“ผมขอถามตรงไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และหวังว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะกล้าหาญออกมาตอบคำถามเอง อย่าใช้คนอื่นมาตอบ โดยเฉพาะการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายอนุสรณ์ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องตอบอย่างหนัก อีกทั้งบุตรชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีตำแหน่งทางการเมือง บุตรชายจะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย”
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวทันที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอยากฝากคำถามถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2 ข้อว่า
1.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยให้สัมภาษณ์ไม่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ระยะหลังกลับให้คนอื่นออกมาพูดแทน จึงอยากถามว่ายังจะให้การสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้อีกหรือไม่
2.อยากให้ตอบคำถามเกี่ยวกับสามีที่ชื่อ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รวมถึงบุตรชายที่ขณะนี้มีอายุ 9 ขวบ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเป็นประธานกรรมการบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงต้องตอบว่าหากได้เป็นนายกฯจะทิ้งหุ้นบริษัทเอกชนทั้ง 2 แห่งหรือไม่ และจะดำเนินชีวิตทางการเมืองอย่างไร
“อภิสิทธิ์” จี้เปิดตัวชัดเจน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่จะชิงตำแหน่งนายกฯว่า ยังไม่ทราบชัดเจน แต่อยากให้มีความโปร่งใส เพราะเมื่อมีการยุบสภา คนไทยมีสิทธิที่จะรู้ว่าใครจะอาสาตัวเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ อีก ทั้งที่บอกว่าการบริหารประเทศสามารถใช้ระบบทางไกล ได้นั้นไม่เป็นจริง และสุดท้ายต้องตอบคำถามว่าถ้าไม่เป็นจริงแล้วจะไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร พรรคเพื่อไทยจึงควรเปิดตัวออกมา จะได้มีการตรวจสอบวิสัยทัศน์และเรื่องต่างๆเพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชน
นายอภิสิทธิ์พูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณว่าต้องการเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้แน่นอน เพราะมีการเคลื่อนไหวมาหลายปี รวมถึงจะเปลี่ยนแปลงและทำคู่ขนานกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดยังให้กลุ่มคนเสื้อแดงถอดเสื้อแดงออกในช่วงระหว่างการเลือกตั้งด้วย
แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายบุญยอดนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตีคู่แข่งว่า จะห้ามปรามลูกพรรคไม่ให้นำเรื่องส่วนตัวมาพูด และอย่าเพิ่งวิจารณ์จนกว่าจะมีการเปิดตัวให้ชัดเจนก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ให้ความนับถือในฐานะคู่ต่อสู้ทางการเมืองเหมือนกัน
ไพร่-อำมาตย์?
การนำเรื่องส่วนตัวมาใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามทาง การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก่อนหน้านี้นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกวิจารณ์ว่ามักให้สัมภาษณ์โดยนำเรื่องส่วนตัวของฝ่ายตรงข้ามมาถากถาง หรือสร้างเรื่องให้ดูหวือหวาและไม่เป็นความจริง อย่างกรณีมีคนปาอุจจาระบ้านนายอภิสิทธิ์ก็ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตว่ามีการจ้างวานถึง 10 ล้านบาท แต่ภายหลังมือปาอุจจาระสารภาพว่าเพราะไม่พอใจเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร นายเทพไทจึงได้ฉายาว่า “เทพอุนจิ (ขี้)”
หรือกรณีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คถากถางนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และครอบครัวที่ไปรับประทานอาหารที่ร้านเดียวกันว่า
“ทำให้เราอดนึกขำไม่ได้ว่าคนที่เรียกตัวเองว่าไพร่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นพวกอำมาตย์สักเท่าใดนัก...”
ทำให้มีการโพสต์ข้อความตอบโต้ระหว่างนายณัฐวุฒิกับนายกรณ์ จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมนำมาวิพากษ์ถึงความเหมาะสม และปัญหาชนชั้นในสังคมไทยที่ยังไม่ได้หลุดพ้นจาก “ไพร่-อำมาตย์” แม้นายกรณ์จะออกมาปฏิเสธว่ามิได้ต้องการปลุกปั่นให้สังคมแตกแยก และไม่เคยเห็นว่าสังคมไทยมีความแตกต่างกัน แต่นางวรกร จาติกวณิช ภรรยาของนายกรณ์ ที่โพสต์ข้อความเช่นกันนั้นกลับยิ่งตอกย้ำชัดเจน
“ณ ร้านอาหารในซอยทองหล่อคืนนี้ อำมาตย์และอำมาตย์หญิงแชร์เบียร์ไทย 1 ขวด ส่วนไพร่กับภรรยาดื่มไวน์ราคาแพง และมีพยาบาลตามมาดูแลลูก...”
ในขณะที่นายณัฐวุฒิได้ขอยุติการตอบโต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เหนือกว่า
ยิ่งตียิ่งได้คะแนน
การที่นายสุเทพออกมาเตือนนายบุญยอดเรื่องนำเรื่องส่วนตัวมาเป็นเกมการเมืองนั้นก็เหมือนการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีข่าวเรื่องครอบครัวและชู้สาวอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคำถามของนายบุญยอดเรื่องจดทะเบียนสมรสก็เหมือนการแทงใจดำนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ หรือคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ไปด้วยเช่นกัน
แม้แต่นายสุเทพเองก็มักจะถูกพาดพิงถึงภรรยาในปัจจุบัน ซึ่งนายสุเทพก็ไม่พอใจที่ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะรู้ดีว่าต้องการให้เกิดความบาด หมางกับแกนนำบางคนในพรรคประชาธิปัตย์
ที่สำคัญสังคมไทยเป็นสังคมครอบครัวที่มีความเมตตาและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างหญิงและชาย ทั้งยังให้ความเคารพยกย่อง เพศหญิงว่าเปรียบเสมือน “แม่” ผู้มีพระคุณอีกด้วย
ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์พยายามใช้เรื่องส่วนตัวโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่เคยมีบาดแผลทาง การเมืองมาก่อนนอกจากเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แทนที่จะเป็นผลดีกลับยิ่งทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเพิ่มมากขึ้น และทำให้โอกาสที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกเป็นไปได้สูง เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีการพูดถึงคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าอาจเล่นการเมืองและจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เช่นเดียวกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งต้องเว้นวรรคการเมืองเพราะการยุบพรรคไทยรักไทย
คุณสมบัตินายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศรัสเซีย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดนอกจากคาดว่าน่าจะไปหารือเรื่องทั่วๆไป หรือถือโอกาสรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ตามปรกติ เพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์
แต่เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งพรรคเพื่อไทยกำลังมีการแย่งชิงว่าใครจะได้เป็นแคนดิเดตตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีชื่อทั้งนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตข้อ ความผ่านทวิตเตอร์ว่า คนที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนายกฯหากได้เป็นรัฐบาล แต่บังเอิญพรรคสายเลือดไทยรักไทยเป็นพรรคที่ถูกแกล้ง จึงโดนยุบพรรคมาหลายครั้งแล้ว ส่วนพรรคคู่แข่งทำอะไรผิดก็ช่วยกันให้ไม่ผิด เลยต้องสู้กันแบบนี้
เมื่อหลายคนถามว่าถ้าชนะการเลือกตั้งจะเสนอใครเป็นนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตข้อความถึงคุณสมบัติผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งประชาชนต้องการ 9 ข้อคือ
1.ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาประสานงานกับทุกฝ่ายได้ ไม่ขยันสร้างศัตรู 2.ต้องเป็นคนที่มีเมตตาธรรม 3.ต้องมีจิตใจรักความเป็นธรรม 4.ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสิ่งที่ผิด 5.ต้องเป็นคนเข้าใจเศรษฐกิจของประชาชนและของภาคธุรกิจ 6.ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์บริหารองค์กรขนาดใหญ่ เข้าใจอย่างเดียวแต่ทำไม่เป็นไม่ได้ 7.ต้องเป็นคนที่มีใจรักประชาชน 8.ต้องเป็นผู้รักความเป็นประชาธิปไตย โดยเคารพความสามารถและสติปัญญาของประชาชน และ 9.ต้องเป็นผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ชู “ยิ่งลักษณ์” รวมพลังสู้ ปชป.
คุณสมบัติ 9 ข้อ มี 2 ข้อที่ทำให้ชื่อของ พล.ต.อ.ประชาหลุดไปคือ ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจและการบริหารองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ จึงเหลือแค่นายมิ่งขวัญกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่ในทวิตข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณก็อ้างว่าแฟนคลับรายหนึ่งได้ทวิตข้อความถามว่าหลายคนยอมรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณตอบไปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อจบปริญญาโทจากอเมริกาก็มาทำงานธุรกิจกับตน โดยเริ่มเป็นเซลล์ขายโฆษณาเยลโล่เพจเจสจนโตเป็นประธานบริหารเอไอเอส ซึ่งในทางการเมืองก็เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ที่สำคัญเชื่อว่าหากให้บุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นนายมิ่งขวัญหรือ พล.ต.อ.ประชาก็อาจทำให้ความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยมีมากขึ้น เหมือนที่ผ่านมาที่มีความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือกรณี ร.ต.อ.เฉลิมกับกลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์
ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นสัญญาณเตือนให้แกนนำในพรรคที่ต้องการจะขึ้นเป็นนายกฯในนามพรรคเพื่อไทยต้องหยุดให้ข่าวได้แล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นผู้เลือกเฟ้นบุคคลที่เหมาะสมและเห็นชอบ เนื่องจากดูแล ส.ส. และพรรคมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเตรียมบุคคลที่เลือกไว้ในใจแล้วว่ามีคุณสมบัติที่สามารถ นำพาประเทศให้หลุดพ้นวิบากกรรม แก้ปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจได้
จากธุรกิจสู่การเมือง
สำหรับว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีชื่อเล่นว่า “ปู” ปัจจุบันอายุ 44 ปี เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2510 เป็นน้องสาวคนสุดท้องในจำนวน 9 คน ของนายเลิศและนางยินดี ชินวัตร สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรชาย 1 คน
ด้านการศึกษาจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2533 และเข้าทำงานที่บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด เป็นกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
แต่หลังจากตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ลาออกจากเอไอเอสไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ส่วนบทบาททางการเมืองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เข้าร่วมกิจกรรมและอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยมาตลอดหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องใช้ชีวิตในต่างประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเหมือนตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นผู้ดูแลเงินที่ใช้ในกิจการต่างๆของพรรค จึงมีความสนิทสนมกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี
เปรียบเทียบกึ๋น “ปู-มาร์ค”?
แม้ยังไม่มีความชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคู่ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่ แต่ก็มีการเตรียมป้ายหาเสียงที่มีรูปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์คู่กับผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนหนึ่งไว้แล้ว ในเวทีการเมืองจึงหนีไม่พ้นการเปรียบเทียบความเหมาะสมและคุณสมบัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งในทางการเมืองแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะอยู่เบื้องหลังมานานพอสมควร แต่ก็ถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่ชั้นเชิงในทางการพูด การอภิปราย การโต้ตอบด้วยคารม เทียบชั้นไม่ได้กับนายอภิสิทธิ์ แต่ในด้านความรู้ความสามารถและการบริหารจัดการทางธุรกิจแล้วถือว่ามีมากกว่านายอภิสิทธิ์แน่นอน
โดยเฉพาะผลงานของนายอภิสิทธิ์ในช่วงที่เป็นรัฐบาล 2 ปีที่ผ่านมาถูกโจมตีว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างที่คณะกรรมการนโยบายเพื่อไทยชี้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารล้มเหลวจนบ้านเมืองใกล้ล้มละลายใน 9 ด้านคือ หนี้สาธารณะ การบริหารงบประมาณล้มเหลว ปัญหาค่าครองชีพสูง การทุจริตคอร์รัปชัน ความสามารถในการแข่งขัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหายาเสพติด ความล้มเหลวด้านการต่างประเทศ และความล้มเหลวด้านการศึกษา
“ฉายา” บ่งบอกผลงาน
อย่างการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหารที่ได้ฉายาว่า “รัฐบาลเทพประทาน” ก็บ่งบอกถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าอยู่เคียงข้างประชาชนหรือเผด็จการ ซึ่งเป็นบาดแผลลึกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่อาจลบออกไปได้ โดยเฉพาะนักวิชาการและฝ่ายประชาธิปไตยถือว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง อีกทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ยังถูกวิจารณ์อย่างมากถึงภาวะผู้นำที่ไม่มีความเด็ดขาดและอ่อนแอ โดยเฉพาะการดำเนินการกับรัฐมนตรีที่มีข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งที่ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ แต่กลับขึ้นสนิม จนนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาว่า “หล่อหลักลอย” ขณะที่ภาพลักษณ์โดยทั่วไปก็ถูกวิจารณ์ว่า “ดีแต่พูด” หรือ “เก่งแต่สร้างภาพ” เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเดินสายเปิดงานและปาฐกถามากมายแค่ไหน ส่วนรัฐบาลก็ได้ฉายาว่า “ใครเข้มแข็ง?” ซึ่งสะท้อนถึงการทุจริตคอร์รัปชันในแทบทุกโครงการ
โดยในปีแรกของรัฐบาล นักข่าวสายทำเนียบรัฐ-บาลตั้งฉายาให้ว่า “รัฐบาลรอดฉุกเฉิน” เพราะรอดพ้น ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนมีคนตายถึง 91 คน และบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน และยังรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งที่แทบไม่มีผลงานเศรษฐกิจอะไรที่โดดเด่น ส่วนนายอภิสิทธิ์ได้ฉายา “ซีมาร์คโลชั่น” เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้นอกจากการบรรเทาโรค เหมือนการใช้ซีม่าโลชั่นทาแก้คันเท่านั้น
เพื่อตระกูล “ชินวัตร”
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาเล่นการเมืองเต็มตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่บวกและลบ โดยเฉพาะคำถามว่าจะทำให้คนในตระกูลชินวัตรกลับมารุ่งเรืองหรือตกต่ำกว่าเดิม เพราะเมื่อเล่นการ เมืองก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือวิสัยทัศน์ อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมขณะนี้ ซึ่งต้องพยายามดิสเครดิตตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยทุกรูปแบบ
ขณะที่ในมุมมองของนักวิชาการก็มีความเห็นที่หลากหลาย อย่างเช่น น.ส.สิริพรรณ นกสวน อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ไม่แปลกใจที่มีกระแสข่าวจากพรรคเพื่อ ไทยว่าจะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 และจะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเป็นครอบครัวและพรรคชินวัตรทันที ซึ่งที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็พยายามปกป้องครอบครัวและคนในตระกูลมาตลอด
“แนวโน้มที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกชูตัวเป็นนายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นไปได้สูง นั่นหมายความว่าจะเป็นการเปิดศึกสู้กับชนชั้นนำและทหารเต็มที่”
น.ส.สิริพรรณเห็นว่าหลังการเลือกตั้งแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบพรรคยังมีสูง เพราะจะมีกระบวนการสกัดกั้นมิให้พรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลอย่าง เต็มที่ และหากพรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลก็ต้องเป็น การตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งโอกาสจะเกิดวิกฤตการเมืองก็เป็นไปได้สูง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงจะมีความวุ่นวายตามมาแน่ไม่ว่าพรรคใดจะชนะเลือกตั้ง แต่หากรอให้อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมา เมื่อถึงเวลานั้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองก็ได้
“ยิ่งลักษณ์” สายล่อฟ้า!
ขณะที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เคยกล่าวเปรียบเทียบพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า หากดูฐานเดิมกับรูปแบบเลือกตั้งใหม่ จำนวน ส.ส. ที่จะได้คงไม่หนีกันเท่าไร แต่ยอดรวมพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ระบบเขตเพิ่มขึ้นบวก-ลบไม่เกิน 1-2 คน แต่พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. มากที่สุดแล้วจะได้ตั้งรัฐบาลหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งที่พรรคเพื่อไทยมีความชอบธรรมทางการเมืองและมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ซึ่งคนในตระกูลชินวัตรมีบทเรียนสูง จึงรู้ดีว่าอะไรที่ชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย
“ในประวัติศาสตร์การเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยได้กลับมาเป็นรัฐบาลเบิ้ลสมัยที่ 2 แต่ประวัติศาสตร์ก็มีไว้ให้ทำลาย ไม่แน่ หรืออาจจะมีเรื่องมนต์ดำ แต่ผมไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่มนต์เขมร แต่เราอย่าไปกลัวมัน มันก็ไม่สามารถมาครอบงำเราได้” นายสุวัจน์กล่าวยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินแสดงความมั่นใจว่าจะได้กลับประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่พรรคใดจะเป็นรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเดิมพันถึงอนาคตของตระกูลชินวัตรทั้งหมดด้วย จึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายฟันธงว่าการเลือกตั้งจะไม่สามารถยุติวิกฤตความขัดแย้งได้เช่นเดียวกับกระแสการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย หรือข่าวจริง แต่การออกมาตบเท้าแสดงพลังของกองทัพ รวมถึงการไล่บี้คนเสื้อแดงและปิดสื่อต่างๆ โดยอ้างมาตรา 112 และข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง ล้วนแยกไม่ออกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งอาจถูกยุบพรรคได้ไม่ยาก
แม้ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ แต่การเมืองไทยวันนี้ประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์ เพราะต้องฟังเสียงจากสวรรค์จริงๆเท่านั้น
เมื่ออยู่กลางฝนก็อย่ากลัวเปียก...เมื่ออยู่ใต้ฟ้าจงอย่ากลัวฟ้าผ่า เพราะเมื่ออสุนีบาต...สายฟ้าฟาดจะผ่าน “สายล่อฟ้า” ลงสู่ใต้พื้นปฐพี!
ตั้งสติไว้ให้ดี นับแต่นี้ชีวิตจะเปลี่ยนไป กับคำทำนายถึงผู้มีชื่อเล่นอักษรย่อ ป.ปลา “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////