--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทวิเคราะห์: ประเทศไทยกับนโยบายของสหรัฐอเมริกา

Joshua Kurlantzick

แปลจาก Thailand and U.S. Policy โดย Joshua Kurlantzick
ที่มา http://blogs.cfr.org/asia/2010/05/18/thailand-and-us-policy/

ถึงขณะนี้ วิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ดำเนินมาเกือบจะถึงขั้นสงครามกลางเมืองและคุกคามต่อหลายสิ่งหลายอย่างรวมถึง 1. ผลพวงในแง่บวกด้านประชาธิปไตยที่ได้ถูกสร้างขึ้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา 2. สถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงการครองราชย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ 3. เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายมองหาตัวกลางที่จะช่วยแก้วิกฤตการณ์นี้ ยังมีโอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะเข้ามามีบทบาทอย่างสร้างสรรค์

ถึงแม้ว่าประเทศจีนได้มีส่วนเอื้อประโยชน์ต่างๆ ในประเทศไทยตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาก็ยังคงเป็นผู้มีบทบาทจากประเทศภายนอกที่เป็นที่นับถือและสำคัญที่สุด ในปี ค.ศ. 2006 การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาที่จะไม่ประณามการทำรัฐประหาร เป็นการทำให้กองกำลังทหารเข้ามามีอำนาจได้ง่ายขึ้น และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง เนื่องจากคณะรัฐประหารมิได้ทำการแก้ไขสิ่งใดทั้งสิ้นและได้แต่ทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม

ในตอนนี้ คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เลือกใช้วิธีการแสดงท่าทีอย่างสุขุมและไม่แสดงความแตกต่างมากนัก นายเคิร์ท แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในระหว่างการเยี่ยมเยือนประเทศไทย ที่ไม่เพียงแต่จะพบฝ่ายรัฐบาล แต่ได้พบกับแกนนำบางคนของผู้ชุมนุมเสื้อแดง ถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากรัฐบาลไทย การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่ากลุ่มเสื้อแดงบางกลุ่มได้เลือกใช้วิธีการที่รุนแรงและรัฐบาลก็มีสิทธิ์ที่จะนำความสงบกลับมาและสลายการชุมนุมประท้วง แต่ข้อเรียกร้องต่างๆ ทางสังคมซึ่งสะท้อนจากกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง (ต้องไม่ลืมว่า ผู้ชุมนุมกว่าหนึ่งแสนคนได้ออกมาเรียกร้องในกรุงเทพฯ เมื่อไม่นานมานี้) จะต้องไม่ถูกละเลย และยังจะต้องได้รับการทำความเข้าใจโดยสหรัฐอเมริกาและองค์กรหรือประเทศที่มีอิทธิพลจากประเทศอื่นๆ

ทางการของสหรัฐอเมริกาจำเป็นที่จะต้องขยายกรอบของการติดต่อเชื่อมโยงและหาข้อมูลออกไปเพื่อที่จะทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และยังจำเป็นต้องขยายออกไปนอกกรอบของการรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยจากสื่อไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษ (สื่อมวลชนจากต่างประเทศมีแนวโน้มจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าในการสะท้อนเสียงจากคนไทยในขอบเขตที่กว้างกว่า เนื่องจากนักข่าวจากต่างประเทศจะออกไปนอกกรุงเทพฯ มากกว่า และได้สัมภาษณ์ประชาชนในต่างจังหวัด) การตามค้นหาข้อมูลในวงกว้างนี้จะแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงไม่ได้เพียงแต่เป็นเครื่องมือของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

นโยบายการมีปฎิสัมพันธ์เพียงกับกลุ่มชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ เท่านั้น จะไม่เป็นประโยชน์กับสหรัฐอเมริกา และในระยะยาวอาจจะทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะเกิดผู้นำกลุ่มคนยากจนดังเช่นกรณีนายชาเวซ ผู้ซึ่งจะก้าวเข้ามาสู่อำนาจและมีนโยบายต่อต้านอเมริกันอย่างรุนแรง

นายแคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะเดินทางกลับไปเอเชียในอีกไม่กี่วันนี้ และแน่นอนว่าประเทศไทยจะเป็นหัวข้อสำคัญในการพิจารณาหารือ นายแคมป์เบลล์ควรจะรับรองความจำเป็นของรัฐบาลไทยในการนำความสงบกลับมาสู่บ้านเมือง (ทั้งนี้เช่นกัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถปล่อยให้กลุ่มคนติดอาวุธออกมาเดินอยู่ตามท้องถนนของวอชิงตัน ดี.ซี. โดยไม่ได้มีการตรวจสอบได้) และในขณะเดียวกันนายแคมเบลล์ก็ควรจะเพิกเฉยต่อคำเรียกร้องของรัฐบาลไทยที่จะให้นายแคมป์เบลล์ติดต่อกับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลไทยเท่านั้น นายแคมป์เบลล์ควรจะสืบหาและฟังความคิดเห็นที่เป็นกลางจากกลุ่มเสื้อแดง และจากกลุ่มผู้นำที่ค่อนข้างมีความเป็นกลางและเป็นที่นับถือ ซึ่งเป็นผู้ที่เคยใกล้ชิดกับนายทักษิณ อย่างเช่น อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายจาตุรนต์ ฉายแสง

นายแคมป์เบลล์ควรจะส่งสารถึงรัฐบาลไทยว่า สหรัฐอเมริกาจะดำเนินการต่างจากในปี ค.ศ. 2006 โดยที่สหรัฐอเมริกาจะประณามอย่างแข็งกร้าวมากขึ้นต่อการแทรกแซงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น การทำรัฐประหาร การพิพากษาจากศาล หรือ การกระทำอื่นๆ ที่คล้ายกัน ดังเช่นที่รัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้ทำการประณามต่อรัฐประหารในประเทศฮอนดูรัส และการเลือกตั้งที่อาจจะถูกจัดขึ้นอย่างไม่โปร่งใสในประเทศอิหร่าน การประณามนี้อาจจะรวมไปถึงการขู่จะยกเลิกการฝึกรบร่วมคอบร้า โกลด์ การประณามอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน และการทบทวนความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเสียใหม่ ประเทศไทยย่อมไม่ต้องการที่จะถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศทั้งสองที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้น การยึดหลักการสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีเท่านั้น จึงจะเปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาสามารถปกป้องสถานภาพของประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น

หมายเหตุ: Joshua Kurlantzick ได้รับทุนวิจัยในประเด็นเอเชียตะวันเฉียงใต้ ที่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (The Council on Foreign Relations: CFR) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร สัญชาติอเมริกัน รวมถึงเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารไทม์

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลับบ้าน

ต้องลาออก ก่อนปรองดอง

ปฏิบัติการกระชับวงล้อมขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553

นำมาสู่ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เฉพาะตัวเลขคนตายและบาดเจ็บ

ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ผ่านเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10, 22 และ 28 เม.ย. จนถึงวันที่ 19 พ.ค.

ยอดตายทะลุหลัก 80 เจ็บอีกเกือบ 2,000 คน

รัฐบาลที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ สร้างสถิติเลือดของตนเองขึ้นใหม่ ทุบสถิติเหตุการณ์ 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 และพฤษภา 35 กระจุยกระจาย

ยกระดับขึ้นเป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือดยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ที่ประเทศไทยเคยมีมา

หนักหนาสาหัสไปกว่านั้นคือถึงแม้แกนนำนปช.จะประกาศยุติการชุมนุม และทยอยมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะที่บางส่วนอยู่ระหว่างหลบหนีหัวซุกหัวซุน

แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายยังคงเดินขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มีการเผาทำลายห้างสรรพสินค้า ธนาคาร สถานที่ราชการหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนรัฐบาลต้องประกาศ "เคอร์ฟิว" เพื่อจัดการกับสถานการณ์

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นว่าสงครามครั้งนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ

ทั้งยังมีแนวโน้มจะขยายวงออกไปทั้งทางกว้างและทางลึก

หลังเกิดเหตุจลาจลทั่วเมืองและมีคนตายเจ็บจำนวนมาก

รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. ได้ประกาศ "เคอร์ฟิว" เสริมจากพระราชการกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

สั่งห้ามประชาชนออกนอกบริเวณที่พักอาศัยตอนกลางคืนในช่วงเวลาที่กำหนด

พูดง่ายๆ คือ "ปิดตาย" พื้นที่กรุงเทพฯ และอีก 23 จังหวัดพร้อมกันเป็นเวลา 4 วัน ช่วง 3 ทุ่มถึงตี 5

สื่อมวลชนทุกสำนักถูกไล่กลับบ้าน หรือไม่ก็ให้อยู่แต่ในที่ทำงานห้ามออกไปปฏิบัติหน้าที่สืบเสาะข้อมูลข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น

เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่กันเองโดยสะดวกเป็นเวลา 8 ชั่วโมงเต็ม

ผลลัพธ์คือเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย และตรวจค้นเจออาวุธสงครามจำนวนมาก ทั้งปืน เครื่องกระสุน เครื่องยิงระเบิด และลูกระเบิดร้ายแรง

ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดตามสถานที่ซึ่งเคยเป็นแหล่งชุมนุมคนเสื้อแดง

ไหลไปตามท้องเรื่องที่ นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ยึดสื่อทีวีทุกช่องออกแถลงข่าวมันปากอยู่ฝ่ายเดียวว่า

หลักฐานทุกอย่างสอดรับกับพฤติกรรมการ "ก่อการร้าย" ของกลุ่มกองกำลังที่แฝงตัวอยู่ในผู้ชุมนุม

ตัวการใหญ่ที่ก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองไล่เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์

แล้วโยนความผิดให้รัฐบาล

นานกว่า 2 เดือนก่อนถึงวันประวัติศาสตร์

การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 มี.ค. เป้าหมายเดียวคือการเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

ในทางการเมืองนั้นการยุบสภาถือเป็นแนวทางหนึ่ง ในการตัดสินปัญหาความขัดแย้งตามระบอบประชาธิปไตย

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลซึ่งอ้างว่าตนเองมาตามระบอบประชาธิปไตยต้องเปิดกว้างรับฟัง

แต่ดูเหมือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลับไม่เข้าใจหลักการดังกล่าวทั้งที่ไม่ได้เป็นเรื่องสลับซับซ้อนอะไรเลย

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมต่อต้าน รัฐบาลได้แก้ปัญหาด้วยวิธีการที่เลยเถิด พยายามใช้กำลังความรุนแรงเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อได้รับการท้วงติงจากกลุ่มองค์กรสันติวิธี แทนที่จะหยุดยั้งฟังเสียงเตือน แล้วหันกลับไปใช้การเจรจาสันติวิธีเป็นทางออก

รัฐบาลกลับเพิ่มดีกรีความรุนแรงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม

กล่าวหาเป็นกลุ่ม "ผู้ก่อการร้าย" ที่รับแผนมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และต้องการ "ล้มล้างสถาบัน" จำเป็นต้องใช้วิธีปราบปรามให้สิ้นซาก

ก่อนเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. ส.ว.บางกลุ่มรับอาสาเป็นตัวกลางประสานการเจรจา ถึงขนาดส่งตัวแทนไปจับเข่ากับแกนนำนปช.ถึงหลังเวทีการชุมนุม

เพื่อหยุดยั้งสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

แต่ก็ช้าไปเพียงเสี้ยวนาที

ปฏิบัติการสลายม็อบคนเสื้อแดงจนมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ร่วง จึงไม่ใช่แค่เรื่องการ "หักหลัง" อย่างที่กลุ่มส.ว.ออกมาโวยวายเท่านั้น

แต่ยังเป็นการทุ่มเดิมพันครั้งสุดท้ายของนายอภิสิทธิ์เองอีกด้วย

ภายหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. แน่นอนว่าแกนนำนปช.จะต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงผู้ที่สร้างความหายนะให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังฝ่ายใดก็ตาม

แต่ข้อสงสัยก็คืออะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทำให้นายอภิสิทธิ์ ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยในการเอาชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนจำนวนมากเป็นเครื่องสังเวยความอยู่รอดของตนเองและรัฐบาล

นักวิเคราะห์การเมืองที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ เชื่อว่าอาจเป็นทหารที่ต้องการให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อยู่ต่อไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการโยกย้ายในกองทัพเดือนก.ย.นี้

เพราะไม่เช่นนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ น่าจะหลุดจากอำนาจไปตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. แล้ว

แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ 19 พ.ค. ด้วยความสูญเสียที่มากเกินไปจนกระทบต่อเกียรติภูมิของกองทัพอย่างรุนแรงไม่ต่างจากภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535

ก็เป็นไปได้ที่กองทัพจะตัดสินใจลอยแพนายอภิสิทธิ์

แล้วเลือกให้บุคคลที่สังคมยอมรับขึ้นมารักษาการแทน เพื่อสานต่อแผนโรดแม็ป 5 ข้อที่นายอภิสิทธิ์ริเริ่มไว้ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ แต่จะเมื่อไหร่ยังไม่กำหนดชัดเจน

เนื่องจากทางออกตอนนี้จำเป็นที่สุดคือต้องเอานายอภิสิทธิ์ ออกจากอำนาจให้ได้ก่อน

ไม่เช่นนั้นแผนปรองดองก็ไม่มีทางเดินหน้าต่อไปได้

และยังอาจทำให้วิกฤตลุกลามไปถึงจุดที่คนไทยไม่นึกฝันมาก่อน

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
------------------------------------------------------

“เสื้อแดง”ไม่ยอมเลิก ตั้ง”สมัชชาประชาธิปไตย”สู้ นัดรวมตัวใหม่30พ.ค. ลุยทั่วประเทศ มิ.ย.ชุมนุมในกทม.

กลุ่ม24มิถุนาให้เลิกพ.ร.ก.-เคอร์ฟิว

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย พร้อมคณะร่วมแถลงที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ว่า กรณีที่รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชนในวันที่ 10 เมษายน และระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคม จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนส่งผลทำให้เกิดการจลาจล และการประกาศขึ้นบัญชีดำห้ามบุคคลและนิติบุคคล 125 ราย ทำธุรกรรมทางการเงิน รวมทั้งการประกาศเคอร์ฟิวทำให้บรรยากาศของประเทศเกิดความตึงเครียด ดังนั้น ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการต่อไปนี้

1.นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์ ศอฉ.ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพื่อแสดงมโนสำนึกความเป็นคนและความถูกต้องที่สั่งการสลายการชุมนุม จนนำมาซึ่งความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อความแตกแยกร้าวลึกในสังคมไทย

นอกจากนี้กรณีที่เกิดเพลิงไหม้ในหลายจุดหลังการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่ แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีการป้องกัน หรือรัฐบาลจงใจให้เกิดขึ้น ดังนั้น รัฐบาลต้องเยียวยาพนักงานที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ระบุว่า หากมีการสลายการชุมนุมและทหารยังไม่ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ก็จะพิจารณาถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จึงขอให้นายบรรหารรักษาสัจจะที่พูดไว้ด้วย

2.รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ยกเลิกการเคอร์ฟิว เพื่อคืนความสงบสู่สังคม และยุติการสร้างภาพ จัดฉากกลบเกลื่อนความรุนแรงของตัวเอง

3.ยุติการคุกคามสื่อ โดยคืนสิทธิเสรีภาพให้กับสื่อสารมวลชนทุกแขนง

4.ให้ปฏิบัติต่อแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)ที่ถูกจับกุมในฐานะนักโทษการเมือง ไม่ใช่อาชญากร และ

5.ให้เปิดเผยความจริงการใช้กำลังทหารปราบปราม และจำนวนประชาชนที่เสียชีวิต โดยให้มีตัวแทน นปช.ร่วมตรวจสอบด้วย
ประกาศชุมนุมปลอบขวัญ30พ.ค.

นายสมยศกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่ม 24 มิถุนาฯจะร่วมกับองค์กรคนเสื้อแดง ร่วมกันต่อสู้ โดยจะรวมตัวเป็นสมัชชาประชาธิปไตย เพื่อสานต่อภารกิจสร้างประชาธิปไตยและสร้างความเป็นธรรม ทั้งนี้ กลุ่มจะจัดกิจกรรมชุมนุมปลอบขวัญ โดยกลุ่มแดงตะวันตก เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ปราบปราบประชาชนที่ผ่านฟ้าฯและราชประสงค์ ในวันที่ 30 พฤษภาคม เวลา 15.00-21.00 น. ที่สวนสาธารณะเชิงเขาแก่นจันทร์ จ.ราชบุรี และจะทยอยจัดไปในทุกจังหวัด ส่วนใน กทม.จะจัดให้มีการชุมนุมใหญ่ในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม นอกจากนี้ จะจัดทำซีดีและสิ่งพิมพ์ประจานความโหดเหี้ยมของรัฐบาล ทั้งนี้ จะเรียกร้องนานาชาติให้งดซื้อขายอาวุธยุทธภัณฑ์ทหารให้กับกองทัพไทย และงดเชิญตัวแทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมประชุมทุกชนิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการแถลงข่าว พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐ์ผล ผกก.สน.นางเลิ้ง ได้เข้ามาเจรจากับนายสมยศไม่ให้แถลงข่าวบริเวณที่ทำการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย เนื่องจากเกรงว่า อาจมีความผิดเข้าข่ายห้ามกระทำการปลุกระดม มั่วสุมทางการเมืองตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของพรรคระบุว่า ทางมูลนิธิไม่ได้อนุญาตให้เข้ามาใช้พื้นที่แถลงข่าวเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายนายสมยศยอมออกจากบริเวณที่ทำการมูลนิธิและมาใช้บริเวณถนนด้าน หน้าที่ทำการพรรคให้สัมภาษณ์แทน


ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผู้สื่อข่าว "ไทม์ส ออนไลน์" เผยถูกทหารตรวจค้นห้องพัก พร้อมลบภาพในกล้องถ่ายรูป

"ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่" ผู้สื่อข่าว "ไทม์ส ออนไลน์" ที่เคยสัมภาษณ์ "ทักษิณ" เผยถูกทหารเข้าตรวจค้นห้องพักในโรงแรมย่านราชประสงค์ ก่อนโดนลบภาพในกล้องถ่ายรูป

ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่ ผู้สื่อข่าวของไทม์ส ออนไลน์ เขียนรายงานข่าวในวันที่ 22 พฤษภาคมว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งมีอาวุธปืนเอ็ม 16 อยู่ในมือ ได้เข้ามาตรวจค้นห้องพักของเขาในโรงแรมห้าด้วยแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร

แพร์รี่ระบุว่า เมื่อวาน เขาถูกกักตัวไว้ในห้องพักดังกล่าวโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่เหล่านั้นปฏิเสธที่จะแนะนำว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน ทั้งยังได้ทำการตรวจค้นรูปภาพในกล้องถ่ายรูปของเขา ผู้สื่อข่าวจากสหราชอาณาจักรระบุว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันในกทม. ที่ประชาชนนับร้อย รวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างชาติ ถูกยิงเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ในช่วงเวลา 8 วันที่ผ่านมา จึงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองมากนัก อย่างไรก็ตาม นี่เป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ถูกนำมาสู่สังคมไทยโดยวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น

แพร์รี่ได้ลำดับเหตุการณ์การตรวจค้นดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารที่ทำการตรวจค้นห้องพักแจ้งให้เขาทราบว่า ห้องพักของเขาไม่ใช่ห้องเดียวที่ถูกตรวจค้น แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นทุกอาคารในย่านนั้นซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อสอดส่องหาบุคคลและวัตถุต้องสงสัย ก่อนที่จะมีการเปิดถนนในย่านดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ทหารได้ตรวจสอบกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ รวมทั้งชุดเกราะป้องกันกระสุนของแพร์รี่ จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นกล้องดิจิตอลแบบพกพาของเขาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เพื่อเตรียมการล่วงหน้าไว้สำหรับบันทึกภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารพบว่าตนเองถูกบันทึกภาพไว้ในกล้องถ่ายรูป เขาจึงแสดงอาการโกรธเคืองและเดินลงไปที่ชั้นล่างของโรงแรม และให้ทหารอีก 3 นาย คอยควบคุมตัวแพร์รี่ไว้ จากนั้น กล้องถ่ายรูปดังกล่าวก็ถูกนำมาคืนให้แก่เจ้าของ โดยที่รูปของเจ้าหน้าที่ทหารรายนั้นได้ถูกลบทิ้งไป ขณะเดียวกัน ไม่มีสิ่งของอื่นใดของผู้สื่อข่าวต่างชาติรายนี้ที่ถูกยึดไปอีก

ในขณะที่เจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธปืนเอ็ม 16 นั่งอยู่ภายนอกห้องพักของเขา แพร์รี่ได้โทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนทนายความชาวไทย เพื่อสอบถามว่าทหารมีสิทธิที่จะตรวจค้นทรัพย์สินของเขาหรือไม่ ก่อนที่เพื่อนคนดังกล่าวจะระบุว่า "พวกเขาสามารถยิงประชาชนบนท้องถนนได้ ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่า พวกเขาสามารถตรวจค้นห้องพักของคุณได้"

ทั้งนี้ ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่ คือนักข่าวผู้เคยทำการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบทสัมภาษณ์ดังกล่าวที่ถูกนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ "ไทม์ส ออนไลน์" ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จงจำไว้


สิบเก้า พฤษภา ปีห้าสาม
เกิดไฟลาม ลุกไหม้ ใจกลางสวรรค์
เทพกระชับพื้นที่ รุกตีรัน
เข้าประจัญ พวกไพร่ ไล่รบรุก

เสียงปืนก้อง คำราม ยามรุกไล่
แสนสะใจ เทวา เมื่อคราบุก
ใช้รถถัง สู้บั้งไฟ ไล่รบรุก
แสนสนุก หนักหนา คราปราบปราม

เพราะพวกไพร่ เรียกร้อง ความเท่าเทียม
ไม่รู้เจียม ต้องปราบ ต้องหยาบหยาม
ไพร่แค่คน ธรรมดา อย่าคิดลาม
สิ่งต้องห้าม คือประชาธิปไตย

สิบเก้า พฤษภา ปีห้าสาม
เกิดไฟลาม กลางสวรรค์ อันยิ่งใหญ่
หลังจากการปราบไพร่ ให้แพ้ไป
จักโทษไพร่ ได้อย่างไร ว่าไพร่ทำ


ว ณ ปากนัง
ที่มา.ไทยอีนิวส์
***************************************************

พื้นที่สังหารสวนลุมพินี

ทหารไทยพูดเขมร(มาได้ไงว่ะ)

ประชาธิปไตย..ไม่พอเพียง.

เมื่อความจริงปรากฏอยู่ต่อหน้า
ประชาชนถูกเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง
ใบไม้ร่วงล้วนชีวิตอนิจจัง
เห็นภาพไพร่ทรุดนั่งทั้งน้ำตา

เพียงแค่เอ่ยเอื้อนบอกความชอกช้ำ
มันกลับยิงกระหน่ำซึ่งซึ่งหน้า
เพียงทวงสิทธิ์ถูกรอนริดเนิ่นนานมา
มันปลิดชีพเพื่อนข้าอย่างเลือดเย็น

จะอยู่กันอย่างนี้หรือพี่น้อง
ผู้ปกครองเสวยสุขบนทุกข์เข็ญ-
ของประชาราษฎร์เลือดตากระเด็น
ตายทั้งเป็นเช่นนั้นนิรันดร์ไป

เราต้องอยู่ดำรงได้ในภายหน้า
ลูกหลานมีคุณค่ามีความหมาย
มิใช่อยู่อย่างมืดมัวอย่างวัวควาย
จมปลักตมงมงายกราบไหว้มาร

เมื่อความจริงปรากฏอย่างชัดแจ้ง
จึงยอมพลีเลือดแดงอย่างอาจหาญ
จุดคบไฟส่องทั่วหาตัวการ
ที่กัดกินเสาบ้านมานานปี

มันจรดปืนล้อมปราบสร้างภาพมาร
ก่อการร้ายชั่วช้า เป็นหน้าที่-
ปกป้องชาติบ้านเมืองเรื่องคนดี
ปกป้องผีปีศาจอำมาตยา

ลมร้อนเดือนเมษาฯข้าเกรียมไหม้
พฤษภาฯโหยไห้คนไทยฆ่า-
คนไทยเห็นคนเป็นเช่นผักปลา
ข้าหลับตาครุ่นคิดชีวิตคน

ต่อแต่นี้ไม่มีทางเป็นอย่างเก่า
นิติธรรมน้ำเน่าได้ผ่านพ้น
คุณธรรมย้ำเตือนแต่คนจน
ปัญญาชนมุดหัวต่อรอเวลา

ข้าขอคืนพื้นที่เสรีภาพ
ประกาศมาให้ซับทราบกันถ้วนหน้า
เผด็จการอำมาตย์ศักดินา
จงถอนทัพกลับป่าลึกดึกดำบรรพ์

คืนพื้นที่ให้มวลข้าประชาชน
ขอคืนความเป็นคนไร้ชนชั้น
ขอคืนพื้นที่ใจคนไทยครัน
ภาพที่เคยคิดฝันพลันแจ่มพราย

และขอค้อมคารวะวีรชน
ผู้ทอดร่างร่วงหล่นดั่งใบไม้
ผู้ถมทับขวากหนามด้วยความตาย
เพื่อลูกหลานในบั้นปลายได้พบทาง

เพียงพอแล้วขอรับกับการฆ่า
เพียงพอแล้วน้ำตาเจียนหมดร่าง
เพียงพอแล้วเลือดหลั่งหลังควันพราง
เห็นประชาธิปไตยรางราง...ไม่พอเพียง !

(ประชาธิปไตยถูกอำพราง...ให้พอเพียง )

ขอประณามถึงที่สุดต่อการเข่นฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็นของรัฐบาลอภิสิทธิ์กับพวก
และขอคารวาลัยแด่ผู้สละชีวิตเพื่อถมทางสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

โดย.อรุณรุ่ง สัตย์สวี
ที่มา.ไทยอีนิวส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สังหารหมู่ในวัด

ชะตาประเทศ

บทบรรณาธิการ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

หลังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ยุติการชุมนุม 69 วันเต็ม เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมถึง 19 พฤษภาคม แต่แกนนำ นปช. ที่ถูกควบคุมตัวและมวลชนคนเสื้อแดงยังยืนยันว่าพร้อมจะยืนหยัดสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตยต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ยังไม่ยุติ ตราบใดที่คนเสื้อแดงเห็นว่าบ้านเมืองยังไม่มีความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริง

การเผาทำลายทรัพย์สินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะเรียกว่าเป็นจลาจลหรือมิคสัญญีก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ สถานการณ์บ้านเมืองคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับคืนสู่ความปรกติ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนยังคงมีอยู่

ที่สำคัญคนเหล่านี้จะไม่เชื่อ เกลียดรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกองทัพที่ใช้อาวุธปราบปรามประชาชน

นายกรัฐมนตรีต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปรกติ ไม่สามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ เช่นเดียวกับผู้นำกองทัพที่ถูกมองว่าเป็น “ทรราชสีเขียว” ที่ยังทรงอำนาจ ไม่ใช่กองทัพของประชาชน

ความขัดแย้งทางการเมืองจึงไม่จบง่ายๆ ตราบใดที่ประชาชนยังเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมและถูกกดขี่ข่มเหง ซึ่งสุดท้ายความขัดแย้งและความโกรธก็จะกลับมาปะทุอีกครั้ง และแต่ละครั้งจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

รัฐบาลและกองทัพจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ “มือที่เปื้อนเลือด” ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและนำบ้านเมืองไปสู่ชะตากรรมที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง เหมือนที่รัฐบาลและกองทัพฆ่าประชาชนได้อย่างอำมหิต

สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นชะตากรรมประเทศชัดเจนว่ามีโอกาสสูงที่บ้านเมืองจะเกิดสงครามกลางเมือง แต่ครั้งนี้จะทวีความรุนแรง ซึ่งเป็นการต่อสู้ทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบที่ยากจะควบคุม เพราะประชาชนไม่เชื่อคำพูดของรัฐบาลและกองทัพ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์

การปราบคนเสื้อแดงสำเร็จไม่ได้หมายความว่าจะเป็นชัยชนะที่ถาวร แต่จะยิ่งเป็นกระแสกดดันให้นายอภิสิทธิ์เลือกทางออกทางการเมือง คือลาออกหรือยุบสภา เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบทุกชีวิตทั้งที่ตายและบาดเจ็บ

ขณะที่อนาคตของประเทศไทยก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะวันนี้ได้เริ่มต้นสู่สงครามครั้งใหม่ที่จะมีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น สงครามของประชาชนที่จะต่อสู้จนกว่าจะได้ความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา

**********************************************************************

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประเทศไทย

-ประเทศไทย หลัง “สงครามกลางเมือง” ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด...เกิดความพินาศกับประเทศเห็นกับตาชั่วเพียงข้ามคืน 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันเอง...อนิจจา ประเทศไทย...


-มด คันไฟ อนาถใจคนไทยช่วยกันทำลายประเทศไทยให้พินาศวอดวายลงได้ต่อหน้าต่อตาสายตาคนทั้งโลก ขอขึงผ้าดำผืนใหญ่ให้กับโศกนาฏกรรมหนนี้ ด้วยความเศร้าสลดใจจากความทรงจำไปอีกนานเท่านาน และขอประณามทุกคนทุกฝ่ายที่มีส่วนช่วยประกอบการอันบัดซบที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นคราวนี้อย่างไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศแม้แต่นิดเดียว “พวกท่านยังเป็นคนไทยอยู่หรือเปล่าครับ?”…

-ถามกันมาว่า หลัง 19 พฤษภาคม แล้วความขัดแย้งรุนแรงจะ“จบหรือไม่จบ?”...มด คันไฟ ตอบประสาคนข่าวที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสันดานคนบางคนว่า ยังไม่จบครับ...

-เพราะผู้ที่แอบคิดในใจว่า ฝ่ายตัวเองชนะ จะต้องสานต่อความได้เปรียบทางการเมืองต่อไป และเช่นเดียวกัน ผู้ที่ รู้ตัว เองว่า แพ้ก็จะสานต่อความไม่เป็นธรรมที่จะได้รับต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด...

-จากวันนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นย่อมขึ้นกับฝ่ายรัฐบาลกับขบวนการของฝ่ายรัฐบาล ที่จะดำเนินการคนละอย่างกับปากพูดเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล (ที่ตัวเองคิดและอ้าง) ให้พินาศวอดวายทางการเมืองจนถึงที่สุด และระหว่างทางตรงนั้นแหละครับคือ อะไรจะเกิดขึ้นวันข้างหน้าที่ยังไม่มีใครรู้ได้ มด คันไฟ ให้ใช้สติสัมปชัญญะและปัญญาติดตามสถานการณ์ต่อไปกันเองตามอัธยาศัย...

- อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ยังคงต้องรับผิดชอบประเทศไทยต่อไป ด้วยการทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกันของตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย กับคนทุกฝ่ายทุกข้างทุกขั้วให้ได้ ไม่งั้นกลียุคครั้งใหม่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกหน...ทั้งหมดคือคำตัดสินของสังคมไทยว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความชอบธรรมบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่สั่งซ้ายหันขวาหันกับทุกคนในกองทัพต่อไปได้อีกหรือไม่? …

-แผลที่เกิดก่อนหน้านี้เป็นรอยแผลที่ลึกเกินกว่าจะเยียวยาและหาหมอวิเศษที่ไหนมารักษาได้ นอกจากผู้ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดแผลลึกตรงนี้จะหันมาช่วยรักษาอาการและสมานแผลด้วยกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งหัวหน้ารัฐบาลชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...

-ทำนายไว้ล่วงหน้าประสา มด คันไฟ ว่า หลังจากนี้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะถูกเปิดเผยออกมาให้อีกหลายคนรู้ว่า ความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้เป็นอย่างไร...

-อันตราย และน่ากลัวที่สุดของประเทศไทย นับจากวันนี้เป็นต้นไปคือ การชำระบัญชีแค้น จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรกับใครบ้าง?...นี่คือ สิ่งที่ยืนยันว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ ครับ เพราะสันติวิธีต้องเริ่มที่ใจไม่ใช่เริ่มที่ปาก...

-การดับไฟแห่งความเกลียดชัง ของคนไทยด้วยกันจะทำได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้ามต้องร่วมมือกันทำด้วยความจริงใจ ถามใจ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่าจริงไหมครับ?...

-คำถามของคำตอบว่า กุญแจสำคัญที่จะไปเปิดประตูทางออกของประเทศนี้อยู่ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะถามว่ากุญแจดอกนี้ที่จะให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไขอยู่ที่ใคร?…นี่คือภาพรวมของสถานการณ์และความยุ่งยากขัดแย้งทั้งหมดของประเทศนี้ที่เรียกว่า ประเทศไทย...

คอลัมน์.บางกอกกอสซิบมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++