การสูญเสียของประเทศเราหลังเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ที่แยกราชผประสงค์ เป็นหลักฐานยืนยันที่เจ็บช้ำในใจผมตลอดที่ได้รับทราบข่าวสาร ไม่ได้ต่างไปจากสมัยอดีตที่ผู้คนที่บังอาจคิดต่างจากภาครัฐจะถูกปราบปรามด้วยทุกวิถีทางไม่ว่าจะนอกกติกาหรือไม่ ขอให้รัฐชนะเป็นพอจะมีคนตายกี่คนบ้านเมืองเสียหายแค่ไหนก็ช่างขอให้ชนะพอ แล้วก็แก้ไขปัญหาแบบลวกๆด้วยการใช้สื่อประโคมข่าวและสร้างความเชื่อมั่นลวงๆว่าเมื่อสงบแล้วเราต้องไปต่อได้ ความจริงคืออะไร..?เราไปต่อได้จริงหรือ..?
เคยมีสักคนฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุผลใดทำไมประเทศเราต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีจบสิ้น สำหรับผมสิ่งที่ผมสัมผัสได้ คือประเทศเราขาดน้ำใจนักกีฬา เรามองทุกอย่างเป็นเรื่องแพ้ชนะให้ความสำคัญกับคำว่าชนะอย่างน่ารังเกียจ อย่าว่าแต่ในระดับชาติเลย แนวคิดแบบนี้มันถูกแทรกซึมไปจนถึงระดับเด็กแล้ว ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งที่ผมไปเล่นบาสฯ เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมีความสามารถเก่งกว่าทุกทีม แต่พอถึงจุดที่พวกเขาจะแพ้เขาเลือกที่จะทำฟาร์วด้วยการตีไม่ให้คู่ต่อสู้ยิงลูกได้ เลือกที่จะเรียกฟาร์วทั้งที่ไม่ถูกทำฟาร์ว ทำทุกทางเพียงเพื่อจะได้เล่นเกมส์ต่อไป จนผู้ถูกกระทำถูกเอารัดเอาเปรียบโกรธทนไม่ไหวและมีเรื่องชกต่อยกัน ผมห้ามเด็กทั้งสองกลุ่มแล้วถามเขาว่าหากแพ้นี่มันจะเป็นอะไรทำไมถึงแพ้ไม่ได้..? เขาตอบถ้าชนะก็จะได้อยู่เล่นต่อนานๆ เหตุผลแค่นี้เองแล้วหากวันหนึ่งทุกคนไม่มาเล่นแล้วเราจะเล่นกับใครเคยคิดไหม..? แล้วถ้ากลับกันหากเราเล่นเต็มที่แล้วแพ้กลับมาเล่นใหม่ได้อย่างไหนดีกว่ากัน..?
ถึงตรงนี้ก็เหมือนได้เข้าใจอะไรมากขึ้น เด็กถูกพ่อแม่สั่งสอนมาตั้งแต่เล็กให้เป็นที่ 1 สอนให้เอาชนะคนโน้นคนนี้ต้องทัดเทียมคนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยสอนถึงวิธีที่ถูกต้อง แม้แต่ผู้นำประเทศหลายท่านที่ผ่านมาก็เลือกจะยึดติดกับตำแหน่งโดยไม่สนว่าจะใช้วิธีการใด จะมีใครเดือดร้อนกับสิ่งที่ทำหรือไม่ ไม่ใช่ไม่ทราบว่าสิ่งที่ทำไม่ดีแต่กลับให้ความรู้สึกอยากชนะอยู่เหนือคุณธรรม
หากวันนี้คนไทยรู้จักที่จะเคารพกติกา รู้จักแพ้อย่างมีเกียรติและชนะอย่างสมศักศรีบ้านเมืองเราคงไม่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าซ้ำซากแบบนี้ ผมหวังเพียงแต่ให้ผู้ที่ได้รับสารนี้จากผมไปช่วยลองกลับไปคิดดูดีๆว่า เราจะอยู่กันอย่างไรหากทุกคนทำอะไรก็ได้เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนโดยไม่สนว่าสิ่งที่ตามมาจะส่งผลกระทบกับชาติอย่างไร..?
บางทีหากทำได้วันนี้ประเทศเราอาจไม่ต้องพินาศแบบนี้อีกก็เป็นได้
สื่อนอกกรง..
*************************************************
วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
จับตา‘ศึกซักฟอก’ รัฐบาลมาร์ค!
การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นทันทีหลังการชุมนุมทางการเมืองของนปช. ยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการตัดสินใจหันกลับเข้ามาสู้ในสภาของฝ่ายค้านครั้งนี้ ย่อมทำให้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการปรองดองเพื่อชาตินั้น ริบหรี่ลงทุกที เที่ยงวันของวันที่ 24 พ.ค.นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้นำรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวน 159 คน เข้ายื่น
ต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อให้ถอดถอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีอีก 4 คน ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการดำเนิน
การตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 พร้อมกันนี้ได้เข้าพบ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำรายชื่อ ส.ส.จำนวน 180 คน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 6 คน โดยอีก 2 รัฐมนตรีที่ยื่นเพียงการอภิปรายแต่ไม่ได้ยื่นถอดถอนคือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง
และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เนื่องจากมีความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่หลักฐานไม่เพียงพอที่จะยื่นถอดถอนได้ สำหรับฝ่ายค้านให้เหตุผลถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 12 ข้อ อาทิ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมีส่วนรู้เห็นและปล่อยปละละเลย
ให้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีการทุจริต คอร์รัปชั่น แสวงหาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างกว้างขวาง เช่น ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง ทุจริตการจัดซื้ออาวุธในกองทัพ ขาดภาวะการเป็นผู้นำ ปล่อยให้บุคคลภายนอกที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองแทรกแซงการทำหน้าที่ของรัฐมนตรี มีการเลือกปฏิบัติ
สองมาตรฐาน ไม่มีความเสมอภาค มีการใช้อำนาจรัฐโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยการสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามทุกชนิดเข้าปราบปรามประชาชน เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียชีวิต ร่างกายของประชาชนจำนวนมาก ขาดความจริงใจ
ในการสร้างความปรองดองและความสมานฉันท์ในสังคม ทั้งนี้ ฝ่ายค้านเชื่อว่า…พฤติกรรมดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขเยียวยา
ได้ โดยพรรคเพื่อไทยได้แนบชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ศึกอภิปรายครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้รัฐบาลหวาดหวั่นกับข้อกล่าวหาทั้ง 12 ที่ฝ่ายค้านยื่นให้ประธานสภาเพื่อเปิดศึกซักฟอก เพราะวันนี้รัฐบาล ยังเกาะแขนพรรคร่วมรัฐบาล ได้อย่างเหนียวแน่น โดย
เฉพาะเหตุการณ์การเข้ายึดพื้นที่ของ ศอฉ. ที่ได้ใจพรรคร่วมไปไม่น้อยทีเดียว ส่วนศึกซักฟอกรัฐบาล ครั้งนี้ จะมันหยดขนาดไหน ต้องลุ้นว่า “ดาวสภา”อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะทำหน้าที่แกนนำฝ่ายค้านในการ “ซักฟอก” รัฐบาลได้เหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่ งานนี้มีลุ้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
ต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อให้ถอดถอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีอีก 4 คน ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการดำเนิน
การตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 พร้อมกันนี้ได้เข้าพบ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำรายชื่อ ส.ส.จำนวน 180 คน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 6 คน โดยอีก 2 รัฐมนตรีที่ยื่นเพียงการอภิปรายแต่ไม่ได้ยื่นถอดถอนคือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง
และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เนื่องจากมีความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่หลักฐานไม่เพียงพอที่จะยื่นถอดถอนได้ สำหรับฝ่ายค้านให้เหตุผลถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 12 ข้อ อาทิ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมีส่วนรู้เห็นและปล่อยปละละเลย
ให้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลมีการทุจริต คอร์รัปชั่น แสวงหาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างกว้างขวาง เช่น ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง ทุจริตการจัดซื้ออาวุธในกองทัพ ขาดภาวะการเป็นผู้นำ ปล่อยให้บุคคลภายนอกที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองแทรกแซงการทำหน้าที่ของรัฐมนตรี มีการเลือกปฏิบัติ
สองมาตรฐาน ไม่มีความเสมอภาค มีการใช้อำนาจรัฐโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยการสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามทุกชนิดเข้าปราบปรามประชาชน เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียชีวิต ร่างกายของประชาชนจำนวนมาก ขาดความจริงใจ
ในการสร้างความปรองดองและความสมานฉันท์ในสังคม ทั้งนี้ ฝ่ายค้านเชื่อว่า…พฤติกรรมดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติจนยากที่จะแก้ไขเยียวยา
ได้ โดยพรรคเพื่อไทยได้แนบชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ศึกอภิปรายครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้รัฐบาลหวาดหวั่นกับข้อกล่าวหาทั้ง 12 ที่ฝ่ายค้านยื่นให้ประธานสภาเพื่อเปิดศึกซักฟอก เพราะวันนี้รัฐบาล ยังเกาะแขนพรรคร่วมรัฐบาล ได้อย่างเหนียวแน่น โดย
เฉพาะเหตุการณ์การเข้ายึดพื้นที่ของ ศอฉ. ที่ได้ใจพรรคร่วมไปไม่น้อยทีเดียว ส่วนศึกซักฟอกรัฐบาล ครั้งนี้ จะมันหยดขนาดไหน ต้องลุ้นว่า “ดาวสภา”อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะทำหน้าที่แกนนำฝ่ายค้านในการ “ซักฟอก” รัฐบาลได้เหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่ งานนี้มีลุ้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
THE HEAD อาถรรพ์หรือสัญลักษณ์แห่งเซ็นทรัลเวิลด์-ราชประสงค์
แม้เซ็นทรัลเวิลด์จะถูกไฟไหม้ไปบางส่วน หลังเหตุจราจล แต่ประติมากรรมผู้หญิงปากแดงสัญลักษณ์ของเซ็นทรัลเวิลด์ยังคงอยู่
เดอะ เฮด (THE HEAD) คือชื่อประติมากรรมชิ้นนั้น มันถูกวางอยู่ ณ ลานหน้าศูนย์ การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2552 ซึ่งเซ็นทรัลเวิลด์ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย จัดงานฉลอง 62 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-อินเดีย และมีการนำ เดอะเฮด มาตั้งไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเซ็นทรัลเวิลด์ คือ แลนด์มาร์คของงานประติมากรรมกลางกรุงเทพฯ
เดอะ เฮด เป็นผลงานของ Ravinder Reddy ศิลปินระดับโลกชื่อดังชาวอินเดีย จงใจ สร้างรูปปั้นนี้ เพื่อนำมาติดตั้งที่ประเทศไทยโดยเฉพาะ มันถูกออกแบบเป็นรูปปั้นศีรษะหญิง ประดับดอกไม้บนมวยผม แล้วนำมาหล่อแบบ ให้เป็นผลงานประติมากรรมสูง 4 เมตร สร้างด้วยวัสดุบรอนซ์ทองทั้งหมดและตกแต่งด้วยสีอะคริลิก
Ravinder Reddy ใช้เวลาสร้างงานชิ้นนี้กว่า 6 เดือนเต็ม โดยใช้ช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญในงานประติมากรรม 30 คน ซึ่งเจ้าของผลงานนี้เปิดเผยว่า ต้นแบบที่ใช้ในการสร้าง เดอะเฮด เป็นผู้หญิงที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ ไม่มีตัวตนและเขากำลังตามหาผู้หญิงคนนี้อยู่เช่นกัน
สำหรับผู้คนในโลกไซเบอร์ มีการเล่าถึงสี่แยกราชประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เล่าถึงความอาถรรพ์ของเดอะเฮดว่าปรียบเสมือนตุ๊กตาเสียกบาล ที่นำไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง หรือลอยน้ำ การนำตุ๊กตา เสียกบาล ไปไว้หน้าศูนย์การค้า เปรียบเสมือนนำตัว กาลีมาไว้หน้าบ้าน
สอดคล้องกับ อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยของไทย เคยออกมาระบุไว้ว่า "ที่ตรงนั้นเคยเป็นทางแยกและเป็นคลองตรงจุดทางแยก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ สมัยโบราณตอนแรก ที่ตั้งโรงแรมเอราวัณ ก็ประสบปัญหามากมายถึงขั้นลมละลายกันบ่อย แต่หลังจากมีพระผู้ใหญ่ที่เป็นพราหมณ์ แนะนำให้ตั้งศาลพระพรหมที่ตรงโรงแรมเอราวัณ หลังนั้นสถานการณ์ต่างๆ ก็ดีขึ้น
เช่นเดียวกับที่ตั้งของโรงพยาบาลตำรวจเมื่อก่อนยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มักจะมีเหตุการณ์ตาย จนกระทั่งมีการตั้งพระนารายณ์ เพื่อให้ควบคุมสถานการณ์ได้ หรืออย่างสมัยก่อนตรงหัวมุมตรงนั้นก็มีการสร้าง "ห้างไทยไดมารู" ขึ้น แต่ก็ต้องเจ๊งระเนระนาด เนื่องจากว่าตรงห้างไทยไดมารูที่ ตรงนั้นเดิมเคยเป็นสถานที่ศักสิทธิ์เป็น พระราชวังที่ประทับของ ร.4 ซึ่งตรงจุดนั้นก็มี การประ ทับ พระตรีมูรติ โดยสร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และก็มีการสืบทอด มาอันเชิญมาตั้ง อยู่ในวังเพชรบูรณ์ตรง ถ.ราชดำริ ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นถือเป็นที่เฮี้ยนและก็มีการสาบแช่งไว้มากมาย"
*************************************************
"ฮิตเลอร์"ชิดซ้าย
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
ต้องบอกว่ารัฐบาลประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงในการครองพื้นที่ข่าว และสร้างกระแสเกลียดชังม็อบแดง ที่วาดภาพจนกลายเป็น"ผู้ก่อการร้าย"เกือบ หมดแล้ว
การครองพื้นที่ข่าวสำหรับคนในสังคมโดยองค์รวมอาจจะไม่รู้สึกอะไรนัก แต่สำหรับคนทำงานสื่อสารมวลชนรู้ดีว่าสาเหตุสำคัญมาจากอะไร!?
เอาเป็นว่ายุครัฐบาลทหาร หรือยุคปฏิวัติ วงการสื่อสารมวลชนยังไม่สาหัสเท่าทุกวันนี้ก็แล้วกัน
ทำให้รัฐบาลสามารถสร้างภาพอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ รวมไปถึงการละเลงเสียจนนปช.ร้ายกาจยิ่งกว่าโจรใต้เสียอีก
โดยเฉพาะการนำอาวุธร้ายแรงจำนวนมากมาออกทีวี โดยระบุว่ายึดได้จากสถานที่ชุมนุมแยกราชประสงค์
หากมองผาดๆ ก็น่าตกใจอย่างยิ่งว่าการชุมนุมคราวนี้เล่นของหนักล้วนๆ
แต่ก็น่าแปลกที่ผู้ชุมนุมซึ่งมีอาวุธระดับคลังแสงย่อมๆ กลับไม่สามารถตอบโต้หรือสร้างความเสียหายให้ทหารที่บุกเข้ามาได้เลย
หรือแต่ละศพของประชาชนที่ถูกยิงตายกลางถนน น้อยเท่าน้อยที่จะพบอาวุธสงครามคามืออยู่ อย่างมากก็หนังสติ๊ก ระเบิดควัน หรือระเบิดเพลิง ที่ทำกันตามมีตามเกิด
แถมส่วนใหญ่เห็นตายกันมือเปล่าทั้งนั้น
แกนนำนปช.ใจร้ายชะมัดที่ไม่แจกอาวุธให้ประชาชนที่เข้าร่วม แต่ดันเก็บซุกเอาไว้เพื่อให้ทางการมาค้นเจอในภายหลัง!?
หรือที่รัฐบาลพร่ำบอกว่ามีแก๊ง"สไนเปอร์"คอยยิงผู้บริสุทธิ์ อาทิ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เพราะทหารประกาศอย่างแมนๆ ว่าไม่ได้ทำ
เช่นเดียวกับเสธ.แดง ที่ถูกยิงขณะอยู่ห่างจากนักข่าวต่างประเทศเพียง 2 ฟุต ทหารก็ยืนยันว่าเปล่าเช่นกัน
ถ้าทหารไม่ได้ทำก็สื่อได้อย่างเดียวว่านปช.ทำกันเอง
จึงปร่าแปร่งอย่างยิ่งหากนปช.มีมือปืนระดับพระกาฬขนาดนี้ มีอาวุธมากมายขนาดนั้น แต่ทหารแทบไม่สูญเสียเลยในการเข้าสลายการชุมนุม
ทั้งยังสามารถ "กระชับพื้นที่" ได้เร็ว ได้ง่าย โดยไม่มีแก๊งสไนเปอร์ หรืออาวุธหนักตอบโต้กลับมาเลย
เห็นพฤติกรรมโฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว อดนึกถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งฝ่ายอักษะ นำโดยเยอรมัน ที่มี "ฮิตเลอร์" เป็นผู้นำไม่ได้
"ฮิตเลอร์" นั้นเติบใหญ่จนมีอำนาจมากมาย เพราะเป็นคนพูดเก่ง พูดจามีหลักการ สามารถโน้มน้าวประชาชนส่วนใหญ่ได้ดี
และที่เก่งกว่านั้นเป็นเกจิเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ
แต่ฮิตเลอร์ก็ฮิตเลอร์เถอะ ถ้ามาเมืองไทยตอนนี้ล่ะก็
ชิดซ้ายตกขอบไปได้เลย!?
**************************************************
คอลัมน์ เหล็กใน
ต้องบอกว่ารัฐบาลประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงในการครองพื้นที่ข่าว และสร้างกระแสเกลียดชังม็อบแดง ที่วาดภาพจนกลายเป็น"ผู้ก่อการร้าย"เกือบ หมดแล้ว
การครองพื้นที่ข่าวสำหรับคนในสังคมโดยองค์รวมอาจจะไม่รู้สึกอะไรนัก แต่สำหรับคนทำงานสื่อสารมวลชนรู้ดีว่าสาเหตุสำคัญมาจากอะไร!?
เอาเป็นว่ายุครัฐบาลทหาร หรือยุคปฏิวัติ วงการสื่อสารมวลชนยังไม่สาหัสเท่าทุกวันนี้ก็แล้วกัน
ทำให้รัฐบาลสามารถสร้างภาพอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ รวมไปถึงการละเลงเสียจนนปช.ร้ายกาจยิ่งกว่าโจรใต้เสียอีก
โดยเฉพาะการนำอาวุธร้ายแรงจำนวนมากมาออกทีวี โดยระบุว่ายึดได้จากสถานที่ชุมนุมแยกราชประสงค์
หากมองผาดๆ ก็น่าตกใจอย่างยิ่งว่าการชุมนุมคราวนี้เล่นของหนักล้วนๆ
แต่ก็น่าแปลกที่ผู้ชุมนุมซึ่งมีอาวุธระดับคลังแสงย่อมๆ กลับไม่สามารถตอบโต้หรือสร้างความเสียหายให้ทหารที่บุกเข้ามาได้เลย
หรือแต่ละศพของประชาชนที่ถูกยิงตายกลางถนน น้อยเท่าน้อยที่จะพบอาวุธสงครามคามืออยู่ อย่างมากก็หนังสติ๊ก ระเบิดควัน หรือระเบิดเพลิง ที่ทำกันตามมีตามเกิด
แถมส่วนใหญ่เห็นตายกันมือเปล่าทั้งนั้น
แกนนำนปช.ใจร้ายชะมัดที่ไม่แจกอาวุธให้ประชาชนที่เข้าร่วม แต่ดันเก็บซุกเอาไว้เพื่อให้ทางการมาค้นเจอในภายหลัง!?
หรือที่รัฐบาลพร่ำบอกว่ามีแก๊ง"สไนเปอร์"คอยยิงผู้บริสุทธิ์ อาทิ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เพราะทหารประกาศอย่างแมนๆ ว่าไม่ได้ทำ
เช่นเดียวกับเสธ.แดง ที่ถูกยิงขณะอยู่ห่างจากนักข่าวต่างประเทศเพียง 2 ฟุต ทหารก็ยืนยันว่าเปล่าเช่นกัน
ถ้าทหารไม่ได้ทำก็สื่อได้อย่างเดียวว่านปช.ทำกันเอง
จึงปร่าแปร่งอย่างยิ่งหากนปช.มีมือปืนระดับพระกาฬขนาดนี้ มีอาวุธมากมายขนาดนั้น แต่ทหารแทบไม่สูญเสียเลยในการเข้าสลายการชุมนุม
ทั้งยังสามารถ "กระชับพื้นที่" ได้เร็ว ได้ง่าย โดยไม่มีแก๊งสไนเปอร์ หรืออาวุธหนักตอบโต้กลับมาเลย
เห็นพฤติกรรมโฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว อดนึกถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งฝ่ายอักษะ นำโดยเยอรมัน ที่มี "ฮิตเลอร์" เป็นผู้นำไม่ได้
"ฮิตเลอร์" นั้นเติบใหญ่จนมีอำนาจมากมาย เพราะเป็นคนพูดเก่ง พูดจามีหลักการ สามารถโน้มน้าวประชาชนส่วนใหญ่ได้ดี
และที่เก่งกว่านั้นเป็นเกจิเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ
แต่ฮิตเลอร์ก็ฮิตเลอร์เถอะ ถ้ามาเมืองไทยตอนนี้ล่ะก็
ชิดซ้ายตกขอบไปได้เลย!?
**************************************************
คนที่ผิดกว่ามือเผา
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
ลองนึกถึงภาพเหตุการณ์ในบ้านเมือง ถ้าหากรัฐบาลกับนปช.เจรจากันได้ ลงเอยด้วยการสลายตัวกลับอย่างสงบ ถนนราชประสงค์กลับคืนสู่ปกติ หนักหน่อยก็แค่การกวาดเก็บขยะ ล้างถนน
ไม่ต้องล้างเลือดประชาชน
ทั้งไม่มีตึกรามวอดวาย
จากนั้นรัฐบาลก็รีบดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เตรียมยุบสภาและเลือกตั้งในปลายปี พร้อมๆกับมีเวลาบริหารประเทศชาติ โชว์ฝีมืออีกพักใหญ่
พรรคการเมืองต่างๆ ก็เตรียมตัวลงสนามเลือกตั้ง
การเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย แต่เป็นหนทางที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ยิ่งทำให้สกปรกน้อยที่สุด ก็คือการคืนอำนาจให้ชาวบ้านอย่างดีที่สุด
ทุกพรรค ทุกขั้วทุกสี มีสิทธิเสมอภาคกัน ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง!
เพียงแค่การยอมเจรจา ไม่มีเรื่องเสียหน้า ไม่มีคำว่าแพ้ไม่ได้
เหตุการณ์เลวร้าย 19 พ.ค. คงไม่เกิด ความรุนแรง 10 เม.ย. อาจไม่มี
สำคัญสุดประชาชนไม่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตถึงกว่า 80 ศพ
เป็นความตายของพลเมืองไทยต่อปัญหาการเมืองที่มากมายที่สุดในประวัติศาสตร์
รัฐบาลจอมพลถนอม รัฐบาลพล.อ.สุจินดา ชิดซ้ายไปเลย
ทั้งยังกลายเป็นหนี้เลือดหนี้แค้น ที่หากรัฐบาลไม่ยอมรับผิดชอบ ก็น่าเป็นห่วงยิ่ง
หน่วยข่าวกรองทุกหน่วยเตือนไว้แล้วด้วยความห่วงใยว่า ม็อบจบแบบโดนปราบ ย่อมเกิดความรุนแรงติดตามมาอย่างแน่นอน
หากย้อนกลับไปคืนวันที่ 10 เม.ย. ถ้ารัฐบาลไม่สั่งการผิดพลาด ให้ทหารเข้ายึดพื้นที่คืน ท่ามกลางผู้ชุมนุมนับหมื่น แล้วต่อเนื่องจนกลางคืน ย่อมไม่บานปลาย ล้มตายกันเกือบ 30 ศพ
แล้วถ้ารีบเจรจากันให้จบ ก็จะไม่เพิ่มเกิน 80 ชีวิต
ในวันที่ 19 พ.ค.เอง เมื่อตัดสินใจใช้การทหาร คือปฏิเสธแนวทางสันติ ทำให้มีคนล้มตายตามมาอีก
แล้วไม่มีการประเมินความเสี่ยง หากทหารเข้าถึงพื้นที่ราชประสงค์ พื้นที่เปราะบาง จะควบคุมม็อบได้หรือไม่
ไปจนถึงไม่มีแผนป้องกัน เมื่อฝูงชนเกิดบ้าคลั่งด้วยความแค้นจะมีการเผาย่านการค้าตามมา
เรื่องแบบนี้ถ้าไม่รู้ ไม่เตรียมไว้ก่อน ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลด้วย!!
มือเผานั้นผิดแน่ ผู้นำม็อบก็ต้องชดใช้ความผิด
แต่ความเป็นผู้บริหารบ้านเมืองของนายกฯ ต้องรับผิดชอบสูงกว่า!
******************************************************
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
ลองนึกถึงภาพเหตุการณ์ในบ้านเมือง ถ้าหากรัฐบาลกับนปช.เจรจากันได้ ลงเอยด้วยการสลายตัวกลับอย่างสงบ ถนนราชประสงค์กลับคืนสู่ปกติ หนักหน่อยก็แค่การกวาดเก็บขยะ ล้างถนน
ไม่ต้องล้างเลือดประชาชน
ทั้งไม่มีตึกรามวอดวาย
จากนั้นรัฐบาลก็รีบดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เตรียมยุบสภาและเลือกตั้งในปลายปี พร้อมๆกับมีเวลาบริหารประเทศชาติ โชว์ฝีมืออีกพักใหญ่
พรรคการเมืองต่างๆ ก็เตรียมตัวลงสนามเลือกตั้ง
การเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย แต่เป็นหนทางที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ยิ่งทำให้สกปรกน้อยที่สุด ก็คือการคืนอำนาจให้ชาวบ้านอย่างดีที่สุด
ทุกพรรค ทุกขั้วทุกสี มีสิทธิเสมอภาคกัน ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง!
เพียงแค่การยอมเจรจา ไม่มีเรื่องเสียหน้า ไม่มีคำว่าแพ้ไม่ได้
เหตุการณ์เลวร้าย 19 พ.ค. คงไม่เกิด ความรุนแรง 10 เม.ย. อาจไม่มี
สำคัญสุดประชาชนไม่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตถึงกว่า 80 ศพ
เป็นความตายของพลเมืองไทยต่อปัญหาการเมืองที่มากมายที่สุดในประวัติศาสตร์
รัฐบาลจอมพลถนอม รัฐบาลพล.อ.สุจินดา ชิดซ้ายไปเลย
ทั้งยังกลายเป็นหนี้เลือดหนี้แค้น ที่หากรัฐบาลไม่ยอมรับผิดชอบ ก็น่าเป็นห่วงยิ่ง
หน่วยข่าวกรองทุกหน่วยเตือนไว้แล้วด้วยความห่วงใยว่า ม็อบจบแบบโดนปราบ ย่อมเกิดความรุนแรงติดตามมาอย่างแน่นอน
หากย้อนกลับไปคืนวันที่ 10 เม.ย. ถ้ารัฐบาลไม่สั่งการผิดพลาด ให้ทหารเข้ายึดพื้นที่คืน ท่ามกลางผู้ชุมนุมนับหมื่น แล้วต่อเนื่องจนกลางคืน ย่อมไม่บานปลาย ล้มตายกันเกือบ 30 ศพ
แล้วถ้ารีบเจรจากันให้จบ ก็จะไม่เพิ่มเกิน 80 ชีวิต
ในวันที่ 19 พ.ค.เอง เมื่อตัดสินใจใช้การทหาร คือปฏิเสธแนวทางสันติ ทำให้มีคนล้มตายตามมาอีก
แล้วไม่มีการประเมินความเสี่ยง หากทหารเข้าถึงพื้นที่ราชประสงค์ พื้นที่เปราะบาง จะควบคุมม็อบได้หรือไม่
ไปจนถึงไม่มีแผนป้องกัน เมื่อฝูงชนเกิดบ้าคลั่งด้วยความแค้นจะมีการเผาย่านการค้าตามมา
เรื่องแบบนี้ถ้าไม่รู้ ไม่เตรียมไว้ก่อน ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลด้วย!!
มือเผานั้นผิดแน่ ผู้นำม็อบก็ต้องชดใช้ความผิด
แต่ความเป็นผู้บริหารบ้านเมืองของนายกฯ ต้องรับผิดชอบสูงกว่า!
******************************************************
โจทย์ที่ “ทีวีไทย” ต้องตอบ
นักปรัชญาชายขอบ
“ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” (หรือ Thai PBS เดิม) ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็น “ฟรีทีวีทางเลือก” ของประชาชน นอกเหนือจากฟรีทีวีหลักๆ ที่มีอยู่ และที่มีกันอยู่ไม่กี่ช่องนั้นก็มีรูปแบบรายการซ้ำๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเกมโชว์ปัญญาอ่อน ละครน้ำเน่า รายการเล่าข่าวที่มีรูปแบบคล้ายๆ กัน หรือมีสำนักข่าวเดียวกันส่งคนของตัวเองเข้าไปจัดรายการคล้ายๆ กันในหลายช่อง
ฉะนั้น ทีวีไทยจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “ทางเลือก” ที่แตกต่างแก่ประชาชน โดยใช้เงินภาษีของประชาชนในการบริหารจัดการ
วัตถุประสงค์ของทีวีไทยมีทั้งหมด 6 ข้อ หนึ่งในนั้นคือเพื่อ “ส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมของประชาชน ในการสร้างสังคมระบอบประชาธิปไตยที่เป็นธรรม มีความกล้าหาญในการรายงานข่าวสารและเสนอประเด็นโต้เถียง โดยยึดถือประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ”
แต่ถามว่า ทีวีไทยต่างจากฟรีทีวีช่องอื่นๆ ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหาจริงหรือไม่? หรือเติมเต็มในส่วนที่สังคมยังขาดอยู่เพียงใด? เกี่ยวกับการจัดทำรายการข่าว รายการวิเคราะห์ข่าว รายการข่าวแบบเจาะลึก รายการสนทนา/ถกเถียงเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคม เศรษฐกิจการเมือง หรือรายการที่นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาของคนชั้นล่าง คนชายขอบ หรือคนส่วนใหญ่ของสังคมแต่พวกเขาแทบไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสน้อยในการ “ส่งเสียง” ผ่านสื่อ และการกำหนดประเด็นสาธารณะต่างๆ
ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะในระยะใกล้นี้ การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 14 มีนาคมถึง 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา การรายงานข่าวของทีวีไทยแทบไม่ต่างจาก “ช่องหอยม่วง” มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสนอข่าวของฟากรัฐบาล คนที่ดูทีวีไทยจะได้รับทราบคำแถลงของนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ ศอฉ. เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่าคำแถลง และคำให้สัมภาษณ์ของแกนนำ นปช.
แม้แต่การรายงานข่าวภาคสนาม มีการนำเสนอภาพการไปสัมภาษณ์ชาวบ้านเสื้อแดงจากภาคอีสานที่มาร่วมชุมนุมที่พูดเหมือนท่องจำคำพูดของแกนนำ นำภาพเดิมๆ นั้นมาออกอากาศซ้ำๆ แล้วก็สรุปเหมือนที่รัฐบาลสรุปว่า ชาวบ้านส่วนหนึ่งมาชุมนุมเพราะมีปัญหาความยากจน ต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหา คนเหล่านี้ควรได้รับความเห็นใจจากสังคม และรัฐบาล
แต่ไม่มีการทำข่าวแบบเจาะลึกเพื่ออธิบายให้เห็นพัฒนาการทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณของมวลชนเสื้อแดง โดยลงพื้นที่ไปยังภาคเหนือ ภาคอิสาน เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าคนเสื้อแดงในภาคเหนือ ภาคอิสานเขามีความคิดทางการเมืองอย่างไร ทำไมคนชนบทหลายหมู่บ้านเขาจึงจัดผ้าป่าบริจาคเงิน ข้าวสารอาหารแห้งสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงในหมู่บ้านให้มาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ (น้าของผมอยู่ที่จังหวัดหนองบัวลำภู อายุ 50 กว่าปีแล้ว แต่ก่อนผมไม่เคยเห็นแกพูดคุยเรื่องการเมืองเลย คราวนี้แกจัดผ้าป่าถึง 3 ครั้งสนับสนุนคนเสื้อแดง)
มีโจทย์หลายโจทย์ที่ทีวีไทยซึ่งใช้เงินภาษีของประชาชน น่าจะต้องหาคำตอบ เช่น
1. คนเสื้อแดงโดยเฉพาะคนชนบท คนชั้นล่างในสังคมเมือง พวกเขามี “ความคิดทางการเมือง” อย่างไร จริงหรือไม่ที่ว่าพวกเขามาชุมนุม ถ้าไม่มาเพราะรักทักษิณ ก็มาเพราะถูกจ้าง หรือเพราะมีปัญหาความยากจน พวกเขาไม่มีความคิดทางการเมืองของตัวเอง หรือมี “อุดมการณ์ทางการเมือง” ของตัวเองเลยหรือ? คนไม่มีอุดมการณ์เลยทำไมจึงกล้าเผชิญหน้ากับการล้อมปราบของกองกำลังทหารอย่างไม่กลัวความตาย? ทำไมพวกเขาจึงร้องไห้ โกรธ ผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อเห็นแกนนำประกาศให้ยุติการชุมนุม?
2. สมมติว่าพวกเขารักทักษิณ รับเงินทักษิณมาต่อสู้เพื่อทักษิณ แทนที่ทีวีไทยจะทำเสมือนยอมรับคำอธิบายของฟากเสื้อเหลือง หรือคนชั้นกลางในเมืองว่า นั่นเป็นความโง่ของชาวบ้าน นั่นเป็นความผิดของชาวบ้าน เพราะพวกเขาเป็นเครื่องมือของนักการเมืองโกง ฯลฯ
ทีวีไทยน่าจะแสวงหาเหตุผลหรือคำอธิบายจากชาวบ้านว่า ทำไมเขารักทักษิณ เขามีความต้องการ ความคาดหวังทางการเมืองอย่างไรในการต่อสู้เพื่อช่วยทักษิณ และ “ทำไมการต่อสู้เพื่อช่วยทักษิณจึงไปด้วยกันไม่ได้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย?”
แต่จะเห็นว่า ในกรณีนี้ทีวีไทยก็ทำได้แค่อธิบายคนเสื้อแดงตาม “มุมมองแบบคนชั้นกลางในเมือง” (ซึ่งเป็นมุมมองของคนที่อ่านน้อย ขี้เกียจหาข้อมูลเชิงลึกและรอบด้าน เอาแต่ตัดสินคนอื่นไปทั่ว โดยไม่ใช้ความรู้ ข้อมูล และสติปัญญาอย่างรอบคอบ) ฉะนั้น ภาพของคนเสื้อแดงที่เสนอผ่านทีวีไทย ก็ไม่ต่างมากนักกับที่เสนอผ่าน “ช่องหอยม่วง” และสื่อตัวแทนคนชั้นกลางในเมืองทั่วๆ ไป
3. หลังจากเปลวเพลิงที่ราชประสงค์ดับมอดลง ทีวีไทยก็ทำหน้าที่เหมือนกับฟรีทีวีช่องอื่นๆ คือรายงานความเห็นของฟากรัฐบาล และคนกรุงเทพฯโดยทั่วไป และที่ได้รับผลกระทบ กับแนวทางการเยียวยาของรัฐบาลต่อกลุ่มธุรกิจและผู้ที่ประสบความเสียหาย
แต่ไม่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับชะตากรรมของคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บและเสียชีวิตว่า พวกเขาได้รับการเยียวยาอย่างไร ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร คนเหล่านั้นเขาคิดอย่างไร คิดจะทำอะไรต่อไปหลังจากต้องพกพาความพ่ายแพ้กลับบ้านในชนบท
4. ทำไมทีวีไทยจึงไม่ “ซีเรียส” กับการตอบโจทย์สำคัญ เช่น รัฐบาลที่ใช้กองกำลังทหารแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากขนาดนี้ ยังมี “ความชอบธรรม” ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปหรือไม่?
5. เรื่อง “ขบวนการล้มเจ้า” ทีวีไทยก็ไม่ได้เจาะลึก เพียงแค่รายงานข่าวตามที่ ศอฉ.แถลงเท่านั้น ไม่ค้นหาความจริงว่าในผังขบวนการล้มเจ้านั้นใครตัวจริง ใครตัวปลอม ตัวจริงอย่าง อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ ที่ประกาศว่า “ผมไม่เอาเจ้า แล้วไง?” ทีวีไทยก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะไปทำข่าวให้สาธารณะรับรู้ว่า “แล้วไง...?” ของอาจารย์ใจนั้นมีรายละเอียดอย่างไร?
นอกจากนี้นักวิชาการที่อยู่ในผังขบวนการล้มเจ้าอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือกระทั่งนักกิจกรรมอย่าง สมยศ พฤกษาเกษมสุข ทีวีไทยก็ไม่สนใจจะนำเสนอ “ความคิด”ของคนเหล่านี้อย่างละเอียดเพียงพอ (ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นสื่อแห่ตามการ “เล่นละครข่าว” ของ “ชูวิทย์ กมลวิสิทธิ์” ทั้งที่แทบไม่เห็นมีประโยชน์อะไรต่อสาธารณะ แต่ชูวิทย์ก็ใช้สื่อเป็น “เครื่องมือ” สร้างกระแสนิยมในกลุ่มคนกรุงเทพฯได้มากเกินคาด ส่วนประเด็น “ล้มเจ้า” ความจริงคืออะไร? การหาความจริงเรื่องนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่า แต่สื่อกระแสหลักและทีวีไทยก็ไม่สนใจหรือไม่มี “กึ๋น” ที่จะ “หาความจริง”)
ฉะนั้น วัตถุประสงค์ที่ว่า “มีความกล้าหาญในการรายงานข่าวสารและเสนอประเด็นโต้เถียง” จึงยังไม่เป็นจริง!
กล่าวโดยสรุป หาก “ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” เป็น “ทีวีของประชาชน” จริง มีมโนธรรมสำนึกรับผิดชอบในการใช้ “เงินภาษี” ของประชาชนจริง ทีวีไทยต้องหยุดทำตัวเป็นแค่ “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลและคนชั้นกลางในเมืองเหมือนสื่อกระแสหลักอื่นๆ ทำกัน แต่ต้องทำข่าวเชิงเจาะลึก และให้ความเป็นธรรมกับคนชั้นล่างที่ถูกกดขี่เอาเปรียบมากขึ้น ต้องอธิบาย “ตัวตน” และ “อุดมการณ์” ทางการเมืองของพวกเขาให้สาธารณะรับรู้อย่างตรงตามความเป็นจริงมากกว่านี้!
และต้องเอาจริงเอาจังกับการตอบ “โจทย์” ที่สำคัญมากที่สุด เช่น ทำไมรัฐบาลที่ใช้กำลังทหารแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ จึงมีความชอบธรรมอยู่ในอำนาจต่อไป?
ที่มา.ประชาไท
*************************************************
“ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” (หรือ Thai PBS เดิม) ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็น “ฟรีทีวีทางเลือก” ของประชาชน นอกเหนือจากฟรีทีวีหลักๆ ที่มีอยู่ และที่มีกันอยู่ไม่กี่ช่องนั้นก็มีรูปแบบรายการซ้ำๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเกมโชว์ปัญญาอ่อน ละครน้ำเน่า รายการเล่าข่าวที่มีรูปแบบคล้ายๆ กัน หรือมีสำนักข่าวเดียวกันส่งคนของตัวเองเข้าไปจัดรายการคล้ายๆ กันในหลายช่อง
ฉะนั้น ทีวีไทยจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “ทางเลือก” ที่แตกต่างแก่ประชาชน โดยใช้เงินภาษีของประชาชนในการบริหารจัดการ
วัตถุประสงค์ของทีวีไทยมีทั้งหมด 6 ข้อ หนึ่งในนั้นคือเพื่อ “ส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมของประชาชน ในการสร้างสังคมระบอบประชาธิปไตยที่เป็นธรรม มีความกล้าหาญในการรายงานข่าวสารและเสนอประเด็นโต้เถียง โดยยึดถือประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ”
แต่ถามว่า ทีวีไทยต่างจากฟรีทีวีช่องอื่นๆ ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหาจริงหรือไม่? หรือเติมเต็มในส่วนที่สังคมยังขาดอยู่เพียงใด? เกี่ยวกับการจัดทำรายการข่าว รายการวิเคราะห์ข่าว รายการข่าวแบบเจาะลึก รายการสนทนา/ถกเถียงเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคม เศรษฐกิจการเมือง หรือรายการที่นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาของคนชั้นล่าง คนชายขอบ หรือคนส่วนใหญ่ของสังคมแต่พวกเขาแทบไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสน้อยในการ “ส่งเสียง” ผ่านสื่อ และการกำหนดประเด็นสาธารณะต่างๆ
ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะในระยะใกล้นี้ การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 14 มีนาคมถึง 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา การรายงานข่าวของทีวีไทยแทบไม่ต่างจาก “ช่องหอยม่วง” มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสนอข่าวของฟากรัฐบาล คนที่ดูทีวีไทยจะได้รับทราบคำแถลงของนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ ศอฉ. เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่าคำแถลง และคำให้สัมภาษณ์ของแกนนำ นปช.
แม้แต่การรายงานข่าวภาคสนาม มีการนำเสนอภาพการไปสัมภาษณ์ชาวบ้านเสื้อแดงจากภาคอีสานที่มาร่วมชุมนุมที่พูดเหมือนท่องจำคำพูดของแกนนำ นำภาพเดิมๆ นั้นมาออกอากาศซ้ำๆ แล้วก็สรุปเหมือนที่รัฐบาลสรุปว่า ชาวบ้านส่วนหนึ่งมาชุมนุมเพราะมีปัญหาความยากจน ต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหา คนเหล่านี้ควรได้รับความเห็นใจจากสังคม และรัฐบาล
แต่ไม่มีการทำข่าวแบบเจาะลึกเพื่ออธิบายให้เห็นพัฒนาการทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณของมวลชนเสื้อแดง โดยลงพื้นที่ไปยังภาคเหนือ ภาคอิสาน เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าคนเสื้อแดงในภาคเหนือ ภาคอิสานเขามีความคิดทางการเมืองอย่างไร ทำไมคนชนบทหลายหมู่บ้านเขาจึงจัดผ้าป่าบริจาคเงิน ข้าวสารอาหารแห้งสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงในหมู่บ้านให้มาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ (น้าของผมอยู่ที่จังหวัดหนองบัวลำภู อายุ 50 กว่าปีแล้ว แต่ก่อนผมไม่เคยเห็นแกพูดคุยเรื่องการเมืองเลย คราวนี้แกจัดผ้าป่าถึง 3 ครั้งสนับสนุนคนเสื้อแดง)
มีโจทย์หลายโจทย์ที่ทีวีไทยซึ่งใช้เงินภาษีของประชาชน น่าจะต้องหาคำตอบ เช่น
1. คนเสื้อแดงโดยเฉพาะคนชนบท คนชั้นล่างในสังคมเมือง พวกเขามี “ความคิดทางการเมือง” อย่างไร จริงหรือไม่ที่ว่าพวกเขามาชุมนุม ถ้าไม่มาเพราะรักทักษิณ ก็มาเพราะถูกจ้าง หรือเพราะมีปัญหาความยากจน พวกเขาไม่มีความคิดทางการเมืองของตัวเอง หรือมี “อุดมการณ์ทางการเมือง” ของตัวเองเลยหรือ? คนไม่มีอุดมการณ์เลยทำไมจึงกล้าเผชิญหน้ากับการล้อมปราบของกองกำลังทหารอย่างไม่กลัวความตาย? ทำไมพวกเขาจึงร้องไห้ โกรธ ผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อเห็นแกนนำประกาศให้ยุติการชุมนุม?
2. สมมติว่าพวกเขารักทักษิณ รับเงินทักษิณมาต่อสู้เพื่อทักษิณ แทนที่ทีวีไทยจะทำเสมือนยอมรับคำอธิบายของฟากเสื้อเหลือง หรือคนชั้นกลางในเมืองว่า นั่นเป็นความโง่ของชาวบ้าน นั่นเป็นความผิดของชาวบ้าน เพราะพวกเขาเป็นเครื่องมือของนักการเมืองโกง ฯลฯ
ทีวีไทยน่าจะแสวงหาเหตุผลหรือคำอธิบายจากชาวบ้านว่า ทำไมเขารักทักษิณ เขามีความต้องการ ความคาดหวังทางการเมืองอย่างไรในการต่อสู้เพื่อช่วยทักษิณ และ “ทำไมการต่อสู้เพื่อช่วยทักษิณจึงไปด้วยกันไม่ได้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย?”
แต่จะเห็นว่า ในกรณีนี้ทีวีไทยก็ทำได้แค่อธิบายคนเสื้อแดงตาม “มุมมองแบบคนชั้นกลางในเมือง” (ซึ่งเป็นมุมมองของคนที่อ่านน้อย ขี้เกียจหาข้อมูลเชิงลึกและรอบด้าน เอาแต่ตัดสินคนอื่นไปทั่ว โดยไม่ใช้ความรู้ ข้อมูล และสติปัญญาอย่างรอบคอบ) ฉะนั้น ภาพของคนเสื้อแดงที่เสนอผ่านทีวีไทย ก็ไม่ต่างมากนักกับที่เสนอผ่าน “ช่องหอยม่วง” และสื่อตัวแทนคนชั้นกลางในเมืองทั่วๆ ไป
3. หลังจากเปลวเพลิงที่ราชประสงค์ดับมอดลง ทีวีไทยก็ทำหน้าที่เหมือนกับฟรีทีวีช่องอื่นๆ คือรายงานความเห็นของฟากรัฐบาล และคนกรุงเทพฯโดยทั่วไป และที่ได้รับผลกระทบ กับแนวทางการเยียวยาของรัฐบาลต่อกลุ่มธุรกิจและผู้ที่ประสบความเสียหาย
แต่ไม่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับชะตากรรมของคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บและเสียชีวิตว่า พวกเขาได้รับการเยียวยาอย่างไร ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร คนเหล่านั้นเขาคิดอย่างไร คิดจะทำอะไรต่อไปหลังจากต้องพกพาความพ่ายแพ้กลับบ้านในชนบท
4. ทำไมทีวีไทยจึงไม่ “ซีเรียส” กับการตอบโจทย์สำคัญ เช่น รัฐบาลที่ใช้กองกำลังทหารแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากขนาดนี้ ยังมี “ความชอบธรรม” ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปหรือไม่?
5. เรื่อง “ขบวนการล้มเจ้า” ทีวีไทยก็ไม่ได้เจาะลึก เพียงแค่รายงานข่าวตามที่ ศอฉ.แถลงเท่านั้น ไม่ค้นหาความจริงว่าในผังขบวนการล้มเจ้านั้นใครตัวจริง ใครตัวปลอม ตัวจริงอย่าง อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ ที่ประกาศว่า “ผมไม่เอาเจ้า แล้วไง?” ทีวีไทยก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะไปทำข่าวให้สาธารณะรับรู้ว่า “แล้วไง...?” ของอาจารย์ใจนั้นมีรายละเอียดอย่างไร?
นอกจากนี้นักวิชาการที่อยู่ในผังขบวนการล้มเจ้าอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือกระทั่งนักกิจกรรมอย่าง สมยศ พฤกษาเกษมสุข ทีวีไทยก็ไม่สนใจจะนำเสนอ “ความคิด”ของคนเหล่านี้อย่างละเอียดเพียงพอ (ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นสื่อแห่ตามการ “เล่นละครข่าว” ของ “ชูวิทย์ กมลวิสิทธิ์” ทั้งที่แทบไม่เห็นมีประโยชน์อะไรต่อสาธารณะ แต่ชูวิทย์ก็ใช้สื่อเป็น “เครื่องมือ” สร้างกระแสนิยมในกลุ่มคนกรุงเทพฯได้มากเกินคาด ส่วนประเด็น “ล้มเจ้า” ความจริงคืออะไร? การหาความจริงเรื่องนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่า แต่สื่อกระแสหลักและทีวีไทยก็ไม่สนใจหรือไม่มี “กึ๋น” ที่จะ “หาความจริง”)
ฉะนั้น วัตถุประสงค์ที่ว่า “มีความกล้าหาญในการรายงานข่าวสารและเสนอประเด็นโต้เถียง” จึงยังไม่เป็นจริง!
กล่าวโดยสรุป หาก “ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” เป็น “ทีวีของประชาชน” จริง มีมโนธรรมสำนึกรับผิดชอบในการใช้ “เงินภาษี” ของประชาชนจริง ทีวีไทยต้องหยุดทำตัวเป็นแค่ “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลและคนชั้นกลางในเมืองเหมือนสื่อกระแสหลักอื่นๆ ทำกัน แต่ต้องทำข่าวเชิงเจาะลึก และให้ความเป็นธรรมกับคนชั้นล่างที่ถูกกดขี่เอาเปรียบมากขึ้น ต้องอธิบาย “ตัวตน” และ “อุดมการณ์” ทางการเมืองของพวกเขาให้สาธารณะรับรู้อย่างตรงตามความเป็นจริงมากกว่านี้!
และต้องเอาจริงเอาจังกับการตอบ “โจทย์” ที่สำคัญมากที่สุด เช่น ทำไมรัฐบาลที่ใช้กำลังทหารแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ จึงมีความชอบธรรมอยู่ในอำนาจต่อไป?
ที่มา.ประชาไท
*************************************************
พ.ต.ท.ทักษิณระบุ ถูกใส่ร้ายเป็นผู้ก่อการร้าย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทวิตข้อความหลังศาลอาญาอนุมัติหมายขับคดีก่อการร้ายตามที่ DSI ร้องขอ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตขอ้อความหลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับก่อการร้าย ตามคำร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีข้อความว่า
'ผมถูกใส่ความเป็นผู้ก่อการร้ายโดยใช้หลักฐานเท็จ เหมือน6 ตุลา19 ทุกประการใช้สื่อโจมตีหาล้มสถาบัน เป็นcommunist แต่เรียกใหม่เป็น terrorist ยัดอาวุธ เป็นนายกฯมาจากการเลือกตั้งชนะถล่มทะลาย2ครั้งซ้อน ถูกปฏิวัติยัดข้อหาถูกปล้นทรัพย์ต่อสู้หาความยุติธรรมโดยสันติ กลับถูกยัดเยียดเป็นผู้ก่อการร้าย อย่าเที่ยวไปบอกชาวโลกเขานะว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย อายเขาคนกินข้าวกินขนมปังไม่ได้กินแกลบ เอารถถังปราบประชาชนผู้เรียกร้องตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน'
'ขอขอบคุณกำลังใจทุกกำลังใจ ขอขอบคุณนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกท่านผมไม่มีท้อไม่มีถอยเราจะต่อสู้ต่อไปเพื่ออนาคตลูกหลานไทยจะได้มีสังคมท่ีเป็นธรรม'
'ลุงมีระลึกชาติ คงจะเห็นเหมือนผม ไม่ยอมเห็นประเทศไทยเป็นเสมือน banana republic ที่คนเดียวกดปุ่มไปทุกระบบ จนหมดสิ้นความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือ ยอมเห็นประเทศแย่ คนในชาติลำบากมีทุกข์ สังคมขัดแย้ง กฎหมายและองค์กรยุติธรรมถูกใช้เยี่ยงประเทศเผด็จการ ไร้หลักนิติธรรมเมตตาธรรมเพียง เพื่อขจัดระแวง'
'ผมไม่เคยคิดร้ายกับใคร ถึงแม้จะโดนกระหน่ำขนาดนี้ เพียงสงสารคนที่ถูกแย่งโอกาสถูกเอาเปรียบ และอยากเห็นประเทศและคนไทยอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเท่านั้น'
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตขอ้อความหลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับก่อการร้าย ตามคำร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีข้อความว่า
'ผมถูกใส่ความเป็นผู้ก่อการร้ายโดยใช้หลักฐานเท็จ เหมือน6 ตุลา19 ทุกประการใช้สื่อโจมตีหาล้มสถาบัน เป็นcommunist แต่เรียกใหม่เป็น terrorist ยัดอาวุธ เป็นนายกฯมาจากการเลือกตั้งชนะถล่มทะลาย2ครั้งซ้อน ถูกปฏิวัติยัดข้อหาถูกปล้นทรัพย์ต่อสู้หาความยุติธรรมโดยสันติ กลับถูกยัดเยียดเป็นผู้ก่อการร้าย อย่าเที่ยวไปบอกชาวโลกเขานะว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย อายเขาคนกินข้าวกินขนมปังไม่ได้กินแกลบ เอารถถังปราบประชาชนผู้เรียกร้องตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน'
'ขอขอบคุณกำลังใจทุกกำลังใจ ขอขอบคุณนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกท่านผมไม่มีท้อไม่มีถอยเราจะต่อสู้ต่อไปเพื่ออนาคตลูกหลานไทยจะได้มีสังคมท่ีเป็นธรรม'
'ลุงมีระลึกชาติ คงจะเห็นเหมือนผม ไม่ยอมเห็นประเทศไทยเป็นเสมือน banana republic ที่คนเดียวกดปุ่มไปทุกระบบ จนหมดสิ้นความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือ ยอมเห็นประเทศแย่ คนในชาติลำบากมีทุกข์ สังคมขัดแย้ง กฎหมายและองค์กรยุติธรรมถูกใช้เยี่ยงประเทศเผด็จการ ไร้หลักนิติธรรมเมตตาธรรมเพียง เพื่อขจัดระแวง'
'ผมไม่เคยคิดร้ายกับใคร ถึงแม้จะโดนกระหน่ำขนาดนี้ เพียงสงสารคนที่ถูกแย่งโอกาสถูกเอาเปรียบ และอยากเห็นประเทศและคนไทยอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเท่านั้น'
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
กลุ่ม อ.จุฬาฯ จี้ปล่อยตัว "สุธาชัย" ชี้จับไม่มีหลักฐาน
คณาจารย์จากจุฬาฯ แถลงข่าวเรียกร้องให้ปล่อยตัว "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" ระบุ ตร. ไม่มีและไม่เคยแสดงหลักฐานตามข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณะ นับเป็นการคุกคามเสรีภาพบุคคล เตือนใช้อำนาจไม่แยกแยะ ไม่อาจสร้างความปรองดองได้
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามหมายจับในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11(1) และนำตัวไปควบคุมที่ศูนย์การทหารม้าค่ายอดิศร จ.สระบุรี เมื่อวานนี้
ล่าสุด วันนี้ (25 พ.ค.) กลุ่มคณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย อาทิ ฉลอง สุนทราวาณิชย์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์, สุวิมล รุ่งเจริญ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์, สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติวิธีฯ, นฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกันแถลงข่าว ที่ห้องประชุมเกษมอุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยมีฉลองเป็นผู้อ่านแถลงการณ์ ทั้งนี้ระบุว่า ไม่ใช่การกระทำในนามของจุฬาฯ แต่เป็นในนาม "กลุ่มคณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย"
โดยกลุ่มคณาจารย์ฯ แสดงความกังวลต่อการใช้ข้อหาดังกล่าวในการออกหมายจับและควบคุมตัวนายสุธาชัย 2 ประการ คือ หนึ่ง แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีอำนาจดำเนินการตามพระราชกำหนด แต่ก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่มีและไม่เคยเปิดเผยหลักฐานชัดเจนหนักแน่นใดๆ อันเป็นองค์ประกอบของฐานความผิดดังกล่าว ให้ผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณชนได้รับรู้ นับเป็นการลิดรอนคุกคามสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยเฉพาะในกรณีของนายสุธาชัยยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอีกด้วย
สอง แม้การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.จะเป็นไปเพื่อระงับสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของบ้านเมือง และนำสังคมไทยกลับสู่สภาวะปกติ แต่การใช้อำนาจดังกล่าวอย่างครอบคลุมไม่แยกแยะ ปราศจากหลักฐานความผิดที่หนักแน่นชัดเจน ทั้งในกรณีของนายสุธาชัยและกรณีอื่นๆ มิอาจสร้างสังคมแห่งการปรองดองสมานฉันท์ดังที่รัฐบาลและ ศอฉ. มุ่งหวัง และยังอาจเพิ่มความหวาดระแวง ความกลัว ความเกลียดชัง และความโกรธแค้นในสังคมไทยให้ขยายตัว ทวีความเข้มข้นแหลมคมมากขึ้น อันยืนยันได้จากประสบการณ์ทางสังคมและการเมืองของไทยเองในช่วงทศวรรษ 2500-2520
ทั้งนี้ คณาจารย์และนักวิชาการผู้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของนายสุธาชัยเห็นว่า ทั้งในกรณีของนายสุธาชัยและกรณีอื่นๆ ที่ไม่ปรากฎหลักฐานชัดแจ้ง สมควรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปล่อยตัวคืนเสรีภาพให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาโดยเร็ว
จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่อละเมิดสิทธิเกินขอบเขต
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอถึงรัฐบาลและ ศอฉ. ให้เร่งพิจารณายกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งล่อแหลมต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขต เพื่อให้การจัดการต่อผู้กระทำผิดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นวลน้อย ตรีรัตน์ ระบุว่า เมื่อสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้ว หากจะประเทศกลับไปสู่ความสมานฉันท์โดยเร็ว ก็จะต้องยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว หรือหากจะมีการใช้ต่อก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สุริชัย หวันแก้ว กล่าวว่า การอ้างอิงอำนาจที่มีลักษณะกว้างขวางและมีข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีลักษณะครอบจักรวาล ทั้งที่บริบทคลี่คลายแล้ว เป็นการกระทำที่สวนทางกับเจตจำนงที่จะสร้างบรรยากาศปรองดองในสังคม ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ ต้องเปิดพื้นที่ให้สังคมได้พูดเรื่องที่เดือดร้อน เรื่องที่เป็นปัญหา
สุริชัย กล่าวว่า นายกฯ จะรู้หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ที่สำคัญก็คือ การปิดพื้นที่ กดดันให้คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพทางวิชาการปกติไปใช้พื้นที่ลับๆ ไม่เป็นการดีเลยกับอนาคตที่จะสร้างความหวังร่วมกัน
ด้านนฤมล ทับจุมพล กล่าวเสริมว่า นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ในกรณีนายสุธาชัยยังมีเหตุผลส่วนตัวคือ บิดาของภรรยาของนายสุธาชัยเพิ่งเสียชีวิต หากคุมตัวนายสุธาชัยไว้ถึง 7 วัน พิธีกรรมต่างๆ ก็คงจะเสร็จสิ้นพอดี
"นอกจากข้อกล่าวหาไม่ชัดเจนแล้ว ต้องคำนึงว่าจะมีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวอย่างไร จึงอยากวิงวอน ศอฉ.และตำรวจ ให้พิจารณาเรื่องนี้โดยเร็ว" นฤมลกล่าว
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามหมายจับในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11(1) และนำตัวไปควบคุมที่ศูนย์การทหารม้าค่ายอดิศร จ.สระบุรี เมื่อวานนี้
ล่าสุด วันนี้ (25 พ.ค.) กลุ่มคณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย อาทิ ฉลอง สุนทราวาณิชย์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์, สุวิมล รุ่งเจริญ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์, สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติวิธีฯ, นฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกันแถลงข่าว ที่ห้องประชุมเกษมอุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยมีฉลองเป็นผู้อ่านแถลงการณ์ ทั้งนี้ระบุว่า ไม่ใช่การกระทำในนามของจุฬาฯ แต่เป็นในนาม "กลุ่มคณาจารย์ผู้ห่วงใยในสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย"
โดยกลุ่มคณาจารย์ฯ แสดงความกังวลต่อการใช้ข้อหาดังกล่าวในการออกหมายจับและควบคุมตัวนายสุธาชัย 2 ประการ คือ หนึ่ง แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีอำนาจดำเนินการตามพระราชกำหนด แต่ก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่มีและไม่เคยเปิดเผยหลักฐานชัดเจนหนักแน่นใดๆ อันเป็นองค์ประกอบของฐานความผิดดังกล่าว ให้ผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณชนได้รับรู้ นับเป็นการลิดรอนคุกคามสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยเฉพาะในกรณีของนายสุธาชัยยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอีกด้วย
สอง แม้การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.จะเป็นไปเพื่อระงับสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของบ้านเมือง และนำสังคมไทยกลับสู่สภาวะปกติ แต่การใช้อำนาจดังกล่าวอย่างครอบคลุมไม่แยกแยะ ปราศจากหลักฐานความผิดที่หนักแน่นชัดเจน ทั้งในกรณีของนายสุธาชัยและกรณีอื่นๆ มิอาจสร้างสังคมแห่งการปรองดองสมานฉันท์ดังที่รัฐบาลและ ศอฉ. มุ่งหวัง และยังอาจเพิ่มความหวาดระแวง ความกลัว ความเกลียดชัง และความโกรธแค้นในสังคมไทยให้ขยายตัว ทวีความเข้มข้นแหลมคมมากขึ้น อันยืนยันได้จากประสบการณ์ทางสังคมและการเมืองของไทยเองในช่วงทศวรรษ 2500-2520
ทั้งนี้ คณาจารย์และนักวิชาการผู้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของนายสุธาชัยเห็นว่า ทั้งในกรณีของนายสุธาชัยและกรณีอื่นๆ ที่ไม่ปรากฎหลักฐานชัดแจ้ง สมควรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปล่อยตัวคืนเสรีภาพให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาโดยเร็ว
จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่อละเมิดสิทธิเกินขอบเขต
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอถึงรัฐบาลและ ศอฉ. ให้เร่งพิจารณายกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งล่อแหลมต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขต เพื่อให้การจัดการต่อผู้กระทำผิดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นวลน้อย ตรีรัตน์ ระบุว่า เมื่อสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้ว หากจะประเทศกลับไปสู่ความสมานฉันท์โดยเร็ว ก็จะต้องยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว หรือหากจะมีการใช้ต่อก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สุริชัย หวันแก้ว กล่าวว่า การอ้างอิงอำนาจที่มีลักษณะกว้างขวางและมีข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีลักษณะครอบจักรวาล ทั้งที่บริบทคลี่คลายแล้ว เป็นการกระทำที่สวนทางกับเจตจำนงที่จะสร้างบรรยากาศปรองดองในสังคม ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ ต้องเปิดพื้นที่ให้สังคมได้พูดเรื่องที่เดือดร้อน เรื่องที่เป็นปัญหา
สุริชัย กล่าวว่า นายกฯ จะรู้หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ที่สำคัญก็คือ การปิดพื้นที่ กดดันให้คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพทางวิชาการปกติไปใช้พื้นที่ลับๆ ไม่เป็นการดีเลยกับอนาคตที่จะสร้างความหวังร่วมกัน
ด้านนฤมล ทับจุมพล กล่าวเสริมว่า นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ในกรณีนายสุธาชัยยังมีเหตุผลส่วนตัวคือ บิดาของภรรยาของนายสุธาชัยเพิ่งเสียชีวิต หากคุมตัวนายสุธาชัยไว้ถึง 7 วัน พิธีกรรมต่างๆ ก็คงจะเสร็จสิ้นพอดี
"นอกจากข้อกล่าวหาไม่ชัดเจนแล้ว ต้องคำนึงว่าจะมีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวอย่างไร จึงอยากวิงวอน ศอฉ.และตำรวจ ให้พิจารณาเรื่องนี้โดยเร็ว" นฤมลกล่าว
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดใจ..เหยื่อพฤษภาอำมหิต
.................................................
ท่านทักษิณ ทวิตเหน็บ รัฐทรราช ยัดข้อหาปชช.
อดีตนายกฯ "ทักษิณ" โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ จวกรัฐบาลสุดยอด พลิกตัวจากทรราชสั่งฆ่าประชาชน มาเป็นผู้กล่าวหาผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตยให้เป็นผู้ก่อการร้าย...
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ส่วนตัวทวิตเตอร์ (http://twitter.com/Thaksinlive) ระบุว่า "รัฐบาลนี้สามารถพลิกตัวเอง จากการเป็นทรราชสั่งฆ่าประชาชน มาเป็นผู้กล่าวหาผู้เรียกร้องปชต.และความเป็นธรรม ให้เป็นผู้ก่อการร้ายได้ สุดยอดจริงๆ"
นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ข้อความต่ออีกว่า "ประชาชนมาเรียกร้องขอ หีบบัตรเลือกตั้ง เพื่อได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่ใช่ทหารยัดเยียดให้แต่กลับได้ หีบศพ และความบาดเจ็บตลอดจนคดีติดตัวกลับไป" และ "ได้รับเมล์ที่forwardกันมา มีคำพูดที่คุณอภิสิทธิ์ว่าคุณสมัครและคุณสมชายในช่วงที่มีพันธมิตรมากดดัน รัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ได้ทำทุกเรื่องที่ว่าเขาไว้"
************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ส่วนตัวทวิตเตอร์ (http://twitter.com/Thaksinlive) ระบุว่า "รัฐบาลนี้สามารถพลิกตัวเอง จากการเป็นทรราชสั่งฆ่าประชาชน มาเป็นผู้กล่าวหาผู้เรียกร้องปชต.และความเป็นธรรม ให้เป็นผู้ก่อการร้ายได้ สุดยอดจริงๆ"
นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ข้อความต่ออีกว่า "ประชาชนมาเรียกร้องขอ หีบบัตรเลือกตั้ง เพื่อได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่ใช่ทหารยัดเยียดให้แต่กลับได้ หีบศพ และความบาดเจ็บตลอดจนคดีติดตัวกลับไป" และ "ได้รับเมล์ที่forwardกันมา มีคำพูดที่คุณอภิสิทธิ์ว่าคุณสมัครและคุณสมชายในช่วงที่มีพันธมิตรมากดดัน รัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ได้ทำทุกเรื่องที่ว่าเขาไว้"
************************************************
ถุย! ออกใบอณุญาตฆ่ายังมีหน้ามาตั้งโต๊ะเก็บศพ-คนหาย
องค์กรสิทธิฯตั้งศูนย์คนหาย-เยียวยา
นายไพโรนจ์ พลเพชร ประธานศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.) แจ้งข่าวเปิดศูนย์รับร้องเรียนแห่งแรกที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนกรณีคนตาย สูญหาย ผู้บาดเจ็บ ผู้ถูกจับกุม และผู้เดือดร้อนเสียหายอื่นๆ โดยการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและติดต่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทางราชการ และเอกชน รวมทั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในการบันทึกข้อเท็จจริงเหตุการณ์ จากผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐ เอกชน และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา
โดย ศรส.จะมีบริการ เปิดรับเรื่องร้องเรียนทุก ระหว่างเวลา 09.00–17.00 น.ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) โดยจะจัดให้มีอาสาสมัครนักกฎหมาย ทนายความ นักสิทธิมนุษยชน ประจำศูนย์ฯ ศูนย์ละอย่างน้อย 5 คน และจะแจ้งก่อนหากจะมีการหยุดให้บริการ และจัดเบอร์ติดต่อประสานงานกลางเพื่อรับเรื่องหรือประสานความช่วยเหลือเร่งด่วน สองหมายเลขคือ 086-0808-767 และ 086-0808-477 แจกเอกสารแนะนำประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฯ เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการร้องเรียนและการให้ความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ศรส.จัดตั้งขึ้นและดำเนินการเป็นการเฉพาะกิจ จากความร่วมมือของ ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) โครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย ภายใต้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
จำชื่อ คุณไพโรจน์ ฯ และคณะไว้นะครับ
**************************************************
นายไพโรนจ์ พลเพชร ประธานศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.) แจ้งข่าวเปิดศูนย์รับร้องเรียนแห่งแรกที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนกรณีคนตาย สูญหาย ผู้บาดเจ็บ ผู้ถูกจับกุม และผู้เดือดร้อนเสียหายอื่นๆ โดยการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและติดต่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทางราชการ และเอกชน รวมทั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในการบันทึกข้อเท็จจริงเหตุการณ์ จากผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐ เอกชน และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา
โดย ศรส.จะมีบริการ เปิดรับเรื่องร้องเรียนทุก ระหว่างเวลา 09.00–17.00 น.ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) โดยจะจัดให้มีอาสาสมัครนักกฎหมาย ทนายความ นักสิทธิมนุษยชน ประจำศูนย์ฯ ศูนย์ละอย่างน้อย 5 คน และจะแจ้งก่อนหากจะมีการหยุดให้บริการ และจัดเบอร์ติดต่อประสานงานกลางเพื่อรับเรื่องหรือประสานความช่วยเหลือเร่งด่วน สองหมายเลขคือ 086-0808-767 และ 086-0808-477 แจกเอกสารแนะนำประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฯ เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการร้องเรียนและการให้ความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ศรส.จัดตั้งขึ้นและดำเนินการเป็นการเฉพาะกิจ จากความร่วมมือของ ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) โครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย ภายใต้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
จำชื่อ คุณไพโรจน์ ฯ และคณะไว้นะครับ
**************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)