--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

บิ๊กจิ๋ว"ไม่รอหมาย ไป ศอฉ.30 เม.ย.

พล.ท.เชวงศักดิ์ ทองฉลวย นายทหารคนสนิทพล.อ.ชวลิตเปิดเผยว่า วันที่ 30 เม.ย. เวลา 10.00 น. พล.อ.ชวลิตจะไปยังศอฉ. ที่ราบที่ 11 เพื่อพบกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เนื่องจากทราบว่าจะมีการออกหมายเรียกไปรายงานตัว กรณีมีชื่ออยู่ในแผนผังที่ศอฉ.อ้างว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้า พล.อ.ชวลิตจะไปโดยไม่มีหลักฐานใดๆไปชี้แจง มีแต่ความดีที่ติดตัวไปเท่านั้น การไปศอฉ.ครั้งนี้ไปโดยไม่รอศอฉ.มีหมายเรียก

พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ หรือเสธ.หมึก นายทหารคนสนิทพล.อ.ชวลิตให้สัมภาษณ์ว่า "มันพยายามตั้งข้อหาท่านตลอด ขนอาวุธเข้ากรุง เทพฯ ก่อการร้าย กบฏ ตอนนี้มาล้มเจ้า ทุกอย่างทำเป็นขั้นตอน พยายามใส่ร้ายไปเรื่อย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าพล.อ.ชวลิตไม่ฟ้องศอฉ. อาจทำให้สังคมสงสัยว่าทำผิดจริงหรือไม่ พล.ท. พิรัชกล่าวว่า ท่านบอกว่าไม่อยากสนใจ สุดท้ายทุกคนจะรู้เอง นอกจากนี้อาจมีทหารบางส่วนที่เคารพนายออกมาปะทะกับทหารอีกพวก จะทำ ให้ปัญหายุ่งขึ้นอีก เราอย่าไปยุ่งกับคนถ่อย เดี่ยวสังคมรู้เอง

เมื่อถามถึงการเผยแพร่ภาพพล.อ.ชวลิตไปร่วมงานกับกลุ่มผู้พัฒนาชาติไทยเพื่อเชื่อมโยง พล.ท.พิรัชกล่าวว่า ไม่มีอะไร กลุ่มพัฒนาชาติไทยที่วางอาวุธทั่วประเทศหวังว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย แต่พอเกิดเรื่องนี้ มีความ อยุติธรรม เลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น อาจจะย้อนกลับไปเรื่องเก่า เขาอยากมาสู้ทางการเมือง แต่พล.อ.ชวลิตเคยมีบุญคุณ เคยช่วยให้ได้ออกมาจากป่า ก็พยายามให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่นายสุเทพมองเป็นคอมมิวนิสต์ สรุปคือจะหาเรื่อง นายกฯก็เป็นแค่เด็กอมมือ ไม่รู้เรื่องที่ลึกซึ้งแบบนี้

ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์จุฬาฯ แถลงกรณีมีชื่ออยู่ในเครือข่ายล้มเจ้า ตามแผนผังที่ศอฉ.เผยแพร่ออกมาว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายที่มีพฤติกรรมล้มสถาบันใดๆ และไม่เห็นด้วยว่าจะมีเครือข่ายอะไรในลักษณะเช่นนี้ นอกจากการใส่ร้ายป้ายสีที่ศอฉ.สร้างขึ้นเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้จะขออำนาจศาลคุ้มครองในกรณีที่อาจจะเกิดภัยจากการถูกใส่ร้าย และจะฟ้องร้องศอฉ.ทั้งทางอาญาและแพ่ง
*******************************************************

ศอฉ.ใช้แผนเดิมรับแดงบุกเอ็นบีที ขอเวลาสอบเหตุทหารตาย "สรรเสริญ"ประชดศพตาถลนไม่เกี่ยวสภาพอากาศ

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 28 เม.ย. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในฐานะโฆษกกองทัพบก พร้อมด้วยนายธาริต เพ็งดิษย์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.อ.ต.อานนท์ จารยะพันธ์ ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. ร่วมกันแถลงที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ถึงเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ย่านดอนเมือง โดยได้นำลูกกระสุนขนาด 40 มม. ที่ใช้ยิงจากเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากที่เกิดเหตุมาแสดงด้วย

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า อาวุธที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้ไม่ใช่อาวุธในการครอบครองของกองทัพ แต่อาวุธประเภทนี้สามารถนำเข้ามาได้บริเวณชายแดน ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวังไม่ให้มีการนำเข้ามา

เมื่อถามว่า ในการปราบปรามครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้อาวุธจริงและกระสุนจริงหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจก็มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าผู้ชุมนุมมีออาวุธสงคราม จึงเป็นความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้าใกล้แนวของเจ้าหน้าที่

เมื่อถามว่าได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าพลทหารที่เสียชีวิต เสียชีวิตจากสาเหตุอะไร พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงต้องตรวจสอบกันก่อน เพราะในพื้นที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน แต่การที่กระโหลกเปิด ลูกตาถลนออกมาคงไม่ใช่ เพราะสภาพอากาศ ซึ่งเราต้องตรวจสอบอีกครั้ง

เมื่อถามว่า พลทหารถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ด้วยกันหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน” เมื่อถามว่าจะสลายที่ราชประสงค์หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าว่า ยังตอบไม่ได้

เมื่อถามว่าแกนนำจะบุกเอ็นบีที ศอฉ. จะดำเนินการตามแนวทางเดิมหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ก็จะใช้วิธีการเดิมครับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************************************

สุชาติ เศรษฐมาลินี : ความรุนแรงกับมายาการณ์แห่งอัตลักษณ์

“อัตลักษณ์” (identity) เป็นคำยอดฮิตคำหนึ่งทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวและเติบโตขึ้นของกลุ่มคนต่างๆ ทั่วโลก ที่ถูกกดขี่และไม่ได้รับความยุติธรรมทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้หญิง ผู้ใช้แรงงาน ผู้อพยพ คนผิวสี คนเพศที่สาม กลุ่มชนศาสนิกต่างๆ หรือชนพื้นเมือง เป็นต้น ที่ลุกขึ้นมาประกาศตัวตนและเรียกร้องสิทธิ์และพื้นที่ให้กับตัวเองได้มีที่ยืนในสังคม

“อัตลักษณ์” เป็นคำที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในแวดวงวิชาการไทยเพื่อทดแทนคำเดิมที่ใช้กันมานานคือคำว่า “เอกลักษณ์” ที่หมดพลังในการอธิบายความเป็นตัวตนของผู้คน เพราะไม่ว่าสังคมใดก็ตาม ไม่มีใครที่จะนิยามตนเองหรือถูกนิยามจากคนอื่นด้วยลักษณะที่เป็น “เอกะ” หรือ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก็คงเหลือแต่กระทรวงวัฒนธรรมไทยเท่านั้นที่พยายามจะยัดเยียดให้ผู้คนในสังคมไทยมีลักษณะที่คับแคบเพียงหนึ่งเดียวคือ “เอกลักษณ์ความเป็นไทย” เพราะในความเป็นจริงคนไทยทุกคนคงมีลักษณะหลายอย่างที่นอกเหนือจากความเป็นไทยในขณะเดียวกัน เช่น เป็นคนเมืองเหนือ เป็นคนชนเผ่านั้นเผ่านี้ที่มีวัฒนธรรมของตนเอง เป็นคนมุสลิมหรือศาสนิกอื่นๆ ที่มีความเชื่อและการปฏิบัติของตนเอง เป็นคนเอเชีย และเป็นอะไรต่ออะไรได้อีกมากมายขึ้นอยู่ว่าเราจะหยิบลักษณะเหล่านั้นมาใช้กับใคร เมื่อไหร่ และอย่างไร ดังนั้น การยัดเยียด “อัตลักษณ์” ให้เหลือเพียง “เอกลักษณ์” นอกจากจะไม่เคยสอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้คนแล้ว ประสบการณ์ในที่ต่างๆ ของโลกยังสอนว่า การไม่ยอมรับและเคารพในความหลากหลายของ “อัตลักษณ์” ยังได้นำซึ่งความขัดแย้งและความรุนแรงอยู่เสมอดังเช่น สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามระหว่างศาสนาหรือภายในศาสนาเดียวกันที่นับถือต่างนิกาย เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจาก ในนามของ “อัตลักษณ์” ได้มีการวาดภาพความชั่วร้าย ความน่าเกลียดน่ากลัวให้กับผู้อื่นที่ต่างไปจากพวกของตัวเอง และกลายเป็นใบอนุญาตให้เข่นฆ่าผู้คนได้อย่างมากมายโดยไม่มีความรู้สึกรู้สา

อมาตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์สวัสดิการสังคม ปี 1998 ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่อง “อัตลักษณ์และความรุนแรง” อันเป็นชื่อหนังสือที่มีชื่อเสียงของท่านไว้ว่า “มันเป็นความโหดร้าย ฉ้อฉล และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่งกับการลดทอนอัตลักษณ์พวกเราให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว” เซน ได้ยกตัวอย่าง คนงานชาวฮูตูในเมืองหลวงคิกาลีของประเทศราวันดา ที่ถูกผู้ปกครองผลักไสให้พวกเขามองว่าตนเองคือ ชาวฮูตูเพียงเท่านั้น และสนับสนับสนุนให้พวกเขาลงมือเข่นฆ่าชาวตุสซี ในขณะที่ ความเป็นจริง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงชาวฮูตู แต่ยังป็นชาวคิกาลี ชาวราวันดา ชาวอัฟริกัน ผู้ใช้แรงงาน และยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ทั่วโลก

ความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบัน อันเนื่องมากจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภานั้น กำลังก้าวมาถึงจุดการเมืองแห่งอัตลักษณ์ที่กำลังอยู่ในสภาวะการณ์ที่ล่อแหลม และสุ่มเสี่ยงนำพาสังคมไทยไปสู่การฆ่าฟันทำลายล้างชีวิตผู้คนอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องจากประดิษฐ์กรรมล่าสุดของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ) ที่ออกมากล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ก็ดี หรือ”คนล้มเจ้า” ก็ดี ล้วนคือ การผลักไส กดทับ และลดทอน อัตลักษณ์ของคนเสื้อแดงเหลือเพียง “เอกลักษณ์” ที่คับแคบว่าเป็น “ปีศาจชั่วร้ายคิดล้มล้างสถาบัน” ในขณะที่ คนเสื้อแดงยังเป็นคนเหนือ คนอีสาน คนกรุงเทพฯ คนพุทธ คนคริสต์ คนมุสลิม คน ไทย และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือ มีความเป็น “คน” เหมือนกับ คนเสื้อเหลือง ตำรวจ ทหาร หรือคนที่แอบอ้างความจงรักภักดี

รัฐบาลต้องหยุดยัดเยียด “เอกลักษณ์” การก่อการร้ายและล้มล้างเจ้าได้แล้วหากไม่อยากเห็นเมืองไทยจะกลายเป็นประเทศราวันดาแห่งเอเชีย การเรียกร้องของคนเสื้อแดงให้รัฐบาลยุบสภาภายใต้รัฐธรรมนูญที่รองรับอำนาจอย่างแข็งขันของสถาบันฯ จึงไม่เป็นเหตุเป็นผลที่จะบอกว่าคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมต้องการล้มล้างเจ้า ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่ใช่อื่นใดนอกจาก เป็นไปตามคำกล่าวดังที่ อมาตยา เซน ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า “มันเป็นความโหดร้าย ฉ้อฉล และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่งกับการลดทอนอัตลักษณ์พวกเราให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว” ไม่ว่าคนเสื้อแดงหรือเจ้าหน้าที่ ไม่สมควรตายจากการต่อสู้เรียกร้องทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการถูกยัดเยียดให้เป็นปีศาจและคนอื่นในบ้านตัวเอง

สุดท้ายขอฝากข้อคิดจากคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ที่ศาสนาอิสลามสอนไว้ว่า “แท้จริง หากผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งเท่ากับเขาได้ฆ่าชีวิตมนุษย์ทั้งโลก และหากผู้ใดรักษาชีวิตมนุษย์ แม้เพียงคนเดียว ก็เท่ากับเขาได้รักษาชีวิตมนุษย์ทั้งโลก”
โดย.สุชาติ เศรษฐมาลินี
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------

นปช.เตรียมร้องเรียนอียูขอความยุติธรรมจากนานาชาติ หลากสีหยุดชุมนุมรอดูสถานการณ์

นปช.มอบหมาย "เหวง-จรัล" ร้องเรียน สนง.สหภาพยุโรปประจำประเทศไทยวันนี้ (29 เม.ย.) ด้าน "ขวัญชัย" เผยนาทีชีวิตหน้าอนุสรณ์สถาน "เฉลิม" โทรบอกมีสไนเปอร์ส่อง "หมอตุลย์" ประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อหลากสีอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 53 ที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงข่าวภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกลุ่มเสื้อแดงและทหาร บริเวณอนุสรณ์สถาน ว่า ในวันพรุ่งนี้ (29 เม.ย.) เวลา 11.00 น. ได้มอบหมายให้นพ.เหวง โตจิราการ และ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. ไปที่สำนักงานของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) เพื่อให้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะเราเห็นว่าถ้าประเทศไทยไม่มีความยุติธรรมให้เราก็ต้องขอจากต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าว แกนนำแดงได้นำชายคนหนึ่งมาร่วมแถลงข่าวด้วย ซึ่งชายคนดังกล่าวสวมเสื้อโปโลสีเขียว ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.กล่าวว่า การ์ด นปช.สามารถจับทหารที่ปลอมตัวเข้ามาได้ ซึ่งมีท่าทางพิรุธอยู่บริเวณหลังเวที โดยภารกิจที่ได้รับมอบหมาย คือ จะเข้ามาปลิดชีวิตแกนนำนปช. ค้นตัวพบบัตรระบุชื่อ พลทหารภัทรกร เนตรมานุรักษ์ สังกัดมณฑลทหารบกที่14

จากนั้น แกนนำ นปช.ได้ขอให้ชายคนดังกล่าวเปิดเผยถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา แต่ปรากฏว่าชายคนนี้พูดไม่รู้เรื่อง คล้ายกับคนมีอาการทางประสาท จนทำให้นายณัฐวุฒิกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ถ้าจะบ้าก็บ้าให้จริง จะได้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาล เพราะระหว่างสอบสวน การ์ดนปช.บอกมาว่าคุณยังพูดจารู้เรื่อง"

"ขวัญชัย" เผยนาทีชีวิตหน้าอนุสรณ์สถาน "เฉลิม" โทรบอกมีสไนเปอร์ส่อง
ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เดินทางถึงขึ้นเวทีราชประสงค์แล้ว พร้อมนำผู้บาดเจ็บเกือบ 20 คนมาปรากฎตัวหลังเวที ทั้งนี้ นายขวัญชัย กล่าวว่า พรุ่งนี้(29 เม.ย.) จะขอมติแกนนำเพื่อไปสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เพื่อถาม ผอ.สถานีว่าทำไมจึงด่า นปช. เช้าเย็น

นายขวัญชัย กล่าวว่า ขณะที่อยู่บนรถ 6 ล้อ ซึ่งใช้เป็นรถปราศรัย เมื่อมาถึงดอนเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย โทรศัพท์มาบอกว่า มีคนใช้ปืนสไนเปอร์ส่องมาที่ตนจะเอาชีวิต เลยย้ายจากยืนบนหลังรถเข้ามาอยู่ในตัวรถ และเปลี่ยนเสื้อจากสีขาวมาเป็นสีดำ ขึ้นรถตู้ออกจากพื้นที่ แล้วต่อแท็กซี่กลับมายังราชประสงค์ ที่รอดมาได้

หลากสีหยุดชุมนุมรอดูสถานการณ์
เมื่อเวลา 16.00 น. กลุ่มคนเสื้อหลากสี ได้เริ่มทยอยเดินทางมาชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มีการนัดหมายชุมนุมกันวันนี้ ประมาณ 300 คน ซึ่งไม่มากเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เนื่องจากแต่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ผู้ชุมนุมต่างหากที่หลบฝน ขณะที่กิจกรรมก็ยังไม่มีการเริ่มกิจกรรมใด ๆ มีเพียงรถเครื่องขยายเสียงที่เปิดเพลงปลุกใจ และต่อมาในเวลา 17.15 น. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เดินทางมาถึง และได้กล่าวกับผู้ชุมนุมโดยไม่ได้ขึ้นกล่าวบนรถเครื่องขยายเสียงโดยกล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดวันนี้ เป็นที่ยืนยันชัดเจนแน่นอนว่าการชุมนุมไม่ได้เป็นการชุมนุมแบบปกติ แต่มีการใช้อาวุธกับทหาร ถือเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งนี้ยืนยันว่าเราจะสู้ต่อจนกว่าบ้านเมืองจะได้รับความสงบและสันติสุข แต่ขณะนี้ บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงครามเราต้องรักษาชีวิตไว้ หากเกิดมีการเรียกมาชุมนุมอีกก็ขอให้พี่น้องเตรียมพร้อมไว้ โดยติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางทวิตเตอร์และเฟคบุ๊ค จากนั้น นพ.ตุลย์ ได้นำผู้ชุมนุมร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นเดินทางกลับในทันที โดยมีการ์ดวิ่งตามประกบไปยังรถที่จอดไว้อยู่ใต้ทางด่วน

นพ.ตุลย์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะงดการชุมนุมไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดย การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้รับการร้องขอจากฝ่ายใด แต่เป็นการตัดสินใจของตนในฐานะเป็นผู้นำที่ต้องรักษาชีวิตของผู้ชุมนุม จากนั้นแกนนำประกาศให้ผู้ชุมนุมสลายตัวแยกย้ายกลับบ้านในเวลา 17.25 น.

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, เว็บไซต์ไทยรัฐ, เนชั่นทันข่าว
********************************************************

เกลียดร่วมนั้นรุนแรง??

เกลียดร่วมนั้นรุนแรง??
การชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ที่เข้าลักษณะตาม (1)-(4) ของประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมเป็นเรื่องผิดกฏหมายแม้การกำหนดพฤติการณ์ต่างๆ จะขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งไม่ควรกระทำ แต่เมื่อมีอำนาจตรามกฎหมายก็ทำกันไปแต่การดำเนินการของฟากฝ่ายต่างๆ นั้น ไม่ว่าฝ่ายต่อต้าน หรือฝ่ายชะเลียร์ ที่เข้าข่ายผิดกฏหมายต้องไม่เลือกปฎิบัติอาจจะสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นในประเทศได้แต่อย่าสร้างอาณาจักรแห่งความเกลียดเป็นอันขาดเกลียดร่วมนั้น อานุภาพมันรุนแรงยิ่งกว่านิวเคลียหลายร้อยเท่า??อยู่ด้วยความรัก ดีกว่าถูกทำลายล้างด้วยความเกลียด ไม่ดีกว่าหรือ??
.....................................................................................
ทางออกของประเทศ??
ก.ก.ต.ส่งเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้วเหลือก็แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาพิพากษาเท่านั้นไหนก็ไหนๆ วานประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชัช ชลวร ช่วยสงเคราะห์ทีเร่งรีบพิจารณาเรื่องให้เร็วๆ หน่อยถูกก็ว่ากันไป!!ผิดถ้าจะยุบพรรคก็ให้รีบทำอะไรๆ จะได้สะเด็ดน้ำกันเสียทีนี่อาจเป็นทางออกของประเทศไทยได้เหมือนกันนะ??
...................................................................................
มันอะไรกันนักกันหนา??
ตำรวจไล่จับคนยิงหนังสติ๊กเข้าไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกศาลาแดงแล้ววิ่งเข้าไปในกลุ่มทหารผลปรากฏถูกทหารเอาปืนจ่อหัวห้ามไม่ให้เข้าไปจับถ้าเป็นตำรวจสายสืบนอกเครื่องแบบโดนแบบนั้นก็อาจเป็นการเข้าใจผิดกันได้แต่นี่แต่งเครื่องแบบพันตำรวจโทอยู่ทนโท่ ยังทำได้ชาวบ้านเขาสงสัย หรือว่าพวกนั้นจะเป็นผู้ก่อการดี??ไม่แก้ไม่แถลงให้กระจ่าง ระวังเขาเหมาเข่งได้ว่า เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจฝีมือผู้ก่อการดีแบบนี้ก็ได้เอ้า!! พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเหนิด ออกมาชี้แจงแถลงไขให้ชัดๆ ไอ้ที่บอกว่าทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วนั้น คงไม่พอแน่??
......................................................................................
กรณ์ เฟชบุ๊ค??
ช่วงนี้คงได้คะแนนจาก “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่ใช่น้อยเพราะแม้ กรณ์ จาติกวนิช จะไม่ได้นั่งร่วมในที่ประชุม ศอฉ. แต่ก็ออกมาเจ๊าะแจ๊ะทางอินเตอร์เน็ตให้ “มาร์ค” ใจชื้นขึ้นได้เหมือนกันล่าสุดก็ออกข่าว ชาวเฟชบุ๊ค สี่แสนคนไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาบ่ายสองวันที่ 2 เดือนหน้า ข่าวว่าจะไปรวมตัวกันที่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนก็ว่ากันไปเพราะประเทศไทยล้วนของพวกเราทุกคน หนึ่งคนหนึ่งเสียงเหมือนกันหมด ถ้าให้ดีไปนับหัวกันในคูหาเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือ??
.......................................................................................
เหรียญสองด้าน
ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างแต่อะไรที่เสียน้อยที่สุดน่าเป็นทางเลือกทู่ซี้อยู่เป็นรัฐบาลต่อไป การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่จบ รัฐบาลก็ต้องอพยพไปประชุมตามที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เสียงบประมาณในการดูแลป้องกัมหาศาล ประชาชนแตกแยกออกเป็นหมู่เหล่าจนอาจยากที่จะแก้ไขเยียวยา หากขอพื้นที่คืนก็จุดไฟเผาเมืองดีๆ นี่เองยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน รัฐเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งใหม่ ประชาธิปัตย์อาจไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล“มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เลือกให้ดีๆ ก็แล้วกัน อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือท่านแล้ว!!

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************************

แม้ว ซินาตร้า

นัวเนียนุงนัง..ถ้าเปิดดวงของ ทักษิณ ชินวัตร ดูมันคงจะพุ่งปรู๊ดปร๊าดหัวทิ่มหัวตำเหมือน“ผีพุ่งใต้”ฉวัดเฉวียนเวียนหัวน่าดูคนอะไรเกิดที่ “ภาคเหนือ”แต่ดันมีชื่อเป็น “ภาคใต้”!!เส้นทางของ “ทักษิณ” เหมือน “แฟรงค์ ซินาตร้า” จึงได้เอาไปเปรียบเทียบกันมันคือความเหมือนที่แตกต่าง “แฟรงค์” คือเจ้าของ เพลง มายเวย์..ในขณะที่ “ทักษิณ” ชอบเพลง เรือนแพ (มันเหมือนกันตรงไหนวะเนี่ย) “แฟรงค์” โดดเข้าสู่ วงการบันเทิงเต็มรูปแบบ!!..ในขณะที่ “แม้ว”ก็กระโจนสู่เส้นทางการเมืองแบบเต็มตัว!!เพราะเล่นการเมืองแบบทุ่มสุดๆ..จึงโดน “กับดัก”ทางการเมืองอย่างที่ดิ้นไม่หลุดข้อหาที่ “ฆ่า” นักการเมืองอย่างง่ายๆคือ

คือ “คอร์รัปชั่น”กับ “ล้มสถาบัน”..เพราะเมื่อคิดอะไรยังไม่ออกก็เล่นสองอย่างนี้เป็นหลักไปก่อน “ทักษิณ”โดนเต็ม “สองกระบอกสูบ”...จากนั้นข้อปลีกย่อยจึงได้ทยอยตามมาไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวว่าเป็น “มะเร็ง” โรคร้ายที่จะต้องตายก่อนหมดอายุขัย เพราะผมจะต้องร่วงด้วยการทำ“คีโม”แม้ว ก็ต้องสาธิตวิธีการดึงเส้นผมให้ดู??หรือ..บอกว่า “ต่อมลูกหมาก”ไปไม่รอดแล้ว..ตรงนี้ “แม้ว”โชว์ได้แค่ “สปอร์ตเตอร์เบอร์4”เหมือนจะบอกว่าเป็นแค่ “ไส้เลื่อน”โว้ย!!ล่าสุด..

รัฐบาลเล่นแรงถึงขนาดปล่อยข่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร เดดสะมอเร่..เพราะมั่นใจว่า “ทักษิณตาย”การชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ก็จะต้องจบไปโดยปริยาย
แต่..หารู้ไม่ว่า “เสื้อแดง” ไม่ใช่แค่ก้าวข้าม ทักษิณไปเท่านั้น..แต่ถึงขนาด “โดดค้ำถ่อ”ผ่านเลย จุดสปั๊ดซั่ม แบบกู่ไม่กลับไปแล้วจนในที่สุด “แม้ว ซินาตร้า”ก็โผล่ออกมาโชว์ตัวตามคำเรียกร้องของรัฐบาลแถมฮัมเพลง “ยัง..ยังฉันยังไม่ตาย ยังเยี่ยวได้สบายและยิ้มได้เต็มหน้า”
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************************************

ใครล้มเจ้า?

ไม่น่าเชื่อว่า...ประเทศไทยจะมีผู้ปกครองที่โง่เง่ามัวเมาในอำนาจ!ถึงขนาดมองประชาชนผู้เลือกตั้งเข้ามาเป็นศัตรูที่ต้อง “เข่นฆ่า” ทำลายให้ย่อยยับด้วยการยกกำลังกองทัพเกือบทั้งหมดพร้อมอาวุธครบมือมาประจันหน้าไม่น่าเชื่อว่า...ประเทศไทยจะมีผู้นำที่มีการศึกษาดี พูดจาดูดี จะกล้าใส่ร้ายประชาชนด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งที่ประชาชนเหล่านั้นมีแค่สองมือเปล่า และอาวุธภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ บ้องไฟ หมามุ่ย พริกป่น หรือแม้แต่ อุจจาระไม่น่าเชื่อว่า...ผู้

นำประเทศไทยที่บัญชาการอยู่ในศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนักการเมือง นักการทหาร ข้าราชการพลเรือน จะบังอาจตั้งข้อหากับพสกนิกรของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เพียงเพราะเขาเห็นไม่ตรงกับรัฐบาลด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” ด้วยจินตนาการฝันเฟื่องใน “มายน์แม็ป” ว่าคนนั้นคนนี้คือเครือข่ายผู้ล้มล้างสถาบัน!ไม่น่าเชื่อว่า...ผู้นำประเทศนี้จะกล้านำวิธีการของประเทศ “รวันดา” ในแอฟริกาที่เกิดสงครามกลางเมือง “ล้างเผ่าพันธุ์” มาใช้กับ

ประเทศไทยด้วยการปิดสื่อสารมวลชนเกือบทุกประเภทปิดหู...ปิดตาประชาชนทั่วไปให้ได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียวจากรัฐบาลที่ระดมสื่อทั้งวิทยุโทรทัศน์จัดรายการเช้ายันดึกอย่างหน้ามืดตามัวใส่ร้ายประชาชน แบ่งแยกประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลให้เป็นศัตรู...ปลุกระดมประชาชนอีกฟากให้ขึ้นมา “ประหัตประหาร” คนไทยด้วยกันเอง...ด้วยข้อหาเลื่อนลอยว่าจะ “ล้มล้างสถาบัน”ทั้งๆ ที่ประชาชนเหล่านั้นเขามา “มือเปล่า” มาบอกรัฐบาลด้วยความปรารถนาดีว่า...

ที่มาของคุณไม่ถูกต้อง รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ไม่ถูกต้อง กระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่ไม่ยุติธรรม ให้แก้ไข!แต่รัฐบาลนี้กลับมองไม่เห็นความปรารถนาดีนั้น...ตรงกันข้ามกลับมองเห็นประชาชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปรามจึงระดมสรรพกำลังทุกอย่างมากำจัด ทั้งที่รายชื่อหลายคนที่รัฐบาลเปิดออกมาเป็นคนที่เคยทำหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันด้วยชีวิตมาแล้วมากมายการกระทำของรัฐบาลนี้และลิ่วล้อจึงทำให้สงสัยว่าใครกันแน่ที่ไม่จงรักภักดี...ทั้งที่ผู้เขียนเองไม่เคยเชื่อมาแต่ไหน

แต่ไรเลยว่าคนไทยคนไหนจะไม่จงรักภักดี ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือผู้ชุมนุมเพราะทุกคนคือคนไทยที่อยู่ใต้พระบารมี อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทตลอดมา มีความสุขที่ได้ชื่นชมพระบารมีในวโรกาสต่างๆตลอดมารัฐบาลคิดผิด คิดใหม่เถอะครับ ไม่มีคนไทยคนไหนคิดล้มเจ้าหรอกครับ...อย่าบ้ากันนักเลย!
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกคนเมือง
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

“คนจรหมอนหมิ่น”

๐จบทุกอย่างวันนี้ ก็จะได้เริ่มต้นทุกอย่างในวันพรุ่งนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอก ทูเดย์ ยึดมั่น “ความจริงต้องมาก่อน” คนละความหมายกับ “ประชาชนต้องมาก่อน” ของประชาธิปัตย์!! ประจำวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน2553....“กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP.......

๐ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่ วันนี้ อภิสิทธิ์ เชชาชีวะ ต้องมีสภาพเหมือน “คนจรหมอนหมิ่น” กว่าครึ่งเดือนที่ต้องนอนในบ้านรับรอง ราบ 11 รอ. เพราะคำว่า “เพาเวอร์เพลย์” คำเดียว??.....

๐ คืนวันที่ 26 ที่ผ่านมา “มาร์คอภิสิทธิ์” คิดถึงบ้านจนทนไม่ไหว ตัดสินใจหอบหมอนไปนอนบ้านสุขุมวิท แล้วตื่นก่อนไก่โห่ (07.20น.) กลับไป “ตั้งหลัก” ที่ ราบ 11 รอ. เพื่อเคลียร์งานใน ศอฉ. กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เหมือนเดิม......

๐ ความลับไม่มีในโลก? สองวันก่อน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหาปีนเกลียว (อย่างรุนแรง) กับ เชน เทือกสุบรรณ (น้องเทพเทือก) ถึงขั้นเกิด “วิวาทะเล็กๆ” จนหลายคนอดคิดไม่ได้ว่า มันน่าจะเป็น “สงครามตัวแทน”หรือเปล่า??......

๐ เชน เทือกสุบรรณ ให้นายกรัฐมนตรีกลับไปทำงานที่ “ทำเนียบรัฐบาล” เพราะถือเป็น “สัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ” และเหตุใดรัฐบาลจึงไม่ดำเนินการกับผู้ชุมนุมให้เด็ดขาด?? "หากนายกฯ ทำไม่ได้ก็ให้ลาออก เพื่อให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน" แรงแต่ก็... “มาร์คทนได้”??......

๐ ถามกันว่า ถึงวันนี้ ระหว่าง มาร์คอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ใครมีอำนาจ (ที่แท้จริง)มากกว่ากัน??? ตอบ!! (โดยไม่ต้องลังเล) น่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีทั้งทหารและพรรคร่วมเป็นแนวร่วมอย่างแน่นหนา!!......

๐ ตื่นเต้นกันใหญ่ เมื่อ “สื่อผู้ดีชี้ทางออกไทย” แต่ “กุหลาบพิษ” เชื่อในทฤษฎีการเมืองไทย เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ สื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำของอังกฤษ ทำไปก็ไม่ได้ผล?? เพราะสถานการณ์แตกแยกทางความคิดของเมืองไทยวันนี้ มันไปใกลเกินกว่าจะประสานกันเป็นเนื้อเดียว??.....

๐บทบรรณาธิการเรื่อง "Red Mist" หรือ "หมอกสีแดง" เมื่อ26 เม.ย.ของ เว็บไซต์เดอะไทมส์ เน้นให้เห็นนักท่องเที่ยวอังกฤษที่มาท่องเที่ยวประเทศไทย หายไป 800,000 คนต่อปี ส่งผลสะเทือนไปถึงความมั่นคงในภูมิภาค......

๐ แต่ “กุหลาบพิษ” เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ!! สถานการณ์เมืองไทยวันนี้ ประดาสื่อทั้งหลายวิจารณ์ได้!! แต่ไม่มีผลให้รัฐบาลมาร์คทำตาม หรือคิดตาม อย่างเก่ง มาร์คอภิสิทธิ์ ก็จะสปีคภาษาอังกฤษกับ สำนักข่าวทั่วโลก สั้นๆ พอเข้าใจ!! “ThanK you นะพรรคพวกที่อุตส่าห์เตือน”.......

๐ “เดอะไทมส์” ระบุ ถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องยอมรับ!! ว่า กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ต้องลงจากอำนาจทันที... การสละอำนาจไม่ได้หมายความว่าทำตามคำสั่งกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี!! ที่นี่ THAILAND ประเทศไทย ไม่ใช่ ENGLAND!! โอเคนะ “เดอะไทม์”!!......

๐ นักการเมืองไทยโปรดรับทราบข่าวนี้ แล้วตัดความอับอายทิ้งไปเสีย!! ข่าวจากพม่าที่ไม่เคยสัมผัสการเลือกตั้งมานาน วันนี้ รัฐมนตรีในรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าอย่างน้อย 20 คน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี พลเอกเต็ง เส่ง จะลาออกจากกองทัพในสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นนักการเมืองพลเรือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ แต่ ออง ซาน ซูจี ยังไม่พร้อม?? ไม่ขอลงแข่งปีนี้!!......๐
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

เกียร์ว่าง

“และการที่พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้ทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งให้กระทำ โดยที่มิได้ยับยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฏร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ ของพล

ตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79(5)(6) และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157”

ตำรวจเกียร์ว่าง7 ตุลาคม 2551...วันที่ผู้รักษากฏหมายต้องกลายเป็นผู้ต้องหา..และดูเหมือนว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน..ได้..เร่งรัดและกล่าวหาว่า..พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสั่งการและปฏิบัติการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงยามวิกาล ในที่สุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้ขอให้..สอบสวนเอาความผิดเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป...จาก 7 ตุลาคม 2551...จนถึง 10 เมษายน 2553...ต่าง

กันแต่ว่า..มีความสูญเสียมากขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทางราชการ..วันที่ 7 ตุลาคม..ม็อบเดินทางจากที่ตั้งไปปิดล้อมรัฐสภา..เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบาย..แต่ 10 เมษายน 2553 ผู้รับคำสั่งจากรัฐบาล..เดินทางออกไปหาม็อบ..มีความแตกต่างกันทั้งในรูปแบบและเนื้อหา..ไม่เหมือนกันในพฤติกรรมที่ปราศจากรัฐธรรมนูญรองรับกับมีรัฐธรรมนูญรองรับ..รูปแบบของการใช้แก๊สน้ำตาที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่รถถังยานหุ้มเกราะและปืนกลประจำกาย..ทำถูกก็ผิด

ได้..แล้ววันนี้จะให้ตำรวจ..ไปตายกับติดคุกหรือถูกไล่ออก...อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ...วานไตร่ตรอง..ท่านเองมิใช่หรือที่..เป็นตัวตั้งตัวตีให้เอาผิดกับตำรวจเมื่อ 7 ตุลาคม 51...ตำรวจกับทหารก็เหมือนกัน..เขามีหน้าที่..เข่นฆ่าไล่จับผู้ร้าย..และปกป้องคุ้มครองราชอาณาจักรและประชาชน..จะให้เขา..ใส่เกียร์เดินหน้า.ฆ่าประชาชนคนมือเปล่า..เขาถึงต้องใส่เกียร์ว่าง..ที่ต้องระวังเขาจะใส่เกียร์ถอยหลัง..คนสั่งจะไปติดคุกยกรังกันเปล่าๆ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

รอยเตอร์แฉ มั่ว!

ศอฉ.สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่ หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉย

ความน่าเชื่อถือ อยู่ที่ข้อเท็จจริงและการกระทำที่แสดงออกมา ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด หรือการใช้วาทะที่สวยหรูหรือฟังแล้วดูดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมตกอยู่ในภาวะของการแตกต่างทางความคิดอย่างมากเช่นในขณะนี้ แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อสีอะไรก็ตาม หรือแม้แต่กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลล้วนมีหน้าที่ในการที่จะต้องนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะช่วยผ่อนคลายโอกาสเสี่ยงใน

การเกิดวิกฤติได้ ที่สำคัญหากทุกฝ่ายพูดแต่ความเป็นจริง นำเสนอแต่ข้อมูลที่เป็นจริง โอกาสที่จะก่อให้เกิดการเจรจาเพื่อได้ข้อยุติที่จะหยุดวิกฤติของบ้านเมืองก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนขณะเดียวกันหากให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เสมอภาคกันของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ไม่มีการปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าข้อมูลจากกลุ่มใดก็ตาม ประชาชนก็จะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนมากเพียงพอที่จะวิเคราะห์ตัดสินใจได้มาถึงวันนี้ หากยิ่งปิดๆ บังๆ หรือมีการปิดกั้นก็จะยิ่งเหมือนการยั่วยุ

แล้วปัญหาก็จะไม่จบอย่างแน่นอนดังนั้น นี่คือ หัวใจหลักที่คงต้องสะกิดเตือนให้รัฐบาลตระหนักถึงความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหยุดปิดกั้นสื่อที่จะกลายเป็นเหมือนยิ่งว่ายิ่งยุและการถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่จะเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะในนามของรัฐบาล หรือในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)จะต้องถูกต้อง แม่นยำ และเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงจะเกิดผลดีทั้งต่อการยอมรับ และต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนาย

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้กุมกลไกอำนาจบริหารสูงสุดในขณะนี้นายอภิสิทธิ์ ในวันนี้ต้องการภาพความสง่างามที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะสามารถฝ่าวิกฤติในรอบนี้ไปได้ และยืนหยัดบนถนนการเมืองได้อีกยาวนาน เพราะเป็นผู้ที่มีความพร้อมทั้งชาติตระกูล อายุ การศึกษา และหน้าตาจึงไม่ควรที่จะมาพลาดพลั้งสะดุดขาตัวเองจนตกเวทีการเมืองไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นดังนั้น วันนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของ ศอฉ. ให้รอบคอบถี่

ถ้วนก่อนที่จะให้มีการแถลง หรือมีการนำเสนอต่อสังคมอย่างกรณีเผือกร้อนล่าสุด คือ การเปิดเผยแผนผัง “เครือข่ายล้มสถาบัน” ของ ศอฉ.ที่เผยแพร่ออกมานั้น แม้ว่าในมุมมองของ ศอฉ. อาจจะถือว่าเป็นประเด็นแรง ที่สามารถกระชากเรตติ้งของ ศอฉ. ได้เป็นอย่างดีเพราะสำหรับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือแม้แต่ในวินาทีนี้ คนไทยทุกคนไม่ว่าเชื่อชาติใด ใส่เสื้อสีใด ภายใต้ร่มเงาพระบรมโพธิสมภารแล้ว เรื่องของความจงรักภักดีสูงสุดต่อสถาบันแล้ว ไม่มีใคร

ยอมใคร ไม่มีใครเทิดทูนหรือจงรักภักดีน้อยกว่าใครอย่างแน่นอนดังนั้น การที่ ศอฉ. มองในแง่บวกด้านเดียวในการที่จะสร้างเรตติ้งเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือว่าเป็นการที่สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่เป็นอย่างมากหากข้อมูลที่เปิดเผยออกมานั้นมีจุดอ่อนแถมในกรณีนี้เป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่บรรดาสื่อต่างชาติ ยังมีการตั้งคำถามเรื่องรายชื่อ “เครือข่ายล้มเจ้า” เลยว่า จริงๆ แล้วมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่เพราะดูแล้วมีแนวโน้มและความเป็นไปได้อย่าง

มากในการที่อาจจะนำไปสู่การปราบปรามคนเสื้อแดง อย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานชัดเจนว่า ในขณะที่ทางตันของวิกฤติการณ์การเมืองในประเทศไทยกำลังไร้ทางออกมากยิ่งขึ้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เริ่มกล่าวโทษแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนว่า ต้องการล้มล้างสถาบัน แต่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ปฏิเสธข้อหาดังกล่าวโดยผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดงมักจะแสดงว่าตนเองมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กล่าวโทษองคมนตรีบางคนว่า

เข้ามาแทรกแซงการเมืองและมีส่วนในการก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าการกล่าวโทษแกนนำเสื้อแดงด้วยข้อหาหมิ่นสถาบัน ถือเป็นความพยายามในการแสวงหาแรงสนับสนุนจากสาธารณชนที่จะอนุญาตให้เกิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง คล้ายคลึงกับการกล่าวโทษและปราบปรามขบวนการนักศึกษาในช่วงปี 2516-2519นี่คือ รายงานข่าวของรอยเตอร์ขณะเดียวกันที่เว็บ

ล็อกนวมณฑลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ก็ได้มีการอ้างอิงข่าวจากเว็บไซต์มติชนออนไลน์ที่ระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวถึงการดำเนินการกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏในเอกสารโครงข่ายล้มสถาบันที่จัดทำโดยศอฉ. ว่า จะดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง ถ้าใครที่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะออกหมายจับกุมตัว หากจำเป็นก็จะออกประกาศห้าม

บุคคลเหล่านี้ออกนอกราชอาณาจักรไทย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในเอกสารดังกล่าวเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า “เป็นใครก็ทำทั้งนั้น ไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรักของพี่น้องประชาชน”จากข่าวดังกล่าว เอลิซาเบธ ฟิทซ์เจอรัลด์ นักเขียนรับเชิญของเว็บล็อกนวมณฑล ได้ตั้งคำถามถึงการให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีว่า หลักฐานชนิดใดที่นายสุเทพ จะนำมาใช้ยืนยันถึงความ

ผิดของกลุ่มคนดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ? ศอฉ. สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร? หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่? หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน?นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีก

เลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉยที่น่าเป็นห่วงก็คือ เวลานี้เอกสารผังเครือข่ายล้มสถาบันของ ศอฉ. ไม่เพียงหมิ่นเหม่และทำให้เกิดคำถามในสังคมมากมาย แม้แต่ความน่าเชื่อถือของเอกสารก็ยังเกิดผลกระทบ ว่า น่าเชื่อถือได้เพียงใด เพราะมีกรณีผิดพลาด เหมือนกับคนเขียนไม่รู้ลึก ไม่รู้จริงนั่นก็คือ กรณีที่แผนผังดังกล่าวมีการระบุว่า “แหล่งรวมของผู้โพสต์ข้อความต่อต้านสถาบันนั้นอยู่ที่เว็บไซต์ฟ้าเดียว

กัน/คนเหมือนกัน โดยมีผู้นำทางความคิด คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่าน อดีตภรรยานามสกุล ชินวัตร”พลันที่ ศอฉ. เผยแพร่เอกสารออกมา นายสมศักด์ ก็ได้โพสต์กระทู้แสดงความคิดเห็นต่อแผนผังดังกล่าวของศอฉ. ลงในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ชื่อกระทู้ “เฮ้ ไชโยๆๆ เพิ่งรู้ว่า ผม “สายตรง” ถึงแม้วได้ว่ะ ไว้ว่างๆ ขอเงินใช้

มั่งดีก่า “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ นะเว้ย ขอบอก”เนื้อหาในกระทู้ บอกว่า เห็นข่าวแฉ “เครือข่ายล้มสถาบัน” ตอนแรก ก็ไม่ได้สนใจมาก แต่ว่างๆ เลยโหลดมาดู อ้าว! เฮ้ย มีชื่อของข้าพเจ้าด้วยว่ะ เอิ๊กๆๆ ขำจนเกือบตกเก้าอี้ ที่ขำมากไม่ใช่อะไรตามแผนภูมินี้ ผม “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ มุสิกพงศ์ เสียอีก เพราะชื่อผมมีเส้นโยงกับทักษิณ ตรงเส้นระหว่างชื่อผมกับชื่อทักษิณน่ะ เหมือนกับมีคำว่า "นามสกุล ชินวัตร"?เท่านั้นก็กลายเป็นเรื่องตลก ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในพลเมือง

เน็ตทันทีว่า นายสมศักดิ์ มีอดีตภรรยานามสกุลชินวัตรหรือเปล่า??? หรือว่าเคยมีกิ๊กนามสกุล ชินวัตรหรือไม่??? ซึ่งนายสมศักดิ์ ตอบคำถามเหล่านี้ว่า อย่าว่าแต่ “อดีตภรรยา” หรือ “กิ๊ก” เลยครับ ในชีวิต 52 ปี นี่ไม่เคยแม้แต่เจอตัวหรือคุยกับใครที่นามสกุลชินวัตร เลย... ถ้าเคยเจอตัวหรือคุย ผมต้องจำได้แน่นอน นามสกุลดังขนาดนี้ สมัยผมเด็กๆ เคยแต่ได้ยินชื่อ “ชินวัตร ไหมไทย”พร้อมกับเห็นพ้องกับความเห็นในกระทู้ว่า ศอฉ. คงต้องการให้ตรงนี้ (อดีตภรรยานาม

สกุล “ชินวัตร”) หมายถึง คุณหญิงพจมาน แต่ครั้นจะเขียนชื่อตรงๆไป ก็คงกลัวถูกฟ้องร้อง ก็เลย เขียน “อดีตภรรยา นามสกุล ชินวัตร” พูดง่ายๆ แผนภูมิ ตรงนี้ ต้องอ่านมาจากชื่อ “ทักษิณ” ไม่ใช่จาก “สมศักดิ์” (ส่วนอีกเส้น “ผู้นำทางความคิด” นั่นคงอ่านมาจากชื่อผมแหละ)ปล. อย่างที่บอกว่า คนนามสกุล ชินวัตร นี่ ผมเกิดมาไม่เคยเจอตัว อย่าว่าแต่พูดคุยหรือ มีสายสัมพันธ์ แต่ถ้าหมายถึงคุณพจมาน และพูดถึงเรื่องนามสกุลกัน ในชีวิต ผมเคยคุยกับคนนามสกุล “ณ

ป้อมเพชร” (นามสกุลเก่า/ปัจจุบัน คุณพจมาน) คนนึงจริงๆ คือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร) ผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน สงสัยว่า ศอฉ. หรือ สปายของ ศอฉ. บังเอิญได้อ่าน แล้วจับแพะชนแกะ แบบนี้หรือเปล่า เพราะไม่งั้น นึกไง ก็นึกไม่ออกว่า ผมจะ “สายตรง” กับ คุณพจมาน ได้ไง เกิดมาไม่เคยเจอเหมือนกันบางกอก ทูเดย์ นำความจริงมาสะท้อนให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้เห็นถึงความไม่รอบคอบของเอกสาร ที่กลายเป็นสร้างภาพของความไม่น่า

เชื่อถือตามมา ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะหลังจากเผยแพร่เอกสารนี้โดย พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิดแล้ว นายสุเทพ ก็พูดตาม รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ก็พูดเออออเป็นจริงเป็นจังไปด้วยเมื่อเอกสารผิดพลาด เมื่อสื่อต่างชาติตั้งข้อสังเกตออกมาในแง่ลบคงต้องถามว่า แบบนี้คุ้มกันหรือไม่???ทำไมไม่เลือกสันติวิธี เจรจากันเพื่อหาทางออกเพื่อประเทศชาติไม่ดีกว่าหรือ... ถามจริง!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

เจาะใจการชุมนุมราชประสงค์ ไม่ต้องจ้างแต่มาเอง

มีแต่รายงานข่าวแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในด้านลบ..ฉบับนี้บางกอก ทูเดย์ ขันอาสาเจาะใจ “การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง” โดยนำเสนอ “แก่นแท้” ของการรวมตัวของคนนับแสนคน “ประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย” ส.ส.สมุทรปราการ หรือ ส.ส.โจ ของคนปากน้ำ ส.ส.โจ เป็นไกด์พาเราทัวร์บริเวณการชุมนุมเป็นระยะทางที่ไกลมาก เราพบเห็นการเป็นอยู่ของผู้มาชุมนุมในหลากหลายรูปแบบ แต่ที่เหมือนกันคือ พวกเขามาด้วยใจแต่ก่อนที่จะเข้าสู่บริเวณของการชุมนุม ส.ส.โจ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ว่า ด่านมีทั้งหมด 6 ด่าน ประกอบด้วย ด่านอังรีดูนัง ด่านปทุมวัน

ด่านศาลาแดง หรือด่านสีลม ด่านวิทยุ หรือด่านหลังสวน ด่านแยกเพลินจิต ด่านแยกประตูน้ำ ด่านที่คาดว่าปะทะ คือ ด่านอังรีดูนัง ด่านศาลาแดง และด่านวิทยุ จุดอื่นไม่น่าเกิดการปะทะเพราะด่านอื่นเป็นเส้นตรงไม่ซับซ้อน ด่านที่ส.ส.โจ ดูแล คือ ด่านอังรีดูนัง โดยวางมาตรการการดูแลอย่างกว้างขวางครอบคลุมทั่วอังรีดูนัง เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม ใช้การ์ด 50 คนต่อ 1 กะ และใช้เวลา 12 ชั่วโมงต่อ 1 กะ เราใช้คนเป็น 100 คน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน

ให้พี่น้องประชาชนที่ฟังปราศรัยอยู่ข้างใน โดยมี สุเมต รัตนะ แกนนำฝ่ายปฏิบัติการกลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย หัวหน้าการ์ดสมุทรปราการสำหรับด่านอังรีดูนัง เราจะดูแลด้วยความเข้มแข็ง ตรวจเข้มตลอดเวลา และเป็นด่านที่ประชาชนผ่านเข้า-ออกเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อมต่อกับสยามแสควร์และกองบัญชาการสอบสวนกลาง จึงเห็นว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จึงต้องระมัดระวังและคุ้มกันอย่างเข้มแข็ง โดยมีอาวุธป้องกันตัวตามอัตภาพ คือ หนังสติ๊ก ไม้ไผ่ นอกจาก

นี้เรามีวิทยุสมุทรปราการ 2 สถานี คือ 97.25MH -101.25MH วิทยุเราเป็นแม่ข่ายในการเกี่ยวสัญญาณจากเวทีกลาง และสามารถส่งต่อได้อีกกว่า 100 สถานี โดยผ่านทาง www.googel.com และพิมพ์ชื่อ บูมเรดิโอ เพื่อค้นหาก็สามารถฟังได้ ทั้งนี้การสร้างบูมเรดิโอขึ้น เพื่อให้นปช. มีช่องทางสื่อสาร กระจายข่าว เพราะที่ผ่านมา เราโดนโจมตี ข่าวที่ออกมาตลอดเวลาคือ ตำรวจเข้ามาปะทะและให้ทหารโอบ เพื่อให้ตำรวจบาดเจ็บและสร้างความชอบธรรมโดยบอกว่า

นปช. ทำลายทหาร เรามีเทคโนโลยีป้องกันการตัดสัญญาณ ซึ่งอาทิตย์หน้าเราจะมีคลื่น 106.25 MH ขณะนี้เรามีคลื่นที่รับฟังได้เพียง 4 คลื่น คือ FM 95.25 MH, FM 96.35 MH, FM 101.25 MH, FM 106.85 MH ส.ส.โจ เล่าว่า ประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทยที่สวมใส่เสื้อสีแดง มาแสดงตัวรวมกัน เพราะรับไม่ได้กับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความรู้ และวิสัยทัศน์ของพวกเขาคนเสื้อแดงชุมนุมด้วยความเป็นอารยธรรม มีความรักและความห่วงใยในบ้านเมือง ทุกคน

มาชุมนุมด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการทะเลาะ แม้แต่การตรวจ หลายคนฮึดฮัด แต่สุดท้ายก็ยอมให้ตรวจโดยดี วันนี้รัฐบาลประมวลผลเราผิด และมีความพยายามจะเอาชนะเรา พยายามสื่อสารว่า คนที่มาชุมนุมมีการจ้างมา ชุมนุมด้วยความโหดร้าย ความจริงไม่ใช่ การชุมนุมครั้งนี้เต็มไปด้วยสปิริต คือ การรู้ถูก รู้ผิด วันนี้รัฐบาลบล็อกสัญญาณ ยิงสัญญาณรบกวน ทำให้ประชาชนไม่ใส่เสื้อแดง เพราะมีการสร้างม็อบชนม็อบแท้จริงแล้ว...เราต้องตอบคำถามว่า ทำไม

รัฐบาลนี้ประชาชนไม่เอาแล้ว เพราะรัฐบาลมีการคอร์รัปชั่นมาก โกงกินมาก วันนี้มีความแตกแยกในบ้านเมือง รัฐบาลไม่แก้ แต่กลับสร้างระบอบ 2 มาตรฐาน ขึ้นมาตอกย้ำประชาชนอยู่ตลอดเวลาเรื่องเหล่านี้กระทบจิตวิญญาณของทุกคน ประกอบกับมีการกู้เงินเยอะๆ และมีการคอร์รัปชั่นมากๆ ทำให้เศรษฐกิจเดินไม่ได้ ทั้งหมดนี่คือ พลังที่ผลักดันให้เกิดการรวมตัวของ นปช. ที่แท้จริง เราไม่ได้ทำงานเพื่อใคร แต่เพื่อรักษาระบอบของประเทศเรา คุณใช้กำลังทหารได้แต่

ต้องไม่ใช้อาวุธสงคราม ถ้ารัฐบาลเอาทหารมาแล้วมีอาวุธสงครามติดมือถือเป็นรัฐบาลเผด็จการ ส.ส.โจ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลใช้อาวุธสงครามคือ เผด็จการ ใช้อาวุธฆ่าประชาชนคือ ทรราช เมื่อสร้างม็อบชนม็อบถือว่า เป็นรัฐบาลที่แย่กว่าความเป็นทรราช นปช. ต้องการให้บ้านเมืองเราเจริญเติบโตแบบอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ให้ประเทศคัดคนเก่งขึ้นมาบริหารประเทศ ให้ทุกคนมีโอกาส
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************************************

ศูนย์เอราวัณสรุปยอดเหตุปะทะทหารตาย1เจ็บ18

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ สามแยกดอนเมือง ช่วง ถ.วิภาวดีรังสิต บรรจบกับ ถ.พหลโยธิน ว่า หลังจากเจ้าหน้าที่กองกำลังผสมทหาร-ตำรวจได้สกัดกลุ่มคนเสื้อแดงจากแยกศาลาแดง นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนออกนอกพื้นที่ชุมนุม เพื่อไปให้กำลังใจคนเสื้อแดงปทุมธานี ที่ปักหลักชุมนุมอยู่ที่ตลาดไท จนเกิดการปะทะกันตั้งแต่เวลา 14.00 น. ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และมีทหารเสียชีวิต 1 นาย

ต่อมา เวลา 17.00 น. ตำรวจที่อยู่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ใกล้อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ได้ถอนกำลังออกไปประจำ ณ จุดสกัดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เบื้องต้นยังไม่ใครให้ข้อมูลว่า จะยังคงเจ้าหน้าที่ไว้ที่จุดปะทะหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ถอนกำลังกลับหมดแล้ว หลังตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่ามีคนเสื้อแดงเหลืออยู่ในบริเวณใกล้เคียง

สำหรับการจราจรบน ถ.วิภาวดีรังสิต ทั้งขาเข้าขาออก เจ้าหน้าที่ยังคงปิดการจราจร รวมทั้งบนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ และเริ่มระบายรถที่ยังคั่งค้างอยู่บนถนนตั้งแต่ช่วงบ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันบริเวณอนุสรณ์สถานว่า เป็นทหารจากกองพันที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ถูกยิง ขณะนี้ศพอยู่ภายในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ยังไม่สามารถนำออกมาจากพื้นที่ได้ และยังไม่ทราบว่าถูกกระสุนจากฝ่ายใด เพราะสถานการณ์ค่อนข้างชุลมุน

ล่าสุด ศูนย์เอราวัณ กทม.รายงานเมื่อเวลา 18.00 น.ว่า ได้รับการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาระ โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกนั้นผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 18 ราย กลับบ้านแล้ว 3 ราย ที่เหลือยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และมีอาการสาหัส 3 ราย อยู่ไอซียูโรงพยาบาลภูมิพล 1 ราย ไอซียูโรงพยาบาลวิภาวดี 1 ราย และไอซียูโรงพยาบาลแพทย์รังสิต อีก 1 ราย



ที่มา.เนชั่น
******************************************************