติ พ้นตำแหน่ง 6 คน..!!?

เว็บไซต์ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ พ้นจากตำแหน่ง 6 คน

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ระบุว่า ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคไทยรักษาชาติ และคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2561 โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ จํานวน 7 คน นั้น

บัดนี้พรรคไทยรักษาชาติได้มีหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา 38 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กรณี นายกมล วิจิตรโสภาพันธ์ ลาออกจากตําแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ตามข้อบังคับพรรคไทยรักษาชาติ พ.ศ.2561 ข้อ 31 วรรคหนึ่ง (2) และข้อ 30 นายทะเบียนพรรคการเมืองได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว ตามมาตรา 38 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

ดังนั้นจึงทําให้คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติพ้นจากตําแหน่งทั้งคณะ จํานวน 6 คนประกอบด้วย 1.นายวีรภัทร พาสุนันท์ รองหัวหน้าพรรค 2.นางธัญญ์รวี สุจิโรจน์ธนกุล เลขาธิการพรรค 3.นายพีรพงศ์ พาสุนันท์ รองเลขาธิการพรรค 4.นางสาวสุรภา ยุวนบุณย์ เหรัญญิกพรรค 5.นายศิรเมศร์ เสถียรุจิกานนท์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค 6.นางสาวจิรัตธิติกาล คุ้มเสือ โฆษกพรรค

ที่มา.เว็บไซต์ราชกิจจาฯ
*****************************************************************

บิ๊กตู่ ประกาศสู้....!!?


เมื่อเวลา 09.10 น. พรรคไทยรักษาชาติ ได้ยื่นบัญชีรายชื่อต่อ กกต. โดยมีการเปิดภาพเป็นภาพ ทูลกระหม่อมฯ และได้ยื่นให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพ ซึ่งเป็นภาพของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ออกแถลงการณ์ด่วน

สารจากนายกรัฐมนตรี 8 กุมภาพันธ์ 2562
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน

นับเป็นเวลากว่าสิบปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน  ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน

ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย

การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้ในบางเรื่อง  ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์ จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้น ในประเทศมาก่อน

เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลา สี่ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใดๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม

รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้น และไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ

พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็ก ๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วง เปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้  ผมได้พิจารณาไตร่ตรอง และทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่างๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่

อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน  ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น  รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเรา ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป

ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี  ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใดๆ  เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี

มีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทั้งนี้ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”

ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุขเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน

………….สวัสดี

ที่มาของบทความ จาก.เวป นสพ.ข่าวสด
*****************************************************

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เปิดศูนย์บริการ SME เสริมแกร่งพื้นที่ EEC

กนอ.ผุดศูนย์ SMEs-ITC ในนิคมฯแหลมฉบังพื้นที่นำร่องเปิดให้บริการเสริมแกร่งเอสเอ็มอี-สตาร์ต อัพไทย รับการขับเคลื่อนอีอีซี

นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กนอ.ได้เปิดศูนย์ให้บริการSMEsIndustrial Transformation Center: SMEs-ITC ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ขึ้นเป็นแห่งแรกเพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)และสตาร์ตอัพ ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ให้มีความเชี่ยวชาญในการประกอบธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งจะเป็นผลให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเติบโตแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

โดยรูปแบบการพัฒนาการให้บริการของศูนย์SMEs ITC ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.การให้บริการพื้นที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน 2.แหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญทุกอุตสาหกรรม 3.ศูนย์รวบรวมความรู้ 4.แหล่งรวมไฟล์/เว็บเพื่อการจับคู่ 5.ศูนย์นวัตกรรม6.บริการด้านทรัพยากรร่วมกัน7โปรแกรมด้านการเงิน 8.ห้องประชุม 9.ห้องฝึกอบรม10.ห้องเจรจาธุรกิจและ 11.ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีหนังสือสำหรับการค้นคว้าหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมกว่า5,000เล่มพร้อมทั้งระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

นอกจากนี้ ภายในศูนย์ให้บริการดังกล่าว จะมีผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญร่วมเป็นพี่เลี้ยง ให้การส่งเสริมและพัฒนาสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ

ที่มา:หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
-----------------------------------------------

'ธ.ก.ส.'เตรียมเสนอแนวทางช่วยคนจนเฟส 2.....!!


ธ.ก.ส. เตรียมเสนอแนวทางช่วยผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 ให้ "สมคิด" พิจารณาสัปดาห์หน้า หลังสำรวจความต้องการเกษตรกรแบบเจาะลึก

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยระยะ 2 ของ ธ.ก.ส. ว่า สัปดาห์หน้าจะเสนอแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณา หลังจากสำรวจความต้องการเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยแบบเจาะลึก เพื่อให้การแก้ไขปัญหาตรงจุดมากขึ้น พร้อมทั้งสำรวจความต้องการสินค้าเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อหาช่องทางการทำตลาดสินค้าเกษตรก่อนที่จะหาอาชีพเสริมทดแทนการปลูกข้าวเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน หากได้รับอนุมัติให้ดำเนินการก็จะเร่งลงพื้นที่ทำความเข้าใจเกษตรกรผู้มีรายได้ทันที

ทั้งนี้ เบื้องต้น ธ.ก.ส.จะใช้โมเดลการเพิ่มรายได้เกษตรกรจังหวัดกระบี่ที่ประสบความสำเร็จด้วยการที่ ธ.ก.ส.จะเข้าไปสำรวจและเจรจาหาตลาดให้กับสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง โดยจะหาเกษตรกรต้นแบบที่เป็นเอสเอ็มอีเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ในพื้นที่รวบรวมผลผลิตและจัดจำหน่ายต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรต้นแบบ 2,000 รายทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกประเภทสินค้าเกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาด อาทิ ผักไฮโดรโปรนิกส์ กล้วยแปรรูป และหญ้าเนเปียร์ จากนั้นจะให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยสมัครใจเข้าโครงการกับเกษตรกรผู้นำ เพื่อส่งสินค้าเกษตรให้กับผู้นำ ทำให้สินค้าเกษตรที่ผลิตมีตลาดรองรับทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ยอมรับแนวทางการเพิ่มรายได้ครั้งนี้ให้กับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยอาจต้องใช้ระยะเวลา เพราะต้องทำควบคู่กับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาช่องทางการทำตลาด และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ หากการรวมกลุ่มกันผลิตสินค้าเกษตรได้มีประสิทธิภาพ ธ.ก.ส.ก็จะพิจารณาปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*******************************************

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

กสอ.ตีฆ้อง เปิดรับ SMEs ยื่นขอกู้ กองทุน 2หมื่นล้าน ทั่วไทย...

กสอ.ตีฆ้องเปิดรับ SMEs ยื่นขอเงินกู้กองทุน 2 หมื่นล้านทั่วไทย ดอกเบี้ย 1-3% เล็งวงเงินปล่อยกู้ขั้นสูง 10 ล้านบาทต่อราย อนุมัติก้อนแรกปลายเดือน เมษายนนี้

นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผย ว่า ขณะนี้ได้ร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ย การจัดทำขั้นตอนการดำเนินงาน และกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะเข้าเงื่อนไขการพิจารณาได้รับเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ หรือกองทุน 20,000 ล้านบาทใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยล่าสุดมีการหารืออาจคิดอัตราดอกเบี้ย 1-3% จากเดิมที่กำหนดไว้ 1% ระยะชำระคืน 7 ปี ไม่ต้องชำระเงินต้นคืน 3 ปีแรก และจะเริ่มพิจารณาอนุมัติวงเงินก้อนแรกภายในปลายเดือนเมษายนนี้

"วงเงิน 20,000 ล้านบาทไม่ได้มาก หากเทียบกับ SMEs ที่มีอยู่ทั่วประเทศ กำลังพิจารณาว่าจะจัดสรรอย่างไรให้กระจายได้ทั่วถึง เบื้องต้นอาจจะได้รับ 100 ล้านบาทเท่า ๆ กัน จากนั้นจะพิจารณาอีกครั้งสำหรับจังหวัดที่มีผู้ยื่นขอเข้ามามาก เช่น จังหวัดเล็ก SMEs ยื่นขอน้อยได้งบฯไป 100 ล้านบาท ส่วนจังหวัดใหญ่มียื่นขอมามากจะเพิ่มงบฯลงไปอีก 500-1,000 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่จะอนุมัติให้แต่ละรายขั้นสูงอาจจะไม่เกิน 10 ล้านบาท"

โดยเบื้องต้นกำหนดคุณสมบัติ คือ SMEs ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต้องมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ในอนาคตได้ ซึ่ง SMEs สามารถยื่นขอใช้สิทธิ์รับเงินกองทุนผ่านช่องทาง SME Support Center และศูนย์ช่วยเหลือ SME Recue Center ที่ตั้งอยู่ในอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้ตั้งแต่บัดนี้ และในวันที่ 5 เม.ย.นี้จะร่วมประชุมกับทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทำการประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกรับทราบ

สำหรับขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติวงเงินกองทุนให้ SMEs แต่ละราย จะต้องผ่านคณะอนุกรรมการหลัก 3 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนประจำจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และผู้แทนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ประธานหอการค้าจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ผู้แทนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) เกษตรจังหวัด เป็นต้น มีอำนาจหน้าที่อนุมัติพิจารณากลั่นกรอง คัดเลือกและวิเคราะห์ศักยภาพของ SMEs ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารประกาศกำหนดตามนโยบายจังหวัด ทั้งนี้ หาก SMEs รายใดผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณาจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ 2

ชุดที่ 2 คณะอนุกรรมการวิเคราะห์การเงิน มีอุตสาหกรรมจังหวัดเป็นประธาน และผู้แทนสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งรัฐและเอกชน ผู้แทนชมรมธนาคารจังหวัด เป็นต้น มีหน้าที่พิจารณาวงเงินให้กู้และสรุปผลการวิเคราะห์ทางการเงิน ทั้งนี้ หาก SMEs รายใดผ่านการพิจารณาจะถูกส่งกลับไปยังชุดที่ 1 เพื่ออนุมัติเป็นทางการต่อไป แต่หากรายใดไม่ผ่านการพิจารณาจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการชุดที่ 3

ชุดที่ 3 คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี มีผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคเป็นประธาน และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น มีหน้าที่วิเคราะห์ กำหนดรูปแบบและวงเงินที่สมควรอนุมัติในการส่งเสริมและพัฒนา

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////