--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ป๊อก"โล่งโรดแม็ป "พายัพ"ได้เวทีใหม่

นายกฯ ประกาศแผนปรองดองโรดแม็ปแก้วิกฤตชาติ พร้อมล็อกวันเลือกตั้ง 14 พ.ย. นปช.แม้เห็นด้วยแต่ยังไม่เลิกชุมนุม กลัวประชาธิปัตย์จะเล่นตุกติก เลยปักหลักยึดพื้นที่ราชประสงค์เหมือนเดิม บี้นายกฯ ระบุวันยุบสภา ไม่ใช่วันเลือกตั้งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่

อ้าว-ยอมทันทีก็ เสียฟอร์มสิ

เสียงโอเคกับแผนโรดแม็ปจากฝั่งราชประสงค์ แม้ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ 5 เสือทบ.ใน "ราบ 11" นำโดย "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ "บิ๊กอ๊อด"พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ยิ้มออกทันที หลังนั่งลุ้นตัวโก่งมานาน

ไม่ใช่ "นักรบปากเปล่า" ก็ยังงี้แหละ

ไปๆ มาๆ คนที่ต้องมาลุ้นกับโรดแม็ป กลับเป็น "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. และ "บิ๊กหนุ่ย" พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. 2 กำลังหลักแห่ง ตท.12 ที่จ่อตำแหน่งสำคัญปลายปี

เอาน่า-สิงหาก็ทำ บัญชีแล้ว

เกือบ 2 เดือนที่ "บิ๊กอ๊อด" ต้องอยู่โยงในราบ 11 ในฐานะผบ.เหตุการณ์ แม้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า คิดถึงครอบ ครัว แต่ "ผู้การแดง"พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. เจียดบ้านพักให้ร่วมชายคา แถมดูแลแม่ทัพอย่างดี เดี๋ยวนี้สองหนุ่มเลยตัวติดกลายเป็นคู่หูดูโอ

งาน น่ะ-อย่าคิดมาก

"ผู้การแต้ม"พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบช.น.1 กับ "เสี่ยเต้น"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เจรจาเรื่องม็อบทุกวันจนซี้ปึ้ก ถึงขั้นเสี่ยเต้นแอบปรึกษาเรื่องทุกข์ของคนเนื้อหอม บอกทุกวันนี้อดข้าวตั้งแต่เช้ายันเที่ยง เพราะฝนตก ไม่อยากรบกวนแม่ยกต้องออกมาต้อนรับจนเปียกปอน

แฟนคลับฟังแล้ว เคลิ้มไหม

วีรกรรม "พา(ย่อย)ยับ" บุกค้น ร.พ.จุฬาฯ ทำเอา พายัพ ปั้นเกตุ โดนลดบทบาทบนเวทีใหญ่ราชประสงค์โดยปริยาย แต่เจ้าตัวไม่ละความพยายาม ยอมลดเกรดขึ้นไฮด์ปาร์กบนบังเกอร์ด่านสีลมแทน หลบเลียแผลใจรอวันรีเทิร์นเวทีใหญ่

จะทันเขาเลิกไหม-หือม์

ช่วงม็อบเดือดมีคนบาดเจ็บล้มตาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณ สุข ต้องคอยอัพเดตตัวเลขสถานการณ์ผู้บาดเจ็บอยู่บ่อยๆ จนถูกภาคประชาชนจี้ให้เลิกแถลง กลัวจะไปเอี่ยวประเด็นการเมือง พร้อมขอให้คืนไมค์ข้าราชการได้ทำหน้าที่เสียที

สกัดดาวรุ่งเลยนะ นี่

อิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมฯ กุมขมับเรื่องเงินเยียวยาเหยื่อเหตุการณ์ 10 เม.ย. บ่นว่าตอนนี้รัฐโดนลักไก่เยอะมาก โดยเฉพาะพวกบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไปขอหมอให้สั่งแอดมิตนอนโรงพยาบาล จะได้เงินช่วยเพิ่มจาก 20,000 บาท เป็น 60,000 บาท

หรือรัฐมนตรีอยากไปนอนมั่ง?


ข่าวสดรายวัน
สังคม การเมือง
*********************************************************

เข้าเป้า.!!!!!!!!!!!

มีสัญญาณดีจากนปช. เบื้องต้นตอบรับข้อเสนอ 5 ข้อของนายกฯอภิสิทธิ์

แต่ทำม็อบใหญ่มานานขนาดนี้ พอเจอเซอร์ไพรส์มาจากรัฐบาล จะเลิกกันข้ามคืน ก็กระไรอยู่

ก็ต้องมีลีลาขอเพิ่มเติมรายละเอียดเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ดี เสียงจากประชาชนทั่วไป ค่อนข้างเห็นด้วยกับนายกฯ

เพราะหากไม่เกลียดเสื้อแดงจนคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าใครก็คงมีปัญญามองเห็น

การใช้กำลังทหารตำรวจเคลียร์พื้นที่ราชประสงค์ จะต้องเกิดการสูญเสียชีวิตกันอย่างต่ำหลายร้อยหรืออาจเป็นพัน

หลังเกิดเหตุเช่นนั้นเมื่อไร คำขู่สารพัดจากแกนนำม็อบ ที่แม้อาจจะฟังยั่วอารมณ์ปานใด

แต่ปฏิเสธไม่ได้ มันอาจเกิดขึ้นจริงในเมืองไทย

สงครามใหญ่ที่คนไทยจับอาวุธฆ่ากันเอง!

ต้องยอมรับว่า คนจัดทำม็อบรอบนี้ เขาเตรียมการบ้านมาดี

ตราบใดที่ยังมี"โล่มนุษย์" ทั้งแบบเต็มใจ ทั้งแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งแบบอยากกลับแต่กลับไม่ได้ อะไรก็ตามที

ก็ยากที่รัฐบาล หรือทหาร จะกล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่า

ในส่วนของม็อบนั้น หากแกนนำยังดึงดันแข็งขืนต่อไป ก็จะกลายเป็นคนแสวงหาความรุนแรง

หลีกหนีข้อหา"พาคนไปตาย"ไม่พ้นแน่

ฉะนั้น การยอมถอยทั้งสองฝ่าย ถือเป็นความดีที่ต้องยกย่อง

เพราะหมากเกมนี้ นอกจากเดิมพันด้วยอนาคตทางการเมืองของนักการเมือง 2 ขั้ว

ยังมีชีวิตประชาชนเข้ามาพัวพันนัวเนีย ชนิดจับแยกเท่าไรก็ไม่ออก

ทางออกอย่างที่นายกฯเสนอ จึงเข้าเป้า

แต่กระนั้นก็ดี การที่นายกฯอภิสิทธิ์ตัดสินใจเช่นนี้ มีเสียงเชียร์อื้ออึงตามมา

แต่เสียงด่าจากคู่อริของเสื้อแดงตัวจริง ก็อื้ออึงไปทั้งเมืองเหมือนกัน

จากความนิยมที่มี กลายเป็นความแค้นความเกลียด ในชั่วข้ามคืน!

อาชีพนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ช่วงก่อนหน้านี้ยันอนาคต จึงเป็นอาชีพที่ยากที่สุด

มีคนรักแรง เกลียดแรง หาพอดีๆไม่ค่อยได้

จากนี้จึงเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นตามโรดแม็ป

มีความเป็นไปได้สูงที่ม็อบการเมืองในสีเสื้อต่างๆ จะออกมาอาละวาดกันอีก

โดยโมเดลการทำม็อบ ที่ผ่านการใช้งานจริงมาแล้วหลายหน ปรับปรุงมาแล้วหลายครั้ง

รอบหน้าก็จะยิ่งตั้งการ์ดสูงขึ้นไปอีก

และก็ต้องเลือกจุดสอยกระโดงคางรัฐบาล แบบเดียวกัน

นั่นคือ ยึดสถานที่สำคัญทางเศรษฐกิจ

จับประเทศชาติเป็นตัวประกัน

มีโล่มนุษย์แน่นหนาสู้ไม่ถอย

ถึงเวลานั้นใครเป็นรัฐบาล อย่าความจำเสื่อมเชียว!

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
******************************************************************

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เหลียวมองบทเรียนโลก Failed State สงครามกลางเมือง ประเทศไทยจะไปทางไหน !

นับจาก การรวมตัวกันของกลุ่มคนเรือนแสน เมื่อ 22 มีนาคม จวบจนพัฒนาการไปสู่เหตุการณ์ปะทะนองเลือดครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี สูญเสียเลือดเนื้อคนไทยด้วยกัน ทั้งฟากฝั่งของทหาร สมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง และประชาชนผู้อาศัยในบริเวณสมรภูมิเดือด "สี่แยกคอกวัว" เมื่อ 10 เมษายน 2553

25 ชีวิตจากไป หลาย 100 คนบาดเจ็บ

เหตุ สะเทือนขวัญหาได้จบลงในเร็ววัน แต่กลับเติมเชื้อปะทุความแตกแยก เมื่อมีรายงานว่า การยิงระเบิดเอ็ม 79 ไม่ต่ำกว่า 5 ลูก เข้าใส่รถไฟฟ้า และพื้นที่อื่น ๆ บริเวณแยกศาลาแดง แนวประจันหน้าระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มคนสีลม ที่ชุมนุมต่อต้านเมื่อ 22 เมษายน

คนไทยบริสุทธิ์ และกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสีลม เสียชีวิต 5 ราย และอาการสาหัสอีกจำนวนหนึ่ง

เวลายิ่งผ่าน ความขัดแย้งและความแตกแยกยิ่งทวีอุณหภูมิขึ้นตามลำดับ 25 เมษายน กลุ่มคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด อย่างน้อย 5 จังหวัด รวมตัวตั้งด่านสกัดการเคลื่อนย้ายกำลังพล ทหาร และตำรวจ เข้าสับเปลี่ยน หรือเสริมกำลังพลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

มีรายงานข่าวทางสถานี โทรทัศน์ และเว็บหนังสือพิมพ์ออนไลน์ บอกเล่าการเลียนแบบจากจังหวัดหนึ่ง สู่อีกจังหวัดหนึ่ง ในวันต่อมา (26 เมษายน) ท่ามกลางการเพิ่มจำนวนขึ้นของกลุ่มต่อต้านข้อเรียกร้องและการกระทำของ นปช. จากกลุ่มเสื้อสีชมพู สู่กลุ่มคนเสื้อหลากสี และเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ได้เพิ่มตัวแปรใหม่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง สมทบเข้ามาอย่างเป็นทางการ

แสดงจุดยืนและกด ดันรัฐบาล และกองทัพไทย ด้วยการทวงถามถึงความชัดเจนทั้งนโยบายและแนวทางปฏิบัติ กรณีการชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย และการแก้ปัญหากระบวนการก่อการร้าย แสดงพลังผ่านเครือข่าย ในทุกจังหวัดที่มี

อุณหภูมิความขัดแย้งที่ รุนแรงมากขึ้นทุกที ๆ ทำให้ นักวิชาการจำนวนไม่น้อย วิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ใน 2 ลักษณะ

ลักษณะแรก การใช้อำนาจรัฐ ที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และยังไม่สามารถจัดการ "คืนความสงบสู่บ้านเมือง" ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการยึดพื้นที่เศรษฐกิจ "ราชประสงค์" มานานเกินเดือน บวกกับพฤติกรรมท้าทายอำนาจรัฐที่ขยายวงจากจังหวัดสู่จังหวัดของกลุ่มคนเสื้อ แดง กำลังผลักรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าใกล้ รัฐล่มสลาย หรือ failed state แล้วหรือไม่

ผลพวงจากความเป็นไปได้ที่เกิดภาวะ failed state และการเพิ่มจำนวนของกลุ่มต่าง ๆ ที่ยืนฝั่งตรงข้ามกับ นปช. กำลังสร้างความกังวลว่า จะเกิดสถานการณ์ในลักษณะที่สองขึ้นตามมา นั่นคือ ความเป็นไปได้ของสงครามกลางเมือง (civil war)

หากสถานการณ์ของ ประเทศยังไร้ทางออก และความแตกแยกเบ่งบานไปทั่วทุกหัวระแหง

สงคราม กลางเมืองไม่เคยปรานีใคร และไม่เคยจบลง โดยไม่หลงเหลือบาดแผลจากอดีตไว้เป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ให้กับผู้คนร่วมสมัย

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้พยายามรวบรวม "ต้นทุน" ของความขัดแย้งรุนแรง และสงครามกลางเมือง ทั้งในแง่ของเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยกัน ความยับเยินที่เป็นตัวเงิน และความเสียหายในรูปแบบอื่น ๆ จาก บางประเทศในอดีต มาเป็นเครื่องเตือนสติทุกฝ่าย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการณ์

สหรัฐ บันทึกบทเรียนอันทรงคุณค่าเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง สงครามกลางเมืองใน บ้านเขา เสียต้นทุนชีวิตมนุษย์มากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 600,000 คน บาดเจ็บราว 500,000 คน

ทั้งหมด คิดเป็น 9% ของจำนวนประชากรผู้ชายของประเทศ ที่มีวัยระหว่าง 15-39 ปี

ใน แง่ต้นทุนทางเศรษฐกิจ อยู่ที่ระดับประมาณ 6.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 4 เท่าขอลงบประมาณระหว่างปี 1789-1860 รวมกัน

บท เรียนซ้ำซากไม่เคยหมดไปจากโลก ความขัดแย้ง และสงครามกลางเมืองในแอฟริกา สะท้อนต้นทุนมนุษย์ออกมาอย่าง ชัดแจ้ง เอธิโอเปีย ไลบีเรีย โมซัมบิก เซียร์ราลีโอน และโซมาเลีย ซึ่งผ่านประสบการณ์ความขัดแย้งรุนแรง เผชิญกับวิกฤตอาหาร ชาวซูดานและชาวเอธิโอเปีย ต้องจบชีวิตลงด้วยความหิวโหย ไร้อาหารประทังชีวิต ในปีช่วงปี 1980-1998 หลายล้านคน

หลาย รัฐบาลในประเทศเหล่านี้ ลดงบประมาณในด้านสาธารณสุขและการศึกษา แพทย์เกือบ 50% และเภสัชกร 80% พากันทิ้งประเทศ หนีออกมาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ในโมซัมบิก ความขัดแย้งได้นำไปสู่การทำลายเขื่อนกักเก็บน้ำ เกือบ 2 ใน 3 ขณะที่โรงเรียนชั้นประถมถูกสั่งปิดหรือทำลายประมาณ 60% ของประเทศ

ความ ขัดแย้งที่ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันในหลายประเทศของทวีปแอฟริกา สร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงประมาณ 15% ของจีดีพี และทำให้การพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพื่อคนหมู่มากหยุดชะงัก มีการประเมินกันว่า ด้วยเงินจำนวนขนาดนี้ สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ได้ในหลาย ๆ กรณี อาทิ การควบคุมวิกฤตการณ์โรคเอดส์ การส่งเสริมและพัฒนาด้านการศึกษา การจัดหาแหล่งน้ำ และการป้องกัน โรคระบาดประจำถิ่นต่าง ๆ อาทิ วัณโรคและมาลาเรีย

แต่เพราะเงินจำนวนดังกล่าว หมดไปกับการทำสงครามและความขัดแย้ง งบประมาณสำหรับการก่อสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน และถนนหนทาง หรือแม้กระทั่งการแก้ไขปัญหา ความยากจน จึงถูกดึงไปใช้เพื่อการจัดซื้ออาวุธห้ำหั่นกันแทน

ในโคลอมเบีย สงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนาน ได้สร้างต้นทุนทางการเงินไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งตัวเลข ดังกล่าวมีสัดส่วนเกือบ 11.4% ของ รายได้ประชาชาติของประเทศ ขณะที่ต้นทุนความขัดแย้งตลอดระยะเวลา 6 ปีในยูกันดา สร้างความเสียหายที่เป็นตัวเงินเกือบ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ประเทศเพื่อนบ้านในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบันทึกต้นทุนสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งไว้เช่นกัน สำหรับฟิลิปปินส์พบว่ามีการเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายได้กำลังทหารมากถึง 40% ของงบประมาณในแต่ละปี ความขัดแย้งที่มินดาเนา ได้สร้างความเสียหายระหว่างปี 1970-2001 เป็นมูลค่าระหว่าง 2-3 พันล้านดอลลาร์

ขณะที่อินโดนีเซีย ใช้จ่ายเงินเกือบ 1 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ในการยึดครองติมอร์ตะวันออก

ความ ขัดแย้งในอัฟกานิสถานสร้างต้นทุนให้กับประเทศในรูปของการจัดหาอาวุธ ยุทโธปกรณ์ การให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม และความเสียหายทางเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาทั้งสิ้นประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์

ต้นทุนมนุษย์ในเอริเทรีย

เอริเทรีย เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา บริเวณที่เรียกว่า จงอยแอฟริกา มีชายฝั่งทะเลติดทะเลแดงเกือบ 1,000 ก.ม. ทิศเหนือและทิศตะวันออกติดทะเลแดง ทิศตะวันตกติดซูดาน ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดจิบูตี ทิศใต้ติดเอธิโอเปีย

ในปี 2505 เอธิโอเปียได้ผนวกดินแดนเอริเทรียเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างชาวเอริเทรียกับ ฝ่ายเอธิโอเปียเพื่อเรียกร้องเอกราชตลอดมาในปี 2534 กลุ่ม แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนเอริเทรีย (EPLF : Eritrean People"s Liberation Front) ได้ร่วมกับกลุ่ม Ethiopian People"s Revolutionary Democratic Front (EPRDF) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏ ต่อต้านรัฐบาลเอธิโอเปีย ล้มล้างรัฐบาลสังคมนิยมเอธิโอเปียได้สำเร็จ และสามารถยึดพื้นที่ดินแดนเอริเทรียได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้เอริเทรียจะสามารถแยกตัวเองออกมาเป็นอิสระจากเอธิโอเปียได้สำเร็จ แต่ความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่ เอริเทรียยังคงมีปัญหาขัดแย้งตามแนวชายแดนกับเอธิโอเปียมาโดยตลอด โดยเฉพาะปัญหาการปักปันเขตแดน จนเกิดการสู้รบแย่งชิงดินแดนในระหว่างปี 2541-2543 ส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

ประชาคมโลกและ องค์การระหว่างประเทศ ทั้งสหประชาชาติและสหภาพแอฟริกาได้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้ง ดังกล่าว จนกระทั่งนำไปสู่การยินยอมถอนกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกในเดือนกรกฎาคม 2542 โดยเอริเทรียและเอธิโอเปียเห็นชอบ ร่วมกันในข้อตกลงการยุติความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (Agreement of Cessation of Hostilities) นอกจากนี้ ได้ร้องขอให้สหประชาชาติเข้าวางกองกำลังรักษาสันติภาพเพื่อสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการตามข้อตกลง และร่วมกันกำหนดเขตปลอดภัยชั่วคราว (Temporary Security Zone : TSZ) ขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความรุนแรงต่อกัน

จากสงครามปลดแอกของเอริเทรีย ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ถึงปี 1991 ผลกระทบในแง่ของต้นทุนมนุษย์นั้นมหาศาลมาก สำหรับประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ นับจากปี 1984 มีผู้คนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร 53,300 คน ประชาชนถูกฆ่า 8,400 คน ถูกจองจำ 14,200 คน การเข้ายึดอาหารและทำลาย 44,200 ตัน การทำลายที่ดินและเหมืองไปไม่ต่ำกว่า 70,000 เอเคอร์ บ้านเรือนที่พักอาศัยถูกทำลาย 52,000 หลัง ตลอดจนสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ถูกยึดหรือไม่ก็ฆ่าทิ้งเป็นจำนวนมากทั้งอูฐ วัว แกะและแพะ

บทเรียนโลกสู่ไทย

ประเทศไทยจะเผชิญภาวะที่โหดร้าย เยี่ยงเอริเทรีย หรือเลวร้ายกว่า ดังกรณีของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผาพันธุ์ในรวันดาหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการ

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีบทเรียนของการห้ำหั่นกันมาแต่อดีต ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงพฤษภาทมิฬ 2535 ชีวิตผู้คนล้มตาย และเศรษฐกิจถอยหลัง ล้วนมีบันทึกให้อ่านกันทั้งสิ้น

แต่ประวัติ ศาสตร์ของประเทศไทย ยังคงย่ำรอยเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หน้าประวัติ ศาสตร์ร่วมสมัย ตั้งแต่เหตุการณ์การรวมตัวประท้วงกลุ่มคนเสื้อเหลือง จนถึงจุดขมวดตึงของการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ครั้งนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ของกระทรวงการคลังประเมินผลกระทบ ตีออกมาเป็นตัวเงิน โดยคาดการณ์ภายใต้สมมติฐานว่า การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ อาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 3 แสนคน จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยปีละ 14.5 ล้านคน ซึ่งประเมินว่า ได้ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 15.3 พันล้านบาท และ ส่งผลต่อเนื่องต่อดุลบัญชีเดินสะพัดให้ลดลงคิดเป็นร้อยละ -0.08 ต่อ GDP

ต่อเนื่องด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงในเดือนเมษายน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2552 คิดเป็นมูลค่าความเสียหายนับแสนล้านล้านบาท

นับจากวัน ที่ นปช.เคลื่อนมวลชนเข้ายึดราชประสงค์ จนถึงสถานการณ์ที่เข้าใกล้สงครามกลางเมืองอยู่ร่อมร่อ ไม่มีใครตอบได้ว่า ประเทศไทยจะลงเอยไปในลักษณะใด ไปสู่จุดจบ หรือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างคนร่วมชาติ

แต่สงครามกลางเมือง ไม่เคยปรานี ระวัง ! ต้นทุน เลือดเนื้อมนุษย์ และความเสียหายทางเศรษฐกิจ จะสร้างบทเรียนหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์โลก และไทยกลายเป็นตัวอย่างที่คนหยิบยกไปพูดถึงแทนรวันดา เมื่อมีการพูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

สื่อนอกยังเชื่อการเมืองไทยลงเอยด้วยสันติ อ้างเสธ.แดงลั่นไม่ล้มการชุมนุมจนกว่าได้รับคำสั่งจาก"แม้ว"

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่สถานการณ์ขัดแย้ง ทางการเมืองในไทยจะลงเอยด้วยสันติ ว่า ยังถือเป็นแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดแม้ทางฝ่ายผู้ชุมนุมจะยังคงตั้ง เงื่อนไขขอให้กำหนดวันยุบสภาที่แน่ชัดออกมา

โดยเชื่อด้วยว่า หากมีการตกลงกันได้ด้วยดีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตลาดพันธบัตร และตลาดเงินของไทย และเชื่อว่า จะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สามารถพุ่งขึ้นสู่ระดับ 950 จุดได้เมื่อถึงปลายปีนี้

รอยเตอร์ระบุว่า ยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่การทำความตกลงดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่อาจชะลอออกไปอีกหลายวัน โอกาสที่จะเป็นไปได้ลำดับถัดมาก็คือการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมตาม แนวทางปรองดองแห่งชาติของรัฐบาลล้มเหลวลง และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดด้วยการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น พันธบัตรและตลาดเงินอย่างหนักหน่วงอยู่ระยะหนึ่งจนกว่ารัฐบาลจะฟื้นฟูความ เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาได้

"โอกาสเป็นไปได้ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุดในทัศนะของรอยเตอร์ก็ คือ การชุมนุมยังคงดำเนินไปอย่างยืดเยื้อต่อไป โดยให้เหตุผลของความเป็นไปได้น้อยที่สุดว่า เป็นเพราะรัฐบาลอดทนมามากพอแล้วและการเข้าสลายการชุมนุมจะเป็นที่ยอมรับของ สาธารณชนทั่วไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็จากประชาชนในกรุงเทพฯ"

ในรายงานของ เจมส์ ฮุคเวย์ เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ ให้ความสนใจไปที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากที่เสธ.แดงออกมาปฏิเสธข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นเพียงกลลวงให้ยุติการชุมนุม เป็นการซื้อเวลาและหาทางให้ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์อิสระระบุว่า อิทธิพลของเสธ.แดงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันเป็นกองกำลังมีมากขึ้นตาม ลำดับ ซึ่งอาจนำไปสู่การนองเลือดได้ โดยชี้ให้เห็นว่ามีอย่างน้อย 5,000 คนเข้าร่วมพรรคการเมืองที่พล.ต.ขัตติยะ จัดตั้งขึ้นในชื่อ พรรคขัตติยะธรรม

พล.ต.ขัตติยะบอกกับวอลสตรีท ว่าจะไม่เลิกล้มการชุมนุมครั้งนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการโดยตรงของตน ไม่เกี่ยวกับแกนนำของผู้ชุมนุม โดยประกาศอย่างชัดเจนไว้ว่า ภารกิจสุดท้ายของคือการเปลี่ยนการชุมนุมมาราธอนเพื่อต่อต้านรัฐบาลหนนี้ให้ กลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบในเมืองหลวง
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************
เพลง จิตรภูมิศักดิ์

เขาตาย.ในชายป่า
เลือดแดงทา.ดินเข็ญ.
ยากเย็น ค่นแค้น.อับจน.

และถึงวันพราก
เขาลงมาจาก.ยอดเขา
ใต้เงา.มหานกอินทรีย์
ล้อมยิงโดยกระหยิ่ม
อิ่มในเหยื่อตัวนี้.
โชคดี สี่ขั้น.พันดาว

เหมือนดาวร่วงหล่น
ความเป็นคนล่วงหาย
ก่อนตายจะหมายสิ่งใด

แสนคนจนยาก
สิบคนหากรวยหลาย
อับอาย.แก่หล้าฟ้าดิน

เขาจึงต่อสู้ อยู่ข้างคนทุกข์เข็ญ
ได้เห็น.ได้เขียนพูดจา.
คุกขังเขาได้
แต่หัวใจอย่าปรารถนา.
เกิดมา.เข่นฆ่า.อธรรม..

แล้วอำนาจเถื่อน
มาบิดเบือนบังหน
กี่คน.ย่อยยับ.อัปรา..

สองพัน.ห้าร้อยแปด
เมฆดำปกคลุมฟ้า.
ด้วยฤทธา มหา.อินทรีย์

ร้างเมือง.ไร้บ้าน
อยากทำการป่าเขา
เสี่ยงเอา ชีวีมลาย..

พฤษภา.ห้าร้อยเก้า
แดดลบเงาจางหาย
เขาตาย.อยู่ข้างทางเกวียน

ศพคนนี้นี่หรือคือจิตร ภูมิศักดิ์
ตายคาหลักเขตป่ากับนาคร
ศพคนนี้นี่หรือคือจิตร ภูมิศักดิ์
ศพคนนี้นี่หรือคือจิตร ภูมิศักดิ์

ตายคาหลักเขตป่ากับนาคร
เขาตายในชายป่า
เลือดแดงทาดินอีสาน
อีกนาน อีกนาน อีกนาน

เขาตายเหมือนไร้ค่า
แต่ต่อมาก้องนาม
ผู้คน ไถ่ถามอยากเรียน

ชื่อจิตร ภูมิศักดิ์
เป็นนักคิด.นักเขียน
ดั่งเทียน.ผู้ถ่องแท้.แก่คน

เขาตายในชายป่า
เลือดแดงทาดินอีสาน
อีกนาน อีกนาน อีกนาน

เขาตายเหมือนไร้ค่า
แต่ต่อมาก้องนาม
ผู้คน ไถ่ถามอยากเรียน

ชื่อจิตร ภูมิศักดิ์
เป็นนักคิด.นักเขียน
ดั่งเทียน.ผู้ถ่องแท้.แก่คน

ชทพ.ฉวยโอกาสเร่งแก้รธน.2มาตรา

แกนนำชาติไทยพัฒนาฉวยโอกาสข้อเสนอปรองดองของนายกรัฐมนตรีเร่งพรรคร่วมรัฐบาลหารือให้ได้ข้อยุติแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตรา เพื่อให้ทันพิจารณาประชุมร่วม ส.ส.-ส.ว. วันที่ 7 พ.ค. นี้ “บิ๊กจิ๋ว” ชื่นชมนายกฯมีจิตสำนึกที่ดีต่อประชาชน ยันเพื่อไทยพร้อมเลือกตั้ง 14 พ.ย. ด้านแกนนำพันธมิตรฯนัดหารือแสดงจุดยืน 6 พ.ค. หวั่นกลายเป็นเวทีต่อรองผลประโยชน์นักการเมือง เฉ่งโรดแม็พ 5 ข้อไม่มีอะไรใหม่ นายกฯพูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งแต่อยู่มาปีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ทราบข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาก่อน ก่อนหน้านี้เรายืนยันชัดเจนว่าจะไม่ยุบสภาตามคำขู่

“ผมไม่รู้ว่านายกฯคิดอะไร ต้องไปถามนายกฯ แต่อำนาจการยุบสภาก็เป็นของนายกรัฐมนตรี” นายชวนกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าควรหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อนประกาศหรือไม่ นายชวนกล่าวทีเล่นทีจริงว่า มีกำนันอยู่แล้วไม่ต้องถามผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าประเทศไทยยังมีทางออกอีกเยอะ อยู่ที่ว่าจะเลือกเดินทางไหน

“ผมไม่เคยคุยกับนายกฯเรื่องยุบสภา เคยพูดกันแต่เรื่องประชาธิปไตย เรื่องการรักษาหลักของบ้านเมือง ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายต้องดำเนินการ ส่วนปัญหาของบ้านเมืองรัฐบาลก็มีหน้าที่แก้ควบคู่กันไป” นายชวนกล่าว

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้หารือกันจนได้ข้อยุติแล้วก่อนที่นายกฯจะประกาศ เชื่อว่าทุกฝ่ายจะยอมรับ

“พรรคร่วมรัฐบาลหารือกันว่าระยะเวลายุบสภา 9 เดือนน่าจะนานไป จึงได้ข้อสรุปลดกรอบเวลามาเหลือ 5-6 เดือน น่าจะเป็นทางออกของวิกฤตนี้” นายสมศักดิ์กล่าวและว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะหารือกันภายใน 1-2 วันนี้เพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตรา ก่อนที่จะมีการประชุมร่วม 2 สภาในวันที่ 7 พ.ค. นี้

ที่พรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค กล่าวว่า ขอชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่เสนอทางออกให้ประเทศ ในตอนต้นเรารู้สึกเป็นห่วงว่าจะมีจิตสำนึกต่อพี่น้องประชาชนหรือไม่ นายกฯคงเห็นแล้วว่าแนวทางที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตประชาชนไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง ส่วนที่นายกฯกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. นั้น พรรคเพื่อไทยมีความพร้อม

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯเสนอโรดแม็พ 5 ข้อเพื่อหาทางลงให้ตัวเอง ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อคำพูดเพราะไม่มีความชัดเจนในหลายเรื่อง ที่สำคัญนายกฯต้องไปถามคนในพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ เกรงว่าจะหยิบมาใช้เป็นข้ออ้างในภายหลัง

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า 5 ข้อที่เสนอไม่มีอะไรต่างจากสิ่งที่นายกฯแถลงในวันเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งผ่านมาปีกว่าแล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไร ความจริงนายกฯควรจัดการกับขบวนการล้มเจ้าเสียก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นการข้ามขั้นตอนและจะสูญเสียการสนับสนุน เกรงว่าเวทีปรองดองจะเป็นเวทีการต่อรองผลประโยชน์ของนักการเมือง โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมคดีความต่างๆ ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯจะหารือเพื่อแสดงจุดยืนในวันที่ 6 พ.ค. นี้

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

‘องคุลีมาน’ กลับใจ!!(ไม่แน่ใจ)

‘องคุลีมาน’ กลับใจ!!
มองตาเห็นธรรม ชัดแจ้งในวีระเวร และวีรกรรม ที่ทำเอาไว้กับ “ประเทศไทย”โรดแม็ป ๕ ประการ ที่หลุดเป็นภาษาดอกไม้ ออกมาจาก “นายมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมีสุดยอดแห่งความสมานฉันท์ปรองดอง เลือกตั้ง “วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน”พาดบันไดลิง...เพื่อไม่ให้ทหารยิงประชาชนจากแข็งกร้าว ไม่ลดราวาศอก ให้ถอยแม้แต่ก้าวเดียว....อยู่ “นายอภิสิทธิ์” ก็ทอดสะพานหาลงให้กับประเทศไทย.....ส่วนหนึ่งน่ามาจาก ความจริงใจ ที่ไม่อยากให้ “มือเปื้อนเลือด-เปื้อนโลหิต” อีกคำรบหนึ่ง....แต่เนื้อแท้ ที่ “รัฐบาลติดหนวด” ต้องยอมก้มหัวให้กับประชาชน...เพราะ “ต่างชาติ” และ “นานาชาติ” จับเส้นปัตฆาตบีบ ให้แก้ปัญหาอย่าง “สันติ” โดยไม่ใช้ “วิธีรุนแรง” เพราะสถานการณ์ รังแต่จะย่ำแย่!!!“นานาชาติ” ส่งกำลังภายในช่วย.... “มาร์ค” จึงอ่อนเป็นเชือกกล้วย?.....ด้วยประการฉะนี้แล???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ยังคง ‘ถือไพ่เหนือ อยู่ในมือ’!!!
ฟันธง ล้อมคอก กั้นอาณาจักร ให้ไปเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ “๑๔ พฤศจิกายน” อำนาจยังอยู่ในมือ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี อีกอื้อ???กฎ กติกา มารยาท “รัฐบาลรักษาการณ์” จะไม่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ-ผู้ว่าราชการจังหวัด กับคนอื่น พรรคอื่น เขารักษาคุณภาพกันเต็มร้อยแต่กับพรรคแม่ธรณีบีบมวยผม....ต้องด่าระงม ว่าเขาไม่มีแม้แต่น้อยเจาะเวลาหาอดีต เอาของจริงมายืนยัน..สมัยที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” เป็นนายกรัฐมนตรี..โดยพรรคฝ่ายค้านดาหน้า ขอลาออกกันยกแผงนั้น... “นายชวน” ไม่กลัวเสียเกียรติ แต่งตั้งข้าราชการอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน?..ยิ่งตอนนี้ “ประชาธิปัตย์” อยากให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผู้บัญชาการทหารบก และให้ “พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง” เป็น “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”...ท่านก็คงไม่เขิน ให้เขามาช่วย ในศึกเลือกตั้ง!!!เรื่องขี่คอเอาตอแทงตา......ประชาธิปัตย์เขากล้า?....ถึงใครจะด่า เขาก็ไม่ฟัง???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘โยนหินถามทาง’ หยั่งเชิง!!!
ตั้งป้อมเสร็จสรรพ ในการ “นิรโทษกรรม” เพื่อไม่ให้ “แกนนำ นปช.” รับโทษกันอย่างกระเจิดกระเจิง???เอาเป็นว่า เรื่อง “นิรโทษกรรม” นี้... “วีระ มุสิกพงศ์”, “จตุพร พรหมพันธุ์”, “ณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ” และ แกนนำ นปช. อีกหลายชีวิต เขาไม่ต้องการเด็ดขาดความผิดแค่ “พรบ.จราจร”....จะไปวิงวอนเช่นนั้น มันก็บ้าชะมัดที่อยากให้ “นิรโทษกรรม” แบบล้างบาง ยกล็อต รุสต๊อก หมดโกดัง น่าจะเป็น “ฝ่ายรัฐบาล” ของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯในฐาน “ประธานศอ.ฉ” กับการตายสังหารหมู่ประชาชน ๒๐ กว่าชีวิต ที่ผ่านฟ้า...โทษฉกรรจ์ใหญ่หลวง เพราะข้อกล่าวหามันหนัก!!!ที่อยากให้ “นิรโทษกรรม” เต็มแก่.......ก็ฝ่ายรัฐบาลแน่ๆ ?......เพราะดูแล้วร่อแร่ยิ่งนัก???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ความรู้ท่วมหัว เก่งชะมัด!!!
“นายหัวชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัย แห่งพรรคประชาธิปัตย์????นอกจากเป็น “นักการเมือง” ฉายา “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง...ใครมาต่อกรด้วย ต้องหมอบราบคาบแก้วไปทุกรายท่านเก่งด้าน “หมอความ” อย่างฉลาด...จึงรับหน้าเสื่อเป็น “อาจารย์ใหญ่” ให้คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ จะบอกให้“อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย” นั้น เป็นอาจารย์ใหญ่ สอนนิติแก่คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ มานานนมหลายสิบปี....ความไมตรี มีอาทรระหว่าง “โรงพยาบาลจุฬาฯ” กับ “ท่านชวน” และ “พรรคประชาธิปัตย์” ย่อมมีความกลมเกลียวกันเสร็จสรรพ!!!ใครทำ “ประชาธิปัตย์” เจ็บ.... “จุฬาฯ” ก็ต้องออกมากวาดออกมาเก็บ?...เหน็บให้เจ็บใจกันมั่งล่ะครับ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘แสงสว่างปลายอุโมงค์’!!!
หากว่า “โรดแม็ป” ทางออกประเทศไทย ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เสนอมาพบทางตัน ไม่เป็นที่ยอมรับ ของ “มหาชนคนประชาธิปไตยเสื้อแดง”....ถึงยังไงประเทศไทย ต้องมีทางลงเงิน ๒๙ ล้าน ที่ “กกต.” หนุนให้แก่ “พรรคประชาธิปัตย์” ไปนั้น...ได้ถูกเล่นแร่แปลธาตุ ไปทำผิดประเภท ยากจะรอดสันดอน “ยุบพรรค” ได้ง่ายๆ คำตัดสิน “ศาลรัฐธรรมนูญ”......จะเป็น “บุญแก่ประเทศไทย”เพราะการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” และ ลูกศิษย์ก้นกุฎิ “นิพิฐฎ์ อินทรสมบัติ” ร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ..เพราะรู้ชะตากรรม เปอร์เซ็นต์ “ยุบพรรคมีสูง”...และคดียุบพรรคนี้ มีผลก่อนโรดแม็ปยุบสภาฯ ที่ “นายอภิสิทธิ์” เสนอต่อธารกำนัน!!!ยุบพรรคประชาธิปัตย์....ถือว่าเป็นทางลัด?....ตัดวงจรวงบาทว์ได้เหมือนกัน????

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

สามประการ พาประเทศ เจ๊ง..!!!!!

ประหลาดแท้ๆ..อุตส่าห์ลงทุน “เต้าข่าว” เสียใหญ่โต ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ตาย!!ตายในห้องไอซียู ด้วยโรค “มะเร็ง” ในขณะที่ทำ “คีโม” ออกอาการกระตุก กระตุก น้ำลายฟูมปากในที่สุดก็ เท่งทึ่ง “ตายคามือหมอ”แต่...พอ “ทักษิณ” ปรากฏตัวให้เห็น ทั้ง ภาพ และ ข่าว..พร้อมยืนยันว่า ยังมีชีวิตอยู่และ กำลังรุดหน้า

เกี่ยวกับธุรกิจที่ถนัดเท่านั้นแหละเป็นเรื่อง..คนออกข่าวทำท่าจะตายแทนซะเอง..เพราะมันไม่ได้ดังใจ!!ไอ้คนที่อยู่แบบ สุขกายสบายใจ ก็ทำท่า “เครียด” พาลจะเป็น “มะเร็ง” เอาดื้อๆ เพราะออกอาการหนักผิดปกตินี่แหละมันเป็นอย่างนี้แหละครับเจ๊เล้ง!!ภาษิตฝรั่งบอกว่า A living dog is better than a dead lionแปลเป็นไทยว่า “สุนัขที่ยังมีชีวิตอยู่ยังดีกว่า ราชสีห์ที่ตายแล้ว”ที่เขียนอย่างนี้ ก็ไม่ได้บอกว่า “ทักษิณ” เป็น “สุนัข” นะครับ.. เดี๋ยวแฟนคลับ “เดอะแม้ว” จะ

มาอัดผมเข้า..กลอนมันพาไปเอาเป็นว่า ที่ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ไล่จิกไล่ตีทักษิณ ไปทั่วทุกมุมโลกนั้น..ขอบอกว่ามัน “ไม่เวิร์ค” นอกจากจะเสียเวลาในการทำงานให้ชาติทางด้านอื่นแล้ว ยังสร้าง “ความสะเหล่อ” น่าอับอายขายหน้าไปทั่วโลก!!เพราะทำตัวกร่างเป็น “นักเลง” มากกว่าที่จะเป็น “รัฐมนตรี”เรื่องนี้ “คนไทย” ทั้งประเทศรู้ดี..แต่ รัฐบาลรัสเซีย ไม่เคยรู้มาก่อน..และไม่เคยรู้ด้วยว่าขั้นตอนการ “สรรหา” คนมา

เป็นรัฐบาลนั้นเขาทำกันอย่างไร??เพราะไม่รู้รัฐบาลรัสเซีย จึงต้องเรียกทูตไทยมาเฉ่งปี๋ดังที่เป็นข่าวแต่..หากว่า “รัสเซีย” รู้ว่าการตั้ง “รัฐบาล” และ แต่งตั้ง “รัฐมนตรี” ในประเทศไทยเขาทำกันอย่างไร จะต้องสะอึกและดื่มน้ำตามไปอีกสามขันเพราะประเทศนี้ใช้หลัก “สามประการ”ในการสรรหารัฐมนตรีคือ.. หนึ่ง เป็นนักเลง.. สองเป็นญาติสนิทพี่น้องลูกเมียนักการเมือง และ สามจับสลากเพื่อเป็นรัฐมนตรี..เอวัง!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************************************

ความเชื่อ

เพราะการแสดงออกเชิง “เด็กเลี้ยงแกะ” หลายครั้งหลายหน...ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เกิดความ “ไม่เชื่อถือ”โดยเฉพาะคำประกาศเลือกตั้งใหม่ 14 พฤศจิกายนภายในปีนี้ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”คงต้องถามนายกรัฐมนตรีกลับไปว่า...มันมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?เพราะที่ผ่านมา...ประชาชนรู้สึก “เข็ดหลาบ” กับคำพูดที่ดูดีน่าฟัง...แต่ไร้แก่นสารและความจริงใจของนายกฯ ท่านนี้ประชาชนรู้ว่า...สิ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พูดออกมามันคือ “ความ

จริง” มิใช่ “ความฝัน” เพราะต่างได้ยินเต็มสองรูหู แต่จะทำอย่างไรในเมื่อ “ผู้มีพระคุณ” ทั้งหลายของท่านยังทำตัว “ตีปลาหน้าใส” พร้อมชักใบให้เรือเสียท่านจะออกมาฉายเดี่ยว...ลุกขึ้น “ผ่าทางตัน” อย่างสง่างาม หลังจากเป็น “หุ่นเชิด” มานาน...โดยไม่สนใจถ้อยคำ “หักหาญ” อันใดอย่างนั้นหรือทั้ง ชวน หลีกภัย สุเทพ เทือกสุบรรณ พรรคร่วมรัฐบาล กองทัพทหาร รวมไปถึงกลุ่มมวลชนพวกท่านทุกฝ่ายมีอำนาจและบทบาทสำคัญในการ “เกื้อหนุน” ให้ประชาธิปัตย์

และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นมาบริหารประเทศในวันนี้ ผมมองว่า...บุคคลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องหันกลับไปบอกและทำความเข้าใจกับพวกเขาให้รู้เรื่องเมื่อต้องการให้ปัญหาจบ...มันต้อง “เคลียร์ปัญหา” แบบหมดจดแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่...แต่ผมไม่ได้ “บีบคั้นรัฐบาล” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืนเพราะหากยิ่ง “คาราคาซัง” ในอนาคตก็จะกลายเป็นปัญหาที่สะสมเป็น “ดินพอกหางหมู” ซึ่งแก้กันไม่จบไม่สิ้นปัญหาจึงตกมาอยู่ที่ “อภิสิทธิ์

เวชชาชีวะ” ว่าท่านจะทำอย่างไร? กี่ครั้งแล้วที่ท่าน “หลงเชื่อ” คนใกล้ตัว...แต่ไม่เคยทำตัวเองให้ประชาชน “น่าเชื่อถือ” ครั้งนี้มีโอกาสชำระสะสางก็ควรรีบลงมือทำ...ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง...ผมจะไม่คิดมาก...ไม่ลังเล...และไม่ระแวง“ทางออก” มีออกให้เห็นรำไร...แล้วทำไมจะไม่เดินไปหา “แสงสว่าง” นั้นเล่าแม้วันนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะเป็นแค่ “เบี้ย” แต่ก็ฉายแววให้เห็นในวันหน้ายังมีโอกาสเป็น “ขุน”
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
___________________________________________________________________

“ขึงพืด”

๐ วันนี้...5 พฤษภาคม 25553 เริ่มเห็น “รอยยิ้ม” บนสีหน้าคนไทยทั้งแผ่นดิน เพราะเป็น “วันฉัตรมงคล” สัญลักษณ์แห่งความร่มเย็น ของพสกนิกรไทยกว่า 65 ล้านคน.....

๐พระราชพิธีฉัตรมงคลรัชกาลปัจจุบัน ตรงกับ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงกระทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี จึงถือว่าวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันมงคลสมัย พสกนิกรและรัฐจึงได้ร่วมกันจัดพระราชพิธีขึ้นเรียกว่า รัฐพิธีฉัตรมงคล บ้างก็เรียก พระราชพิธีฉัตรมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.....

๐การเมืองไทยที่ “ขึงพืด”กันมาสองสามปี ทำท่าจะคลายเกลียว เมื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิด “ดวงตาเห็นธรรม” อย่างไม่มีใครคาดคิด ประกาศผ่านทีวีทุกช่อง 14 พฤศจิกายน 2553 จะจัดให้มีการเลือกตั้ง!!.....

๐ แปลเป็นไทยว่า ไม่เกินเดือนกันยายน 2553 “รัฐบาลผ้าอ้อม” จะประกาศยุบสภา มีเวลา 45 วัน ไม่เกิน 2 เดือนในการจัดการเลือกตั้ง มาร์คอภิสิทธิ์ จะตัดสินใจอย่างนี้เพราะอะไร?? มีใครบีบ??“กุหลาบพิษ” ไม่สนใจ เพราะบัดนี้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ได้ลงมือทำ “สิ่งที่ควรทำ” โดยไม่มีใครคาดคิดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว.....

๐ พูดไปทำไมมี?? ที่จะต้องสดุดีสำหรับ การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดในเดือน พฤศจิกายน คือ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ยืนยันมั่นคงมาตลอด จะไม่ใช่กำลังทหาร “ปราบปรามประชาชน”.......

๐ ท่ามกลางข่าวหวาดเสียวรายวัน “กุหลาบพิษ” เขียนยืนยันตรงนี้มาสองสามเดือน การันตีจะไม่มีการ “สลายม็อบ” เพื่อเข่นฆ่าประชาชนอีก เพราะคำพูดประโยคเดียวของ “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” จะไม่ใช้กองทัพปราบปรามประชาชน และ..การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”.......

๐ ถ้าวันนี้...ประเทศนี้ ไม่มีชายชาติทหารชื่อ “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ป่านนี้ การสลายม็อบ เอารถถังลุยประชาชน ด้วยข้อหา “ม็อบแดง” คือฐานทัพผู้ก่อการร้าย และล้มสถาบัน คงเกิดขึ้น ถึงวันนั้น?? ถนนราชประสงค์จะนองด้วย “เลือด”!!..... ไทยจะฆ่าไทยกันเอง เพียงแค่ “สนองตัณหา” อำมาตย์ใหญ่บางคน??......

๐ เลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน 2553 ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กลับบ้านอยู่กับลูกหลานโดยไม่มีคำว่า “ทรราช” พ่วงท้ายชื่อเหมือนคนบางคน และวันนั้น....

๐ ถ้าไม่มีอะไร “คาดไม่ถึง” ทะลุกลางปล้องขึ้นมาอีก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงเป็นคน “รับไม้” ในการเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก “บิ๊กป๊อก”....

๐ ไปหลับอยู่ที่ไหนมิทราบ?? “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด (พันเอก) ยังออกมาประกาศทำท่าดุดันเหมือน “หนังคนละม้วน”?? เตรียมรถหุ้มเกราะสลายม็อบ ในเวลาเดียวที่นายกรัฐมนตรีมาร์ค ประกาศโรดแมป “การปรองดอง” จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53 เล่นเอาหน้าแหกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ!!.......๐
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
________________________________________________________________

ท.ทหาร

มีความแตกต่างกันมากมายที่ทำให้ “ทหาร” แปลกไปจากบุคคลธรรมดาเพราะ...ทหาร แปลว่า นักรบ...ดังนั้น นักรบจึงต้องมีคุณสมบัติที่..พิเศษ..และไม่เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั้งๆ ที่ ก็มาจากคนธรรมดาในการต่อสู้กันระหว่างคนธรรมดาและคนธรรมดานั้น...ก็เพราะมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน เพราะมีเรื่องราวที่ขัดแย้งกัน หรือมีการแย่งชิงในสิ่งเดียวกัน จึงไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ใดๆแต่สำหรับทหารแล้ว...การต่อสู้ของเขานั้น เป็นการต่อสู้ที่เป็นหน้าที่ คนที่จะฆ่าเขาหรือจะ

ถูกเขาฆ่า ส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน..ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวที่ขัดแย้งกัน..การต่อสู้ของทหารจึงเป็นการต่อสู้เพื่อสิ่งอื่นคนอื่น..คนที่ยอมตายหรือยอมฆ่าเพื่อสิ่งอื่นและคนอื่น..จึงถือว่าไม่ใช่คนธรรมดา...เป็นคนมีเกียรติเกียรติของทหาร...ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์...ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดทหารจะยอมตายเพื่อสิ่งนี้...และด้วยเกียรติที่ทหารต่างฝ่ายต่างก็มี ถึงแม้จะอยู่คนละฟากคนละฝ่ายในสนามรบ..เกียรติของทหารเป็นสิ่งที่มีเสมอกัน....และถึงแม้ว่าจะเข่นฆ่าสังหารกัน..แต่เขาก็

ต้องให้เกียรติกันผู้ชนะที่ต่ำยศกว่า จะแสดงความเคารพผู้ปราชัยที่มียศสูงกว่า....กองทัพที่เข็มแข็งแกร่งกล้า...เขาจะศึกษากันที่เกียรติและวินัย...เพราะวินัยที่ยอดเยี่ยมคือ เกียรติยศที่ทหารในหมวดหมู่นั้นต้องมีให้แก่กันและกัน....ทหารจะไม่ผลักใสเพื่อนให้ไปรบในสมรภูมิที่เสี่ยงภัยแต่จะแย่งกันเข้าไปทำหน้าที่..กองทัพที่ดีนั้น...ทหารกับทหาร...จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน...เพราะการให้เกียรติใดๆ กับใครก็ตามก็เท่ากับให้เกียรตินั้นแก่ตนเอง..โดยไม่ต้องพวงถึงเขาจะ

ตอบกลับตอบมาเช่นเดียวกันหรือไม่แต่มีกองทัพหนึ่ง...เมื่อไม่กี่วัน..ทั้งๆ ที่รู้ว่า..อดีตผู้บัญชาการระดับสูงสุดของกองทัพ..จะมาปรากฏตนหน้าค่ายและจะต้องเดินเข้ามาในค่าย..ทหารที่เป็นทหาร..จะรู้ถึงเกียรติยศที่จะต้องให้และเกียรติยศที่จะต้องรับ....เครื่องแบบชั้นยศจอมพล..ไม่ว่าจะครอบคลุมอยู่บนเรือนร่างของใคร..ก็คือเครื่องแบบจอมพล..ทหารที่เป็นทหารมีเกียรติและมีวินัย..จะไม่ทำอนาจารกับยูนิฟอร์มและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันพระราชทานมาจากจอมทัพไทย

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ..อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก..อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม..ทำถูกแล้ว..ที่กลับออกมาจากสถานที่แห่งนั้น..ทหารจะไม่ทำเช่นนั้นกับ..อดีตผู้บังคับบัญชาและจะให้เกียรติกับ...เครื่องแบบกับแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติยศนั้น..เขามีไว้เพื่อให้..คนที่ให้จะได้เกียรติเช่นเดียวกันกลับมาหรือมากกว่า..ทหารพม่าไล่ฆ่าคนไทยในกรุงแตก 2 ครั้ง..แต่กรุงแตกครั้งใหม่ ทหารไทยไล่ฆ่าคนไทย..อนิจาเอ๋ย
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
........................................................................

‘ฉุกเฉิน’ต้องเลิก! หยุดคลั่ง

ณ วินาทีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดากลุ่มคนที่หนุนหลัง คงเห็นแล้วว่า การใช้อำนาจกฎหมายที่รุนแรง หวังที่จะเอาชนะประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้เลยเพราะตราบใดที่ประชาชนมองว่า รัฐบาลใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอยู่แล้ว จะออกกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ จะออกกฎหมายการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ออกมาบังคับใช้อย่างไรก็ตาม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ยำเกรง เพราะมองว่าเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานหรือต่อให้เป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างที่มีบางคนอุตริแนะนำ เพราะคิดว่าจะได้คุมสถานการณ์อยู่หมัด แต่เชื่อเถอะ

ว่า ประกาศใช้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย จะยอมถอยแน่เพราะในความรู้สึกของกลุ่ม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น การชุมนุมเรียกร้องและการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลอกเลียนแบบมาจากแกนนำม็อบพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองทั้งสิ้นแต่ไฉนแกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองจึงทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำไม่ได้เลย ประเด็นเหล่านี้แหละที่กลาย

เป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงฮึดสู้ไม่ถอยจนสุดท้ายภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงพังยับเยินในทุกๆ ด้าน แม้แต่ความเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ เคยเป็นจุดขายในอดีตเพราะแม้แต่ต่างประเทศ ซึ่งรับรู้สถานการณ์ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยทุกอย่างมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เนื่องจากโลกของการสื่อสารที่เป็นสากลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถปิดหูปิดตาคนทั่วโลกได้เมื่อได้รู้ได้

เห็นในข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความจริงมาโดยตลอด จึงเห็นได้ว่า ท่าทีของนานาประเทศไม่ได้ให้การยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อย่างสนิทใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้ได้ดีมาจากการเป็นแกนนำม็อบยึดสนามบินสุวรรณภูมิแต่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้สร้างความอึดอัดให้กับประเทศต่างทั่วโลกมาโดยตลอดนับแต่ดำรงตำแหน่งฉะนั้นวันนี้คงเห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ องค์กรต่างๆ ไม่ได้มองกลุ่มคนเสื้อแดง

เป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ก่อการกบฏ อย่างที่มีคนในรัฐบาล คนในกลุ่มหนุนหลังทั้งหลายต้องการจะให้เป็นลึกๆ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการศึกษาระดับที่ดีในโลกตะวันตก ย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตกมองประเด็นประเทศไทยอย่างไร และทำไมการขอความร่วมมือของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และรัฐบาลไทยจึงไม่เคยได้ผลเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้งเดียวยิ่งล่าสุดไม่เพียงแค่ต่างประเทศที่พากันออกแถลงการณ์ที่ไม่เป็นคุณกับ

รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลย แม้แต่บุคคลผู้ที่มีวุฒิภาวะในประเทศไทยด้วยกันเองยังอดรนทนไม่ได้กับท่าที และพฤติกรรม หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หนึ่งในบุคคลที่พูดอย่างเป็นกลาง ในทุกเวที ก็คือ พระราชวิจิตรปฏิภาณ “เจ้าคุณพิพิธ” วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ออกโทรทัศน์ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เตือนสติรัฐบาลอย่างตรงประเด็นว่าการปิดหูปิดตาประชาชนก็ดี การกล่าวหาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันก็ดี หรือ

การคิดที่จะสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหาร-ตำรวจล้วนแล้วแต่จะทำให้เรื่องไม่จบ และจะยิ่งเสียหายมากขึ้นเช่นกันกับในการประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามมาตรา 161 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งบรรดา ส.ว.ที่มีความเป็นกลางโดยส่วนใหญ่ ล้วนต่างพูดตักเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้แสวงหาหนทางยุติปัญหาโดยสันติ โดยการเจรจา เพื่อจะได้เป็นทางออกของประเทศไทยอย่งแท้จริงจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีก็แต่ ส.ว.2-3 คน อย่างเช่นนายสมชาย

แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส ซึ่งเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ได้เข้ามาเพราะการเกื้อหนุนของ คมช. จึงมีการแสดงออกที่กระหายความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้บรรดา ส.ว.ด้วยกันเองก็ยังส่ายหน้าอย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า แรงกดดันทั้งจากภายในประเทศ และทั้งจากต่างประเทศ ได้ทำให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นผิดปกติ จนแม้แต่ในทางการแพทย์ยังต้องจับตามองเป็นกรณีศึกษา และพูดคุยกันว่าคนปกติอะไร จะดื้อได้

ถึงขนาดนี้ และมีโลกในความคิดเฉพาะตัวพิเศษเช่นนี้แต่สุดท้ายเมื่อแรงกดดันมีเข้ามามากๆ จากทุกๆ ด้าน ทำให้นายอภิสิทธิ์เองก็ตกอยู่ในภาวะที่รู้ตัวว่า การขึงพืดไม่เจรจาหาทางออก หรือการคิดแต่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งแม้จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้หรูดูดีว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ก็ตามแต่พฤติกรรมก็คือการใช้กำลังเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม ซึ่งจะต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าหากกระทำก็ย่อมต้องถูกประณามจากสังคมทั่วโลกแน่ๆจึงนำมา

สู่การตัดสินให้นายอภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าขอเสนอ 5 กรอบทุกฝ่ายปรองดอง ร่วมแก้ทั้งระบบ ช่วยกันดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ดึงสู่การเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ สร้างเป็นธรรมทุกเรื่อง มีกลไกอิสระคุมการนำเสนอข่าวสาร ตั้ง กก.อิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ไม่สงบทุกกรณี ประกาศแผนแก้ปัญหาการเมือง และจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53ถือเป็นการเดินเกมการเมืองที่ฉลาดมากๆ ของรัฐบาล โดย

เฉพาะการที่นายอภิสิทธิ์ ใช้สไตล์ถนัด ระบุว่า แน่นอนว่าข้อเสนออาจไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกคน แต่มีคำตอบไม่มากก็น้อย และเป็นจุดที่คิดว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง “กลุ่มเสื้อแดงที่มาแสดงออก สิ่งที่เสนอไม่อาจตอบสนองยุบทันที 15 วัน หรือ 30 วัน ได้กระบวนการปรองดองจะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”ซึ่งตามข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่ให้เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. คาดว่ารัฐบาลต้องประกาศยุบสภาประมาณปลาย

เดือนกันยายนหรือไม่เกิน 1 ตุลาคม 2553 หรืออีกประมาณ 5 เดือนเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 กำหนดว่าถ้ามีการยุบสภาต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แน่นอนว่าโดยหลักการ ดูเหมือนทุกภาคส่วนในสังคมจะเห็นว่านี่เป็นการเปิดประตูการเจรจาอีกรอบ หลังจากที่รัฐบาลมัวแต่ไปมุ่งมั่นกับการใช้การสลายการชุมนุมเป็นหลักอย่างไรก็ตาม สังคมทุกภาคส่วนยังจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์

การเมือง และประเมินข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ให้ละเอียดก่อนว่าจะมีรูปธรรมอย่างไรซึ่งท่าทีของ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงเอง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เสนอการสร้างกระบวนการปรองดอง 5 ข้อ และจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น หลังเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า นปช.จะยังไม่แสดงท่าทีปฏิเสธหรือตอบรับอะไรในช่วงนี้ แต่มองว่า เป็นข้อเสนอที่ดีกว่าการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชน ซึ่งแกนนำ นปช.จะ

นำเรื่องนี้หารืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งผลให้นายอภิสิทธิ์รับทราบนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เหตุผลที่นายกฯ เสนอโรดแมปดังกล่าว เป็นเพราะไม่สามารถที่จะบังคับใช้กลไกของรัฐ โดยเฉพาะการสั่งการทหารได้ จึงต้องตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันหาทางออก ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความรุนแรงหรือมีคนตายอีกแล้ว นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสือแดงในระดับหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสามารถร่น

ระยะเวลาการยุบสภากว่าเดิม ส่วนเบื้องหลังการที่นายกฯ ออกมาแถลงครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำ นปช.กับรัฐบาลมีการหารือกันตลอดเวลา ซึ่งนปช.ก็รู้อยู่แล้วว่า ผลต้องออกมาแบบนี้ ทำให้ที่ผ่านมานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะไม่กังวลว่ารัฐบาลจะสลายการชุมนุมอย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า แม้คนเสื้อแดงพร้อมที่จะพิจารณาข้อเสนอต่างๆ ของรัฐบาลตลอดเวลา แต่การที่รัฐบาลจะเสนออะไรนั้นควรเสนอในบรรยากาศของความสงบและสันติกว่านี้ ไม่ใช่ว่าในทาง

หนึ่งเสนอเงื่อนไขให้พิจารณา แต่อีกด้านหนึ่งกำลังขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็คงต้องรอดูความจริงใจและความชัดเจนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เพราะแน่นอนว่าการแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์นั้น รัฐบาลดีดลูกคิดมาก่อนแล้วว่า มีแต่ได้กับได้เนื่องจากว่า ระยะเวลาแม้จะสั้นลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณ และเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชาการในเดือนกันยายนได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังได้ภาพจาก

สังคมส่วนใหญ่ว่า รัฐบาลอ่อนข้อแล้วหากคนเสื้อแดงไม่ยอมก็จะเป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบทันทีทั้งๆ ที่ข้อเสนอนี้ จริงๆ แล้วต้องถือว่าเป็นเพียงข้อเสนอในกรอบใหญ่ แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังต้องดูให้ลึกว่า จะยังคงมีการใช้ข้ออ้างอำนาจกฎหมายกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ต่อไปหรือไม่แค่รัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการเจรจา ด้วยการยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ยกเลิกการใช้สื่อของรัฐบาล โดยเฉพาะช่อง NBT ที่ เสนอข่าวข้างเดียว และยุติการยั่วยุด้วยต่างๆ นาๆ ทั้ง

รายการสัมภาษณ์สดคนที่เข้าข้างรัฐบาล และการหยุดตัววิ่งที่สร้างความแตกแยกในสังคมหากรัฐบาลยอมยุติพฤติกรรมเหล่านี้ ก็เชื่อว่าการเจรจาน่าที่จะราบรื่นได้ไม่ยากนอกจากการเจรจาจะเป็นหนทางยุติปัญหาวิกฤติ ซึ่งบางกอก ทูเดย์ ยืนยันมาโดยตลอดแล้ว ความจริงใจในการเจรจา และไม่จ้องที่จะหาทางเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันอย่างแท้จริง สักครั้งได้หรือไม่??
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.........................................................