นิธินันท์ ยอแสงรัตน์
เรื่องความไม่ชอบธรรมชนิดไม่มีข้อแก้ตัวของฝ่ายแดงที่ไปบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 นั้น เมื่อทบทวนดู พบข้อน่าสังเกตบางประการจึงขอบันทึกไว้ดังนี้
1. ฝ่ายแดงสะดุดหัวแม่เท้าตัวเองจริงๆ เรื่องไปบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากเสียหายเรื่องตั้งด่านตรวจรถ กั้นทางขึ้นลงรถไฟฟ้า แล้วตีตื้นขึ้นมาได้จากแผนล้มเจ้าฉบับขายหัวเราะของ ศอฉ. ซึ่งถ้ามีคนเชื่อว่าจริง คนไทยก็ควรเลิกคิดเรื่องพัฒนาชาติไทย นอนรอวันตายไปเรื่อยๆ สบายดีและถูกอัธยาศัยดีแล้ว
เข้าใจได้ถึงความกดดันของฝ่ายแดงว่าจะถูกทำร้าย ถูกล้อมปราบ แต่การบุกไปโรงพยาบาลแบบซุ่มซ่ามบุ่มบ่ามเพราะความ "กลัว" ของตน โดยไม่ได้นึกถึงความ "กลัว" ของคนอื่นๆ ที่เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าฝ่ายวางแผนและคุมกำลังละเอียดอ่อนไม่พอ ไม่ฉลาดเท่าฝ่ายรัฐ แม้จะบอกว่าสู้จนเหนื่อยคิดไม่ทัน ก็แปลว่าอ่อนด้อยกว่าเขา กล่าวคือแพ้ทางการเมือง
จิตใจสู้และอดทนของประชาชนที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียนอกจากชีวิตนั้นไม่แพ้ แต่ทางการเมืองแพ้ หรือพูดอีกอย่างว่า ณ เวลานี้อยู่ในสถานะเพลี่ยงพล้ำ ทั้งแกนนำ การ์ดและผู้ชุมนุม โดยนอกจากเพลี่ยงพล้ำทางกระบวนท่า ยังเพลี่ยงพล้ำทางเล่ห์เหลี่ยม อาจเพราะไม่เชี่ยวชาญเรื่องเล่ห์เหลี่ยม การสร้างภาพ ตลอดจนการพูดจาให้ดูดีมีชาติตระกูล ซึ่งสองอย่างหลังนั้น เป็นความเชี่ยวชาญพิเศษของบรรดาคนชั้นกลางถึงชั้นสูงที่ดูดีมีชาติตระกูล ไม่ใช่ชาวบ้านสามัญ
2. น่าสนใจมากว่า "สื่อ" รายงานเรื่องแดง "บุก" โรงพยาบาลอย่างครึกโครม จนมีคนเชื่อโดยไม่ได้อ่านและไม่ได้ฟังละเอียดคิดว่าพวกแดงพร้อมอาวุธครบมือบุกยึดโรงพยาบาล เข้าไปอาละวาดทำร้ายคนไข้ แพทย์ พยาบาล จนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องขนคนไข้หนีม็อบกันโกลาหล เด็กอ่อนต้องย้ายตึก ผู้ป่วยหนักต้องย้ายตึก ฯลฯ
แน่นอนว่า การกรูเกรียวเข้าไปในโรงพยาบาลของการ์ดและคนเสื้อแดง (ตามข่าว) เป็นเรื่องทำร้ายความรู้สึกมากๆ สำหรับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นความไม่ชอบธรรมที่แดงไปบุกโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้นก็ย่อมไม่ชอบธรรมในเบื้องปลาย แต่น่าสนใจว่า ความจริงคือแดงทำอะไรบ้าง ขนาดไหน รุนแรงทางกายภาพเพียงใด ข่มขู่ใครบ้าง อย่างไร นอกเหนือจากที่เป็นความรุนแรงต่อจิตใจ ซึ่งประเมินได้ยาก เพราะแต่ละคนต่างมี "ความรู้สึก" ของตน
มองอย่างเป็นธรรม ถ้าคนกรุงเทพฯ รู้สึกว่าถูกคนเสื้อแดงทำร้ายจิตใจสาหัส คนเสื้อแดงก็บอกได้เช่นกันว่าพวกเขาถูกคนกรุงเทพฯ และคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยทำร้ายจิตใจสาหัสด้วยถ้อยคำดูหมิ่น เหยียดหยาม ด่าว่าพวกเขาตลอดมา เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็ถูกกล่่าวหาก่อนแล้วว่าถ่อย โง่เป็นควายแดง พวกหางแดง ฯลฯ เป็นต้น เมื่อพวกเขาถูกล้อมปราบจนตายก็ไม่มีใคร โดยเฉพาะ "สื่อ" เดือดร้อน
บันทึกในบล็อกของหมอจุฬาฯ และรูปภาพที่หมอจุฬาฯ ถ่ายออกมาเผยแพร่ทางโลกออนไลน์ ฝ่ายเกลียดแดงอ่านแล้วพอใจ ฝ่ายไม่เกลียดแดงอ่านแล้วเห็นว่า มีอคติอย่างแรง
ในบันทึกก่อนวันที่ 29 เมษายน หมอจุฬาฯ ท่านหนึ่งเขียนว่า "พวกมัน" มาเดินเข้าเดินออกเข้าห้องน้ำเหมือน เป็นบ้านของมัน วันที่พวกมันบุกเข้ามาก็น่ากลัวมาก ก็ดูหน้าตาสารรูปของพวกมันแต่ละคนสิ.......
บ่อยครั้ง ความหวาดกลัวในความ "เป็นอื่น" ของ "คนอื่น" ก็เกินจริง และคนชั้นกลางมีความสามารถสูงในการ "รู้สึก" อย่าง "ดราม่า"
น้องรู้จักกันคนหนึ่ง เป็น typical ของสาวสวยชนชั้นกลางนิสัยดีมี "ธรรมะ" และมี "ฟอร์เวิร์ดเมล" น่ารักๆ ของคนน่ารักๆ นิสัยดี ไม่ชอบคนก้าวร้าวรุนแรง....บอกว่าตกใจร้องไห้ตัวสั่นทุกครั้งเมื่อนึกถึงเสื้อแดง เพราะกิริยาท่าทางแย่มาก เดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะทำงานที่นั่น ก็ต้องเจอพวกเสื้อแดงตัวดำๆ สกปรก หน้าตาเหี้ยมโหด น่ากลัวเหลือเกิน พวกนี้ข่มขู่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย คือมาปิดกั้นถนน ถือท่อเหล็กแกว่งไกวไปมา หน้าตาไม่เป็นมิตร เดินเข้าเดินออกในโรงพยาบาลที่ควรจะเป็นที่ของผู้ป่วยและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย
เรื่องอย่างนี้มีทั้งความจริง และความ "รู้สึกเกินจริง" แบบ "ดราม่า"
น่าสนใจว่าหนังสือพิมพ์ใหญ่บางฉบับไม่พาดหัวเรื่องแดงบุกโรงพยาบาลเลยสองวันซ้อน แปลว่าอะไร? ไม่อยากเป็นเครื่องมือของใครเพราะเกรงว่าเรื่องนี้อาจมีการใช้ผู้ป่วยเป็นเครื่องมือทางการเมือง (ของทั้งสองฝ่าย) หรือไม่?
ตรงนี้มีข้อมูลหลายประเด็นที่ควรพิจารณา เช่น
2.1 อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ตัดสินใจย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่น เสื้อแดงแสดงท่าทีว่าจะบุกเข้าไปทำร้ายผู้ป่วยหรือไม่ ฯลฯ เป็นต้น ถ้าเหตุผลว่า การบุกเข้าไปวันนั้นพอเพียงแล้วที่จะให้ตัดสินใจ แม้เป็นเหตุผลพึงรับฟัง ก็น่าคิดว่า ทัศนคติของผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ต่อเสื้อแดงเป็นอย่างไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เสื้อแดงน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่
ข่าวล่าสุดที่สื่ออ้างว่ามาจาก โรงพยาบาลบอกว่า เสื้อแดงขู่วางระเบิดโรงพยาบาล คำถามคือมีความจริงมากน้อยแค่ไหน ใครเป็นผู้ขู่ ควรระบุตัวตนเพื่อแจ้งตำรวจให้จัดการตามกฎหมาย ดีกว่าลอยเลื่อนเป็นข่าวลือให้ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง
2.2 มีรายงานข่าวเปิดหน้านักข่าวไทยพีบีเอสว่า นักข่าวกำลังจะเข้าไปตรวจสถานที่โรงพยาบาลกับแกนนำตามที่ ผอ.โรงพยาบาลอนุญาต เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่มีทหารในโรงพยาบาล นั่นคือ ก่อนหน้า การ์ดเสื้อแดงเยอะแยะจะกรูเข้าไปจับคนงานก่อสร้างเพราะเชื่อว่าเป็นทหารมาซุ่มยิง แปลว่า ก่อนหน้าจะเกิดประเด็นแดงบุกโรงพยาบาล การเข้าไปตรวจสอบในโรงพยาบาลของแดง ยังไม่ใช่สิ่งที่ "น่ากลัว" สำหรับสื่อ ใช่หรือไม่ ?
ถ้าใช่ ก็อาจแปลว่าความน่ากลัวคือการกรูกันเข้าไปของการ์ดเสื้อแดงจำนวนมากที่วิ่งตึงๆ จะไปจับคนงานก่อสร้าง (ตามข่าว) เพราะเชื่อว่าเป็นทหาร แต่กระนั้นข่าวที่ออกมาช่วงแรก ก็ไม่ใช่เรื่อง "บุก" โรงพยาบาลแบบอันธพาล น้ำเสียงข่าวในช่วงแรกคือ แดงปล่อยไก่ เพราะคนที่จับได้ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นคนงานก่อสร้าง พูดจาไม่รู้เรื่อง
2.3 ไม่ควรตัดทิ้งข้อสงสัยว่าอาจมีทหารอยู่จริงในโรงพยาบาลจุฬาฯ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย ให้โรงพยาบาลจุฬาฯ (แม้จะฟังแปร่งๆ) เหมือนกับที่มีทหารรักษาการอยู่แทบทุกชั้นที่อาคารเนชั่นและที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนั้น ไม่แปลกที่ฝ่ายแดงจะสงสัย หลังจากมีบางกระแสข่าวว่าวิถี กระสุนซึ่งไปตกที่สีลมน่าจะมาจากโรงพยาบาล ต้องไม่ลืมว่าความตายที่สีลมไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดเลยกับเสื้อแดง
2.4 ไม่แปลกที่ฝ่ายแดงจะสงสัยโรงพยาบาลจุฬาฯและแพทย์จุฬาฯ เพราะกลุ่มแพทย์จุฬาฯ เคยออกแถลงการณ์ไม่รับตรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเชื่อว่าตำรวจทำร้ายพันธมิตรฯ แพทย์จุฬาฯ มีภาพว่าเป็นฝ่ายเสื้อเหลืองมาตั้งแต่ต้น แม้ประกาศตัวเป็นกลางในแง่วิชาชีพ ภาพรวมในแง่ปัจเจกและอารมณ์ส่วนตัวของปัจเจกคือไม่ชอบแดง
2.5 ที่น่าสนใจมากๆ คือสื่อหลายสำนัก โหมข่าวเรื่องเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลเป็นเรื่องใหญ่ ยินดีที่มีเสียงตำหนิแดง ยินดีที่คนเคยเห็นใจแดงตำหนิแดง คนทำสื่อเหล่านี้ดูจะไม่สนใจและคล้ายจะลืมเรื่องการล้อมปราบในวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยสิ้นเชิงแม้จะมีความสูญเสียอย่างมาก ไม่สนใจสืบค้นความจริงเรื่องความ ตายของคนเสื้อหลากสีที่สีลม และไม่สนใจสืบค้นความจริงเรื่อง พลทหารถูกยิงตายที่ดอนเมือง.......
ถ้าเราตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น ที่เสื้อแดงบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง เราควรถามตัวเองเช่นกันว่า เราตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นอย่างเดียวกันหรือไม่ที่ "รัฐ" เลือกปราบประชาชนคิดต่างในยามวิกาล เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทั้งฝ่ายประชาชนและทหาร
หรือในกรณีนี้ เราตัวสั่นเฉพาะเมื่อทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บ
ถ้าเช่นนั้น เรามองประชาชนเสื้อแดงว่าพวกเขาเป็นใครหรือ มิใช่เพื่อนร่วมชาติของเราผู้กำลังพยายามส่งเสียงบอกเราว่า เขามีความทุกข์หรืือ และถ้าเรามีความทุกข์เพราะการกระทำของเขา ที่พยายามบอกเราว่าเขามีความทุกข์ เราก็ควรจะหันหน้าคุยกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผ่อนคลาย ความทุกข์ของกันและกันมิใช่หรือ
หรือเราควรตั้งตัวเป็นตุลาการศาลเตี้ย สั่งฆ่า สั่งเสียบประจานพวกเขาซึ่งเราขอเรียกว่าพวกมัน เพราะเรา "เชื่อ" ว่าพวกมันแสนเลวบัดซบ....อย่างนั้นหรือ?
บางทีเราอาจไม่ต้องฝึกฝนนิสัยตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นก็ได้ เพราะความโกรธแค้นไม่ได้ช่วยให้เรามีสติ แต่เราควรฝึกคิดทบทวนว่า ความจริงคืออะไรกันแน่
3. ขอบันทึกเรื่องขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ไว้เล็กน้อยว่า ขณะนี้ทำกันเป็นล่ำเป็นสันและน่ากลัวมากเพราะ "อารมณ์เกลียดชัง" ที่ยิ่งนับวันยิ่งเติบโต
ที่มา.ประชาไท
---------------------------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ข้อสังเกตบางประการ (กรณีเสื้อแดงบุก รพ.จุฬาฯ)
โลกขยับ : ICG แพร่บทวิเคราะห์ วอนไทยต้องให้โลกช่วย แนะดึงกลุ่ม 'The Elders' ตัวกลาง
อินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป : เตือนความเสี่ยงความขัดแย้งในไทย ควรพิจารณาความช่วยเหลือจากเพื่อนนานาชาติ ซึ่งแม้แต่ประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าก็เคยตอบรับความช่วยเหลือเช่นนี้
*******************
กรุงเทพฯ/บรัสเซลส์, 30 เมษายน 2553: ระบบการเมืองของไทยกำลังชะงักงันและดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่สามารถฉุดรังสถานการณ์ซึ่งกำลังขยายไปสู่ความขัดแย้งที่กว้างขวางมากขึ้น การเผชิญหน้ากันบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงรุนแรงมากขึ้นและอาจจะนำไปสู่สภาวะสงครามกลางเมือง ความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในประเทศอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากบุคคลที่เป็นกลางจากภายนอก ประเทศไทยควรจะพิจารณาความช่วยเหลือจากเพื่อนนานาชาติเพื่อป้องกันมิให้ความรุนแรงขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น ซึ่งแม้แต่ประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าก็เคยตอบรับความช่วยเหลือเช่นนี้
สถานการณ์ในพื้นที่
นับถึงขณะนี้ มีผู้ที่เสียชีวิตจากการปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” อย่างน้อย 26 คน ตัวเลขนี้อาจจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหากกองทัพดำเนินการสลายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอย่างที่ใจกลางกรุงเทพฯ กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาในทันทีและจัดการเลือกตั้ง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องและมอบให้ทหารเข้าจัดการกับการชุมนุม
กรุงเทพฯ อยู่ในสภาวะตึงเครียด กลุ่มคนเสื้อแดงได้ทำให้กิจกรรมในย่านศูนย์กลางธุรกิจของเมืองหลวงที่เคยคึกคักต้องหยุดมาหลายสัปดาห์แล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นต้องย้ายออกเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงต่อการตกอยู่ท่ามกลางการปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาเพียงไม่กี่เมตร มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หลายสิบครั้งโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย และหลายคนก็รอคอยให้ทหารดำเนินการเคลื่อนย้ายคนเสื้อแดงออกจากถนน
ความพยายามในการเจรจาที่ดำเนินการภายในประเทศล้มเหลว กลุ่มภาคประชาสังคมได้พยายามประสานการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงแต่ว่าไม่สามารถตกลงกันเรื่องกรอบเวลาในการยุบสภาได้ กลุ่มคนเสื้อแดงได้เสนอ 30 วัน แต่ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยื่นข้อเสนอเก้าเดือน รอยแยกระหว่างกลุ่มชนชั้นนำอันประกอบไปด้วยผู้นำอาวุโสที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ นายทหารที่มีอำนาจและกลุ่มผู้สนับสนุนชนชั้นกลาง กับกลุ่มผู้ประท้วงซึ่งหลายคนในนั้นเป็นผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้ห่างออกจากกันมากขึ้น
ในขณะที่บางคนกล่าวโทษนายทักษิณว่าอยู่เบื้องหลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ การประท้วงได้ก้าวไปไกลกว่าการควบคุมของเขา คนไทยจำนวนมากเกิดความรู้สึกผิดหวังกับกลุ่มชนชั้นนำเพราะพวกเขาถูกกีดกันจากประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจในหลายทศวรรษที่ผ่านมาและไม่พอใจกับการโค่นล้มรัฐบาลที่คนจนในชนบทเลือกมา อาจเป็นความจริงที่คนไทยหลายคนยากที่จะยอมรับว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีความรุนแรงซึ่งมีประวัติศาสตร์ของต่อสู้กับระหว่างขบวนการกบฎกับรัฐบาลซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงการปกครองระบอบเผด็จการ ถ้าหากรัฐบาลเข้าสลายการชุมนุม มีความเป็นไปได้ว่าความรุนแรงในกรุงเทพฯ จะขยายตัวออกไป
วิกฤตการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยอาจต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหกทศวรรษ พระมหากษัตริย์อาจจะไม่อยู่ในสถานะที่จะเข้าช่วยจัดการแก้ไขความขัดแย้งได้ หรือถึงแม้พระองค์มีพระราชประสงค์ วิกฤตในครั้งนี้ก็มีความซับซ้อนกว่าในครั้งก่อนๆ ที่พระองค์ทรงเข้าแก้ไข และหากไม่สำเร็จ ก็อาจจะมีผลต่อสถานภาพและบารมีของสถาบันกษัตริย์
รัฐบาลควรตระหนักว่าการปราบปรามอย่างรุนแรงจะเป็นสิ่งที่ทำลายพวกเขาเองและอาจทำให้ความขัดแย้งขยายตัวมากขึ้น แกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ต้องยอมรับว่า การท้าทายยั่วยุและการใช้ความรุนแรง มีแต่จะทำลายการเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขาและความชอบธรรมของขบวนการต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ควรมีการดำเนินการอะไร
สิ่งที่ควรจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ:
การจัดตั้งกลุ่มประสานงานระดับสูงที่นำโดยผู้นำที่ได้รับความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ (a high-level facilitation group of international figures) นายโจเซ รามอส ฮอร์ตา ประธานาธิบดีติมอร์ ตะวันออก ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพได้เดินทางมาที่กรุงเทพฯ ด้วยความริเริ่มของท่านเอง ซึ่งท่านอาจจะได้ร่วมกับบุคคลอื่นๆ โดยอาจพิจารณาคัดเลือกจากผู้นำในกลุ่ม The Elders* หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีประสบการณ์และความคุ้นเคยเกี่ยวกับประเทศไทย
กลุ่มดังกล่าวนี้ ซึ่งควรจะทำงานร่วมกับผู้นำของไทยที่ได้รับการยอมรับ ควรผลักดันให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงดำเนินการเพื่อหยุดความรุนแรง เช่น รัฐบาลควรจะหยุดปฏิบัติการทางการทหาร และกลุ่มคนเสื้อแดงก็ควรจะจำกัดพื้นที่การชุมนุมให้เล็กลงเพื่อคงไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์การต่อสู้แต่ไม่ขัดขวางการดำเนินชีวิตของประชาชนในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ควรจะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (a national unity committee) โดยคัดเลือกจากบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ
คณะกรรมการชุดนี้ควรดำเนินการเพื่อริเริ่มการเจรจา โดยมีกลุ่มผู้นำในระดับนานาชาติให้การช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อแสวงหาข้อตกลงในการตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (an interim government of national unity) เพื่อเตรียมการไปสู่การเลือกตั้ง กระบวนการการนี้อาจมีการถกเถียงขัดแย้งกัน และไม่ควรจะรีบเร่งจัดการเลือกตั้งอย่างที่เรียกร้อง นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชั่วคราวนี้จะต้องคัดเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ว่ารัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ควรจะมาจากบุคคลที่ได้รับการเคารพเชื่อถือและเป็นกลางซึ่งมาจากกลุ่มคนหลากหลายสาขา
คณะกรรมการนี้ควรจะดำเนินการจัดตั้งกรรมการอิสระเพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์การปะทะเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับรัฐบาลบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมในครั้งนี้
เมื่อสามารถควบคุมวิกฤตได้แล้วและหลักแห่งกฎหมายได้กลับคืนมาสู่สังคมไทย การเจรจาในทางการเมืองจะได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร และอาจจะต้องการกระบวนการสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงการระบุถึงความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายในเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น เราจำเป็นจะต้องนำการเมืองกลับไปสู่เวทีรัฐสภา ชิวิตทางการเมืองของคนไทยจะต้องเริ่มต้นอีกครั้งด้วยการเลือกตั้งครั้งใหม่ และอาจจะหมายรวมถึงการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ฉบับที่ร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของทหาร
ที่มา.ประชาไท
****************************************************************
*******************
กรุงเทพฯ/บรัสเซลส์, 30 เมษายน 2553: ระบบการเมืองของไทยกำลังชะงักงันและดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่สามารถฉุดรังสถานการณ์ซึ่งกำลังขยายไปสู่ความขัดแย้งที่กว้างขวางมากขึ้น การเผชิญหน้ากันบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงรุนแรงมากขึ้นและอาจจะนำไปสู่สภาวะสงครามกลางเมือง ความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในประเทศอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากบุคคลที่เป็นกลางจากภายนอก ประเทศไทยควรจะพิจารณาความช่วยเหลือจากเพื่อนนานาชาติเพื่อป้องกันมิให้ความรุนแรงขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น ซึ่งแม้แต่ประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าก็เคยตอบรับความช่วยเหลือเช่นนี้
สถานการณ์ในพื้นที่
นับถึงขณะนี้ มีผู้ที่เสียชีวิตจากการปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” อย่างน้อย 26 คน ตัวเลขนี้อาจจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหากกองทัพดำเนินการสลายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอย่างที่ใจกลางกรุงเทพฯ กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาในทันทีและจัดการเลือกตั้ง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องและมอบให้ทหารเข้าจัดการกับการชุมนุม
กรุงเทพฯ อยู่ในสภาวะตึงเครียด กลุ่มคนเสื้อแดงได้ทำให้กิจกรรมในย่านศูนย์กลางธุรกิจของเมืองหลวงที่เคยคึกคักต้องหยุดมาหลายสัปดาห์แล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นต้องย้ายออกเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงต่อการตกอยู่ท่ามกลางการปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาเพียงไม่กี่เมตร มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หลายสิบครั้งโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย และหลายคนก็รอคอยให้ทหารดำเนินการเคลื่อนย้ายคนเสื้อแดงออกจากถนน
ความพยายามในการเจรจาที่ดำเนินการภายในประเทศล้มเหลว กลุ่มภาคประชาสังคมได้พยายามประสานการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงแต่ว่าไม่สามารถตกลงกันเรื่องกรอบเวลาในการยุบสภาได้ กลุ่มคนเสื้อแดงได้เสนอ 30 วัน แต่ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยื่นข้อเสนอเก้าเดือน รอยแยกระหว่างกลุ่มชนชั้นนำอันประกอบไปด้วยผู้นำอาวุโสที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ นายทหารที่มีอำนาจและกลุ่มผู้สนับสนุนชนชั้นกลาง กับกลุ่มผู้ประท้วงซึ่งหลายคนในนั้นเป็นผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้ห่างออกจากกันมากขึ้น
ในขณะที่บางคนกล่าวโทษนายทักษิณว่าอยู่เบื้องหลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ การประท้วงได้ก้าวไปไกลกว่าการควบคุมของเขา คนไทยจำนวนมากเกิดความรู้สึกผิดหวังกับกลุ่มชนชั้นนำเพราะพวกเขาถูกกีดกันจากประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจในหลายทศวรรษที่ผ่านมาและไม่พอใจกับการโค่นล้มรัฐบาลที่คนจนในชนบทเลือกมา อาจเป็นความจริงที่คนไทยหลายคนยากที่จะยอมรับว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีความรุนแรงซึ่งมีประวัติศาสตร์ของต่อสู้กับระหว่างขบวนการกบฎกับรัฐบาลซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงการปกครองระบอบเผด็จการ ถ้าหากรัฐบาลเข้าสลายการชุมนุม มีความเป็นไปได้ว่าความรุนแรงในกรุงเทพฯ จะขยายตัวออกไป
วิกฤตการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยอาจต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหกทศวรรษ พระมหากษัตริย์อาจจะไม่อยู่ในสถานะที่จะเข้าช่วยจัดการแก้ไขความขัดแย้งได้ หรือถึงแม้พระองค์มีพระราชประสงค์ วิกฤตในครั้งนี้ก็มีความซับซ้อนกว่าในครั้งก่อนๆ ที่พระองค์ทรงเข้าแก้ไข และหากไม่สำเร็จ ก็อาจจะมีผลต่อสถานภาพและบารมีของสถาบันกษัตริย์
รัฐบาลควรตระหนักว่าการปราบปรามอย่างรุนแรงจะเป็นสิ่งที่ทำลายพวกเขาเองและอาจทำให้ความขัดแย้งขยายตัวมากขึ้น แกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ต้องยอมรับว่า การท้าทายยั่วยุและการใช้ความรุนแรง มีแต่จะทำลายการเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขาและความชอบธรรมของขบวนการต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ควรมีการดำเนินการอะไร
สิ่งที่ควรจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ:
การจัดตั้งกลุ่มประสานงานระดับสูงที่นำโดยผู้นำที่ได้รับความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ (a high-level facilitation group of international figures) นายโจเซ รามอส ฮอร์ตา ประธานาธิบดีติมอร์ ตะวันออก ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพได้เดินทางมาที่กรุงเทพฯ ด้วยความริเริ่มของท่านเอง ซึ่งท่านอาจจะได้ร่วมกับบุคคลอื่นๆ โดยอาจพิจารณาคัดเลือกจากผู้นำในกลุ่ม The Elders* หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีประสบการณ์และความคุ้นเคยเกี่ยวกับประเทศไทย
กลุ่มดังกล่าวนี้ ซึ่งควรจะทำงานร่วมกับผู้นำของไทยที่ได้รับการยอมรับ ควรผลักดันให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงดำเนินการเพื่อหยุดความรุนแรง เช่น รัฐบาลควรจะหยุดปฏิบัติการทางการทหาร และกลุ่มคนเสื้อแดงก็ควรจะจำกัดพื้นที่การชุมนุมให้เล็กลงเพื่อคงไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์การต่อสู้แต่ไม่ขัดขวางการดำเนินชีวิตของประชาชนในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ควรจะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (a national unity committee) โดยคัดเลือกจากบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ
คณะกรรมการชุดนี้ควรดำเนินการเพื่อริเริ่มการเจรจา โดยมีกลุ่มผู้นำในระดับนานาชาติให้การช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อแสวงหาข้อตกลงในการตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (an interim government of national unity) เพื่อเตรียมการไปสู่การเลือกตั้ง กระบวนการการนี้อาจมีการถกเถียงขัดแย้งกัน และไม่ควรจะรีบเร่งจัดการเลือกตั้งอย่างที่เรียกร้อง นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชั่วคราวนี้จะต้องคัดเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ว่ารัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ควรจะมาจากบุคคลที่ได้รับการเคารพเชื่อถือและเป็นกลางซึ่งมาจากกลุ่มคนหลากหลายสาขา
คณะกรรมการนี้ควรจะดำเนินการจัดตั้งกรรมการอิสระเพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์การปะทะเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับรัฐบาลบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมในครั้งนี้
เมื่อสามารถควบคุมวิกฤตได้แล้วและหลักแห่งกฎหมายได้กลับคืนมาสู่สังคมไทย การเจรจาในทางการเมืองจะได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร และอาจจะต้องการกระบวนการสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงการระบุถึงความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายในเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น เราจำเป็นจะต้องนำการเมืองกลับไปสู่เวทีรัฐสภา ชิวิตทางการเมืองของคนไทยจะต้องเริ่มต้นอีกครั้งด้วยการเลือกตั้งครั้งใหม่ และอาจจะหมายรวมถึงการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ฉบับที่ร่างขึ้นภายใต้อิทธิพลของทหาร
ที่มา.ประชาไท
****************************************************************
ศอฉ. เรียก เลขาฯ สนนท. รายงานตัว 10 โมงเช้า วันนี้ (2 พ.ค.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และเพื่อนนักศึกษา ได้รับหมายเรียกจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้ไปรายงานตัวที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ราบ 11) ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม เวลา 10.00 น.
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นเว็บเครือข่ายทางสังคม ได้มีการเชิญชวนให้เดินทางไปให้กำลังใจเพื่อนนักศึกษา ตามเวลาและสถานที่ข้างต้น รวมถึงมีการขอให้ช่วยกระจายข่าวหมายเรียกครั้งนี้ในวงกว้างด้วย เนื่องจากเกรงว่าอาจสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม หากสังคมมิได้จับตามอง เพราะตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ให้อำนาจเต็มที่แก่เจ้าหน้าที่ทหาร
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นเว็บเครือข่ายทางสังคม ได้มีการเชิญชวนให้เดินทางไปให้กำลังใจเพื่อนนักศึกษา ตามเวลาและสถานที่ข้างต้น รวมถึงมีการขอให้ช่วยกระจายข่าวหมายเรียกครั้งนี้ในวงกว้างด้วย เนื่องจากเกรงว่าอาจสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม หากสังคมมิได้จับตามอง เพราะตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ให้อำนาจเต็มที่แก่เจ้าหน้าที่ทหาร
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
"สงวน พงษ์มณี": ความขัดแย้งครั้งนี้อาจถึงขั้น "แยกแผ่นดิน"
รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค พท. แสดงความวิตกกังวลกรณีหากรัฐบาลใช้ความรุนแรงต่อการชุมนุมซึ่งจะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้และส่งผลให้กระบวนการต่อสู้ลงไปอยู่ใต้ดินว่า เชื่อว่าอีกไม่นาน หากรัฐบาลยังใช้ความรุนแรงเช่นนี้อยู่ โดยเฉพาะการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในส่วนของภาคประชาชนการต่อสู้ใต้ดินก็จะต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน เพราะมีสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลไม่เข้าใจว่าความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความเป็นมนุษย์ จนทำให้คนที่ก่ออาชญากรรมไม่ใช่อาชญากรถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
"สิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยจะมากกว่าเรื่องการลงใต้ดิน เนื่องจากวันนี้สถานการณ์ไปไกลมากจึงมีความเป็นไปได้ว่าจากสงครามกลางเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะกลายเป็นสงครามแยกแผ่นดิน เพราะในเมื่อรัฐบาลบอกว่าคนอีสานกับคนภาคเหนือควรอยู่ใต้กฎหมาย แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้รับการยอมรับและไม่มีความชอบธรรมแล้ว ดังนั้น คนกลุ่มนี้เขาก็คงไม่ยอมรับในสิ่งที่รัฐบาลบอก ถ้าไม่มีการแก้ปัญหาโดยวิธีที่สากลยอมรับ มีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หรือการฆ่าแกนนำ สงครามแยกแผ่นดินจะเกิดขึ้นทันที และครั้งนี้จะเป็นจุดจบจริงๆ เพราะจะไม่มีประเทศอีก" นายสงวนกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------
"สิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยจะมากกว่าเรื่องการลงใต้ดิน เนื่องจากวันนี้สถานการณ์ไปไกลมากจึงมีความเป็นไปได้ว่าจากสงครามกลางเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะกลายเป็นสงครามแยกแผ่นดิน เพราะในเมื่อรัฐบาลบอกว่าคนอีสานกับคนภาคเหนือควรอยู่ใต้กฎหมาย แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้รับการยอมรับและไม่มีความชอบธรรมแล้ว ดังนั้น คนกลุ่มนี้เขาก็คงไม่ยอมรับในสิ่งที่รัฐบาลบอก ถ้าไม่มีการแก้ปัญหาโดยวิธีที่สากลยอมรับ มีการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หรือการฆ่าแกนนำ สงครามแยกแผ่นดินจะเกิดขึ้นทันที และครั้งนี้จะเป็นจุดจบจริงๆ เพราะจะไม่มีประเทศอีก" นายสงวนกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------
สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย แจงข้อเท็จจริงกรณีผู้นำแรงงานเชียร์มาร์ค
สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย ส่งจดหมายถึงสื่อมวลชนชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่มีข่าวว่าแกนนำองค์กรลูกจ้างแห่งประเทศไทยให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม และทำผิดวัตถุประสงค์ที่ให้ไปยื่นข้อเรียกร้องไม่ใช่ไปให้กำลังใจ พร้อมประกาศไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการ-มือเปื้อนเลือดและต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธ๊
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ชี้แจงข้อเท็จจริง
เรื่อง ผู้นำแรงงานเชียร์มาร์ค
คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติปี 2553 ประกอบด้วย 12 สภาองค์การลูกจ้าง สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ รวมทั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานฯ ได้มีมติให้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และให้นายกรัฐมนตรีได้มาให้คำตอบกับผู้ใช้แรงงานในวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ว่าข้อเรียกร้องใดบ้างที่รัฐบาลสามารถตอบสนองให้กับผู้ใช้แรงงานได้
ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้คือ นายทวี เตชะธีราวัฒน์ ส่วนเลขาธิการจัดงานฯ คือ นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานจัดงานฯ ได้กล่าวในที่ประชุมว่าพยายามติดต่อประสานงานเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรีให้ได้ หากติดต่อได้แล้วจะแจ้งมายังสภาองค์การลูกจ้างทุกแห่งเพื่อเข้าพบ
ผลปรากฏว่าเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 14.30 น. ประธานจัดงานฯ ได้แจ้งทางโทรศัพท์มายังสภาองค์การลูกจ้างทุกแห่งว่าให้แต่ละสภาฯ ส่งกรรมการสภาฯ ละ 2 คนเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี ณ รัฐสภาในช่วงเวลา 16.00 น. แต่เนื่องจากประธานจัดงานฯ ได้แจ้งในเวลากระชั้นชิด สภาองค์การลูกจ้าง สภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยจึงไม่ได้ส่งกรมการเข้าร่วม เพราะไม่มีกรรมการคนใดจัดสรรเวลาเพื่อที่จะเข้าร่วมได้ทัน
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2553 สภาองค์การลูกจ้าง สภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยได้ทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถึงกรณีที่ประธานจัดงานฯ นายทวี เตชะธีราวัฒน์ และเลขาธิการจัดงานฯ นายชินโชติ แสงสังข์ ได้ออกข่าวว่า 14 องค์กรลูกจ้างให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ห้ามยุบสภาและย้ำต้องฟังเสียงส่วนใหญ่
สภาองค์การลูกจ้างศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทย ไม่เห็นด้วยกับองค์กรที่เข้าไปพบกับนายกรัฐมนตรี และให้ข่าวที่ผิดวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปี 2553 นี้ ทำผิดมติคณะกรรมการจัดงานฯ ทั้ง 14 องค์กร ที่ต้องการให้ไปยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ไปให้กำลังใจหรือห้ามยุบสภา
สภาองค์การลูกจ้างศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยขอประกาศจุดยืนต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั้งประเทศว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของประธานและเลขาธิการจัดงานฯ ในครั้งนี้ เพราะสภาองค์การลูกจ้างสภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกเราทำเพื่อพี่น้อง ผู้ใช้แรงงาน เรารักประชาธิปไตย พวกเราต่อต้านเผด็จการมาโดยตลอด เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมือเปื้อนเลือด เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการ เราต่อต้านการใช้ความรุนแรง และเราต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
จึงชี้แจงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
1 พฤษภาคม 2553
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ชี้แจงข้อเท็จจริง
เรื่อง ผู้นำแรงงานเชียร์มาร์ค
คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติปี 2553 ประกอบด้วย 12 สภาองค์การลูกจ้าง สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ รวมทั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานฯ ได้มีมติให้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และให้นายกรัฐมนตรีได้มาให้คำตอบกับผู้ใช้แรงงานในวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ว่าข้อเรียกร้องใดบ้างที่รัฐบาลสามารถตอบสนองให้กับผู้ใช้แรงงานได้
ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้คือ นายทวี เตชะธีราวัฒน์ ส่วนเลขาธิการจัดงานฯ คือ นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานจัดงานฯ ได้กล่าวในที่ประชุมว่าพยายามติดต่อประสานงานเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรีให้ได้ หากติดต่อได้แล้วจะแจ้งมายังสภาองค์การลูกจ้างทุกแห่งเพื่อเข้าพบ
ผลปรากฏว่าเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 14.30 น. ประธานจัดงานฯ ได้แจ้งทางโทรศัพท์มายังสภาองค์การลูกจ้างทุกแห่งว่าให้แต่ละสภาฯ ส่งกรรมการสภาฯ ละ 2 คนเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี ณ รัฐสภาในช่วงเวลา 16.00 น. แต่เนื่องจากประธานจัดงานฯ ได้แจ้งในเวลากระชั้นชิด สภาองค์การลูกจ้าง สภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยจึงไม่ได้ส่งกรมการเข้าร่วม เพราะไม่มีกรรมการคนใดจัดสรรเวลาเพื่อที่จะเข้าร่วมได้ทัน
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2553 สภาองค์การลูกจ้าง สภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยได้ทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถึงกรณีที่ประธานจัดงานฯ นายทวี เตชะธีราวัฒน์ และเลขาธิการจัดงานฯ นายชินโชติ แสงสังข์ ได้ออกข่าวว่า 14 องค์กรลูกจ้างให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ห้ามยุบสภาและย้ำต้องฟังเสียงส่วนใหญ่
สภาองค์การลูกจ้างศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทย ไม่เห็นด้วยกับองค์กรที่เข้าไปพบกับนายกรัฐมนตรี และให้ข่าวที่ผิดวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปี 2553 นี้ ทำผิดมติคณะกรรมการจัดงานฯ ทั้ง 14 องค์กร ที่ต้องการให้ไปยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ไปให้กำลังใจหรือห้ามยุบสภา
สภาองค์การลูกจ้างศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยขอประกาศจุดยืนต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั้งประเทศว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของประธานและเลขาธิการจัดงานฯ ในครั้งนี้ เพราะสภาองค์การลูกจ้างสภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกเราทำเพื่อพี่น้อง ผู้ใช้แรงงาน เรารักประชาธิปไตย พวกเราต่อต้านเผด็จการมาโดยตลอด เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมือเปื้อนเลือด เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการ เราต่อต้านการใช้ความรุนแรง และเราต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
จึงชี้แจงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
1 พฤษภาคม 2553
‘พท.’ตั้งกระทู้ถาม -นายกฯไม่ตอบ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณากระทู้ ถามทั่วไป และเตรียมพิจารณากระทู้ถามสด 6 เรื่อง ที่ค้างมาจากสัปดาห์ที่แล้ว 3 เรื่องเกี่ยวกับการชุมนุม และเสนอเข้ามาใหม่ 3 เรื่อง โดยนายชัยแจ้งต่อที่ประชุมว่าได้รับหนังสือจากนางอัญชลี วานิชเทพบุตร รองเลขานายกฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการนายกฯ ด่วนที่สุด นร 0404/5435 ลงวันที่ 29 เม.ย. เรื่องการตอบกระทู้ถาม ระบุว่า ขณะนี้ยังมีเหตุเกิดอย่างต่อเนื่อง จำเป็นที่นายกฯ และครม.ต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา จึงต้องแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบ และไม่ควรเปิดเผยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ครม.จึงมีมติว่าหากมีกระทู้เรื่องดังกล่าว นายกฯ และรมต.ไม่ควรตอบกระทู้นั้นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 156 บัญญัติ
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ผู้ถามกระทู้สดเรื่อง การใช้อำนาจตามประ กาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวว่า สิ่งที่ครม.ทำถือว่ากำลังปิดบท บาทฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปิดอำนาจฝ่ายตุลาการไปแล้ว เท่ากับตอนนี้ประเทศมีอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเดียวเหมือนรถไม่มีเบรก สะท้อนว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง แต่แก้ด้วยการทหาร และยังปิดการเสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริง 10 เม.ย.ของฝ่ายค้าน
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ซึ่งตั้งกระทู้ถามสดเรื่องกรณีเหตุการณ์สีลมและอนุสรณ์สถาน ลุกขึ้นตำหนิรัฐบาลว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจตรวจสอบการบริหาร ฉะนั้นไม่ควรละเมิด ต้องเคารพอำนาจซึ่งกันและกัน รัฐบาลไม่ควรทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบนี้
พท.ตั้งกระทู้ถามแทรกแซงสื่อ
นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐใช้อำนาจกดดันการเสนอข่าวสาร ตัดสัญญาณไม่ให้สถานีโทรทัศน์ วิทยุชุมชน เว็บไซต์หลายแห่งเสนอข่าวอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้สถานี โทรทัศน์ช่อง 11 เสนอข่าวด้านเดียว สะสมความรู้สึกเกลียดชังขึ้นในสังคมโดยช่วงเหตุการณ์ 10 เม.ย.ระบุว่าพิสูจน์แล้วผู้ก่อการร้ายอยู่ในม็อบเสื้อแดง ทั้งที่ความเป็นจริงเหตุ 10 เม.ย.รัฐบาลสลายการชุมนุมโดยผิดหลักสากล ใช้อาวุธสงคราม ปล่อยแก๊สน้ำตาจาก ฮ. และทำตอนกลางคืน จนประชาชนและทหารตายเจ็บจำนวนมาก
นางฐิติมากล่าวอีกว่า โฆษก ศอฉ.ออกทีวีพูลบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิต รัฐบาลจ้องทำลายเสื้อแดงจนขาดวิจารณญาณในการเสนอข้อมูล โยนความผิดให้ผู้อื่น และยังบีบช่อง 3 กรณีน.ส.ฐปนีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวที่ทวิตเตอร์เหตุการณ์ที่สีลมคืนวันที่ 22 เม.ย. ไม่ให้ออกอากาศ ทั้งที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองนักวิชาชีพไม่ว่ารัฐหรือเจ้าของกิจการ หากจงใจใช้อำนาจมิชอบอาจโดนถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270
จี้มาร์ค-เทือกรับผิดชอบ 28 เม.ย.
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 28 เม.ย. เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความรับผิดชอบของนายกฯ มีผบก. ภ.จว.กาญจนบุรีเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติ และใช้อาวุธจริง คนที่ถูกยิงมาจากอาวุธปืนลูกซอง นายกฯ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงต้องรับผิดชอบ และอยากให้นายชัยแก้ปัญหาโดยตั้งคณะกรรมการผ่านตัวแทนพรรคต่างๆ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหา นอก จากนี้อยากเรียกร้องพรรคร่วมรัฐบาลแสดง บทบาทมากกว่านี้
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเสนอรัฐบาลว่าต้องหาทางเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว และให้เลิกใส่ความผู้ชุมนุมว่าเป็นขบวนการล้มเจ้า เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก นอกจากนี้ขอเสนอแนวทางลดอุณหภูมิทางการเมือง เช่น ให้รัฐบาลกำหนดปฏิทินว่าจะยุบสภาใน 6 เดือน และจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร เชื่อว่าหาก นปช.ไม่ฟัง จะ เกิดกระแสต่อต้านเอง หรือหากรัฐบาลยังอยากอยู่ในอำนาจต่อก็ควรให้นายอภิสิทธิ์ออกจากนายกฯ และให้สภาเลือกนายกฯ ใหม่ หากนายอภิสิทธิ์ยังได้รับเสียงโหวตก็ไม่มีปัญหา ส่วนใครทำผิดต้องดำเนินการ
โดย.ข่าวเพื่อไทย
------------------------------------------------------------
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ผู้ถามกระทู้สดเรื่อง การใช้อำนาจตามประ กาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวว่า สิ่งที่ครม.ทำถือว่ากำลังปิดบท บาทฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปิดอำนาจฝ่ายตุลาการไปแล้ว เท่ากับตอนนี้ประเทศมีอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเดียวเหมือนรถไม่มีเบรก สะท้อนว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง แต่แก้ด้วยการทหาร และยังปิดการเสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริง 10 เม.ย.ของฝ่ายค้าน
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ซึ่งตั้งกระทู้ถามสดเรื่องกรณีเหตุการณ์สีลมและอนุสรณ์สถาน ลุกขึ้นตำหนิรัฐบาลว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจตรวจสอบการบริหาร ฉะนั้นไม่ควรละเมิด ต้องเคารพอำนาจซึ่งกันและกัน รัฐบาลไม่ควรทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบนี้
พท.ตั้งกระทู้ถามแทรกแซงสื่อ
นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐใช้อำนาจกดดันการเสนอข่าวสาร ตัดสัญญาณไม่ให้สถานีโทรทัศน์ วิทยุชุมชน เว็บไซต์หลายแห่งเสนอข่าวอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้สถานี โทรทัศน์ช่อง 11 เสนอข่าวด้านเดียว สะสมความรู้สึกเกลียดชังขึ้นในสังคมโดยช่วงเหตุการณ์ 10 เม.ย.ระบุว่าพิสูจน์แล้วผู้ก่อการร้ายอยู่ในม็อบเสื้อแดง ทั้งที่ความเป็นจริงเหตุ 10 เม.ย.รัฐบาลสลายการชุมนุมโดยผิดหลักสากล ใช้อาวุธสงคราม ปล่อยแก๊สน้ำตาจาก ฮ. และทำตอนกลางคืน จนประชาชนและทหารตายเจ็บจำนวนมาก
นางฐิติมากล่าวอีกว่า โฆษก ศอฉ.ออกทีวีพูลบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิต รัฐบาลจ้องทำลายเสื้อแดงจนขาดวิจารณญาณในการเสนอข้อมูล โยนความผิดให้ผู้อื่น และยังบีบช่อง 3 กรณีน.ส.ฐปนีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวที่ทวิตเตอร์เหตุการณ์ที่สีลมคืนวันที่ 22 เม.ย. ไม่ให้ออกอากาศ ทั้งที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองนักวิชาชีพไม่ว่ารัฐหรือเจ้าของกิจการ หากจงใจใช้อำนาจมิชอบอาจโดนถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270
จี้มาร์ค-เทือกรับผิดชอบ 28 เม.ย.
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 28 เม.ย. เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความรับผิดชอบของนายกฯ มีผบก. ภ.จว.กาญจนบุรีเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติ และใช้อาวุธจริง คนที่ถูกยิงมาจากอาวุธปืนลูกซอง นายกฯ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงต้องรับผิดชอบ และอยากให้นายชัยแก้ปัญหาโดยตั้งคณะกรรมการผ่านตัวแทนพรรคต่างๆ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหา นอก จากนี้อยากเรียกร้องพรรคร่วมรัฐบาลแสดง บทบาทมากกว่านี้
นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเสนอรัฐบาลว่าต้องหาทางเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็ว และให้เลิกใส่ความผู้ชุมนุมว่าเป็นขบวนการล้มเจ้า เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก นอกจากนี้ขอเสนอแนวทางลดอุณหภูมิทางการเมือง เช่น ให้รัฐบาลกำหนดปฏิทินว่าจะยุบสภาใน 6 เดือน และจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร เชื่อว่าหาก นปช.ไม่ฟัง จะ เกิดกระแสต่อต้านเอง หรือหากรัฐบาลยังอยากอยู่ในอำนาจต่อก็ควรให้นายอภิสิทธิ์ออกจากนายกฯ และให้สภาเลือกนายกฯ ใหม่ หากนายอภิสิทธิ์ยังได้รับเสียงโหวตก็ไม่มีปัญหา ส่วนใครทำผิดต้องดำเนินการ
โดย.ข่าวเพื่อไทย
------------------------------------------------------------
สังคมแห่งความกลัว
การนำเสนอแผนผังเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าของ ศอฉ. ไม่กี่วันก่อน ในทัศนะของผมเป็นการเปิดตัวอภิมหาโครงการ หรือ เมกะโปรเจค ที่โดดเด่นที่สุดของรัฐบาลอภิสิทธิ์นับแต่ก้าวขึ้นมาเป็นฝ่ายรัฐบาลภายหลังการปรับเปลี่ยนขั้วการเมืองใหม่ หากกล่าวว่ารัฐบาลทักษิณใช้นโยบายประชานิยมมอมเมาชาวบ้าน คนเล็กคนน้อย คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า รัฐบาลปัจจุบันกำลังเริ่มใช้นโยบายประชานิยมมอมเมาคนชั้นกลางให้รู้สึกตื่นเต้นตระการตาสร้างแรงสนับสนุน ส่งเสริม ความชอบธรรมของรัฐบาลในการใช้อำนาจปกครองประเทศ ปิดบังความคลุมเครือและความคลางแคลงของเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ผมคิดว่าการเปิดตัวอภิมหาโครงการดังกล่าวสามารถเรียกได้ว่า เป็น “โครงการฆ่าเพื่อชาติ” ไม่ต่างจากสงครามต่อต้านยาเสพย์ติด การฆ่าตัดตอน ในสมัยทักษิณ การปลุกกระแสหลงชาติ (Chauvinism) สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับประชาชนว่าสิ่งที่เขาหรือเธอรักกำลังตกอยู่ในอันตราย ถูกปองร้ายจากผู้ไม่หวังดี เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมการเมืองไทย เพราะ ความเป็นชาติของไทย ไม่เคยเป็นชาติของประชาชน ความเป็นชาติถูกนิยามว่าอย่างไร มีงานวิชาการจำนวนมากทั้งไทยและเทศได้อธิบายไว้มากแล้ว จึงไม่น่าจะต้องกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ แต่ความเป็นชาติก็เป็นสิ่งที่ถูกยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม ทำตามโดยไม่ต้องไตร่ตรองถึงตรรกะเหตุผล
จริงอยู่ที่สังคมการเมืองดำรงอยู่ได้ด้วยความเชื่อ (belief) ไม่ใช่ความรู้ (knowledge) แต่ความเชื่อเรื่องความเป็นชาติก็ทำให้ชีวิตจำนวนมากต้องสูญเสียไปมากต่อมาก ดังเห็นได้จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา แต่ก็อย่างที่นักคิดท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากประวัติศาสตร์” เหตุการณ์ 6 ตุลา คือ ประวัติศาสตร์ที่สังคมการเมืองไทยไม่ได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตที่สูญเสียไปในวันนั้น นั่นจึงทำให้ความเป็นชาติเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการ “ฆ่า” เพื่อ “ชาติ”
การฆ่าเพื่อชาตินี้จึงไม่ต่างอะไรจากการล่าแม่มดในยุคกลาง แม้ปัจจุบันจะอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารก็ตาม ตาวิเศษของรัฐก็ติดตามจับจ้องไปทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาบริเวณสาธารณะ หรือ อาณาบริเวณส่วนตัว อย่าง facebook การใช้การเมืองของความกลัว (politics of fear) ในการควบคุมประชาชนให้เป็นหุ่นยนต์ที่ความเป็นชาติปารถนาให้เป็น ห้ามถาม ห้ามสงสัย ทำตามได้อย่างเดียว เป็นความสำเร็จในการปลูกจิตสำนึกความเป็นชาติของรัฐไทย
แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมเมื่อไหร่จึงต้องนั่ง หรือ เมื่อไหร่ต้องเดิน ก็ไม่สามารถที่จะถามออกมาได้ เพราะถ้าถาม หรือ พูด ก็เท่ากับไม่ทำตามความเป็นชาติที่ถูกต้อง เมื่อไม่ทำตามก็เท่ากับไม่ใช่คนไทย เมื่อไม่ใช่คนไทยก็ไม่ใช่มนุษย์ เพราะ อยู่นอกบรรทัดฐาน (norm) ที่กำหนดว่าอะไรคือมนุษย์ ใครคือเพื่อนร่วมชาติที่สามารถโศกเศร้าเห็นใจ ในเมื่อไม่ได้ถูกจัดอยู่ในบรรทัดฐาน ก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับบรรทัดฐานดังกล่าว สมควรถูกกำจัดให้สิ้นซากด้วยโครงการอย่างโครงการฆ่าเพื่อชาติ
ในแง่นี้สังคมการเมืองไทยจึงสอดคล้องกับการอธิบายคุกของฟูโกต์นักคิดที่ปราดเปรื่องชาวฝรั่งเศส ในการทำให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การบงการ จากความรู้สึกถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา เหมือนถูกกล้อง CCTV ติดตามตัวอยู่ทุกขณะ
มหกรรมฆ่าเพื่อชาติของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากทำตัวไม่ต่างจากกล้อง CCTV คอยจับตาดูสิ่งมีชีวิตที่เห็นต่าง พูดต่าง คิดต่าง สังคมการเมืองไทยจึงเป็นสังคมแห่งความกลัว กลัวที่จะถูกฆ่าเพื่อชาติ บูชายันต์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นชาติ
โดย.ภูวิน บุณยะเวชชีวิน
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------------
ผมคิดว่าการเปิดตัวอภิมหาโครงการดังกล่าวสามารถเรียกได้ว่า เป็น “โครงการฆ่าเพื่อชาติ” ไม่ต่างจากสงครามต่อต้านยาเสพย์ติด การฆ่าตัดตอน ในสมัยทักษิณ การปลุกกระแสหลงชาติ (Chauvinism) สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับประชาชนว่าสิ่งที่เขาหรือเธอรักกำลังตกอยู่ในอันตราย ถูกปองร้ายจากผู้ไม่หวังดี เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมการเมืองไทย เพราะ ความเป็นชาติของไทย ไม่เคยเป็นชาติของประชาชน ความเป็นชาติถูกนิยามว่าอย่างไร มีงานวิชาการจำนวนมากทั้งไทยและเทศได้อธิบายไว้มากแล้ว จึงไม่น่าจะต้องกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ แต่ความเป็นชาติก็เป็นสิ่งที่ถูกยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม ทำตามโดยไม่ต้องไตร่ตรองถึงตรรกะเหตุผล
จริงอยู่ที่สังคมการเมืองดำรงอยู่ได้ด้วยความเชื่อ (belief) ไม่ใช่ความรู้ (knowledge) แต่ความเชื่อเรื่องความเป็นชาติก็ทำให้ชีวิตจำนวนมากต้องสูญเสียไปมากต่อมาก ดังเห็นได้จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา แต่ก็อย่างที่นักคิดท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากประวัติศาสตร์” เหตุการณ์ 6 ตุลา คือ ประวัติศาสตร์ที่สังคมการเมืองไทยไม่ได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตที่สูญเสียไปในวันนั้น นั่นจึงทำให้ความเป็นชาติเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการ “ฆ่า” เพื่อ “ชาติ”
การฆ่าเพื่อชาตินี้จึงไม่ต่างอะไรจากการล่าแม่มดในยุคกลาง แม้ปัจจุบันจะอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารก็ตาม ตาวิเศษของรัฐก็ติดตามจับจ้องไปทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาบริเวณสาธารณะ หรือ อาณาบริเวณส่วนตัว อย่าง facebook การใช้การเมืองของความกลัว (politics of fear) ในการควบคุมประชาชนให้เป็นหุ่นยนต์ที่ความเป็นชาติปารถนาให้เป็น ห้ามถาม ห้ามสงสัย ทำตามได้อย่างเดียว เป็นความสำเร็จในการปลูกจิตสำนึกความเป็นชาติของรัฐไทย
แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมเมื่อไหร่จึงต้องนั่ง หรือ เมื่อไหร่ต้องเดิน ก็ไม่สามารถที่จะถามออกมาได้ เพราะถ้าถาม หรือ พูด ก็เท่ากับไม่ทำตามความเป็นชาติที่ถูกต้อง เมื่อไม่ทำตามก็เท่ากับไม่ใช่คนไทย เมื่อไม่ใช่คนไทยก็ไม่ใช่มนุษย์ เพราะ อยู่นอกบรรทัดฐาน (norm) ที่กำหนดว่าอะไรคือมนุษย์ ใครคือเพื่อนร่วมชาติที่สามารถโศกเศร้าเห็นใจ ในเมื่อไม่ได้ถูกจัดอยู่ในบรรทัดฐาน ก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับบรรทัดฐานดังกล่าว สมควรถูกกำจัดให้สิ้นซากด้วยโครงการอย่างโครงการฆ่าเพื่อชาติ
ในแง่นี้สังคมการเมืองไทยจึงสอดคล้องกับการอธิบายคุกของฟูโกต์นักคิดที่ปราดเปรื่องชาวฝรั่งเศส ในการทำให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การบงการ จากความรู้สึกถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลา เหมือนถูกกล้อง CCTV ติดตามตัวอยู่ทุกขณะ
มหกรรมฆ่าเพื่อชาติของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากทำตัวไม่ต่างจากกล้อง CCTV คอยจับตาดูสิ่งมีชีวิตที่เห็นต่าง พูดต่าง คิดต่าง สังคมการเมืองไทยจึงเป็นสังคมแห่งความกลัว กลัวที่จะถูกฆ่าเพื่อชาติ บูชายันต์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นชาติ
โดย.ภูวิน บุณยะเวชชีวิน
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------------
การเมืองของเสื้อแดง
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ดังที่เห็นกันอยู่แล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มาก มีประโยชน์ทั้งต่อหีบบัตรเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ จึงไม่แปลกอะไรที่มีคนหลากหลายประเภท กระโดดเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในบัดนี้ ก็ยอมรับกันแล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เป็น "เนื้อเดียวกัน" กล่าวคือ ประกอบด้วยคนที่มีความฝันทางการเมือง, ความต้องการ, วัตถุประสงค์, ปูมหลัง ฯลฯ หลากหลาย การแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนอาจต้องการการวิจัย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยอมรับได้ว่าขบวนการเสื้อแดงไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน"
นอกจากไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน" แล้ว ขบวนการเสื้อแดงยังไม่ "สถิต" อีกด้วย หมายความว่ามีการเปลี่ยนแนวทาง, เป้าหมาย, ขยายตัว, หดตัว, การจัดองค์กร, การนำ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนขบวนการทางสังคมและการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาของแกนนำ
เพราะขาดข้อมูลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ผมจึงไม่ต้องการจะชี้ว่า มีใครบ้างที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ แต่ผมอยากเสนอแนะให้เห็นว่า มีใครบ้างที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ เพราะนั่นพอจะมองเห็นได้ง่ายกว่า ทั้งจากเวทีเสื้อแดง, อุบัติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น, และเวทีของฝ่ายรัฐบาล
1/ คุณทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้นหลังการรัฐประหาร ก่อนที่คุณทักษิณจะมีโทษทางอาญาติดตัว การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงย่อมเป็นฐานคะแนนเสียงที่ดีของคุณทักษิณ จนกระทั่งปฏิปักษ์ของคุณทักษิณย่อมเลือกจะประนีประนอมกับคุณทักษิณ มากกว่าหักกันจนพินาศไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากคุณทักษิณถูกพิพากษาให้จำคุกแล้ว
ขบวนการเสื้อแดงจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่คุณทักษิณได้ ขบวนการต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ พอที่จะเปิดช่องให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะจะนั่งรอให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลังการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว
ที่เหนือกว่าเงินของคุณทักษิณ คือความนิยมอย่างล้นเหลือที่คุณทักษิณได้รับจากประชาชนในชนบท และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงกลายเป็นบันไดสำหรับไต่เข้าสู่วงการเมืองที่ดี โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพรรค ทรท.ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองแล้ว จึงมีนักการเมืองหลายระดับเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่อชูคุณทักษิณสำหรับการเลือกตั้ง
แต่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดเอาผู้คนเข้ามาร่วมอีกมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่ใส่ใจว่าคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจหรือไม่ รวมแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ชื่นชอบคุณทักษิณเองด้วย และดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในที่อื่นแล้วว่า คนเหล่านี้คือคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเลิกเป็นเกษตรกรรายย่อยไปนานแล้ว ฐานการผลิตของเขาอยู่ในตลาดเต็มตัว
มีความจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะทุกระดับ แต่มาพบตัวเองอยู่ในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งก็ถูกทำให้เป็นหมันไปเสียอีก เพราะการรัฐประหารหรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร)
ผมอยากเดาว่านี่คือกลุ่มคนที่ใหญ่สุดในขบวนการเสื้อแดง ไม่ใช่ "คนจน" ดักดานที่เป็นแรงงานรับจ้างภาคการเกษตร หรือแรงงานรับจ้างรายวันที่ไม่มีงานทำตลอดปี และไม่ใช่ซาเล้งที่ซุกตัวอยู่ตามสลัมในเมืองใหญ่
และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงมีลักษณะ "ปฏิวัติ" มากขึ้น จนกระทั่งหากคุณทักษิณเป็นนายกฯอยู่เอง ก็คงร้องไอ๊หยาเหมือนกัน "ประชาธิปไตย" ที่เขาเรียกร้องจึงแตกต่างจาก "ประชาธิปไตย" ของนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ และง่ายที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ในขณะเดียวกัน ชื่อของ "ทักษิณ" ก็กลายความหมายจากคนหน้าเหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่อาทรต่อคนเล็กๆ มากขึ้น และไม่ใช่อาทรในลักษณะสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นความอาทรในลักษณะรัฐสวัสดิการ กล่าวคือเป็นสิทธิ ไม่ใช่ความน่าสงสาร
2/ ในฐานะทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะมีการช่วงชิงการนำกันอย่างอุตลุด ความแตกร้าวระหว่างกลุ่ม "สามเกลอ" กับ "สายเหยี่ยว" เป็นที่รู้กันดี
ความสำเร็จในการนำการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ "สามเกลอ" พ้นสภาพความเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เขากลายเป็นพลังทางการเมืองในตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก นำความวิตกแก่คนอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้มากขึ้น แม้แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้องหมั่นโฟนอินเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็น
(และไม่เป็นผลดีต่อการประท้วงนัก) เพราะคุณทักษิณเองก็เกรงว่าทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะหลุดมือตนไปเหมือนกัน
กลุ่ม "สายเหยี่ยว" ซึ่งเคยปรามาสไว้ว่า "สันติวิธี" จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ คงรู้สึกเหมือนกันว่า หากการประท้วงนำไปสู่การยุบสภาได้ ทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะยิ่งหลุดจากมือของตนมากขึ้น จึงต้องพยายามหาบทบาทบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
ในขณะเดียวกัน ความขาดเอกภาพในกองทัพและตำรวจ ทำให้การปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างลังเล นับตั้งแต่การผ่อนปรนมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ไปจนถึงอาจจะแทรกเข้ามาเป็น "มือที่สาม" ด้วย
3/ นักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเกาะชื่อของคุณทักษิณอย่างเหนียวแน่น คงมาพบด้วยความประหลาดใจว่า ชื่อคุณทักษิณมีความหมายน้อยลงในขบวนการเสื้อแดงที่ทำการประท้วงขณะนี้ จึงเรียงหน้ากันขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างหนาแน่นกว่าทุกครั้ง ขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่สำคัญกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะอึกๆ อักๆ ในการปราศรัย เพราะจับอารมณ์ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ได้
เพราะไม่ใช่ภาพที่ตัวเข้าใจตลอดมา
4/ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับขบวนการเสื้อแดง คงยอมรับว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มหึมา อย่างที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน อย่านึกแต่จำนวนคนที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงกองหลังนับตั้งแต่ลูกเมีย (ผัว) ที่อยู่ข้างหลัง เงินและเสบียงกรังที่ส่งลงมาเสริมตลอดเวลา
ตลอดจนแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดของคนอีกจำนวนมาก
แม้จะถูกสลายการชุมนุมลงได้ในที่สุด (ด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรงก็ตาม) ทรัพยากรการเมืองนี้ก็จะไม่สลายตัวลง
ปัญหาคือจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง หรือผ่านการโบกธง
น่าประหลาดที่ชนชั้นนำไทยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำตามจารีต หรือชนชั้นนำในระบบทุน มองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรนี้เลย กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างลงด้วยทรัพยากรที่มีในมือ นับตั้งแต่การใช้สื่อ, การใช้อำนาจรัฐควบคุมสื่อ, การปลุกม็อบขึ้นต่อต้าน, การอ้างอุดมการณ์เดิม (ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์)
ซึ่งแม้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อาจตีความไปได้หลายแง่หลายมุม โดยไม่สำนึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น แม้ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตีความอุดมการณ์ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ว่าเฉพาะนักการเมืองทั้งในซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้น เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ทัน และด้วยเหตุดังนั้นจึงคิดว่าขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "สถิต" เหมือนกัน ฝ่ายค้านเกาะชื่อทักษิณเพื่อนำไปสู่หีบบัตรเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปัตย์เกาะชื่อทักษิณ
เพื่อเก็บความรังเกียจทักษิณเอาไว้เป็นคะแนนเสียงของตน
อันที่จริง หากมองขบวนการเสื้อแดงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สลับซับซ้อน และเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจขจัดขบวนการนี้ลงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีอื่น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้
จริงอย่างที่นักสันติวิธีชอบพูดคือ เราต้องฟังกันให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแกนนำ หากต้องฟังประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งแดงและเหลือง เราก็จะสามารถจับสำนึกทางการเมืองใหม่ๆ ที่ผลักพวกเขาเข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่แกนนำปราศรัย เราก็จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อคนต่างกลุ่มไม่เหมือนกัน
แล้วเราก็จะสามารถจัดระบบให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน ระหว่างความต้องการที่แตกต่างได้โดยสงบ
ที่มา:มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------
ดังที่เห็นกันอยู่แล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มาก มีประโยชน์ทั้งต่อหีบบัตรเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ จึงไม่แปลกอะไรที่มีคนหลากหลายประเภท กระโดดเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในบัดนี้ ก็ยอมรับกันแล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เป็น "เนื้อเดียวกัน" กล่าวคือ ประกอบด้วยคนที่มีความฝันทางการเมือง, ความต้องการ, วัตถุประสงค์, ปูมหลัง ฯลฯ หลากหลาย การแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนอาจต้องการการวิจัย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยอมรับได้ว่าขบวนการเสื้อแดงไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน"
นอกจากไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน" แล้ว ขบวนการเสื้อแดงยังไม่ "สถิต" อีกด้วย หมายความว่ามีการเปลี่ยนแนวทาง, เป้าหมาย, ขยายตัว, หดตัว, การจัดองค์กร, การนำ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนขบวนการทางสังคมและการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาของแกนนำ
เพราะขาดข้อมูลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ผมจึงไม่ต้องการจะชี้ว่า มีใครบ้างที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ แต่ผมอยากเสนอแนะให้เห็นว่า มีใครบ้างที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ เพราะนั่นพอจะมองเห็นได้ง่ายกว่า ทั้งจากเวทีเสื้อแดง, อุบัติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น, และเวทีของฝ่ายรัฐบาล
1/ คุณทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้นหลังการรัฐประหาร ก่อนที่คุณทักษิณจะมีโทษทางอาญาติดตัว การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงย่อมเป็นฐานคะแนนเสียงที่ดีของคุณทักษิณ จนกระทั่งปฏิปักษ์ของคุณทักษิณย่อมเลือกจะประนีประนอมกับคุณทักษิณ มากกว่าหักกันจนพินาศไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากคุณทักษิณถูกพิพากษาให้จำคุกแล้ว
ขบวนการเสื้อแดงจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่คุณทักษิณได้ ขบวนการต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ พอที่จะเปิดช่องให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะจะนั่งรอให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลังการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว
ที่เหนือกว่าเงินของคุณทักษิณ คือความนิยมอย่างล้นเหลือที่คุณทักษิณได้รับจากประชาชนในชนบท และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงกลายเป็นบันไดสำหรับไต่เข้าสู่วงการเมืองที่ดี โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพรรค ทรท.ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองแล้ว จึงมีนักการเมืองหลายระดับเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่อชูคุณทักษิณสำหรับการเลือกตั้ง
แต่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดเอาผู้คนเข้ามาร่วมอีกมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่ใส่ใจว่าคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจหรือไม่ รวมแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ชื่นชอบคุณทักษิณเองด้วย และดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในที่อื่นแล้วว่า คนเหล่านี้คือคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเลิกเป็นเกษตรกรรายย่อยไปนานแล้ว ฐานการผลิตของเขาอยู่ในตลาดเต็มตัว
มีความจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะทุกระดับ แต่มาพบตัวเองอยู่ในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งก็ถูกทำให้เป็นหมันไปเสียอีก เพราะการรัฐประหารหรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร)
ผมอยากเดาว่านี่คือกลุ่มคนที่ใหญ่สุดในขบวนการเสื้อแดง ไม่ใช่ "คนจน" ดักดานที่เป็นแรงงานรับจ้างภาคการเกษตร หรือแรงงานรับจ้างรายวันที่ไม่มีงานทำตลอดปี และไม่ใช่ซาเล้งที่ซุกตัวอยู่ตามสลัมในเมืองใหญ่
และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงมีลักษณะ "ปฏิวัติ" มากขึ้น จนกระทั่งหากคุณทักษิณเป็นนายกฯอยู่เอง ก็คงร้องไอ๊หยาเหมือนกัน "ประชาธิปไตย" ที่เขาเรียกร้องจึงแตกต่างจาก "ประชาธิปไตย" ของนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ และง่ายที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ในขณะเดียวกัน ชื่อของ "ทักษิณ" ก็กลายความหมายจากคนหน้าเหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่อาทรต่อคนเล็กๆ มากขึ้น และไม่ใช่อาทรในลักษณะสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นความอาทรในลักษณะรัฐสวัสดิการ กล่าวคือเป็นสิทธิ ไม่ใช่ความน่าสงสาร
2/ ในฐานะทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะมีการช่วงชิงการนำกันอย่างอุตลุด ความแตกร้าวระหว่างกลุ่ม "สามเกลอ" กับ "สายเหยี่ยว" เป็นที่รู้กันดี
ความสำเร็จในการนำการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ "สามเกลอ" พ้นสภาพความเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เขากลายเป็นพลังทางการเมืองในตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก นำความวิตกแก่คนอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้มากขึ้น แม้แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้องหมั่นโฟนอินเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็น
(และไม่เป็นผลดีต่อการประท้วงนัก) เพราะคุณทักษิณเองก็เกรงว่าทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะหลุดมือตนไปเหมือนกัน
กลุ่ม "สายเหยี่ยว" ซึ่งเคยปรามาสไว้ว่า "สันติวิธี" จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ คงรู้สึกเหมือนกันว่า หากการประท้วงนำไปสู่การยุบสภาได้ ทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะยิ่งหลุดจากมือของตนมากขึ้น จึงต้องพยายามหาบทบาทบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
ในขณะเดียวกัน ความขาดเอกภาพในกองทัพและตำรวจ ทำให้การปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างลังเล นับตั้งแต่การผ่อนปรนมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ไปจนถึงอาจจะแทรกเข้ามาเป็น "มือที่สาม" ด้วย
3/ นักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเกาะชื่อของคุณทักษิณอย่างเหนียวแน่น คงมาพบด้วยความประหลาดใจว่า ชื่อคุณทักษิณมีความหมายน้อยลงในขบวนการเสื้อแดงที่ทำการประท้วงขณะนี้ จึงเรียงหน้ากันขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างหนาแน่นกว่าทุกครั้ง ขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่สำคัญกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะอึกๆ อักๆ ในการปราศรัย เพราะจับอารมณ์ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ได้
เพราะไม่ใช่ภาพที่ตัวเข้าใจตลอดมา
4/ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับขบวนการเสื้อแดง คงยอมรับว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มหึมา อย่างที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน อย่านึกแต่จำนวนคนที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงกองหลังนับตั้งแต่ลูกเมีย (ผัว) ที่อยู่ข้างหลัง เงินและเสบียงกรังที่ส่งลงมาเสริมตลอดเวลา
ตลอดจนแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดของคนอีกจำนวนมาก
แม้จะถูกสลายการชุมนุมลงได้ในที่สุด (ด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรงก็ตาม) ทรัพยากรการเมืองนี้ก็จะไม่สลายตัวลง
ปัญหาคือจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง หรือผ่านการโบกธง
น่าประหลาดที่ชนชั้นนำไทยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำตามจารีต หรือชนชั้นนำในระบบทุน มองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรนี้เลย กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างลงด้วยทรัพยากรที่มีในมือ นับตั้งแต่การใช้สื่อ, การใช้อำนาจรัฐควบคุมสื่อ, การปลุกม็อบขึ้นต่อต้าน, การอ้างอุดมการณ์เดิม (ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์)
ซึ่งแม้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อาจตีความไปได้หลายแง่หลายมุม โดยไม่สำนึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น แม้ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตีความอุดมการณ์ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ว่าเฉพาะนักการเมืองทั้งในซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้น เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ทัน และด้วยเหตุดังนั้นจึงคิดว่าขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "สถิต" เหมือนกัน ฝ่ายค้านเกาะชื่อทักษิณเพื่อนำไปสู่หีบบัตรเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปัตย์เกาะชื่อทักษิณ
เพื่อเก็บความรังเกียจทักษิณเอาไว้เป็นคะแนนเสียงของตน
อันที่จริง หากมองขบวนการเสื้อแดงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สลับซับซ้อน และเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจขจัดขบวนการนี้ลงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีอื่น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้
จริงอย่างที่นักสันติวิธีชอบพูดคือ เราต้องฟังกันให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแกนนำ หากต้องฟังประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งแดงและเหลือง เราก็จะสามารถจับสำนึกทางการเมืองใหม่ๆ ที่ผลักพวกเขาเข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่แกนนำปราศรัย เราก็จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อคนต่างกลุ่มไม่เหมือนกัน
แล้วเราก็จะสามารถจัดระบบให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน ระหว่างความต้องการที่แตกต่างได้โดยสงบ
ที่มา:มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------
การพยายามหลีกเลี่ยงปะทะนองเลือด"
บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก ดิ อิโคโนมิสต์วิพากษ์กระแสรอยัลลิสต์และขบวนการรอยัลลิสต์ที่นำทีมโดยจำลอง ศรีเมือง ซึ่งถูกดึงมาใช้อย่างสุดโต่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเข้ามาเป็นอีกปัจจัยแทรกต่อการหาทางลงให้กับวิกฤตการเมืองไทยรอบนี้
000
จำลอง ศรีเมือง เป็นรอยัลลิสท์ตัวป่วนทางการเมืองที่นาน ๆ ครั้งจะพูดอะไรมีเหตุผล แต่ในตอนที่เขาอธิบายว่าประเทศไทยดู "เหมือนไม่มีรัฐบาล ทหาร หรือตำรวจ" เขาก็มีส่วนถูกอยู่ เมื่อมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนมากยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ อยู่มามากกว่า 6 สัปดาห์แล้ว ธุรกิจซบเซาลง การโจมตีด้วยระเบิดในวันที่ 22 เม.ย. ที่ทำอันตรายให้กับฝ่ายที่ชุมนุมนับสนุนรัฐบาล จนทำให้ต่างประเทศต้องออกมาเตือนนักท่องเที่ยว ในวันที่ 28 เม.ย. เหตุปะทะกันทำให้มีทหารเสียชีวิต 1 ราย และแน่นอนว่าสาเหตุมาจาก "การยิงโดนพวกเดียวกันเอง" (friendly fire) มีความไม่สงบขยายตัวไปยังหลายจังหวัดจากการที่เสื้อแดงพยายามหยุดตำรวจ-ทหาร ไม่ให้เดินทางมาที่กรุงเทพฯ
จำลอง เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้การชุมนุมจบลงโดยไม่เลือกวิธีการ การปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างผู้ชุมนุมกับทหารในวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 25 ราย และมีราว 800 ได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลบอกว่ามีคนที่ยิงใส่ทหารเป็นไอ้โม่งดำที่เป็น "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นทหารที่อยู่อีกฝ่าย ขณะที่ฝ่ายแกนนำปฏิเสธในเรื่องมือปืน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหากมีการโจมตีฐานที่มั่นของเสื้อแดงใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาก็จะถูกตอบโต้ในลักษณะใกล้เคียงกันและยิ่งทำให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นไปอีก ส่วน พล.อ. อนุพงศ์ เผ่าจินดา ดูจะต้องการให้มีการประนีประนอมทางการเมืองมากกว่าการปราบปรามการชุมนุม
มาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่าผลลัพธ์จะไปในทางใดเลย ในวันที่ 23 เม.ย. แกนนำเสื้อแดงลดข้อเสนอของตัวเองลงโดยเสนอเส้นตายให้มีการยุบสภาภายใน 3 เดือน อภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยทันที และบอกว่าการยุบสภาจะไม่ช่วยแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองไทย ทั้งสองฝายเริ่มแข็งกร้าวต่อกันอีกครั้ง แต่ประตูสู่การเจรจายังคงเปิดอยู่ และความเป็นไปได้คือข้อเสนอที่จะให้มีการเลือกตั้งภายใน 6 เดือน แต่สำหรับเสื้อแดงเดนตายทั้งหลายแล้วนั่นเป็นข้อเสนอที่ถอยหลังเข้าคลองโดยสิ้นเชิง และมันยังเป็นข้อเสนอที่ไมน่าได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมของอภิสิทธิ์ด้วย เนื่องจากพวกเขากลัวถูกครอบงำโดยเสื้อแดง แต่มันก็เป้นข้อเสนอที่น่าจะทำให้ประเทศไทยถอยกลับออกมาจากการปะทะกันอย่างรุนแรง
อภิสิทธิ์ อาจจะพูดถูกที่ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ช่วยแก้ไขวิกฤติการเมืองที่ฝังรากลึก และอาจทำให้ม็อบผู้โกรธแค้นถูกดำเนินคดีอย่างเลวร้าย แต่เมื่อลองมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 ตอนที่จำลองและกลุ่มเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบิน นั่นคือสิ่งที่ทำให้อภิสิทธิ์เข้าสู่อำนาจ ในตอนนี้เขาเองก็ดูจะเผยธาตุแท้ออกมาเรื่อย ๆ ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเบื่อหน่ายกับการชุมนุมและคิดถึงห้างสรรพสินค้าของพวกเขา มีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันรายวันเพื่อร้องเพลงแสดงความรักชาติและตะโกนด่าทอเสื้อแดงว่าเป็นชาวนาโง่ ๆ จากบ้านนอก
ภายใต้การประกาศ พรก. ฉุกเฉิน นี้รัฐบาลสามารถสั่งห้ามการชุมนุมอย่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อหลากสีได้ แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับสนับสนุนอยู่เงียบ ๆ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก็เป็นแค่หนึ่งในกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหนึ่งเท่านั้น มาจนถึงตอนนี้พันธมิตรฯ ยังคงไม่ลงมาบนท้องถนน แต่พวกเขาก็คงคัน ๆ อยากจะลงมาเต็มที พวกเขาแสร้งทำให้วิกฤติการเมืองนี้กลายเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อสถาบันจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ยังคงเป็นฮีโร่สำหรับเสื้อแดงหลาย ๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานหรือคนในชนบท ต่างจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่อยู่ในลำดับชั้น 'ผู้ดี'
การแสดงออกเกินพอดี (hysteria) ของรอยัลลิสท์เป็น 'นามบัตร' ของพันธมิตรฯ มานานแล้ว น่าเป็นห่วงว่ามันถูกดึงขึ้นมาโดยอภิสิทธิ์และหัวหน้ากองรักษาความสงบของเขา ในวันที่ 26 เม.ย. โฆษกของหน่วยงานกลางอ้างว่าพวกเขาได้ขุดคุ้ยถึงแผนการต่อต้านสถาบันจากแกนนำเสื้อแดงและผู้ต่อต้านต้านรัฐบาลคนอื่น ๆ มีการปฏิเสธกลับอย่างรวดเร็วและอย่างแข็งกร้าวรวมไปถึงการเตือนว่า 'การใส่ความ' ดังกล่าวอาจเป็นข้ออ้างหาความชอบธรรมในการใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุม เช่นเดียวกับที่เกิดในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฎกรรมจากการปะทะขึ้นอีก ทั้งสองฝ่ายควรจะคอยควบคุมพวกหัวแข็งของตัวเองไว้ให้ดี
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------------
000
จำลอง ศรีเมือง เป็นรอยัลลิสท์ตัวป่วนทางการเมืองที่นาน ๆ ครั้งจะพูดอะไรมีเหตุผล แต่ในตอนที่เขาอธิบายว่าประเทศไทยดู "เหมือนไม่มีรัฐบาล ทหาร หรือตำรวจ" เขาก็มีส่วนถูกอยู่ เมื่อมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนมากยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ อยู่มามากกว่า 6 สัปดาห์แล้ว ธุรกิจซบเซาลง การโจมตีด้วยระเบิดในวันที่ 22 เม.ย. ที่ทำอันตรายให้กับฝ่ายที่ชุมนุมนับสนุนรัฐบาล จนทำให้ต่างประเทศต้องออกมาเตือนนักท่องเที่ยว ในวันที่ 28 เม.ย. เหตุปะทะกันทำให้มีทหารเสียชีวิต 1 ราย และแน่นอนว่าสาเหตุมาจาก "การยิงโดนพวกเดียวกันเอง" (friendly fire) มีความไม่สงบขยายตัวไปยังหลายจังหวัดจากการที่เสื้อแดงพยายามหยุดตำรวจ-ทหาร ไม่ให้เดินทางมาที่กรุงเทพฯ
จำลอง เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้การชุมนุมจบลงโดยไม่เลือกวิธีการ การปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างผู้ชุมนุมกับทหารในวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 25 ราย และมีราว 800 ได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลบอกว่ามีคนที่ยิงใส่ทหารเป็นไอ้โม่งดำที่เป็น "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นทหารที่อยู่อีกฝ่าย ขณะที่ฝ่ายแกนนำปฏิเสธในเรื่องมือปืน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหากมีการโจมตีฐานที่มั่นของเสื้อแดงใจกลางกรุงเทพฯ พวกเขาก็จะถูกตอบโต้ในลักษณะใกล้เคียงกันและยิ่งทำให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นไปอีก ส่วน พล.อ. อนุพงศ์ เผ่าจินดา ดูจะต้องการให้มีการประนีประนอมทางการเมืองมากกว่าการปราบปรามการชุมนุม
มาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่าผลลัพธ์จะไปในทางใดเลย ในวันที่ 23 เม.ย. แกนนำเสื้อแดงลดข้อเสนอของตัวเองลงโดยเสนอเส้นตายให้มีการยุบสภาภายใน 3 เดือน อภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยทันที และบอกว่าการยุบสภาจะไม่ช่วยแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองไทย ทั้งสองฝายเริ่มแข็งกร้าวต่อกันอีกครั้ง แต่ประตูสู่การเจรจายังคงเปิดอยู่ และความเป็นไปได้คือข้อเสนอที่จะให้มีการเลือกตั้งภายใน 6 เดือน แต่สำหรับเสื้อแดงเดนตายทั้งหลายแล้วนั่นเป็นข้อเสนอที่ถอยหลังเข้าคลองโดยสิ้นเชิง และมันยังเป็นข้อเสนอที่ไมน่าได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมของอภิสิทธิ์ด้วย เนื่องจากพวกเขากลัวถูกครอบงำโดยเสื้อแดง แต่มันก็เป้นข้อเสนอที่น่าจะทำให้ประเทศไทยถอยกลับออกมาจากการปะทะกันอย่างรุนแรง
อภิสิทธิ์ อาจจะพูดถูกที่ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ช่วยแก้ไขวิกฤติการเมืองที่ฝังรากลึก และอาจทำให้ม็อบผู้โกรธแค้นถูกดำเนินคดีอย่างเลวร้าย แต่เมื่อลองมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 ตอนที่จำลองและกลุ่มเสื้อเหลืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบิน นั่นคือสิ่งที่ทำให้อภิสิทธิ์เข้าสู่อำนาจ ในตอนนี้เขาเองก็ดูจะเผยธาตุแท้ออกมาเรื่อย ๆ ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเบื่อหน่ายกับการชุมนุมและคิดถึงห้างสรรพสินค้าของพวกเขา มีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันรายวันเพื่อร้องเพลงแสดงความรักชาติและตะโกนด่าทอเสื้อแดงว่าเป็นชาวนาโง่ ๆ จากบ้านนอก
ภายใต้การประกาศ พรก. ฉุกเฉิน นี้รัฐบาลสามารถสั่งห้ามการชุมนุมอย่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อหลากสีได้ แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับสนับสนุนอยู่เงียบ ๆ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก็เป็นแค่หนึ่งในกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหนึ่งเท่านั้น มาจนถึงตอนนี้พันธมิตรฯ ยังคงไม่ลงมาบนท้องถนน แต่พวกเขาก็คงคัน ๆ อยากจะลงมาเต็มที พวกเขาแสร้งทำให้วิกฤติการเมืองนี้กลายเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อสถาบันจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ยังคงเป็นฮีโร่สำหรับเสื้อแดงหลาย ๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานหรือคนในชนบท ต่างจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่อยู่ในลำดับชั้น 'ผู้ดี'
การแสดงออกเกินพอดี (hysteria) ของรอยัลลิสท์เป็น 'นามบัตร' ของพันธมิตรฯ มานานแล้ว น่าเป็นห่วงว่ามันถูกดึงขึ้นมาโดยอภิสิทธิ์และหัวหน้ากองรักษาความสงบของเขา ในวันที่ 26 เม.ย. โฆษกของหน่วยงานกลางอ้างว่าพวกเขาได้ขุดคุ้ยถึงแผนการต่อต้านสถาบันจากแกนนำเสื้อแดงและผู้ต่อต้านต้านรัฐบาลคนอื่น ๆ มีการปฏิเสธกลับอย่างรวดเร็วและอย่างแข็งกร้าวรวมไปถึงการเตือนว่า 'การใส่ความ' ดังกล่าวอาจเป็นข้ออ้างหาความชอบธรรมในการใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุม เช่นเดียวกับที่เกิดในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฎกรรมจากการปะทะขึ้นอีก ทั้งสองฝ่ายควรจะคอยควบคุมพวกหัวแข็งของตัวเองไว้ให้ดี
ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------------------------------------
"เหวง"ยันไม่ได้คุกคามรพ.จุฬา
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยสี่แยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเช้าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย กิจกรรมบนเวทียังมีแกนนำสลับสับเปลี่ยนขึ้นปราศรัย และอ่านข่าวสารตามหน้าหนังสือพิมพ์ให้ผู้ชุมนุมได้รับฟังตามปกติเช่นทุกวันท่ามกลางอากศที่ร้อนอบอ้าว
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีเกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์ที่ นายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช. บุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่การเข้าไปของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ไปขัดขวางหรือคุกคามต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ที่ให้บริการประชาชน เรารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เจตนาไม่ได้เข้าไปทำร้าย เพียงแค่สงสัยว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าไปอยู่ภายในโรงพยาบาล จึงต้องการเข้าไปดูเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามกลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมรับคำตำหนิ
นพ.เหวง กล่าวถึงกรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มีคำสั่งให้การ์ดคนเสื้อแดงกลับเข้าไปตั้งบังเกอร์ที่แยกศาลาแดง ถ.ราชดำริ หลังแกนนำ นปช.มีคำสั่งให้รื้อถอนว่า ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ เสธ.แดงจะสั่งการ์ดนปช.กลับไปตั้งบังเกอร์ การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของแกนนำ ขอความกรุณาอย่าไปตัดสินใจแทน อย่างไรก็ตามขณะนี้แกนนำได้สั่งให้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. และหัวหน้าการ์ดรักษาความปลอดภัย ไปรื้อถอนบังเกอร์ตรง ถ.ราชดำริแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงเคารพเ สธ.แดง แต่ เสธ.แดงอย่ามาก้าวล่วงการทำงานของกลุ่ม นปช.
ที่มา.เนชั่น
-------------------------------------------------------------------
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีเกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์ที่ นายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช. บุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่การเข้าไปของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ไปขัดขวางหรือคุกคามต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ที่ให้บริการประชาชน เรารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เจตนาไม่ได้เข้าไปทำร้าย เพียงแค่สงสัยว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าไปอยู่ภายในโรงพยาบาล จึงต้องการเข้าไปดูเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามกลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมรับคำตำหนิ
นพ.เหวง กล่าวถึงกรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มีคำสั่งให้การ์ดคนเสื้อแดงกลับเข้าไปตั้งบังเกอร์ที่แยกศาลาแดง ถ.ราชดำริ หลังแกนนำ นปช.มีคำสั่งให้รื้อถอนว่า ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ เสธ.แดงจะสั่งการ์ดนปช.กลับไปตั้งบังเกอร์ การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของแกนนำ ขอความกรุณาอย่าไปตัดสินใจแทน อย่างไรก็ตามขณะนี้แกนนำได้สั่งให้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. และหัวหน้าการ์ดรักษาความปลอดภัย ไปรื้อถอนบังเกอร์ตรง ถ.ราชดำริแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงเคารพเ สธ.แดง แต่ เสธ.แดงอย่ามาก้าวล่วงการทำงานของกลุ่ม นปช.
ที่มา.เนชั่น
-------------------------------------------------------------------
'ฮิวแมนฯ'ชี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงภายหลังนายซูฮาส ซาคม่าผู้อำนวยการองค์การฮิวแมนไรท์วอชท์ประจำภูมิภาคเอเชีย (ACHR) ซึ่งเป็นศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียโดยได้เข้าพบผู้บริหารพรรคพท. อาทิ นายพิทยา พุกกะมาน คณะทำงานด้านต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 29 เมษายน ว่า นายซูฮาสได้แสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมกันนี้ได้แสดงความห่วงใยว่าจะมีการใช้กำลังกับผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยเฉพาะการใช้อาวุธสงครามกับประชาชน จึงต้องการเข้ามาสอบถามข้อมูลจากพรรคพท.
"นายซูฮาสยังได้กล่าวว่าจากข้อมูลที่ปรากฏและได้รับ คิดว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมกับบอกด้วยว่าหากท้ายที่สุดตรวจพบความชัดเจนว่ามีการดำเนินการเช่นนั้นจริง ก็จะไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เชื่อว่าประชาคมโลกต้องรับรู้และช่วยกันแก้ปัญหา" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว และว่า ในวันที่ 30 เมษายนนี้ เวลา 09.00 น. นายซูฮาสจะเดินทางไปพูดคุยกับแกนนำ นปช.ที่ด้านหลังเวทีปราศรัยแยกราชประสงค์ จากนั้นจะเข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พท.ซึ่งจะเปิดใจกับสื่อต่างชาติ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
---------------------------------------------------------------------
"นายซูฮาสยังได้กล่าวว่าจากข้อมูลที่ปรากฏและได้รับ คิดว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมกับบอกด้วยว่าหากท้ายที่สุดตรวจพบความชัดเจนว่ามีการดำเนินการเช่นนั้นจริง ก็จะไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เชื่อว่าประชาคมโลกต้องรับรู้และช่วยกันแก้ปัญหา" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว และว่า ในวันที่ 30 เมษายนนี้ เวลา 09.00 น. นายซูฮาสจะเดินทางไปพูดคุยกับแกนนำ นปช.ที่ด้านหลังเวทีปราศรัยแยกราชประสงค์ จากนั้นจะเข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พท.ซึ่งจะเปิดใจกับสื่อต่างชาติ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
---------------------------------------------------------------------
โกหกไว้ก่อน พ่อสอนไว้!!!
โกหกไว้ก่อน พ่อสอนไว้!!!
กลายเป็น “มิสเตอร์ตอแหลแลนด์” ไปหมดแล้ว...ทั้ง “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ “ผอ.ศอฉ.” ผู้ยิ่งใหญ่???ตั้งข้อหาเต็มประตู ทั้ง “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน”ถามหาข้อเท็จจริง....กลับตีแคนนอนชิ่ง ไม่มี “หลักฐาน”เป็นกลยุทธวิธี “แหกตาชาวบ้าน” วันละสามเวลาหลังอาหาร...เหมือนกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกพันธมิตรฯ และ “ยัยปองปากหมา” คอยใส่สีตีไข่...แต่มี “ความจริง” แค่นิดหน่อย!!!ไม่เสียที “มาร์ค” เป็นสาวกเหลือง......ยกระดับปั้นน้ำเป็นตัวได้ทุกเรื่อง?....ทำตัวเชื่องเป็นเด็กดีของ “ลิ้ม” ไม่เสื่อมถอย???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สงครามจิตวิทยา!!!
“ไม้สุดท้าย” ....อีกไม้เดียว ที่ “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขุดขึ้นมาใช้ เห็นแล้ว ก็ให้เวทนา???“ม็อบเสื้อแดง” คนไม่มีสี-ไม่มีเส้น จิตใจและวิญาณนั้น เขาเป็น “นักประชาธิปไตยเต็มใบ” ก้าวข้ามประตูสวรรค์ ในการไม่กลัวตาย“มาร์ค” จะโปรโมท..โจษขานสลายม็อบ เขากลัวเสียเมื่อไหร่ขณะที่ “คนเสื้อแดง” แรงฤทธิ์ไม่กลัวความเป็นความตาย...ผิดกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ใช้บอดี้การ์ดคุ้มกันเป็นร้อย มีอาวุธปืนสงคราม “อูซี่” ครบมือ..เนื่องจาก “สุเทพ” สารภาพเสียงอ่อย กลัว “ไอ้โม่งดำ-ไอ้โม่งขาว” ตามส่องรายวัน!!!“คนเสื้อแดง” หัวใจนักสู้ทั้งหมด....แต่ฝ่ายถืออำนาจเป็นพวก “ใจมด”?.....กลัวหัวหด จนน่าสงสาร???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เข้าขั้น ‘ตรีทูต’!!!
เรื่องเท็จ เรื่องเส็งเคร็ง เป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว..ต้องยกเครดิตอินเตอร์แห่งการโกหก ให้กับ “ลูกกะเป๋ง” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เขาไป ในการ “ลักไก่” ที่จะพูด???โกหกกันทุกนาที..โกหกกันทุกชั่วโมง “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี หมดทางเยียวยา เพราะ “มะเร็ง” กินขั้นสุดท้าย รอวันตายกับตายนี่เป็นอีกหนึ่ง “นวัตกรรม”.....ถ้อยคำโกหกเหลวไหล“ทักษิณ” ยังเดินปร๋อ ต่อยอดทำงาน เพื่อสร้างรากฐานให้กับประเทศไทย ....โดยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับประเทศต่างๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ให้สดใส!!!ยืนยันว่า “ทักษิณ” ยังมีความสุข....ตอนนี้รอดู “สนธิ” เดินเข้าคุก?......กับความสนุกที่บังอาจ “หมิ่นสถาบัน” เอาไว้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ล้างมือในอ่างทองคำ!!!
เป็น “ฮาร์ดคอร์” เบอร์หนึ่งแถวหน้า...ถ้าเกิดระเบิด ยิงกันตูมตามที่ไหน เข็มทิศก็ชี้มาว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นคนทำ???เท่าที่รู้ทราบมา... “บิ๊กพัลลภ” แขวนนวมเรื่องความรุนแรง.. จบฉากไปแล้ว สำหรับ “นักฆ่าตัวจริงเสียงจริง”ท่านลดความห้าวหาญ...ทิ้งงานทั้งหมดเพราะ “ผู้หญิง”อันเนื่องมาจาก ศรีภรรยาคู่แก้วคู่ขวัญ ที่ร่วมหอลงโรงกันมา ขอให้ลดจากงานการเมือง โดยไม่ให้ยุ่งทั้งการทหาร...เพราะเข้าไปข้องแวะคราวใด ครอบครัวถูกยำเละเป็นวุ้น!!!สถานการณ์ที่ยิงกันเปรี้ยงปร้าง... “บิ๊กพัลลภ” ไม่รู้สักอย่าง?....เลิกอ้างว่าท่านทำสักทีเถอะคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ติดดีสเบรก ‘นายกฯ อภิสิทธิ์ชน’!!
อย่าได้เชื่อ “กุนซือ” หรือ “โค้ชข้างสนาม”..เพราะขืน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำตามระวัง จะยิ่งเสียคน???เท่าที่ ประชาชนทหารตายไปแล้ว ๒๘ ศพ บาดเจ็บนอนไอซียูและหยอดน้ำข้าวต้ม ร่วมพันกว่าคนนั้น “ประเทศไทย” ก็วิกฤติยากที่จะแก้ขืนให้เดินหน้า.. “ฆ่าแล้วปิดประเทศ” เหมือนพม่า ไม่ดีแน่คนไทยกับคนไทย ยังพูดจาภาษาดอกไม้เดียวกันได้อยู่เสมอ!!!!!ใครเขาก็รู้ที่ “มาร์ค” ทำขึงขัง.....ล้วนแต่มีคนสั่ง?......อยู่ข้างหลัง เขารู้หมดแล้วล่ะเธอ???
Tags: ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------
กลายเป็น “มิสเตอร์ตอแหลแลนด์” ไปหมดแล้ว...ทั้ง “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ “ผอ.ศอฉ.” ผู้ยิ่งใหญ่???ตั้งข้อหาเต็มประตู ทั้ง “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน”ถามหาข้อเท็จจริง....กลับตีแคนนอนชิ่ง ไม่มี “หลักฐาน”เป็นกลยุทธวิธี “แหกตาชาวบ้าน” วันละสามเวลาหลังอาหาร...เหมือนกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกพันธมิตรฯ และ “ยัยปองปากหมา” คอยใส่สีตีไข่...แต่มี “ความจริง” แค่นิดหน่อย!!!ไม่เสียที “มาร์ค” เป็นสาวกเหลือง......ยกระดับปั้นน้ำเป็นตัวได้ทุกเรื่อง?....ทำตัวเชื่องเป็นเด็กดีของ “ลิ้ม” ไม่เสื่อมถอย???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สงครามจิตวิทยา!!!
“ไม้สุดท้าย” ....อีกไม้เดียว ที่ “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขุดขึ้นมาใช้ เห็นแล้ว ก็ให้เวทนา???“ม็อบเสื้อแดง” คนไม่มีสี-ไม่มีเส้น จิตใจและวิญาณนั้น เขาเป็น “นักประชาธิปไตยเต็มใบ” ก้าวข้ามประตูสวรรค์ ในการไม่กลัวตาย“มาร์ค” จะโปรโมท..โจษขานสลายม็อบ เขากลัวเสียเมื่อไหร่ขณะที่ “คนเสื้อแดง” แรงฤทธิ์ไม่กลัวความเป็นความตาย...ผิดกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ใช้บอดี้การ์ดคุ้มกันเป็นร้อย มีอาวุธปืนสงคราม “อูซี่” ครบมือ..เนื่องจาก “สุเทพ” สารภาพเสียงอ่อย กลัว “ไอ้โม่งดำ-ไอ้โม่งขาว” ตามส่องรายวัน!!!“คนเสื้อแดง” หัวใจนักสู้ทั้งหมด....แต่ฝ่ายถืออำนาจเป็นพวก “ใจมด”?.....กลัวหัวหด จนน่าสงสาร???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เข้าขั้น ‘ตรีทูต’!!!
เรื่องเท็จ เรื่องเส็งเคร็ง เป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว..ต้องยกเครดิตอินเตอร์แห่งการโกหก ให้กับ “ลูกกะเป๋ง” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เขาไป ในการ “ลักไก่” ที่จะพูด???โกหกกันทุกนาที..โกหกกันทุกชั่วโมง “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี หมดทางเยียวยา เพราะ “มะเร็ง” กินขั้นสุดท้าย รอวันตายกับตายนี่เป็นอีกหนึ่ง “นวัตกรรม”.....ถ้อยคำโกหกเหลวไหล“ทักษิณ” ยังเดินปร๋อ ต่อยอดทำงาน เพื่อสร้างรากฐานให้กับประเทศไทย ....โดยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับประเทศต่างๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ให้สดใส!!!ยืนยันว่า “ทักษิณ” ยังมีความสุข....ตอนนี้รอดู “สนธิ” เดินเข้าคุก?......กับความสนุกที่บังอาจ “หมิ่นสถาบัน” เอาไว้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ล้างมือในอ่างทองคำ!!!
เป็น “ฮาร์ดคอร์” เบอร์หนึ่งแถวหน้า...ถ้าเกิดระเบิด ยิงกันตูมตามที่ไหน เข็มทิศก็ชี้มาว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นคนทำ???เท่าที่รู้ทราบมา... “บิ๊กพัลลภ” แขวนนวมเรื่องความรุนแรง.. จบฉากไปแล้ว สำหรับ “นักฆ่าตัวจริงเสียงจริง”ท่านลดความห้าวหาญ...ทิ้งงานทั้งหมดเพราะ “ผู้หญิง”อันเนื่องมาจาก ศรีภรรยาคู่แก้วคู่ขวัญ ที่ร่วมหอลงโรงกันมา ขอให้ลดจากงานการเมือง โดยไม่ให้ยุ่งทั้งการทหาร...เพราะเข้าไปข้องแวะคราวใด ครอบครัวถูกยำเละเป็นวุ้น!!!สถานการณ์ที่ยิงกันเปรี้ยงปร้าง... “บิ๊กพัลลภ” ไม่รู้สักอย่าง?....เลิกอ้างว่าท่านทำสักทีเถอะคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ติดดีสเบรก ‘นายกฯ อภิสิทธิ์ชน’!!
อย่าได้เชื่อ “กุนซือ” หรือ “โค้ชข้างสนาม”..เพราะขืน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำตามระวัง จะยิ่งเสียคน???เท่าที่ ประชาชนทหารตายไปแล้ว ๒๘ ศพ บาดเจ็บนอนไอซียูและหยอดน้ำข้าวต้ม ร่วมพันกว่าคนนั้น “ประเทศไทย” ก็วิกฤติยากที่จะแก้ขืนให้เดินหน้า.. “ฆ่าแล้วปิดประเทศ” เหมือนพม่า ไม่ดีแน่คนไทยกับคนไทย ยังพูดจาภาษาดอกไม้เดียวกันได้อยู่เสมอ!!!!!ใครเขาก็รู้ที่ “มาร์ค” ทำขึงขัง.....ล้วนแต่มีคนสั่ง?......อยู่ข้างหลัง เขารู้หมดแล้วล่ะเธอ???
Tags: ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)