ดูเหมือนคนเสื้อแดงยังคงอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว จากทุกเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ ล่าสุด ก็เรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่รับรองว่าที่ ส.ส.เสื้อแดงอีกจำนวน 12 คน ทำให้ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า พฤติการณ์ข่มขู่คุกคามที่เคยใช้มาอย่างต่อเนื่องนั้นยังคงอยู่คู่เสื้อแดงและยากที่จะสลัดทิ้ง
หากจำเพาะลงไปที่การให้ความเห็นของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งองค์กร นปช. จะพบว่า พฤติการณ์ยังคงเป็นเมื่อครั้งพวกเขาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ลงจากตำแหน่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการข่มขู่ คุกคาม โกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล
แต่อย่างน้อยได้รับรู้ชัดเจนอย่างหนึ่งนั้นคือ อุดมการณ์แบบคนเสื้อแดงนั้นยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังเชื่อว่า มีพลังที่มองไม่เห็นกำลังจะมาแทรกแซง กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้ง ส่วนนางธิดา ถาวรเศรษฐ เตือนว่า กกต.และเครือข่ายอำมาตย์ อย่าเรื่องมาก อย่าให้ต้องเหนื่อย นั่นแสดงว่า คนเสื้อแดงยังเชื่อเรื่องอำมาตย์และพร้อมที่จะชน โดยไม่ได้มองในมิติของ
กกต. ที่ต้องทำงานโดยอิงข้อมูลหลักฐาน ใครทำดีทำเลวระหว่างหาเสียงเลือกตั้งต้องกรองก่อนปล่อยเข้าสภา
หากย้อนกลับไปช่วงไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อำมาตย์คือเป้าใหญ่ที่คนเสื้อแดงประกาศว่าจะต้องล้มให้ได้ เพื่อให้ไพร่ได้ครองเมืองแทน ก็น่าจะชัดเจนว่า เสื้อแเดงจะยังคงไล่อำมาตย์ต่อ และจะเป็นเรื่องท้าทายอันใหญ่หลวงสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างการเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับรัฐบาลของคนเสื้อแดงที่ต้องการโค่นอำมาตย์ แต่จะมีกี่แดงที่หาญทำเช่นนั้น
ถามว่า จริงหรือที่คนเสื้อแดงจะโค่นอำมาตย์ให้ได้ภายใต้เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คำตอบอาจอยู่ที่พฤติกรรมที่แกนนำคนเสื้อแดงแสดงออก อย่างแรกที่ชัดเจนคือ ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สถาบันองคมนตรีตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น แต่เจ้าของร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคนเสื้อแดงอ้างถึงคือ นพ.เหวง โตจิราการ ที่วันนี้กำลังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลับพยายามโน้มน้าวให้คนเสื้อแดงชะลอเรื่องไปก่อน
เฉพาะประเด็นโค่นอำมาตย์ แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงเริ่มแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่กำลังเข้าสู่อำนาจ ไม่อยากจะชนอำมาตย์ แต่ฝ่ายที่ไม่ได้เสวยสุขด้วย ยังคงเดินหน้าล้มล้างต่อไป จึงมีแนวโน้มสูงว่า สุดท้ายแล้ว ในประเด็นนี้เสื้อแดงจะแตกคอกันเอง แต่ไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่ เพราะท้ายสุด มวลชนแดงคือมวลชนที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดงอุดมการณ์สุดขั้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ประเด็นนี้อาจตอบได้ด้วยทิศทางของการเลือกตั้งในภาคอีสานและภาคเหนือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน เพราะจริงๆ แล้ว คนที่เสพนโยบายประชานิยม ถูกผสมปนเปเหมารวมเป็นคนเสื้อแดง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นการยึดตัวบุคคลในพื้นที่เหนือ-อีสานมีสูงมาก นั่นเป็นที่มาว่า ทำไมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีในดงแดง ถึงยังมีชื่อ ส.ส.ประชาธิปัตย์ปรากฏอยู่
การเลือกตั้งปี 2535 พรรคสามัคคีธรรม เคยชนะการเลือกตั้งในภาคเหนือและอีสานถล่มทลาย แล้วพรรคสามัคคีธรรมมีที่มาอย่างไร ถ้าจำกันได้ พรรคนี้คือพรรคมารที่เป็นทายาทเผด็จการทหาร รสช. หวังว่าคงเห็นภาพระหว่าง ความปรารถนาในการล้มอำมาตย์ กับ การหนุนทุนสามานย์.
ที่มา.ไทยโพสต์
***************************************
วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อุดมการณ์แดงยังอยู่ จ้องล้มอำมาตย์จริงหรือ !!?
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ จงใจให้รู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ ทักษิณดูแล...ไว้ใจได้ !!?
สัมภาษณ์
หลังการเลือกตั้ง การเมืองกลับเข้าสู่ระบบ
นักการเมือง 500 คน เข้าสู่เกมการต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎร
แต่แกนนำมวลชนแดงนอกสภา ที่เคยเป็นขา-แขนให้นักการเมืองฝ่าย "เพื่อไทย" กำลังสั่นสะเทือน
เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยถูกป้ายสีเป็นเผด็จการ
เมื่อแขน-ขา-ดวงตาของเพื่อไทยสลับบทบาท
ผู้สัมภาษณ์สนทนาหาคำตอบจากปาก "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" หลังบ้านว่าที่ ส.ส.น.พ.เหวง โตจิราการ
- นปช.เหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
รัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจบริหาร ส่วน ส.ส. ก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เขาก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ถ้าเขามีความสามารถและเหมาะสม เขาก็แยกไปทำงานให้ประชาชน แต่ถ้าใครโดนอำมาตย์หลอก ครอบงำ ก็จะบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรี แปลว่าเป็นพวกเลว นิสัย ไม่ดี อยากได้อำนาจ แปลว่าแบ่งเค้กไม่คิดบ้างว่า ถ้า นปช.จะเป็นรัฐมนตรี เขาก็ทำงานให้ประชาชนได้
- รัฐมนตรีจาก นปช.จะเป็นสายล่อฟ้า เป็นจุดอ่อนพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
คุณอาจจะบอกว่า เขาเป็นสายล่อฟ้า แต่เขามีสายดิน เขามีฐานมวลชนรองรับ พวกที่มาพูดเรื่องนิรโทษกรรม มันไม่มีสายดิน ไม่มีฐานมวลชนรองรับ
- คุณทักษิณเคยต่อสายถึงอาจารย์หรือเปล่า
ไม่ค่อยได้คุยกัน ยกเว้นมีบางครั้ง เช่น คนอื่นเขามาอยู่ใกล้เรา แล้วเขาโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์บอกให้เราคุยหน่อย คุณทักษิณก็บอกว่า เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์บอก ก็เหนื่อยตอนแก่ แต่ถ้าได้คุยกับคุณทักษิณตอนนี้นะ จะบอกเขาว่า เหนื่อยตอนแก่ไม่พอ ยังมีคนด่าอื้อฉาวขนาดนี้
- มองบทบาท "ยิ่งลักษณ์" กับอดีตนายกฯ "ทักษิณ" อย่างไร
ชัดเจน คุณอย่าไปหลอกตัวเองกันเลย เขาให้คุณยิ่งลักษณ์มาทำ เพื่อต้องการซื้อหัวใจประชาชน ว่างานนี้คุณทักษิณดูแล พูดตรง ๆ ว่าเปิดหน้าสู้ ไม่ต้องพูดว่านอมินี หรือโคลนนิ่ง เพราะนี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) ของ การเปิดหน้าสู้เลย
เพื่อให้ประชาชนไว้ใจว่าคุณทักษิณไม่ได้ทิ้งนะ เขายังช่วยดูแลอยู่ มัน ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดัดจริต พูดหรอก ใครเขาจะไม่ช่วยล่ะ คราวนี้เป็นน้องสาวคุณทักษิณ จงใจให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ คุณทักษิณดูแล ไว้ใจได้ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้คะแนนเสียงเยอะ ประชาชนรักคุณทักษิณ
- อำนาจอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ
คุณทักษิณอาจจะแนะนำ 50 อย่าง แต่เขาอาจจะเอามาใช้แค่ 20 ก็ได้ อีก 30 ไม่ได้เรื่อง เขาอาจจะไม่เอาก็ได้ อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าแปลก
- ตุลาการภิวัตน์จะกลับมายับยั้งอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่
ประชาชนได้เปิดประตูก้าวแรกจากการเลือกตั้ง คน 35 ล้านมาเลือกตั้ง คุณไม่ฟังหรือ นี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย แล้วประตูที่ 2 ถ้าไม่เปิดต่อ แล้วคุณอย่าขวาง คุณทำเหมือนเราเป็นพวกมาจากข้างนอก ที่จริง นี่มันประเทศของประชาชนนะ ไม่ใช่ประเทศของระบอบอำมาตย์
- ยังมีระบบของ กกต. และศาล
ก็ไม่เป็นไร นี่ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ 15 ล้านเลือกเพื่อไทย เที่ยวหน้าจะ 20 ล้าน เอาล่ะ ถ้ายึดอำนาจอีก เที่ยวต่อไปจะ 25 ล้าน คุณจะอยู่ยังไง ขณะนี้ อภิสิทธิ์ยังเดินถนนแทบไม่ได้ ตัวเจ๋ง ๆ ของระบอบอำมาตย์ ลองมาเดินถนนดูสิ
- ถ้า กกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์กับ นปช. สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประชาชนก็ต้องต่อสู้ แต่ไม่ใช่จับอาวุธสู้นะ คุณใช้การทหารมาสู้การเมือง คุณกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจว่าการทหารชนะ เพราะเราตาย ถือว่าเราแพ้ เพราะคุณ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายในสนามการเมืองของประชาชน คุณแพ้ คุณจะใช้ตุลาการภิวัตน์อะไรก็ตาม
แต่ในชาตินี้ คุณหนีการเลือกตั้งไม่พ้นหรอก แล้วให้โลกมันเห็นชัด ถ้าไม่ตายนะ คิดว่าระบอบอำมาตย์จะอยู่ยืนยาวโดยไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็แล้วแต่คุณเถอะ เราอดทนมา 5 ปี เราสันติวิธีนะ ถ้าคิดว่าปราบแล้วหาย ก็คิดผิด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////
นักการเมือง 500 คน เข้าสู่เกมการต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎร
แต่แกนนำมวลชนแดงนอกสภา ที่เคยเป็นขา-แขนให้นักการเมืองฝ่าย "เพื่อไทย" กำลังสั่นสะเทือน
เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยถูกป้ายสีเป็นเผด็จการ
เมื่อแขน-ขา-ดวงตาของเพื่อไทยสลับบทบาท
ผู้สัมภาษณ์สนทนาหาคำตอบจากปาก "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" หลังบ้านว่าที่ ส.ส.น.พ.เหวง โตจิราการ
- นปช.เหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
รัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจบริหาร ส่วน ส.ส. ก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เขาก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ถ้าเขามีความสามารถและเหมาะสม เขาก็แยกไปทำงานให้ประชาชน แต่ถ้าใครโดนอำมาตย์หลอก ครอบงำ ก็จะบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรี แปลว่าเป็นพวกเลว นิสัย ไม่ดี อยากได้อำนาจ แปลว่าแบ่งเค้กไม่คิดบ้างว่า ถ้า นปช.จะเป็นรัฐมนตรี เขาก็ทำงานให้ประชาชนได้
- รัฐมนตรีจาก นปช.จะเป็นสายล่อฟ้า เป็นจุดอ่อนพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
คุณอาจจะบอกว่า เขาเป็นสายล่อฟ้า แต่เขามีสายดิน เขามีฐานมวลชนรองรับ พวกที่มาพูดเรื่องนิรโทษกรรม มันไม่มีสายดิน ไม่มีฐานมวลชนรองรับ
- คุณทักษิณเคยต่อสายถึงอาจารย์หรือเปล่า
ไม่ค่อยได้คุยกัน ยกเว้นมีบางครั้ง เช่น คนอื่นเขามาอยู่ใกล้เรา แล้วเขาโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์บอกให้เราคุยหน่อย คุณทักษิณก็บอกว่า เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์บอก ก็เหนื่อยตอนแก่ แต่ถ้าได้คุยกับคุณทักษิณตอนนี้นะ จะบอกเขาว่า เหนื่อยตอนแก่ไม่พอ ยังมีคนด่าอื้อฉาวขนาดนี้
- มองบทบาท "ยิ่งลักษณ์" กับอดีตนายกฯ "ทักษิณ" อย่างไร
ชัดเจน คุณอย่าไปหลอกตัวเองกันเลย เขาให้คุณยิ่งลักษณ์มาทำ เพื่อต้องการซื้อหัวใจประชาชน ว่างานนี้คุณทักษิณดูแล พูดตรง ๆ ว่าเปิดหน้าสู้ ไม่ต้องพูดว่านอมินี หรือโคลนนิ่ง เพราะนี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) ของ การเปิดหน้าสู้เลย
เพื่อให้ประชาชนไว้ใจว่าคุณทักษิณไม่ได้ทิ้งนะ เขายังช่วยดูแลอยู่ มัน ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดัดจริต พูดหรอก ใครเขาจะไม่ช่วยล่ะ คราวนี้เป็นน้องสาวคุณทักษิณ จงใจให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ คุณทักษิณดูแล ไว้ใจได้ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้คะแนนเสียงเยอะ ประชาชนรักคุณทักษิณ
- อำนาจอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ
คุณทักษิณอาจจะแนะนำ 50 อย่าง แต่เขาอาจจะเอามาใช้แค่ 20 ก็ได้ อีก 30 ไม่ได้เรื่อง เขาอาจจะไม่เอาก็ได้ อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าแปลก
- ตุลาการภิวัตน์จะกลับมายับยั้งอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่
ประชาชนได้เปิดประตูก้าวแรกจากการเลือกตั้ง คน 35 ล้านมาเลือกตั้ง คุณไม่ฟังหรือ นี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย แล้วประตูที่ 2 ถ้าไม่เปิดต่อ แล้วคุณอย่าขวาง คุณทำเหมือนเราเป็นพวกมาจากข้างนอก ที่จริง นี่มันประเทศของประชาชนนะ ไม่ใช่ประเทศของระบอบอำมาตย์
- ยังมีระบบของ กกต. และศาล
ก็ไม่เป็นไร นี่ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ 15 ล้านเลือกเพื่อไทย เที่ยวหน้าจะ 20 ล้าน เอาล่ะ ถ้ายึดอำนาจอีก เที่ยวต่อไปจะ 25 ล้าน คุณจะอยู่ยังไง ขณะนี้ อภิสิทธิ์ยังเดินถนนแทบไม่ได้ ตัวเจ๋ง ๆ ของระบอบอำมาตย์ ลองมาเดินถนนดูสิ
- ถ้า กกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์กับ นปช. สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประชาชนก็ต้องต่อสู้ แต่ไม่ใช่จับอาวุธสู้นะ คุณใช้การทหารมาสู้การเมือง คุณกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจว่าการทหารชนะ เพราะเราตาย ถือว่าเราแพ้ เพราะคุณ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายในสนามการเมืองของประชาชน คุณแพ้ คุณจะใช้ตุลาการภิวัตน์อะไรก็ตาม
แต่ในชาตินี้ คุณหนีการเลือกตั้งไม่พ้นหรอก แล้วให้โลกมันเห็นชัด ถ้าไม่ตายนะ คิดว่าระบอบอำมาตย์จะอยู่ยืนยาวโดยไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็แล้วแต่คุณเถอะ เราอดทนมา 5 ปี เราสันติวิธีนะ ถ้าคิดว่าปราบแล้วหาย ก็คิดผิด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ศาลฎีกาฯยกคำร้อง'จำลอง'ขอล้มเลือกตั้ง3ก.ค.
ศาลยกคำร้อง "พล.ต.จำลอง" ขอล้มเลือกตั้ง ชี้ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจ ผู้ร้องยื่นคดีต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ ...
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 ก.ค. ศาลอ่านคำสั่งคดีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นฟ้อง นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. และกับพวก กกต. ขอให้ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม และให้มีคำสั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ กรณี กกต. นำมาตรา 97 และ 101 พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง และไม่ได้ขอลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงต้องใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งตามที่เคยขอลงทะเบียนไว้ มาวินิจฉัยในการใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นไปในลักษณะตัดสิทธิเลือกตั้งของผู้ร้องและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกจำนวนมาก
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจ ผู้ร้องยื่นคดีต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ จึงให้ยกคำร้อง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ.
ที่มา: ไทยรัฐ
///////////////////////
สงครามหรือเสียแผ่นดิน !!?
โดย.พญาไม้ทูเดย์
ประเดิม...งานใหญ่งานแรกของ..นายกรัฐมนตรีคนใหม่..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..และผู้จัดการประเทศ..ทักษิณ ชินวัตร...คือ..คำพิพากษาของศาลโลก ข้อเขียนนี้เกิดก่อนวันพิพากษา..
ถ้า..ศาลโลกพิพากษาไปตามแนวทางคำขอของ..กัมพูชา..คือให้เขตพื้นที่โดยรอบตกเป้นของกัมพูชาและให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณนั้นทันที..
ปัญหาคือว่า..รัฐบาลจะสั่งกองทัพได้หรือไม่..
กองทัพอาจจะบอกว่าต้องทำตามคำสั่งรัฐบาล..แต่ประชาชนที่ไม่ชื่นชอบในพรรคเพื่อไทยและไม่นิยมใน ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อาจจะก่อหวอดสร้างพลังต่อต้านขึ้นมาบนท้องถนน..และลามไหม้ต่อไปจนกลายเป็นเรื่องไล่รัฐบาล
หากว่าประเทศไทย..ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก..ก็จะเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับสภาวะสงครามกับประเทศกัมพูชาและพันธมิตรอินโดจีนของเขา..และที่สำคัญที่สุดนั้น..มิตรภาพระหว่าง..ผู้นำกัมพูชา กับ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็จะมีปัญหา..
ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง..หากว่าคำพิพากษาของศาลโลก..มีผลทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 แล้ว..เป็นสิ่งที่คนไทยอย่างเราทำใจยอมรับลำบากหรือไม่ยอมรับ
สันติภาพไม่มีความหมาย มิตรภาพไม่ใช่ความปรารถนาต้องการ..ประเทศต้องพร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม..เพื่อเดินหน้าเข้าไปเอาดินแดนในอดีตที่ฟรั่งเศส..ใช้เรือปืนมาขู่และคนไทยในครั้งนั้น..ขลาดต่อสงครามและยอมเสียดินแดนและผู้คน
ประเทศไทย..ต้องพร้อมและสนับสนุนที่จะให้คนไทยในเขตปกครองของกัมพูชา..จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยพวกเขาแล้วสร้างเขมรตะวันตกหรือไทยตะวันออกขี้นมา..ประเทศไทยต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้ว แต่..ผู้นำชาติกลับนิ่งเฉยและไม่นำพา
กองทัพที่เก่งแต่จะฆ่าแต่ประชาชนของตนเอง..ต้องกล้าพอที่จะทำสงครามขยายดินแดน..ที่หยุดมาแล้วกว่า 200 ปี..และยินดีแต่การ..ส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้รุกราน
ยิ่งลักษณ์..ชินวัตร..โชคดี..เพราะเรื่องนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ยังเป็นนายกรัฐมนตรี..
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************
ประเดิม...งานใหญ่งานแรกของ..นายกรัฐมนตรีคนใหม่..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..และผู้จัดการประเทศ..ทักษิณ ชินวัตร...คือ..คำพิพากษาของศาลโลก ข้อเขียนนี้เกิดก่อนวันพิพากษา..
ถ้า..ศาลโลกพิพากษาไปตามแนวทางคำขอของ..กัมพูชา..คือให้เขตพื้นที่โดยรอบตกเป้นของกัมพูชาและให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณนั้นทันที..
ปัญหาคือว่า..รัฐบาลจะสั่งกองทัพได้หรือไม่..
กองทัพอาจจะบอกว่าต้องทำตามคำสั่งรัฐบาล..แต่ประชาชนที่ไม่ชื่นชอบในพรรคเพื่อไทยและไม่นิยมใน ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อาจจะก่อหวอดสร้างพลังต่อต้านขึ้นมาบนท้องถนน..และลามไหม้ต่อไปจนกลายเป็นเรื่องไล่รัฐบาล
หากว่าประเทศไทย..ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก..ก็จะเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับสภาวะสงครามกับประเทศกัมพูชาและพันธมิตรอินโดจีนของเขา..และที่สำคัญที่สุดนั้น..มิตรภาพระหว่าง..ผู้นำกัมพูชา กับ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็จะมีปัญหา..
ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง..หากว่าคำพิพากษาของศาลโลก..มีผลทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 แล้ว..เป็นสิ่งที่คนไทยอย่างเราทำใจยอมรับลำบากหรือไม่ยอมรับ
สันติภาพไม่มีความหมาย มิตรภาพไม่ใช่ความปรารถนาต้องการ..ประเทศต้องพร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม..เพื่อเดินหน้าเข้าไปเอาดินแดนในอดีตที่ฟรั่งเศส..ใช้เรือปืนมาขู่และคนไทยในครั้งนั้น..ขลาดต่อสงครามและยอมเสียดินแดนและผู้คน
ประเทศไทย..ต้องพร้อมและสนับสนุนที่จะให้คนไทยในเขตปกครองของกัมพูชา..จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยพวกเขาแล้วสร้างเขมรตะวันตกหรือไทยตะวันออกขี้นมา..ประเทศไทยต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้ว แต่..ผู้นำชาติกลับนิ่งเฉยและไม่นำพา
กองทัพที่เก่งแต่จะฆ่าแต่ประชาชนของตนเอง..ต้องกล้าพอที่จะทำสงครามขยายดินแดน..ที่หยุดมาแล้วกว่า 200 ปี..และยินดีแต่การ..ส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้รุกราน
ยิ่งลักษณ์..ชินวัตร..โชคดี..เพราะเรื่องนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ยังเป็นนายกรัฐมนตรี..
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************
ยืมดาบฆ่าคน!!
แขวนปู จับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ดองเป็นปูเค็ม..เพื่อสกัดเส้นทาง “ตระกูลชินวัตร” ไปให้พ้น???
อยากให้ “ผู้เฒ่า” เจ้าของ “สัมปทานไม้ป่าเดียวกัน” ระงับยับยั้งชั่งใจ มีหิริโอตัปปะบ้าง ปัญญาจะได้เกิด
กรุณาอย่าทำตัวเป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” มากนักเลย..ปล่อยให้ “น้องปู” เป็นนายกฯ ตามเจตนารมณ์เสียงสวรรค์ ๑๕ ล้านเสียงของประชาชนเถิด
ประเทศชาติ บ้านเมือง จะได้หลุดพ้นพันธนาการ แห่งความแตกแยกกันเสียที..ยิ่งจับ “น้องปู” มาดองเค็ม เหมือนจะผ่าประเทศ ออกเป็น ๒ ซีก!!
ท่านก็แก่เดินงก ๆ เงิ่นๆ จะคว่ำ..น่าล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่ควรทำให้บ้านเมืองยุ่งอีก???
--------------------------------------
“บรรพชิต” ต้องจำ “พรรษา”!!
บางคน?...มีชื่อนำหน้า ขึ้นต้นด้วย _?_ แทนที่จะอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นขอมดำดิน ออกไปนอกประเทศ จนเป็นที่ฮือฮา??
ว่ากันว่า, ไปในช่วงจังหวะเหมาะเหม็ง... ช่วงเดียวกันกับ “กลุ่มอรหันต์ทองคำ” ไปดูราชการที่ต่างประเทศ ไงล่ะเจ้านาย
เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อสกัดเส้นทาง “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้เป็นนารีขี่ม้าขาว เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นปะไร
การวางแผนเจาะยาง“ยิ่งลักษณ์” ถูกปูพรมออกมาแล้วเป็นช็อตๆ ..ถึงอย่างไรก็ดี, จับ “ยิ่งลักษณ์” แช่ช่องฟรีส เข้าห้องเย็น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังเป็นรัฐบาล!!
ทำท่าว่าส้มลูกใหญ่...จะหล่นทับใส่?..ให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ได้เป็นนายกฯสิท่าน??
---------------------------------
โลกของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน”!!
ผิดเพศผิดฝาผิดตัวกันเช่นนั้น.. ยามจะมีความสุขสักหน่อย ก็ต้องปิดบังกันจ้าละหวั่น??
ว่ากันว่าขณะนี้ ,มีรูปของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน” ใน “กลุ่มแก๊งค์อ็อกฟอร์ด” ถูกฝ่ายสีเขียว ถ่ายเอาไว้
เปิดรูปเห็นภาพแล้วล่ะก้อ...ที่ทำรันทด ว่าร้องห่มร้องไห้ กับเมีย..บางทีจะถึงที่ตาย
ก็เล่นพิเรนทร์ ซัลโวประตูหลังกันแบบนั้น มันผิดฟ้าผิดดิน จึงเกิดอาเพศทำให้ตัวย่ำแย่!!
คนที่ประกาศลาออกเสียงดัง ๆ ..แต่ตอนนี้ทำเป็นแมวหวงก้าง?..เห็นภาพจังๆ คงล้มฟุบแน่
--------------------------------
ถอดรูทสมการกันทีละเปาะ!!
ฟันธงโค้งสุดท้าย เห็นว่า“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ยังสมควรเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เพราะแพนนิ่งทุกอย่างแล้ว ล้วนมีความเหมาะ
ถึงจะมี “พล.อ.สำเภา ชูศรี” พี่เอื้อยแห่ง จปร.๑๒ สอดแทรก มาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
โดยมีดีกรีพ่วงท้าย เป็น “น้องเขย” ของ “พล.อ.ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภาฯ คนที่ ๑๘ ของประเทศไทย..แต่ทว่าตรงนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน
ถ้า “บิ๊กสำเภา” จะได้เป็นนายใหญ่ คุมกระทรวงปืน กระทรวงทหาร ..น่ามาจากความครบเครื่องในสถาบันทหาร ที่มีคนรัก อย่างแน่นเหนียว!!
แต่ดูแล้ว “บิ๊กป้อม”น่าเข้าวิน...คว้าเก้าอี้ไปกิน?...ได้โบยบินเป็น “รมว.กลาโหม”อีกเที่ยว??
----------------------------------
“โด๊ป” กันอย่างสุด..สุด!!
เรื่องแรงโด๊ป ใช้สารกระตุ้นกันแล้ว ต้องยอมรับว่า “หลงจู๊บรรหาร ศิลปอาชา” จ่าฝูงพรรคชาติไทยพัฒนา ท่านมีแรงโด๊ป ที่ใครยากจะหยุด??
ได้เก้าอี้รัฐมนตรี ๓ กระทรวงใหญ่ “เกษตร-การท่องเที่ยว” และ “รัฐมนตรีช่วยคมนาคม”ล้วนแต่เก้าอี้ดัง ๆ
แต่เพื่อเช็ดน้ำตา “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” จึงจะไม่เอา “รมช.คมนาคม” ขอเปลี่ยนเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง”
เมื่อ “เติ้งหาร” หันไปเอา “รมช.คลัง”..จึงทำให้ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” เจ้าของโควตารัฐมนตรีช่วยคมนาคม ก็เก๊กซิมนั่งกินน้ำเก๊กฮวย เมื่อชวดตำแหน่ง!!
รู้แต่ว่างานนี้... “สส.เกื้อกูล” โกรธจนหูร้อนฉี่?....ยั๊วะเต็มที่จนหน้าแดง???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
อยากให้ “ผู้เฒ่า” เจ้าของ “สัมปทานไม้ป่าเดียวกัน” ระงับยับยั้งชั่งใจ มีหิริโอตัปปะบ้าง ปัญญาจะได้เกิด
กรุณาอย่าทำตัวเป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” มากนักเลย..ปล่อยให้ “น้องปู” เป็นนายกฯ ตามเจตนารมณ์เสียงสวรรค์ ๑๕ ล้านเสียงของประชาชนเถิด
ประเทศชาติ บ้านเมือง จะได้หลุดพ้นพันธนาการ แห่งความแตกแยกกันเสียที..ยิ่งจับ “น้องปู” มาดองเค็ม เหมือนจะผ่าประเทศ ออกเป็น ๒ ซีก!!
ท่านก็แก่เดินงก ๆ เงิ่นๆ จะคว่ำ..น่าล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่ควรทำให้บ้านเมืองยุ่งอีก???
--------------------------------------
“บรรพชิต” ต้องจำ “พรรษา”!!
บางคน?...มีชื่อนำหน้า ขึ้นต้นด้วย _?_ แทนที่จะอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นขอมดำดิน ออกไปนอกประเทศ จนเป็นที่ฮือฮา??
ว่ากันว่า, ไปในช่วงจังหวะเหมาะเหม็ง... ช่วงเดียวกันกับ “กลุ่มอรหันต์ทองคำ” ไปดูราชการที่ต่างประเทศ ไงล่ะเจ้านาย
เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อสกัดเส้นทาง “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้เป็นนารีขี่ม้าขาว เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นปะไร
การวางแผนเจาะยาง“ยิ่งลักษณ์” ถูกปูพรมออกมาแล้วเป็นช็อตๆ ..ถึงอย่างไรก็ดี, จับ “ยิ่งลักษณ์” แช่ช่องฟรีส เข้าห้องเย็น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังเป็นรัฐบาล!!
ทำท่าว่าส้มลูกใหญ่...จะหล่นทับใส่?..ให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ได้เป็นนายกฯสิท่าน??
---------------------------------
โลกของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน”!!
ผิดเพศผิดฝาผิดตัวกันเช่นนั้น.. ยามจะมีความสุขสักหน่อย ก็ต้องปิดบังกันจ้าละหวั่น??
ว่ากันว่าขณะนี้ ,มีรูปของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน” ใน “กลุ่มแก๊งค์อ็อกฟอร์ด” ถูกฝ่ายสีเขียว ถ่ายเอาไว้
เปิดรูปเห็นภาพแล้วล่ะก้อ...ที่ทำรันทด ว่าร้องห่มร้องไห้ กับเมีย..บางทีจะถึงที่ตาย
ก็เล่นพิเรนทร์ ซัลโวประตูหลังกันแบบนั้น มันผิดฟ้าผิดดิน จึงเกิดอาเพศทำให้ตัวย่ำแย่!!
คนที่ประกาศลาออกเสียงดัง ๆ ..แต่ตอนนี้ทำเป็นแมวหวงก้าง?..เห็นภาพจังๆ คงล้มฟุบแน่
--------------------------------
ถอดรูทสมการกันทีละเปาะ!!
ฟันธงโค้งสุดท้าย เห็นว่า“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ยังสมควรเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เพราะแพนนิ่งทุกอย่างแล้ว ล้วนมีความเหมาะ
ถึงจะมี “พล.อ.สำเภา ชูศรี” พี่เอื้อยแห่ง จปร.๑๒ สอดแทรก มาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
โดยมีดีกรีพ่วงท้าย เป็น “น้องเขย” ของ “พล.อ.ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภาฯ คนที่ ๑๘ ของประเทศไทย..แต่ทว่าตรงนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน
ถ้า “บิ๊กสำเภา” จะได้เป็นนายใหญ่ คุมกระทรวงปืน กระทรวงทหาร ..น่ามาจากความครบเครื่องในสถาบันทหาร ที่มีคนรัก อย่างแน่นเหนียว!!
แต่ดูแล้ว “บิ๊กป้อม”น่าเข้าวิน...คว้าเก้าอี้ไปกิน?...ได้โบยบินเป็น “รมว.กลาโหม”อีกเที่ยว??
----------------------------------
“โด๊ป” กันอย่างสุด..สุด!!
เรื่องแรงโด๊ป ใช้สารกระตุ้นกันแล้ว ต้องยอมรับว่า “หลงจู๊บรรหาร ศิลปอาชา” จ่าฝูงพรรคชาติไทยพัฒนา ท่านมีแรงโด๊ป ที่ใครยากจะหยุด??
ได้เก้าอี้รัฐมนตรี ๓ กระทรวงใหญ่ “เกษตร-การท่องเที่ยว” และ “รัฐมนตรีช่วยคมนาคม”ล้วนแต่เก้าอี้ดัง ๆ
แต่เพื่อเช็ดน้ำตา “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” จึงจะไม่เอา “รมช.คมนาคม” ขอเปลี่ยนเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง”
เมื่อ “เติ้งหาร” หันไปเอา “รมช.คลัง”..จึงทำให้ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” เจ้าของโควตารัฐมนตรีช่วยคมนาคม ก็เก๊กซิมนั่งกินน้ำเก๊กฮวย เมื่อชวดตำแหน่ง!!
รู้แต่ว่างานนี้... “สส.เกื้อกูล” โกรธจนหูร้อนฉี่?....ยั๊วะเต็มที่จนหน้าแดง???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ข่าวบก.สมยศ จากคุก
โดยทนายความ สุวิทย์ ทองนวล
10 องค์กรสิทธิมนุษยชนนำโดย The Asian Human Rights Commission ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย ที่หน่วงเหนี่ยวกักขังทำร้ายร่างกายและจิตใจนักโทษการเมืองจำนวนมาก และให้รีบปลดปล่อยและยุติความโหดร้ายทารุณทุกรูปแบบโดยแถลงข่าวเมื่อ 26 มิถุนายน 2554 พอดีเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ผมในฐานะทนายความของ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red Power ที่ถูกกักขังระหว่างก่อนส่งฟ้องศาลซึ่งโดยสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติที่ไทยลงนามรับรองสิทธิของผู้ต้องหาที่ศาลยังมิได้ตัดสินคดีว่ามีความผิด ควรจะได้รับการประกันตัวแต่นายสมยศได้เคยยื่นประกันตัวถึง 3 ครั้งแล้ว โดยยื่นในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษครั้งหนึ่ง และยื่นในชั้นศาล 2 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธทั้งหมดโดยเฉพาะครั้งล่าสุดยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลเมื่อ 27 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นความบังเอิญที่ยื่นใกล้ๆกับองค์กรสิทธิมนุษยชนแถลงข่าว ซึ่งคุณสมยศก็อยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาที่พวกองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ปล่อยตัวด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นความรู้และความเข้าใจต่อแนวทางของศาลไทยและความประสงค์ของแฟนคลับคุณสมยศที่โทรมาถามผมอยู่เสมอ เพราะอยากทราบความคืบหน้า ผมในฐานะทนายความจึงขอนำคำสั่งศาลและคำร้องที่ยื่นล่าสุดนี้มาให้ประชาชนได้ศึกษากัน
ผู้ต้องหาขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า แม้ผู้ต้องหาจะถูกจับขณะจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ก็จริง แต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างยิ่งจนนำมาสู่การนำความเท็จมากล่าวต่อศาล กล่าวคือ ผู้ต้องหามีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แต่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆจึงประกอบอาชีพเสริมโดยพาคณะท่องเที่ยวไปเที่ยวประเทศกัมพูชาและประเทศแถบอินโดจีนมาเป็นเวลานานประมาณปีเศษแล้วโดยทำงานร่วมกับนายยงยุทธ อุกฤษ เจ้าของบริษัท เอที ชลบุรีทัวส์ จำกัด ปรากฏหลักฐานการโฆษณาที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1) และจากการพาคณะไปท่องเที่ยวผู้ต้องหาก็นำเรื่องราวจากการเดินทางมาเขียนตีพิมพ์ในนิตยสาร เพื่อเชิญชวนผู้อ่านไปเที่ยวอันเป็นการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย ปรากฏหลักฐานบทความสารคดีการท่องเที่ยวที่ลงในนิตยสาร Red Power หลายฉบับที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 2) การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นวันที่ผู้ต้องหาถูกจับ เป็นรายการที่ผู้ต้องหาและผู้ร่วมงานกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเปิดเผยแล้วที่จะเดินทางพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชาระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2554 ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายรายการโฆษณาที่ลงในนิตยสาร Red Power ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 3) ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชามาแล้วถึง 3 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2553 และระหว่างวันที่ 4 – 6 ธันวาคม 2553 และระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2554 และก็กลับเข้าประเทศเป็นปกติในทางเดียวกัน ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือเดินทางระหว่างประเทศที่ตรวจลงตราการผ่านเข้าออกประเทศ ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) ดังนั้นการที่ผู้ต้องหาจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาในวันที่ 30 เมษายน 2554 จึงมิใช่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจะหลบหนีตามเหตุผลที่พนักงานสอบสวนร้องคัดค้าน
ข้อ 3 ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติการหนีคดีเลย
ผู้ต้องหาคดีนี้เคยถูกควบคุมตัวมาแล้วหลายครั้งและล้วนแต่เป็นคดีการเมือง เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยมานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเมื่อครั้งรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อกลางปี 2553 ผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ในขณะนั้นได้ร่วมกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นคัดค้านการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลอย่างเปิดเผยจึงถูกจับกุมตัวในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ต้องหาก็ไม่ได้คิดจะหลบหนี และถูกทหารนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาก็ถูก พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร หนึ่งในคณะผู้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา คดีหมายเลขแดงที่ 1078/2552 เรื่องที่ผู้ต้องหาออกมาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการยึดอำนาจของ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และนอกจากนี้ยังถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิตในเหตุการณ์ที่ผู้ต้องหาร่วมชุมนุมคัดค้านที่มาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้แต่งตั้งโดยผู้ต้องหาเป็นจำเลยใน 3 คดีได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 593/2553 แดงที่ 3390/2553, คดีหมายเลขดำที่ 594/2553 แดงที่ 208/2554, คดีหมายเลขดำที่ 595/2553 แดงที่ 658/2554 ของศาลแขวงดุสิต ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคดีทั้งหมด ผู้ต้องหาก็ได้รับการประกันตัวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แม้การพิจารณายาวนานเป็นปีแต่ผู้ต้องหาก็ไม่เคยคิดหลบหนีแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีฐานะยากจนไม่มีทุนรอนพอที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศหรือหลบหนีโดยไม่ต้องทำมาหากินได้
ข้อ 4 คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้ต้องหามิได้เป็นผู้กระทำเพียงแต่ผู้ต้องหาเป็นผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น
ผู้ต้องหาประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน ดูแลการตีพิมพ์บทความในนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งในทางวิชาชีพของผู้ต้องหาประกอบกับผู้ต้องหามีชีวิตที่ต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด ดังนั้นนิตยสารจึงมีแนวทางที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อความเป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริหารประเทศตลอด 2 ปี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีส่วนร่วมในการร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯโดยไม่ชอบ โดยการยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน และบริหารบ้านเมืองด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ไม่พอใจผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารที่ลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาลอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา จึงหาทางที่จะกลั่นแกล้งผู้ต้องหาไม่ให้สามารถดำเนินกิจการธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต่อไปได้ จึงพยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะให้สื่อของผู้ต้องหาปิดกิจการลง อาทิเช่น ส่งเจ้าหน้าที่ไปข่มขู่โรงพิมพ์ที่รับพิมพ์นิตยสารของผู้ต้องหา ข่มขู่ร้านค้าที่วางจำหน่ายนิตยสารของผู้ต้องหา จับผิดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการจัดพิมพ์เอกสาร จนกระทั่งตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้าและนำมาสู่การกลั่นแกล้งผู้ต้องหาโดยยัดเยียดข้อหาให้ผู้ต้องหาเป็นคดีนี้ ดังนั้นพฤติการณ์ในการดำเนินคดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือโดยเฉพาะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ กระทำการรับใช้ทางการเมืองอย่างไม่ชอบโดยใช้กฎหมายเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล และที่เลวร้ายที่สุดคือการนำกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ
ข้อ 5คดีนี้ศาลยังไม่ตัดสินว่าผู้ต้องหามีความผิดตามข้อกล่าวหาดังนั้นจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหา เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญผู้ต้องหามีสิทธิที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ปรากฏชัดว่าจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้หรือไม่ การที่ผู้ต้องหาเป็นสื่อมวลชนต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำทั้งๆที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ากระทำความผิด จึงเป็นการปฏิบัติที่มิชอบต่อผู้ต้องหาอันเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 อย่างชัดเจน
จากการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นสื่อมวลชนอย่างขาดเหตุขาดผลเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมิได้เป็นไปตามหลักแห่งสากล หากแต่เป็นไปตามอารมณ์ของผู้มีอำนาจรัฐย่อมไม่เป็นผลดีต่ออำนาจตุลาการที่เป็นอำนาจอิสระเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย ดังจะเห็นได้จากองค์กรต่างประเทศได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา เช่นจดหมายขององค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย , จดหมายของสหภาพแรงงานแห่งชาติเนปาล, จดหมายของสหภาพแรงงานอาหารและการบริการแห่งชาติกัมพูชา ,จดหมายของสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคสังคมนิยมแห่งมาเลเซีย , จดหมายของศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง , จดหมายของเลขาธิการใหญ่ศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง และจดหมายของเครือข่ายการเคลื่อนไหวชุมชน ประเทศมาเลเซีย ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายจดหมายพร้อมคำแปล (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 6)
สุดท้ายนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่าเหตุผลที่ผมเรียบเรียงมาทั้ง 5 ข้อนี้หากศาลจะให้ความกรุณาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ก็น่าจะเป็นความปลาบปลื้มใจของผู้ต้องหาและทนายความดีกว่าที่ศาลจะเขียนคำสั่งเพียงสั้นๆเสมือนท่านมิได้อ่านความคิดเห็นของประชาชนผู้เสียภาษีให้ท่านเลย
แต่เพื่อเข้าใจง่ายๆและเหมาะกับเนื้อที่กระดาษของหนังสือพิมพ์ผมจะนำประเด็นในคำร้องที่เสนอต่อศาลมาเสนอโดยตัดบางส่วนของคำร้องเล็กๆน้อยๆออกบ้าง แต่ที่ผมเสียใจที่สุดคือผมเรียบเรียงคำร้องอยู่หลายวันเพื่อขอความเมตตาจากศาลโดยชี้ถึงคำสั่งที่ไม่ให้ประกันครั้งก่อนว่าคลาดเคลื่อนอย่างไร และเพื่อผดุงเกียรติยศของศาลไทย ซึ่งมีความยาวถึง 11 หน้ากระดาษแต่ท่านรองอธิบดีศาลมีคำสั่งสั้นๆไม่กี่บรรทัดปฏิเสธห้วนๆว่า “เคยสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” และเดี๋ยวนี้เป็นที่รู้กันว่าถ้าเป็นคดีการเมืองศาลที่เข้าเวรพิจารณาจะไม่มีสิทธิ์พิจารณาเพราะทุกคดีการเมืองวันนี้ศาลผู้ใหญ่ระดับอธิบดีและรองอธิบดี เป็นผู้พิจารณาให้ความเป็นธรรมเท่านั้น จึงขอสรุปคำร้องประเด็นสำคัญมาให้ทราบดังนี้
ข้อ 1. คดีนี้อยู่ในระหว่างพนักงานสอบสวนฝากขังผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวนต่อศาล ผู้ต้องหาขอกราบเรียนว่า ด้วยข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนที่พนักงานสอบสวนผู้คัดค้านได้กราบเรียนข้อความเท็จต่อศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการหลบหนีซึ่งเป็นการกล่าวเท็จของพนักงานสอบสวนจึงมีผลให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า “คดีมีอัตราโทษสูง ตามข้อหาเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์พฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชนโดยรวม ประกอบกับผู้ต้องหาถูกจับกุมขณะกำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนี หากให้ปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ยกคำร้อง...” แต่เพื่อให้ดุลยพินิจของศาลอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและเพื่อผดุงกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับความเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศในเมตตาธรรมแห่งกระบวนการศาลไทย ผู้ต้องหาจึงขอประทานอนุญาตยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้ต้องหาเชื่อมั่นว่าจะได้รับเมตตาธรรมจากศาลตามหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ลงนามเป็นสมาชิกไว้แก่องค์การสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยผู้ต้องหาขอกราบเรียนเหตุผลในการยื่นคำร้องดังนี้
ข้อ 2 ผู้ต้องหามิได้กำลังจะหลบหนีตามคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแต่อย่างใดคำกล่าวของพนักงานสอบสวนที่กล่าวต่อศาลเป็นเท็จ
ข้อ 2 ผู้ต้องหามิได้กำลังจะหลบหนีตามคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแต่อย่างใดคำกล่าวของพนักงานสอบสวนที่กล่าวต่อศาลเป็นเท็จ
ผู้ต้องหาขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า แม้ผู้ต้องหาจะถูกจับขณะจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ก็จริง แต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างยิ่งจนนำมาสู่การนำความเท็จมากล่าวต่อศาล กล่าวคือ ผู้ต้องหามีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แต่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆจึงประกอบอาชีพเสริมโดยพาคณะท่องเที่ยวไปเที่ยวประเทศกัมพูชาและประเทศแถบอินโดจีนมาเป็นเวลานานประมาณปีเศษแล้วโดยทำงานร่วมกับนายยงยุทธ อุกฤษ เจ้าของบริษัท เอที ชลบุรีทัวส์ จำกัด ปรากฏหลักฐานการโฆษณาที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1) และจากการพาคณะไปท่องเที่ยวผู้ต้องหาก็นำเรื่องราวจากการเดินทางมาเขียนตีพิมพ์ในนิตยสาร เพื่อเชิญชวนผู้อ่านไปเที่ยวอันเป็นการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย ปรากฏหลักฐานบทความสารคดีการท่องเที่ยวที่ลงในนิตยสาร Red Power หลายฉบับที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 2) การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นวันที่ผู้ต้องหาถูกจับ เป็นรายการที่ผู้ต้องหาและผู้ร่วมงานกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเปิดเผยแล้วที่จะเดินทางพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชาระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2554 ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายรายการโฆษณาที่ลงในนิตยสาร Red Power ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 3) ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชามาแล้วถึง 3 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2553 และระหว่างวันที่ 4 – 6 ธันวาคม 2553 และระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2554 และก็กลับเข้าประเทศเป็นปกติในทางเดียวกัน ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือเดินทางระหว่างประเทศที่ตรวจลงตราการผ่านเข้าออกประเทศ ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) ดังนั้นการที่ผู้ต้องหาจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาในวันที่ 30 เมษายน 2554 จึงมิใช่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจะหลบหนีตามเหตุผลที่พนักงานสอบสวนร้องคัดค้าน
ข้อ 3 ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติการหนีคดีเลย
ผู้ต้องหาคดีนี้เคยถูกควบคุมตัวมาแล้วหลายครั้งและล้วนแต่เป็นคดีการเมือง เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยมานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเมื่อครั้งรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อกลางปี 2553 ผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ในขณะนั้นได้ร่วมกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นคัดค้านการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลอย่างเปิดเผยจึงถูกจับกุมตัวในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ต้องหาก็ไม่ได้คิดจะหลบหนี และถูกทหารนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาก็ถูก พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร หนึ่งในคณะผู้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา คดีหมายเลขแดงที่ 1078/2552 เรื่องที่ผู้ต้องหาออกมาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการยึดอำนาจของ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และนอกจากนี้ยังถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิตในเหตุการณ์ที่ผู้ต้องหาร่วมชุมนุมคัดค้านที่มาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้แต่งตั้งโดยผู้ต้องหาเป็นจำเลยใน 3 คดีได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 593/2553 แดงที่ 3390/2553, คดีหมายเลขดำที่ 594/2553 แดงที่ 208/2554, คดีหมายเลขดำที่ 595/2553 แดงที่ 658/2554 ของศาลแขวงดุสิต ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคดีทั้งหมด ผู้ต้องหาก็ได้รับการประกันตัวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แม้การพิจารณายาวนานเป็นปีแต่ผู้ต้องหาก็ไม่เคยคิดหลบหนีแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีฐานะยากจนไม่มีทุนรอนพอที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศหรือหลบหนีโดยไม่ต้องทำมาหากินได้
ข้อ 4 คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้ต้องหามิได้เป็นผู้กระทำเพียงแต่ผู้ต้องหาเป็นผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น
ผู้ต้องหาประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน ดูแลการตีพิมพ์บทความในนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งในทางวิชาชีพของผู้ต้องหาประกอบกับผู้ต้องหามีชีวิตที่ต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด ดังนั้นนิตยสารจึงมีแนวทางที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อความเป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริหารประเทศตลอด 2 ปี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีส่วนร่วมในการร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯโดยไม่ชอบ โดยการยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน และบริหารบ้านเมืองด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ไม่พอใจผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารที่ลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาลอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา จึงหาทางที่จะกลั่นแกล้งผู้ต้องหาไม่ให้สามารถดำเนินกิจการธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต่อไปได้ จึงพยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะให้สื่อของผู้ต้องหาปิดกิจการลง อาทิเช่น ส่งเจ้าหน้าที่ไปข่มขู่โรงพิมพ์ที่รับพิมพ์นิตยสารของผู้ต้องหา ข่มขู่ร้านค้าที่วางจำหน่ายนิตยสารของผู้ต้องหา จับผิดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการจัดพิมพ์เอกสาร จนกระทั่งตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้าและนำมาสู่การกลั่นแกล้งผู้ต้องหาโดยยัดเยียดข้อหาให้ผู้ต้องหาเป็นคดีนี้ ดังนั้นพฤติการณ์ในการดำเนินคดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือโดยเฉพาะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ กระทำการรับใช้ทางการเมืองอย่างไม่ชอบโดยใช้กฎหมายเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล และที่เลวร้ายที่สุดคือการนำกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ
คดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองซึ่งเป็นคดีที่ต่อสู้กันทางความคิดที่แต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ลักษณะของการกระทำไม่เหมือนคดีอาญาทั่วๆไป ผู้ต้องหาเพียงแต่นำบทความของบุคคลภายนอกที่ใช้นามปากกาว่า“จิตร พลจันทร์” ส่งมาให้ที่สำนักพิมพ์ของผู้ต้องหาทางการสื่อสารอิเลคโทรนิค ซึ่งผู้ต้องหาได้อ่านแล้วในฐานะบรรณาธิการเห็นว่าไม่มีข้อความตอนใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การนำบทความดังกล่าวตีพิมพ์ในนิตยสาร Voice of Taksin จึงเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนที่จะกระทำได้และยิ่งตัวผู้ต้องหาในฐานะสื่อมวลชนก็ยิ่งสามารถกระทำได้และพึงกระทำตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 45 บัญญัติคุ้มครองไว้ เพื่อผดุงไว้ซึ่งคุณธรรมและเมตตาธรรมของระบบศาลไทยเพื่อให้มหาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อถือซึ่งหากเป็นไปตามครรลองที่กล่าวนี้ การนำบทความของ จิตร พลจันทร์ ไปตีพิมพ์ย่อมเห็นได้ด้วยดวงตาธรรมของศาลเองว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามวิถีแห่งสังคมสมัยใหม่ที่ถือปรัชญาชีวิตแห่งปัจเจกชนนิยม โดยไม่มีเจตนาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาแม้แต่น้อย พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำคดีนี้เพื่อต้องการสนองนโยบายรัฐบาลชุดนี้ กล่าวคือ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เคยแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงว่า มีขบวนการล้มเจ้าและอ้างผังล้มเจ้าซึ่งมีบุคคลต่างๆในผังล้มเจ้าของ ศอฉ. หนึ่งในนั้นคือนิตยสาร Voice of Taksin และตัวของผู้ต้องหากับ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ต่อมาผศ.ดร.สุธาชัย ฯ ได้ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ 2 และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ 3 ผู้แถลงข่าวเป็นจำเลยต่อศาลอาญาฐานหมิ่นประมาท ต่อมาคู่กรณีโดยเฉพาะ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด จำเลยที่ 3 ได้แถลงยอมรับว่าบุคคลผู้มีชื่อในผังล้มเจ้ามิได้กระทำผิดจริงเป็นการวิเคราะห์ ส่วนใครจะเชื่อก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นโดยแถลงต่อหน้าศาลว่า “ผังล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆ ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกัน อย่างนี้เป็นต้น มิได้แถลงว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น...........” รายละเอียดปรากฏตามคำแถลงที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 5) ดังนั้นตามคำแถลงดังกล่าวของโฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็ยืนยันแล้วว่า ข้อกล่าวหาที่ว่านิตยสาร Voice of Taksin และ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้ม ประเสริฐ อยู่ในขบวนการล้มเจ้านั้นไม่เป็นความจริง
ข้อ 5คดีนี้ศาลยังไม่ตัดสินว่าผู้ต้องหามีความผิดตามข้อกล่าวหาดังนั้นจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหา เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญผู้ต้องหามีสิทธิที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ปรากฏชัดว่าจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้หรือไม่ การที่ผู้ต้องหาเป็นสื่อมวลชนต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำทั้งๆที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ากระทำความผิด จึงเป็นการปฏิบัติที่มิชอบต่อผู้ต้องหาอันเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 อย่างชัดเจน
จากการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นสื่อมวลชนอย่างขาดเหตุขาดผลเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมิได้เป็นไปตามหลักแห่งสากล หากแต่เป็นไปตามอารมณ์ของผู้มีอำนาจรัฐย่อมไม่เป็นผลดีต่ออำนาจตุลาการที่เป็นอำนาจอิสระเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย ดังจะเห็นได้จากองค์กรต่างประเทศได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา เช่นจดหมายขององค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย , จดหมายของสหภาพแรงงานแห่งชาติเนปาล, จดหมายของสหภาพแรงงานอาหารและการบริการแห่งชาติกัมพูชา ,จดหมายของสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคสังคมนิยมแห่งมาเลเซีย , จดหมายของศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง , จดหมายของเลขาธิการใหญ่ศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง และจดหมายของเครือข่ายการเคลื่อนไหวชุมชน ประเทศมาเลเซีย ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายจดหมายพร้อมคำแปล (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 6)
ด้วยเหตุดังประทานกราบเรียนมาข้างต้นการใช้อำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างดำเนินคดีจึงเป็นเรื่องของข้อยกเว้นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและควรใช้อำนาจอย่างจำกัด การปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นมาตรการอย่างหนึ่งในคดีอาญา เป็นการผ่อนคลายการจำกัดเสรีภาพในร่างกาย หรือเสรีภาพในการเคลื่อนไหว และให้โอกาสผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทยและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 4 ได้บัญญัติคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ที่ทุกองค์ทุกภาคส่วนต้องถือเป็นหลักแห่งบ้านเมืองที่บันทึกในสุพรรณบัฏมิใช่บันทึกบนกระดาษชำระ ดังนั้นหากเป็นไปตามครรลองแห่งระบบรัฐประชาธิปไตยที่ถูกต้องผู้ต้องหาจึงควรได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาจนกระทั่งศาลจะตัดสินว่ามีความผิดจริง สำหรับคดีนี้ผู้ต้องหาต้องถูกจองจำโดยอำนาจรัฐที่มิชอบโดยผู้ต้องหายังมิได้มีโอกาสพิสูจน์ใดๆเลย การจองจำผู้ต้องหาเช่นนี้จึงเป็นการประจานระบอบรัฐของไทยว่าเนื้อแท้เป็นเผด็จการและแน่นอนศาลก็เป็นหนึ่งในอำนาจรัฐย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย การนำเสนอขอปล่อยชั่วคราวตามคำร้องนี้โดยเนื้อหาผู้ต้องหาต้องการผดุงระบบศาลไทยมิให้มัวหมองไปตามระบอบอำนาจรัฐเผด็จการ ด้วยความเคารพหากศาลยังเห็นว่าผู้ต้องหาอาจจะก่อเหตุใดๆที่ร้ายแรงตามความเชื่อของศาลนั้น ศาลย่อมที่จะกำหนดเงื่อนไขหรือออกข้อกำหนดที่จะให้ผู้ต้องหาปฏิบัติได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นทางออกที่ชอบตามกลไกแห่งอำนาจอธิปไตยอิสระและตามกลไกแห่งรัฐธรรมนูญ
ในการปล่อยชั่วคราวตามคำร้องนี้ไม่เป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล เนื่องจากผู้ต้องหามิได้มีอำนาจราชศักดิ์ใดๆที่จะกระทำการใดๆได้ ผู้ต้องหาเป็นเพียงสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ทำสื่อสิ่งพิมพ์ เสียภาษีให้รัฐเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามหากผู้ต้องหาไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวกลับยิ่งก่อให้เกิดความสงสัยในหมู่ประชาชนถึงการใช้อำนาจอย่าง 2 มาตรฐาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาวการณ์ที่จะสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันเพื่อความสมานฉันท์และปรองดองกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะของประเทศชาติเวลานี้ ต้องการความสมานฉันท์ของประชาชนทุกหมู่เหล่า เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศที่หยุดชะงักมายาวนาน ได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีโดยเร็ว การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาจึงไม่เป็นอุปสรรคแต่ประการใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องหาเป็นหัวหน้าครอบครัวมีภาระต้องส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวซึ่งมีบุตร – ธิดา ที่อยู่วัยกำลังศึกษาถึง ๒ คน มีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเป็นจำนวนมาก ปรากฏหลักฐานตามสำเนาทะเบียนบ้าน ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 7) ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
สุดท้ายนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่าเหตุผลที่ผมเรียบเรียงมาทั้ง 5 ข้อนี้หากศาลจะให้ความกรุณาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ก็น่าจะเป็นความปลาบปลื้มใจของผู้ต้องหาและทนายความดีกว่าที่ศาลจะเขียนคำสั่งเพียงสั้นๆเสมือนท่านมิได้อ่านความคิดเห็นของประชาชนผู้เสียภาษีให้ท่านเลย
************************************************
กษิต. พอใจศาลโลกตัดสินถอนทหาร แต่ ทภ.2 อ้างไม่ถอนกำลังจนกว่า ผบ.ทบ. สั่ง.!!?
พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยภายหลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในคดีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายกัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 โดยให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่กำหนดรอบปราสาทพระวิหาร ว่า จนถึงขณะนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหารด้าน จ.ศรีสะเกษ โดยรวมยังเป็นปกติ ซึ่งฝ่ายไทยได้ให้หน่วยทหารในพื้นที่ชี้แจงกรณีคำวินิจฉัยของศาลโลกให้กำลังพลตามแนวชายแดนได้รับทราบ
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่พบมีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน ทั้งเรื่องกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จะมีเพียงเล็กน้อยในการสับเปลี่ยนกำลังพล และเคลื่อนอาวุธหนักบ้าง เช่น รถถัง, จรวด BM21 แต่เป็นไปตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการแสดงกำลังข่มไทยเท่านั้น
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ได้มีคำสั่งก่อนหน้านี้ ว่า ไม่ว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมาอย่างไร ขอให้กองทัพภาคที่ 2 รักษาพื้นที่และอธิปไตยรวมถึงภูมิประเทศที่เราเคยดูแลอยู่อย่างเต็มที่ จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่ลงมา ซึ่งการจัดกำลังเฝ้าดูแลพื้นที่ของฝ่ายทหารไทยเรายังปฏิบัติภารกิจตามปกติ ทหารไทยยังมีขวัญกำลังใจที่ดี ทุกคนพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถไม่ได้กังวลต่อคำตัดสินของศาลโลกแต่อย่างใด
ส่วนประชาชนตามแนวชายแดนไทยจนถึงขณะนี้ยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะหมู่บ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายได้เตรียมพร้อมในการอพยพตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) ทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ส่งชุดประชาสัมพันธ์ และ ชุด ปจว. ลงไปช่วยดูแล และคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งจนถึงขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยคอยดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนจำนวน 42 จุดๆ ละประมาณ 8-10 นาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าหลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวมาเช่นนี้ คาดว่า จะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้มีการพูดคุยกันในระดับต่างๆ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี)
ส่วนการถอนทหารออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ประมาณกว่า 2 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) รอบปราสาทพระวิหารเพื่อให้เป็นเขตปลอดทหารตามคำสั่งศาลโลกนั้น แต่ละฝ่ายจะต้องถอนออกไปอยู่ในจุดใดบ้างนั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ไม่ขอพูดรายละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน การกำหนดรายละเอียดคงจะต้องมีการหารือกันอีกครั้งว่าแต่ละฝ่ายจะไปอยู่ในจุดใดบ้าง ขอให้เป็นเรื่องการเจรจาของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ หากมีคำสั่งลงมาอย่างไรกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติก็พร้อมจะดำเนินการตามที่ได้รับคำสั่งอยู่แล้ว
“ในการถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น ที่ผ่านมา ทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการวางกำลังทหารและอาวุธหนักบริเวณประสาทพระวิหารมากพอสมควร ขณะที่ฝ่ายไทยเราไม่ได้ขึ้นไปบริเวณปราสาทพระวิหาร ฉะนั้น เมื่อมีคำสั่งของศาลโลกออกเช่นนี้ ถ้าปฏิบัติตามนั้นได้ คิดว่าจะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ลดความตึงเครียดลงไปได้มาก” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว
ด้าน นายกษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โฟนอินจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินคุ้มครองชั่วคราว ว่า มติของศาลปฏิเสธคำขอของฝ่ายไทยที่ให้ถอนคดี และออกคำสั่งมาตรการชั่วคราวที่ไม่ได้เจาะจงฝ่ายไทยฝ่ายเดียวคือให้ถอนทหารทั้งไทยและกัมพูชา จากพื้นที่ปลอดทหาร ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาราม และบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถเข้าออกปราสาทพระวิหารได้เพื่อส่งกำลังบำรุง เช่น น้ำ อาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหาร ที่มีหน้าที่จะดูแลตัวปราสาท ซึ่งองค์การยูเนสโก หรือองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องช่วยยืนยันว่าบุคลากรของกัมพูชานั้นจะไม่ใช่ทหารที่แฝงตัวเข้ามา และฝ่ายไทยจะต้องเจรจากับในกรอบจีบีซี และอาร์บีซีต่อไป
นายกษิต กล่าวว่า ศาลระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต้องแจ้งผลการปฏิบัติการต่อศาลเป็นระยะด้วย ส่วนการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ยังคงอำนาจในการพิจารณาให้เลื่อนการพิจารณาต่อไป ที่สำคัญไทยและกัมพูชาสามารถพิจารณาให้นักท่องเที่ยวประชาชนเข้าไปท่องเที่ยวปราสาทพระวิหารได้ อย่างไรก็ตาม ตนได้เรียนต่อนายกฯให้ทราบ และปลัดกระทรวงก็ได้ประสานกับทหารแล้ว นอกจากนี้ ตนได้พูดกับหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย เพื่อนำมติดังกล่าวชี้แจงในที่ประชุม และให้ผู้แทนไทยพบปะกับ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมต.ต่างประเทศอินโดนีเซียด้วย เพื่อประสานบทบาทอาเซียนโดยเฉพาะการสังเกตการณ์
นายกษิต กล่าวว่า ทั้งนี้ ความเห็นส่วนตัว การกำหนดพื้นที่ปลอดทหารขึ้นมา เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย ที่จะส่งผู้สังเกตการ์จะหมดไปโดยปริยาย ส่วนพอใจหรือไม่ ก็เป็นท่าทีของไทยที่ได้แสดงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาต้องทหารออกวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และปราสาทพระวิหาร ถ้าคิดในแง่นี้ก็น่าจะมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก็จะเป็นไปตามที่เราต้องการ ตามที่ได้แจ้งให้เวทีระดับโลกทราบว่ามีกลไก2 ฝ่ายอยู่แล้ว คือ เจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี ในที่สุดก็กลับมาอย่างที่เราต้องการ
เมื่อถามว่า ส่วนมติที่ศาลออกมานั้นมีทั้ง 11 ต่อ 5 หรือ 9 ต่อ 5 นายกษิต กล่าวว่า ขอให้ยึดมติโดยรวม คือ 11 ต่อ 5 ส่วนมติอื่นเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนี้ จุดที่จะไม่มีทหารอยู่ก็ต้องหารือในกรอบจีบีซีต่อไป อย่างไรก็ตาม ท่าทีของกัมพูชาภายหลังรับทราบมตินั้น ตนไม่ทราบ แต่เห็นว่าไม่ยิ้มแย้มเท่าฝ่ายไทย ส่วนจะเริ่มถอนทหารได้เมื่อไหร่นั้นต้องทำทันที เนื่องจากศาลให้รายงานการปฏิบัติการเรื่อยๆ ซึ่งไทยมีพันธกรณีกับอาเซียน โดยทุกฝ่ายก็อยากเห็นสันติภาพ
เมื่อถามว่า ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามมติของศาลโลกครั้งนี้ นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนต้องเข้าแถว เมื่อรัฐบาลสั่งทุกฝ่ายต้องทำตาม เพราะถือเป็นมติ ทั้งนี้ จะมีการรายงานต่อสภาหรือไม่นั้น ขณะนี้ก็มีเพียงวุฒิสภาและจะมีการรายงานต่อ ครม.หรือไม่ ก็เป็นเรื่องตามขั้นตอนกฎหมายโดยต้องหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่า กัมพูชาจะไม่ส่งทหารแฝงตัวเข้าไปปะปนกับเจ้าหน้าที่ดูแลปราสาทพระวิหาร นายษิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในกรอบของทั้ง 2ฝ่าย ซึ่งยูเนสโกสามารถเข้ามาได้ ศาลโลกและคณะมนตรีความมั่นคงอาเซียน ก็จับตาดูอยู่ ทั้งนี้ ต้องให้ความเคารพและความซื่อสัตย์สุจริตของกัมพูชา
เมื่อถามว่า ความชัดเจนของฝ่ายไทยในการถอนชุมนุมที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตร.กม.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราทราบมาว่าชุมชนกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ก็เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชา ซึ่งหากถอนกำลังทหาร ครอบครัวก็ต้องออกไปด้วย
เมื่อถามว่า แสดงความกัมพูชาไม่สมารถเอาประชาชนของตัวเองเป็นกันชนบริเวณชายแดนได้ นายกษิต กล่าวว่า ฝ่ายกองทัพของเราก็คงต้องสอดส่องดูแล และเราจะอำนวยให้มีการท่องเที่ยว ซึ่งทำให้กัมพูชาได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน และหากทำอะไรที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนของเขาเช่นกัน รวมถึงเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาคมโลกด้วย อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีต่อสหประชาชาติและศาลโลก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยไม่อยากให้ทหารกัมพูชาอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร และผลออกมาก็เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นในการคุยกับรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศหรือไม่ นาย กษิต กล่าวว่า มันมีกรอบกลไกของจีบีซีอยู่แล้ว ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดพบกันในกรอบของเจซีอยู่แล้ว ซึ่งจะมีการประชุมในต้นปีหน้า จึงต้องรอรัฐบาลใหม่ดำเนินการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยพร้อมที่จะเข้าสู่ตะเจรจา แต่กัมพูชาไม่พร้อมเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินการจะเปลี่ยนด้วย นาย กษิต กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่มีการส่งมอบงาน โดยตนจะทำบันทึกและส่งมอบต่อปลัดกระทรวง เพื่อเรียนต่อรมว.ต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งตนคิดว่าสื่อ และรัฐสภา จะสอดส่องดูแลเรื่องดังกล่าว ว่านโยบายของรัฐบาลเป็นประโยชน์ต่อไทยหรือไม่
เมื่อถามว่า จะมีการคุยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ตามมารยาทตนเป็นรัฐมนตรีรักษาการไม่ควรไป จึงมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศไปแทน แต่หากมีความจำเป็นอาจเดินทางไปคุยในนามส่วนตัว เพื่อหารือถึงเรื่องการสังเกตการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐบาล
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้การประชุมจีบีซีให้เร็วขึ้น นายกษิต กล่าวว่า ควรเป็นเช่นนั้น เพราะกัมพูชาเสนอเข้าสู่ศาลโลก ถ้าไม่ทำตามศาลโลกก็กะไรอยู่ ส่วนเรื่องแผนที่ในการกำหนด 4 จุดปลอดทหาร ศาลไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แต่เป็นในส่วนที่ศาลได้ขีดเส้นขึ้นมาเอง เป็นเขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งเป็นจุดคร่อมสันปันน้ำของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ คาดว่าเขตปลอดทหารจะมีขนาด 3X7 ตร.กม.
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่พบมีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน ทั้งเรื่องกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จะมีเพียงเล็กน้อยในการสับเปลี่ยนกำลังพล และเคลื่อนอาวุธหนักบ้าง เช่น รถถัง, จรวด BM21 แต่เป็นไปตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการแสดงกำลังข่มไทยเท่านั้น
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ได้มีคำสั่งก่อนหน้านี้ ว่า ไม่ว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมาอย่างไร ขอให้กองทัพภาคที่ 2 รักษาพื้นที่และอธิปไตยรวมถึงภูมิประเทศที่เราเคยดูแลอยู่อย่างเต็มที่ จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่ลงมา ซึ่งการจัดกำลังเฝ้าดูแลพื้นที่ของฝ่ายทหารไทยเรายังปฏิบัติภารกิจตามปกติ ทหารไทยยังมีขวัญกำลังใจที่ดี ทุกคนพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถไม่ได้กังวลต่อคำตัดสินของศาลโลกแต่อย่างใด
ส่วนประชาชนตามแนวชายแดนไทยจนถึงขณะนี้ยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะหมู่บ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายได้เตรียมพร้อมในการอพยพตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) ทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ส่งชุดประชาสัมพันธ์ และ ชุด ปจว. ลงไปช่วยดูแล และคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งจนถึงขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยคอยดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนจำนวน 42 จุดๆ ละประมาณ 8-10 นาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าหลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวมาเช่นนี้ คาดว่า จะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้มีการพูดคุยกันในระดับต่างๆ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี)
ส่วนการถอนทหารออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ประมาณกว่า 2 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) รอบปราสาทพระวิหารเพื่อให้เป็นเขตปลอดทหารตามคำสั่งศาลโลกนั้น แต่ละฝ่ายจะต้องถอนออกไปอยู่ในจุดใดบ้างนั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ไม่ขอพูดรายละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน การกำหนดรายละเอียดคงจะต้องมีการหารือกันอีกครั้งว่าแต่ละฝ่ายจะไปอยู่ในจุดใดบ้าง ขอให้เป็นเรื่องการเจรจาของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ หากมีคำสั่งลงมาอย่างไรกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติก็พร้อมจะดำเนินการตามที่ได้รับคำสั่งอยู่แล้ว
“ในการถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น ที่ผ่านมา ทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการวางกำลังทหารและอาวุธหนักบริเวณประสาทพระวิหารมากพอสมควร ขณะที่ฝ่ายไทยเราไม่ได้ขึ้นไปบริเวณปราสาทพระวิหาร ฉะนั้น เมื่อมีคำสั่งของศาลโลกออกเช่นนี้ ถ้าปฏิบัติตามนั้นได้ คิดว่าจะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ลดความตึงเครียดลงไปได้มาก” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว
ด้าน นายกษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โฟนอินจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินคุ้มครองชั่วคราว ว่า มติของศาลปฏิเสธคำขอของฝ่ายไทยที่ให้ถอนคดี และออกคำสั่งมาตรการชั่วคราวที่ไม่ได้เจาะจงฝ่ายไทยฝ่ายเดียวคือให้ถอนทหารทั้งไทยและกัมพูชา จากพื้นที่ปลอดทหาร ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาราม และบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถเข้าออกปราสาทพระวิหารได้เพื่อส่งกำลังบำรุง เช่น น้ำ อาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหาร ที่มีหน้าที่จะดูแลตัวปราสาท ซึ่งองค์การยูเนสโก หรือองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องช่วยยืนยันว่าบุคลากรของกัมพูชานั้นจะไม่ใช่ทหารที่แฝงตัวเข้ามา และฝ่ายไทยจะต้องเจรจากับในกรอบจีบีซี และอาร์บีซีต่อไป
นายกษิต กล่าวว่า ศาลระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต้องแจ้งผลการปฏิบัติการต่อศาลเป็นระยะด้วย ส่วนการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ยังคงอำนาจในการพิจารณาให้เลื่อนการพิจารณาต่อไป ที่สำคัญไทยและกัมพูชาสามารถพิจารณาให้นักท่องเที่ยวประชาชนเข้าไปท่องเที่ยวปราสาทพระวิหารได้ อย่างไรก็ตาม ตนได้เรียนต่อนายกฯให้ทราบ และปลัดกระทรวงก็ได้ประสานกับทหารแล้ว นอกจากนี้ ตนได้พูดกับหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย เพื่อนำมติดังกล่าวชี้แจงในที่ประชุม และให้ผู้แทนไทยพบปะกับ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมต.ต่างประเทศอินโดนีเซียด้วย เพื่อประสานบทบาทอาเซียนโดยเฉพาะการสังเกตการณ์
นายกษิต กล่าวว่า ทั้งนี้ ความเห็นส่วนตัว การกำหนดพื้นที่ปลอดทหารขึ้นมา เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย ที่จะส่งผู้สังเกตการ์จะหมดไปโดยปริยาย ส่วนพอใจหรือไม่ ก็เป็นท่าทีของไทยที่ได้แสดงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาต้องทหารออกวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และปราสาทพระวิหาร ถ้าคิดในแง่นี้ก็น่าจะมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก็จะเป็นไปตามที่เราต้องการ ตามที่ได้แจ้งให้เวทีระดับโลกทราบว่ามีกลไก2 ฝ่ายอยู่แล้ว คือ เจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี ในที่สุดก็กลับมาอย่างที่เราต้องการ
เมื่อถามว่า ส่วนมติที่ศาลออกมานั้นมีทั้ง 11 ต่อ 5 หรือ 9 ต่อ 5 นายกษิต กล่าวว่า ขอให้ยึดมติโดยรวม คือ 11 ต่อ 5 ส่วนมติอื่นเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนี้ จุดที่จะไม่มีทหารอยู่ก็ต้องหารือในกรอบจีบีซีต่อไป อย่างไรก็ตาม ท่าทีของกัมพูชาภายหลังรับทราบมตินั้น ตนไม่ทราบ แต่เห็นว่าไม่ยิ้มแย้มเท่าฝ่ายไทย ส่วนจะเริ่มถอนทหารได้เมื่อไหร่นั้นต้องทำทันที เนื่องจากศาลให้รายงานการปฏิบัติการเรื่อยๆ ซึ่งไทยมีพันธกรณีกับอาเซียน โดยทุกฝ่ายก็อยากเห็นสันติภาพ
เมื่อถามว่า ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามมติของศาลโลกครั้งนี้ นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนต้องเข้าแถว เมื่อรัฐบาลสั่งทุกฝ่ายต้องทำตาม เพราะถือเป็นมติ ทั้งนี้ จะมีการรายงานต่อสภาหรือไม่นั้น ขณะนี้ก็มีเพียงวุฒิสภาและจะมีการรายงานต่อ ครม.หรือไม่ ก็เป็นเรื่องตามขั้นตอนกฎหมายโดยต้องหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่า กัมพูชาจะไม่ส่งทหารแฝงตัวเข้าไปปะปนกับเจ้าหน้าที่ดูแลปราสาทพระวิหาร นายษิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในกรอบของทั้ง 2ฝ่าย ซึ่งยูเนสโกสามารถเข้ามาได้ ศาลโลกและคณะมนตรีความมั่นคงอาเซียน ก็จับตาดูอยู่ ทั้งนี้ ต้องให้ความเคารพและความซื่อสัตย์สุจริตของกัมพูชา
เมื่อถามว่า ความชัดเจนของฝ่ายไทยในการถอนชุมนุมที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตร.กม.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราทราบมาว่าชุมชนกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ก็เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชา ซึ่งหากถอนกำลังทหาร ครอบครัวก็ต้องออกไปด้วย
เมื่อถามว่า แสดงความกัมพูชาไม่สมารถเอาประชาชนของตัวเองเป็นกันชนบริเวณชายแดนได้ นายกษิต กล่าวว่า ฝ่ายกองทัพของเราก็คงต้องสอดส่องดูแล และเราจะอำนวยให้มีการท่องเที่ยว ซึ่งทำให้กัมพูชาได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน และหากทำอะไรที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนของเขาเช่นกัน รวมถึงเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาคมโลกด้วย อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีต่อสหประชาชาติและศาลโลก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยไม่อยากให้ทหารกัมพูชาอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร และผลออกมาก็เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นในการคุยกับรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศหรือไม่ นาย กษิต กล่าวว่า มันมีกรอบกลไกของจีบีซีอยู่แล้ว ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดพบกันในกรอบของเจซีอยู่แล้ว ซึ่งจะมีการประชุมในต้นปีหน้า จึงต้องรอรัฐบาลใหม่ดำเนินการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยพร้อมที่จะเข้าสู่ตะเจรจา แต่กัมพูชาไม่พร้อมเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินการจะเปลี่ยนด้วย นาย กษิต กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่มีการส่งมอบงาน โดยตนจะทำบันทึกและส่งมอบต่อปลัดกระทรวง เพื่อเรียนต่อรมว.ต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งตนคิดว่าสื่อ และรัฐสภา จะสอดส่องดูแลเรื่องดังกล่าว ว่านโยบายของรัฐบาลเป็นประโยชน์ต่อไทยหรือไม่
เมื่อถามว่า จะมีการคุยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ตามมารยาทตนเป็นรัฐมนตรีรักษาการไม่ควรไป จึงมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศไปแทน แต่หากมีความจำเป็นอาจเดินทางไปคุยในนามส่วนตัว เพื่อหารือถึงเรื่องการสังเกตการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐบาล
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้การประชุมจีบีซีให้เร็วขึ้น นายกษิต กล่าวว่า ควรเป็นเช่นนั้น เพราะกัมพูชาเสนอเข้าสู่ศาลโลก ถ้าไม่ทำตามศาลโลกก็กะไรอยู่ ส่วนเรื่องแผนที่ในการกำหนด 4 จุดปลอดทหาร ศาลไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แต่เป็นในส่วนที่ศาลได้ขีดเส้นขึ้นมาเอง เป็นเขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งเป็นจุดคร่อมสันปันน้ำของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ คาดว่าเขตปลอดทหารจะมีขนาด 3X7 ตร.กม.
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
จาตุรนต์. ทวิต กกต. แค่ 5 คนเปลี่ยนการตัดสินของปชช.ได้
จาตุรนต์ ฉายแสง
Twitter.com/chaturon
สวัสดีทุกท่านครับ
ขอวิจารณ์เรื่องการยังไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กรณีที่มีการไปแจ้งความเกี่ยวกับการให้การเท็จในศาลก็ดี การร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยก็ดีเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินคดีกันไป
แต่ไม่อาจเป็นเหตุให้กกต. ไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ได้เลย
ตามที่เป็นข่าวจึงเหลืออีกประเด็นเดียวคือเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”และการที่นักการเมืองที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ช่วยคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง
เรื่องนี้ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ตามกฎหมายผู้สมัครและพรรคการเมืองสามารถใช้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้าง
ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นผลสืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองนั้นถูกห้ามอยู่ใน 2 ส่วน
ด้วยกันคือ
1.ห้ามไปก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดๆ และ 2.ห้ามออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆไว้ว่าจะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง
จากการที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงทำให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย
โดยสรุปผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบไป จะถูกห้ามกระทำในสิ่งต่างๆต่อไปนี้
ห้ามเป็นสมาชิกพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ห้ามร่วมกับผู้ใดก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามไปออกเสียงเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น รัฐมนตรีเป็นต้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 111 และ 109 คนนั้นไม่ได้ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ
ทั้งนี้ รวมทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามบุคคลเหล่านี้หาเสียงให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจึงยังคงมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนคนไทยทั่วไปทุกประการ
ที่ผ่านมา ในระหว่างการหาเสียง ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งก็แสดงความเห็นอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้สมัคร ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยหาเสียงนั่นเอง และก็ไม่มีใครว่าอะไร
ที่ถูกเพ่งเล็งและเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมาก็คือการไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติในเรื่องนี้
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคพลังประชาชนเคยถามกกต.ว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทำอะไรได้แค่ไหน แต่กกต.ก็ตอบมาอย่างกำกวม
กกต.บอกว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่พึงทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค
แล้วก็เกิดการตีความเลยเถิดเลอะเทอะไปว่า รวมถึงการห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ขึ้นเวทีหาเสียงหรือเดินตามช่วยหาเสียงด้วย
เมื่อกกต.ตีความอย่างกำกวม พรรคการเมืองและนักการเมืองก็กลัวจะได้ใบเหลือง ใบแดงจึงไม่กล้าให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งขึ้นเวทีหรือช่วยหาเสียง
นอกจากนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ ก็มักถูกขอร้องไม่ให้ไปหาเสียงให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร ถึงแม้จะอยู่คนละเวทีกันก็ตาม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับแม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คงต้องมาดูว่าการช่วยหาเสียงเป็นการกระทำตามหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่
กกต.ใช้ตรรกะว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ช่วยลูกพรรคหาเสียง เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงย่อมกำลังทำเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่
เมื่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารแล้วมาทำอะไรเสมือนเป็นกรรมการบริหารจึงผิดกฎหมาย
แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้เกิดการห้ามในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และอาจนำไปสู่การลงโทษคนทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น หมอที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป์ย่อมถูกห้ามสั่งจ่ายยาที่เป็นอำนาจของหมอ ห้ามผ่าตัดคนไข้
แต่หมอที่ถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับคนไข้ หรือห้ามทายาแดงให้คนไข้หรือเช็ดตัวให้คนไข้เพราะใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้
จะบอกว่าเวลาหมอตรวจคนไข้ต้องคุยกับคนไข้ เพราะฉะนั้นใครคุยกับคนไข้ย่อมทำเสมือนเป็นหมอไม่ได้
พลเมืองไทยจะถูกห้ามทำอะไรก็ด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่กกต.ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งช่วยผู้สมัครหาเสียงจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากฎหมาย
ว่ากันตามกฎหมาย กรณี “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” - “กรณี111- 109” ช่วยผู้สมัครหาเสียง ไม่เป็นเหตุให้กกต.สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรายใดได้เลย
การไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ที่แย่คือ จะบอกว่ากกต.ไม่มีอำนาจก็ไม่ได้ เพราะ กกต.อาจให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้
กกต.สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานว่าได้ทำอะไรผิดหรืออาจตัดสินตรงข้ามกับพยานหลักฐานก็ได้ และเมื่อตัดสินแล้วก็สิ้นสุด
และนี่คือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมของประเทศนี้ที่ให้อำนาจคนเพียง 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้
กรณีคุณยิ่งลักษณ์นี้จึงขึ้นอยู่กับว่ากกต.จะประเมินความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดจากการไม่รับรองหรือการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์อย่างไร
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความไม่น่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในรัฐบาลใหม่ในสายตาของชาวโลกจึงเกิดขึ้นและกำลังเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง
ถ้าการแขวนคุณยิ่งลักษณ์จะมีประโยชน์อยู่บ้างก็คือ เป็นการที่กกต.ได้ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าการที่ประชาชนจะกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลไม่ง่ายเลย
ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังได้รับการเตือนแล้วว่าการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยก็ดี รัฐบาลที่
ประชาชนเลือกมาก็ดี ไม่ราบรื่นและยังจะมีอุปสรรคได้อีกมาก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************
Twitter.com/chaturon
สวัสดีทุกท่านครับ
ขอวิจารณ์เรื่องการยังไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กรณีที่มีการไปแจ้งความเกี่ยวกับการให้การเท็จในศาลก็ดี การร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยก็ดีเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินคดีกันไป
แต่ไม่อาจเป็นเหตุให้กกต. ไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ได้เลย
ตามที่เป็นข่าวจึงเหลืออีกประเด็นเดียวคือเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”และการที่นักการเมืองที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ช่วยคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง
เรื่องนี้ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ตามกฎหมายผู้สมัครและพรรคการเมืองสามารถใช้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้าง
ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นผลสืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองนั้นถูกห้ามอยู่ใน 2 ส่วน
ด้วยกันคือ
1.ห้ามไปก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดๆ และ 2.ห้ามออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆไว้ว่าจะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง
จากการที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงทำให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย
โดยสรุปผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบไป จะถูกห้ามกระทำในสิ่งต่างๆต่อไปนี้
ห้ามเป็นสมาชิกพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ห้ามร่วมกับผู้ใดก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามไปออกเสียงเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น รัฐมนตรีเป็นต้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 111 และ 109 คนนั้นไม่ได้ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ
ทั้งนี้ รวมทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามบุคคลเหล่านี้หาเสียงให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจึงยังคงมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนคนไทยทั่วไปทุกประการ
ที่ผ่านมา ในระหว่างการหาเสียง ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งก็แสดงความเห็นอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้สมัคร ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยหาเสียงนั่นเอง และก็ไม่มีใครว่าอะไร
ที่ถูกเพ่งเล็งและเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมาก็คือการไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติในเรื่องนี้
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคพลังประชาชนเคยถามกกต.ว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทำอะไรได้แค่ไหน แต่กกต.ก็ตอบมาอย่างกำกวม
กกต.บอกว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่พึงทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค
แล้วก็เกิดการตีความเลยเถิดเลอะเทอะไปว่า รวมถึงการห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ขึ้นเวทีหาเสียงหรือเดินตามช่วยหาเสียงด้วย
เมื่อกกต.ตีความอย่างกำกวม พรรคการเมืองและนักการเมืองก็กลัวจะได้ใบเหลือง ใบแดงจึงไม่กล้าให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งขึ้นเวทีหรือช่วยหาเสียง
นอกจากนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ ก็มักถูกขอร้องไม่ให้ไปหาเสียงให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร ถึงแม้จะอยู่คนละเวทีกันก็ตาม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับแม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คงต้องมาดูว่าการช่วยหาเสียงเป็นการกระทำตามหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่
กกต.ใช้ตรรกะว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ช่วยลูกพรรคหาเสียง เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงย่อมกำลังทำเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่
เมื่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารแล้วมาทำอะไรเสมือนเป็นกรรมการบริหารจึงผิดกฎหมาย
แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้เกิดการห้ามในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และอาจนำไปสู่การลงโทษคนทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น หมอที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป์ย่อมถูกห้ามสั่งจ่ายยาที่เป็นอำนาจของหมอ ห้ามผ่าตัดคนไข้
แต่หมอที่ถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับคนไข้ หรือห้ามทายาแดงให้คนไข้หรือเช็ดตัวให้คนไข้เพราะใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้
จะบอกว่าเวลาหมอตรวจคนไข้ต้องคุยกับคนไข้ เพราะฉะนั้นใครคุยกับคนไข้ย่อมทำเสมือนเป็นหมอไม่ได้
พลเมืองไทยจะถูกห้ามทำอะไรก็ด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่กกต.ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งช่วยผู้สมัครหาเสียงจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากฎหมาย
ว่ากันตามกฎหมาย กรณี “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” - “กรณี111- 109” ช่วยผู้สมัครหาเสียง ไม่เป็นเหตุให้กกต.สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรายใดได้เลย
การไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ที่แย่คือ จะบอกว่ากกต.ไม่มีอำนาจก็ไม่ได้ เพราะ กกต.อาจให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้
กกต.สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานว่าได้ทำอะไรผิดหรืออาจตัดสินตรงข้ามกับพยานหลักฐานก็ได้ และเมื่อตัดสินแล้วก็สิ้นสุด
และนี่คือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมของประเทศนี้ที่ให้อำนาจคนเพียง 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้
กรณีคุณยิ่งลักษณ์นี้จึงขึ้นอยู่กับว่ากกต.จะประเมินความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดจากการไม่รับรองหรือการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์อย่างไร
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความไม่น่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในรัฐบาลใหม่ในสายตาของชาวโลกจึงเกิดขึ้นและกำลังเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง
ถ้าการแขวนคุณยิ่งลักษณ์จะมีประโยชน์อยู่บ้างก็คือ เป็นการที่กกต.ได้ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าการที่ประชาชนจะกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลไม่ง่ายเลย
ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังได้รับการเตือนแล้วว่าการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยก็ดี รัฐบาลที่
ประชาชนเลือกมาก็ดี ไม่ราบรื่นและยังจะมีอุปสรรคได้อีกมาก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************
อัมสเตอร์ดัม: ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดเครื่องบินโบอิ้ง 737..!!?
ในอาทิตย์นี้ตั้งแต่เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชถูกเจ้าหน้าที่ทางการเยอรมันยึด ได้มีข่าวลือหลายเรื่องที่พยายามเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ โดยมีการอ้างว่า ผมมีบทบาทเกี่ยวกับการที่เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยึด
ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนเลยว่า ข้อกล่าวหาจอมปลอมดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีมูลความจริงใดๆทั้งสิ้น กลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว คือเพียงผลผลิตของคนที่มีจินตนาการเกินจริงและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตัดขาด จาก “การเมืองแบบคร่ำครึ” ที่ครอบงำประเทศไทยมาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ได้ บุคคลเหล่านี้คือกลุ่มที่รู้สึกอบอุ่นใจกับการปกครองแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งขัดกับเจตจำนงทางประชาธิปไตยของปวงชน และเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่เคยชินกับความมืดมิดสกปรกโสมมของการเมืองไทย และเลือกที่จะเชื่อเรื่องโกหกหลอกลวงและไม่มีมูลเพื่อใช้ป้ายสีและให้ร้าย ฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะเชื่อความจริงที่มีหลักฐานยืนยัน
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
/////////////////////////////////////
ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนเลยว่า ข้อกล่าวหาจอมปลอมดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีมูลความจริงใดๆทั้งสิ้น กลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว คือเพียงผลผลิตของคนที่มีจินตนาการเกินจริงและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตัดขาด จาก “การเมืองแบบคร่ำครึ” ที่ครอบงำประเทศไทยมาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ได้ บุคคลเหล่านี้คือกลุ่มที่รู้สึกอบอุ่นใจกับการปกครองแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งขัดกับเจตจำนงทางประชาธิปไตยของปวงชน และเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่เคยชินกับความมืดมิดสกปรกโสมมของการเมืองไทย และเลือกที่จะเชื่อเรื่องโกหกหลอกลวงและไม่มีมูลเพื่อใช้ป้ายสีและให้ร้าย ฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะเชื่อความจริงที่มีหลักฐานยืนยัน
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
/////////////////////////////////////
ประชาธิปัตย์ในลู่เลือกตั้ง 20 ปี รบ 7 ครั้ง แพ้ 6 ครั้ง..!!?
การจับมือจัดตั้งรัฐบาล"ยิ่งลักษณ์ 1" มีผลโดยพฤตินัยแล้วตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554
เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" และพวก "ชนะ" การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 10 ปี
เป็นรอบปีที่ฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี
หากนับจาก "รัฐบาลชวน 1" ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อ 13 กันยายน 2535 จากนั้นจนถึงเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ประชาธิปัตย์ตกเป็น "ฝ่ายแพ้" มาโดยตลอด
ครั้งนั้น "นายชวน หลีกภัย" เป็นหัวหน้าพรรค ได้เสียง ส.ส.เข้าสภาอันดับ 1 จำนวน 79 เสียง จัดรัฐบาลผสม 5 พรรค ร่วมกับพรรความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม และพรรคเอกภาพ
ครั้งนั้น พรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นฝ่ายค้าน เพราะแพ้พรรคประชาธิปัตย์ไป 2 ที่นั่ง
แต่หลังจาก พ.ศ. 2535 แล้ว อาจนับได้ว่าประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งอย่างต่อเนื่องถึง 6 ครั้ง
ในการเลือกตั้งสมัย 2 กรกฎาคม 2538 พรรคชาติไทยทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งครั้งที่ 1
นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ด้วยเสียง 92 ที่นั่ง ร่วมกับรัฐบาลผสม 7 พรรค 233 เสียง
จัดคณะรัฐมนตรีร่วมกับพรรคความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม, ประชากรไทย, นำไทย และพรรคมวลชน
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เป็นครั้งแรกด้วยเสียงในสภาผู้แทนฯจำนวน ส.ส. 86 ที่นั่ง
ต่อมาในสมัยเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 พรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้ การเลือกตั้งครั้งที่ 2 ให้กับพรรคความ หวังใหม่
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยจำนวน ส.ส. 125 คน ได้ ส.ส.เกิน 100 คน 2 พรรคเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ
"รัฐบาลบิ๊กจิ๋ว" จัดคณะรัฐบาลผสมร่วมกัน 6 พรรค คือ กิจสังคม, ประชากรไทย, ชาติพัฒนา, เสรีธรรม และพรรคมวลชน
ปี พ.ศ.นั้นฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส. 123 เสียง แพ้พรรคสัญลักษณ์คนอีสานจำนวน 2 ที่นั่งเท่านั้น
แต่จากนั้น 1 ปีถัดมา พฤศจิกายน 2540 ก็เกิดอุบัติเหตุ "ลอยตัวเงินบาท"
บิ๊กจิ๋ว-แพ้ภัยเศรษฐกิจทรุดต้องประกาศลาออกคาตึกไทยคู่ฟ้า ต่อหน้าม็อบที่มาให้กำลังใจเต็มสนามหญ้า หน้าทำเนียบรัฐบาล
จึงเกิด "รัฐบาลชวน 2" ท่ามกลางความผันแปรในพรรคร่วมรัฐบาล ที่พยายามพลิกเกมเอาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่เกิดปรากฏการณ์ "พลิกขั้ว" พรรคกิจสังคมถอนตัว และเกิดประวัติศาสตร์ "งูเห่า" จากประชากรไทย 12 เสียงไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลหนุนให้ "ชวน" เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 พร้อมชู "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" แก้พิษค่าเงินบาท
จากนั้นจึงบังเกิด "พรรคไทยรักไทย" ขึ้นในการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544
แม้ตั้งพรรคครั้งแรก แต่ "พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" ก็ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ประชาธิปัตย์เป็นครั้งที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง land slide 248 เสียง
การจัด "รัฐบาลทักษิณ 1" จึงมีองค์ประกอบพรรคร่วมรัฐบาลเพียง 3 พรรค คือ ไทยรักไทย ความหวังใหม่ และ ชาติไทย แล้วจึงปฏิบัติการ "ควบรวม" พรรคเล็กเข้าร่วมชายคาไทยรักไทย
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งด้วยเสียงเพียง 97 เสียง ประจำการในฝ่ายค้านตลอดสมัย 4 ปีเต็มวาระเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
การเลือกตั้งสมัยต่อมา 6 กุมภาพันธ์ 2548 "ทักษิณ" ก็ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4
ไทยรักไทยชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ด้วยเสียง land slide 377 เสียง "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำสมัยที่ 2 จัดรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยประชาธิปไตย
แม้ชนะเลือกตั้งท่วมท้น 377 ต่อ 96 เสียงของประชาธิปัตย์ แต่ทำให้รัฐบาล "ทักษิณ" อายุสั้นเพียงปีเศษ
กระดานการเมืองถูก "ทหาร" ยึดครอง เว้นวรรคไป 1 ปี ไทยรักไทยและพวกถูกยุบพรรค นักการเมือง 111+109 คนถูกตัดสิทธิเว้นวรรคทางการเมือง
จึงเกิดการเลือกตั้งสมัย 23 ธันวาคม 2550 หลังแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 5
นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ยังมีราก-ไทยรักไทยเต็มต้น ชนะเลือกตั้งด้วยเสียง 233 เสียง
รัฐบาล "สมัคร" จัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค รวม 315 เสียง คือ ชาติไทยพัฒนา, เพื่อแผ่นดิน, มัชฌิมาธิปไตย, รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรค ประชาราช
แต่รัฐบาล "สมัคร" ก็อายุสั้นเพราะพิษผลประโยชน์ทับซ้อน "สมัคร" พ้นจากตำแหน่งเพราะ "คำพิพากษา" ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการรับจ้างทำของ-จัดรายการชิมไปบ่นไป
สภาผู้แทนฯจึงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในร่มเงา "ชินวัตร"
เกิด "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์" ในวันที่ 12 กันยายน 2550
เพียง 1 ปีหลังจากนั้น "รัฐบาลสมชาย" ก็มีอันเป็นไปด้วยพิษยุบพรรคพลังประชาชนปลายปี 2551
จึงเกิดการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์+เพื่อนเนวิน
"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2551-9 พฤษภาคม 2554 ด้วยจำนวนเสียงโหวตในสภาผู้แทนฯ 235 เสียง จาก 3 พรรคร่วมรัฐบาลเก่า+1 กลุ่มเนวิน
กระทั่งการเลือกตั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยของฝ่าย "ทักษิณ" โดยกระแสของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี ด้วยจำนวนเสียงเพื่อไทย 265 ต่อ 159
เป็น 2 ทศวรรษในรอบการเลือกตั้ง 7 ครั้ง ที่ประชาธิปัตย์แพ้ถึง 6 ครั้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------
เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" และพวก "ชนะ" การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 10 ปี
เป็นรอบปีที่ฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี
หากนับจาก "รัฐบาลชวน 1" ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อ 13 กันยายน 2535 จากนั้นจนถึงเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ประชาธิปัตย์ตกเป็น "ฝ่ายแพ้" มาโดยตลอด
ครั้งนั้น "นายชวน หลีกภัย" เป็นหัวหน้าพรรค ได้เสียง ส.ส.เข้าสภาอันดับ 1 จำนวน 79 เสียง จัดรัฐบาลผสม 5 พรรค ร่วมกับพรรความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม และพรรคเอกภาพ
ครั้งนั้น พรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นฝ่ายค้าน เพราะแพ้พรรคประชาธิปัตย์ไป 2 ที่นั่ง
แต่หลังจาก พ.ศ. 2535 แล้ว อาจนับได้ว่าประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งอย่างต่อเนื่องถึง 6 ครั้ง
ในการเลือกตั้งสมัย 2 กรกฎาคม 2538 พรรคชาติไทยทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งครั้งที่ 1
นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ด้วยเสียง 92 ที่นั่ง ร่วมกับรัฐบาลผสม 7 พรรค 233 เสียง
จัดคณะรัฐมนตรีร่วมกับพรรคความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม, ประชากรไทย, นำไทย และพรรคมวลชน
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เป็นครั้งแรกด้วยเสียงในสภาผู้แทนฯจำนวน ส.ส. 86 ที่นั่ง
ต่อมาในสมัยเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 พรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้ การเลือกตั้งครั้งที่ 2 ให้กับพรรคความ หวังใหม่
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยจำนวน ส.ส. 125 คน ได้ ส.ส.เกิน 100 คน 2 พรรคเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ
"รัฐบาลบิ๊กจิ๋ว" จัดคณะรัฐบาลผสมร่วมกัน 6 พรรค คือ กิจสังคม, ประชากรไทย, ชาติพัฒนา, เสรีธรรม และพรรคมวลชน
ปี พ.ศ.นั้นฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส. 123 เสียง แพ้พรรคสัญลักษณ์คนอีสานจำนวน 2 ที่นั่งเท่านั้น
แต่จากนั้น 1 ปีถัดมา พฤศจิกายน 2540 ก็เกิดอุบัติเหตุ "ลอยตัวเงินบาท"
บิ๊กจิ๋ว-แพ้ภัยเศรษฐกิจทรุดต้องประกาศลาออกคาตึกไทยคู่ฟ้า ต่อหน้าม็อบที่มาให้กำลังใจเต็มสนามหญ้า หน้าทำเนียบรัฐบาล
จึงเกิด "รัฐบาลชวน 2" ท่ามกลางความผันแปรในพรรคร่วมรัฐบาล ที่พยายามพลิกเกมเอาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่เกิดปรากฏการณ์ "พลิกขั้ว" พรรคกิจสังคมถอนตัว และเกิดประวัติศาสตร์ "งูเห่า" จากประชากรไทย 12 เสียงไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลหนุนให้ "ชวน" เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 พร้อมชู "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" แก้พิษค่าเงินบาท
จากนั้นจึงบังเกิด "พรรคไทยรักไทย" ขึ้นในการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544
แม้ตั้งพรรคครั้งแรก แต่ "พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" ก็ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ประชาธิปัตย์เป็นครั้งที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง land slide 248 เสียง
การจัด "รัฐบาลทักษิณ 1" จึงมีองค์ประกอบพรรคร่วมรัฐบาลเพียง 3 พรรค คือ ไทยรักไทย ความหวังใหม่ และ ชาติไทย แล้วจึงปฏิบัติการ "ควบรวม" พรรคเล็กเข้าร่วมชายคาไทยรักไทย
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งด้วยเสียงเพียง 97 เสียง ประจำการในฝ่ายค้านตลอดสมัย 4 ปีเต็มวาระเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
การเลือกตั้งสมัยต่อมา 6 กุมภาพันธ์ 2548 "ทักษิณ" ก็ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4
ไทยรักไทยชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ด้วยเสียง land slide 377 เสียง "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำสมัยที่ 2 จัดรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยประชาธิปไตย
แม้ชนะเลือกตั้งท่วมท้น 377 ต่อ 96 เสียงของประชาธิปัตย์ แต่ทำให้รัฐบาล "ทักษิณ" อายุสั้นเพียงปีเศษ
กระดานการเมืองถูก "ทหาร" ยึดครอง เว้นวรรคไป 1 ปี ไทยรักไทยและพวกถูกยุบพรรค นักการเมือง 111+109 คนถูกตัดสิทธิเว้นวรรคทางการเมือง
จึงเกิดการเลือกตั้งสมัย 23 ธันวาคม 2550 หลังแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 5
นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ยังมีราก-ไทยรักไทยเต็มต้น ชนะเลือกตั้งด้วยเสียง 233 เสียง
รัฐบาล "สมัคร" จัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค รวม 315 เสียง คือ ชาติไทยพัฒนา, เพื่อแผ่นดิน, มัชฌิมาธิปไตย, รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรค ประชาราช
แต่รัฐบาล "สมัคร" ก็อายุสั้นเพราะพิษผลประโยชน์ทับซ้อน "สมัคร" พ้นจากตำแหน่งเพราะ "คำพิพากษา" ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการรับจ้างทำของ-จัดรายการชิมไปบ่นไป
สภาผู้แทนฯจึงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในร่มเงา "ชินวัตร"
เกิด "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์" ในวันที่ 12 กันยายน 2550
เพียง 1 ปีหลังจากนั้น "รัฐบาลสมชาย" ก็มีอันเป็นไปด้วยพิษยุบพรรคพลังประชาชนปลายปี 2551
จึงเกิดการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์+เพื่อนเนวิน
"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2551-9 พฤษภาคม 2554 ด้วยจำนวนเสียงโหวตในสภาผู้แทนฯ 235 เสียง จาก 3 พรรคร่วมรัฐบาลเก่า+1 กลุ่มเนวิน
กระทั่งการเลือกตั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยของฝ่าย "ทักษิณ" โดยกระแสของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี ด้วยจำนวนเสียงเพื่อไทย 265 ต่อ 159
เป็น 2 ทศวรรษในรอบการเลือกตั้ง 7 ครั้ง ที่ประชาธิปัตย์แพ้ถึง 6 ครั้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------
วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด โบอิ้ง 737 !!?
ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด737
ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด737 ศาลเลื่อนนัดตัดสินคำขอเพิกถอน18ก.ค.
“มาร์ค” โต้บริษัทเยอรมันยื่นข้อมูลเก่า แต่ได้ร้องค้านถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์แล้ว สั่งอธิบดีหอบเอกสารยันทะเบียนไม่ใช่ของ ทอ. คาดรู้ผล 18 ก.ค.นี้ พร้อมเล็งหามาตรการตอบโต้บริษัทคู่กรณี เพื่อปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศ ยืนยันคดีฟ้องร้องยังไม่ถึงที่สุด หากตัดสินมาอย่างไรก็ไม่เบี้ยว ด้านกระทรวงบัวแก้ว แจงศาลเยอรมันขอเอกสารเพิ่มเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์ โดยเร่งส่งเอกสารไปเร็วที่สุด เพื่อให้ศาลนัดพิจารณาใหม่
ความคืบหน้ากรณีศาลประเทศเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 เพื่อชดใช้หนี้บริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ แม้ต่อมากองทัพอากาศยืนยันเครื่องบินลำดังกล่าวได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะใช้ในภารกิจตามพระราชอัธยาศัยเมื่อปี 2550 สมัยที่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็น ผบ.ทอ. และสถานะของเครื่องบินเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่ใช่ของกองทัพอากาศ หรือรัฐบาลแต่อย่างใดแล้วก็ตาม
ต่อมาเมื่อเวลา 09.25 น.วันที่ 16 ก.ค. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลเยอรมันยังไม่ตัดสินคดีที่ทางการไทยขอให้เพิกถอนการอายัดเครื่องบินโบอิ้งส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร ว่า เมื่อคืนวันที่ 15 ก.ค.หลังจากที่เรายื่นเรื่องให้ศาลเพิกถอนการอายัดที่เดิมคิดว่าศาลจะสามารถตัดสินได้เลย แต่ปรากฏว่าฝ่ายบริษัทของเยอรมันได้ไปยื่นเอกสารคัดค้าน ทำให้ศาลต้องพิจารณาเอกสารต่างๆและนัดพิจารณาตัดสินในวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดของเราได้ไปประจำอยู่ที่เยอรมันแล้ว และวันนี้ตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศเดินทางไปสมทบ เพื่อดูเอกสารของฝ่ายบริษัทเยอรมันที่ยื่นคัดค้านเพื่อจะได้หักล้างกัน เข้าใจว่าเป็นการยื่นเอกสารข้อมูลเก่าในช่วงที่เครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ซึ่งยังคาดว่าวันที่ 18 ก.ค. ศาลจะสามารถที่จะตัดสินได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการเยอรมันออกแถลง การณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บังเอิญเป็นเรื่องเอกชนและศาลทางการเขาไม่อาจก้าวล่วงได้ ขณะเดียวกัน ได้มีการช่วยอำนวยความสะดวกประสานงานกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศตลอด ซึ่งพบกับ รมว.ต่างประเทศของเยอรมันแล้ว รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้เป็นการปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของประเทศไทยด้วยในแก้ไขปัญหา สิ่งที่เขาดำเนินการไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ซึ่งตนยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และถ้าคดีถึงที่สุดเมื่อไหร่ประเทศไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว รัฐบาลไทย ประเทศไทยไม่ได้หายไปไหน หรือหนีไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นเลยที่จะต้องมาดำเนินการในลักษณะนี้
เมื่อถามว่า นายกฯมั่นใจในหลักฐานที่ยื่นเพิ่มเติมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราได้แสดงชัดเจนว่าทะเบียนเครื่องบินที่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าบริษัทไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และอ้างว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องของกองทัพอากาศ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลเก่า
ต่อข้อถามว่า นายกฯกังวลเรื่องจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้มีความชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเอกชนและรัฐบาลเยอรมันไม่สามารถไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ได้แสดงท่าทีออกแถลงการณ์และได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยตลอด ไม่มีเหตุผลใดที่จะมากระทบกับความสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้น แต่เอกชนรายดังกล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างกับการที่มาดำเนินการเรื่องนี้ เพราะศาลตัดสินเมื่อวันที่ 12 ก.ค.โดยไม่ได้ไต่สวน เป็นลักษณะคำขอเร่งด่วน และเราเพิ่งยื่นเอกสารเพิกถอนไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่ทางบริษัทเพิ่งยื่นเอกสารก่อนศาลนัด 2 ชั่วโมง ทำให้ศาลต้องอ่านเอกสารของบริษัท และต้องเลื่อนไปตัดสินคำขอเพิกถอนของไทยวันที่ 18 ก.ค.
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลความคืบหน้ากรณีศาลเยอรมนีพิจารณาคำร้องคัดค้านการอายัดเครื่องบินว่าศาลเยอรมันได้ขอให้ฝ่ายไทยส่งข้อมูลและเอกสารเพื่อยืนยันความเป็นกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมต่อศาล ซึ่งขณะนี้อัยการสูงสุดกำลังเร่งประสานและดำเนินการอยู่ ดังนั้น ในวันนี้พรุ่งนี้จึงคงยังไม่สามารถมีคำตัดสินได้ เนื่องจากยังต้องรอเอกสารดังกล่าวเพิ่มเติมจากฝ่ายไทย ส่วนช่วงเวลาที่ศาลเยอรมันจะนัดพิจารณาในครั้งต่อไปนั้น อยู่ที่ฝ่ายเราจะสามารถส่งเอกสารที่ต้องการเพิ่มเติมไปได้เร็วที่สุดเมื่อไร ที่ผ่านมาเมื่อฝ่ายไทยส่งเรื่องไป ทางเยอรมนีก็รีบดำเนินการให้โดยเร็ว
ที่มา: ไทยรัฐ
------------------------
ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด737 ศาลเลื่อนนัดตัดสินคำขอเพิกถอน18ก.ค.
“มาร์ค” โต้บริษัทเยอรมันยื่นข้อมูลเก่า แต่ได้ร้องค้านถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์แล้ว สั่งอธิบดีหอบเอกสารยันทะเบียนไม่ใช่ของ ทอ. คาดรู้ผล 18 ก.ค.นี้ พร้อมเล็งหามาตรการตอบโต้บริษัทคู่กรณี เพื่อปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศ ยืนยันคดีฟ้องร้องยังไม่ถึงที่สุด หากตัดสินมาอย่างไรก็ไม่เบี้ยว ด้านกระทรวงบัวแก้ว แจงศาลเยอรมันขอเอกสารเพิ่มเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์ โดยเร่งส่งเอกสารไปเร็วที่สุด เพื่อให้ศาลนัดพิจารณาใหม่
ความคืบหน้ากรณีศาลประเทศเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 เพื่อชดใช้หนี้บริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ แม้ต่อมากองทัพอากาศยืนยันเครื่องบินลำดังกล่าวได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะใช้ในภารกิจตามพระราชอัธยาศัยเมื่อปี 2550 สมัยที่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็น ผบ.ทอ. และสถานะของเครื่องบินเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่ใช่ของกองทัพอากาศ หรือรัฐบาลแต่อย่างใดแล้วก็ตาม
ต่อมาเมื่อเวลา 09.25 น.วันที่ 16 ก.ค. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลเยอรมันยังไม่ตัดสินคดีที่ทางการไทยขอให้เพิกถอนการอายัดเครื่องบินโบอิ้งส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร ว่า เมื่อคืนวันที่ 15 ก.ค.หลังจากที่เรายื่นเรื่องให้ศาลเพิกถอนการอายัดที่เดิมคิดว่าศาลจะสามารถตัดสินได้เลย แต่ปรากฏว่าฝ่ายบริษัทของเยอรมันได้ไปยื่นเอกสารคัดค้าน ทำให้ศาลต้องพิจารณาเอกสารต่างๆและนัดพิจารณาตัดสินในวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดของเราได้ไปประจำอยู่ที่เยอรมันแล้ว และวันนี้ตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศเดินทางไปสมทบ เพื่อดูเอกสารของฝ่ายบริษัทเยอรมันที่ยื่นคัดค้านเพื่อจะได้หักล้างกัน เข้าใจว่าเป็นการยื่นเอกสารข้อมูลเก่าในช่วงที่เครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ซึ่งยังคาดว่าวันที่ 18 ก.ค. ศาลจะสามารถที่จะตัดสินได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการเยอรมันออกแถลง การณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บังเอิญเป็นเรื่องเอกชนและศาลทางการเขาไม่อาจก้าวล่วงได้ ขณะเดียวกัน ได้มีการช่วยอำนวยความสะดวกประสานงานกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศตลอด ซึ่งพบกับ รมว.ต่างประเทศของเยอรมันแล้ว รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้เป็นการปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของประเทศไทยด้วยในแก้ไขปัญหา สิ่งที่เขาดำเนินการไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ซึ่งตนยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และถ้าคดีถึงที่สุดเมื่อไหร่ประเทศไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว รัฐบาลไทย ประเทศไทยไม่ได้หายไปไหน หรือหนีไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นเลยที่จะต้องมาดำเนินการในลักษณะนี้
เมื่อถามว่า นายกฯมั่นใจในหลักฐานที่ยื่นเพิ่มเติมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราได้แสดงชัดเจนว่าทะเบียนเครื่องบินที่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าบริษัทไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และอ้างว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องของกองทัพอากาศ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลเก่า
ต่อข้อถามว่า นายกฯกังวลเรื่องจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้มีความชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเอกชนและรัฐบาลเยอรมันไม่สามารถไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ได้แสดงท่าทีออกแถลงการณ์และได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยตลอด ไม่มีเหตุผลใดที่จะมากระทบกับความสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้น แต่เอกชนรายดังกล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างกับการที่มาดำเนินการเรื่องนี้ เพราะศาลตัดสินเมื่อวันที่ 12 ก.ค.โดยไม่ได้ไต่สวน เป็นลักษณะคำขอเร่งด่วน และเราเพิ่งยื่นเอกสารเพิกถอนไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่ทางบริษัทเพิ่งยื่นเอกสารก่อนศาลนัด 2 ชั่วโมง ทำให้ศาลต้องอ่านเอกสารของบริษัท และต้องเลื่อนไปตัดสินคำขอเพิกถอนของไทยวันที่ 18 ก.ค.
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลความคืบหน้ากรณีศาลเยอรมนีพิจารณาคำร้องคัดค้านการอายัดเครื่องบินว่าศาลเยอรมันได้ขอให้ฝ่ายไทยส่งข้อมูลและเอกสารเพื่อยืนยันความเป็นกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมต่อศาล ซึ่งขณะนี้อัยการสูงสุดกำลังเร่งประสานและดำเนินการอยู่ ดังนั้น ในวันนี้พรุ่งนี้จึงคงยังไม่สามารถมีคำตัดสินได้ เนื่องจากยังต้องรอเอกสารดังกล่าวเพิ่มเติมจากฝ่ายไทย ส่วนช่วงเวลาที่ศาลเยอรมันจะนัดพิจารณาในครั้งต่อไปนั้น อยู่ที่ฝ่ายเราจะสามารถส่งเอกสารที่ต้องการเพิ่มเติมไปได้เร็วที่สุดเมื่อไร ที่ผ่านมาเมื่อฝ่ายไทยส่งเรื่องไป ทางเยอรมนีก็รีบดำเนินการให้โดยเร็ว
ที่มา: ไทยรัฐ
------------------------
วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คืบหน้า ฮ.ตก เป็นรุ่นที่ใช้งานมาแล้วกว่า30ปี
เฮลิคอปเตอร์ ฉก.ทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ ที่ตกเป็นเฮลิคอปเอตร์แบบ ฮท.1 UH-1H หรือ ฮิวอี้ (Huey) สังกัดกองบินปีกหมุนที่2 เป็นเฮลิคอปเตอร์ 1 ใน 2 ลำที่ยังใช้การได้ของฉก.ทัพพระยาเสือ ประจำการใช้งานมาแล้วกว่า 30 ปี ฮ.รุ่นเดียวกันของหน่วยบิน 9201กองกำลังทางอากาศเฉพาะกิจที่ 9 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี บินในสภาพอากาศเลวร้ายและชนภูเขาที่ บ.สุตันตานนท์ ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา และในปีเดียวกันวันที่ 4 ต.ค.51 ฮ.รุ่นเดียวกันรหัส ทอ.29/15 หมายเลขประจำเครื่อง 20347 ประสบอุบัติเหตุตกบนภูกระดึง จ.เลย UH-1H หรือ ฮิวอี้ (Huey) กองทัพไทยรับมอบเข้าประจำการในปี 2511 โดยมีภารกิจคือค้นหาและกู้ภัย, สนับสนุนการโทรคมนาคม, สนับสนุนหน่วยภาคพื้นดิน สามารถบันทุกผู้โดยสารได้16คน
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)