ถามว่า...รัฐบาลนี้จะไปกันได้ “ตลอดรอดฝั่ง” หรือไม่?ในเมื่อทั้งศึกในและศึกนอกยังเป็นสิ่งที่ท้าทายผู้บริหารภายในพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะยังคงแก้ไขปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกไปถึงอีกเมื่อไหร่เพราะหลายครั้งหลายคราที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เล่นมุกตลกแต่ไม่ชวนขำ “ลับ ลวง พราง” ใส่บรรดาพรรคร่วมทั้ง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมใจไทยชาติพัฒนา เพื่อแผ่นดิน กิจสังคม เรียกว่า...สับขาหลอกจนไม่รู้ว่า ฝ่ายไหนเป็นผู้ที่โดนหลอกกันแน่ดูได้จากการประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเร็วๆ นี้...ซึ่งใช้เวลาในการประชุมยาวนานถึง 5 ชั่วโมง โดยสองแกนนำหนังเหนียว คือ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรค
และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษา...ออกมาเบรกตัวโก่ง ห้ามแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตรา โดยให้เหตุผลแบบหล่อๆ สไตล์พรรคประชาธิปัตย์ว่า...เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ งานนี้คนที่ตกอับคงไม่ใช่ใครนอกจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่สัญญากับ “พรรคร่วมรัฐบาล” พวกเรา “จูบปาก” ขึ้นเป็นรัฐบาลก็เพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ?การเสนอแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้...ในใจพรรคร่วมก็รู้อยู่เต็มอกว่า...ความเป็นไปได้นั้นมีไม่
มาก...แต่ก็ยังพยามหวังลึกๆ ว่า “พรรคประชาธิปัตย์” จะยึดมั่นในคำสัญญาแต่พรรคร่วมคงลืมไปกระมัง “สัญญาใจ” ที่ว่า...พรรคประชาธิปัตย์ลืมบอกไปเหมือนกันว่าพวกท่านต้องออกแรงลงไปงมหากันเอาใน “มหาสมุทร” สัญญานั้นพวกเรามีให้...แต่จะให้เท่า “ก้อนกรวด” ในมหาสมุทรก็คงไม่มีใครว่า!เหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ “ท้องอืด” คล้ายจะเป็นลม...ไม่สนในคำร้องขอของพรรคร่วมคงมีเหตุผลสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ เลือกตั้งครั้งหน้า “พวกกูตายแน่”ยิ่งถ้าแก้รัฐ
ธรรมนูญ...ยิ่งไปกันใหญ่ เผลอๆ ความฝันที่จะได้ถึง 280 ที่นั่งอาจหล่นมาเหลือ 99 ที่นั่ง...เพราะอยู่ในช่วงลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...เพราะแค่ประเมินด้วยสถานการณ็วันนี้ก็สามารถมองได้ทะลุปรุโปร่งว่า “พรรคเพื่อไทย” จะต้องวิ่งเข้าวิน..ในขณะที่ประชาธิปัตย์เดินต้วมเตี้ยมเป็น “เต่าสี่ขา”เหตผลุที่ไม้แก้รัฐธรรมก็ไม่มีอะไรนอกจาก “ทิ้งเพื่อน” เอาตัวรอด...รักษาสมาชิกสถาผู้แทนราษฎร “หลักร้อย” เอาไว้เพื่อจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างนี้น่าคบจริงๆ แต่การเมืองในวันนี้
ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่สามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะ “การแถลงข่าวรายวัน” ไม่ได้มีประโยชณ์อะไรกับประชาชนเลยแม้แต่น้อย หาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เลือกที่จะแก้ปัญหาการชุมนุมแทนการแถลงข่าวตอบโต้รายวัน...ปัญหามันคงไม่ลามมาถึงขั้นนี้นั่นก็แสดงให้เห็นว่า...รัฐบาลทำอะไรไม่ได้! ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร...ช่วยกันหาทางออกที่รอมชอมจะดีกว่าไหม...ละเว้นไว้สักระยะสำหรับ
การ “ยึดติดอำนาจ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในภายภาคหน้า จะลาออก หรือ ยุบสภา หรือจะอยู่กันไปวันๆ แบบนี้ แต่ขอบอกอย่างหนึ่งว่า...ถึงวันนี้ประชาชนทั้งประเทศพวกเขากำลัง “เสี้ยนใจจะขาด” เพราะความกระตือรือร้นที่อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าไม่เช่นนั้นจะมี “บรรดาม็อบเกือบทุกสี” ที่ออกมาแสดงสิทธิ์ แสดงพลังในการขับเคลื่อนเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปอย่างนี้หรือ...โดยพวกเขาเน้นย้ำว่าต้องเป็นการเดินหน้าอย่างมีสติและการเมืองใน
ประเทศนี้ต้องดีขึ้นสังคมนี้ต้องการคนเสียสละ...เพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอด...ถึงนาทีนี้คงพึ่งใครไม่ได้อีกแล้วสำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งต้องพึ่งสองรูจมูกของตนเองหายใจยังไม่สายหากคิด “ล้างไพ่” เลือกตั้งใหม่...เริ่มต้นใหม่...ภายในระบอบพรรคการเมืองที่ปราศจาก “มืออีแอบ” ที่มองไม่เห็นหากช้านานไปกว่านี้...ใครบางคนในพรรคประชาธิปัตย์คงไม่วายออกไปเดินกลางถนน...แล้วถูกประชาชนรุมทัณฑ์ “ตายหยั่งเขียด”
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.....................................................
วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553
ผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่า ปรากฏการณ์ “ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับข้าราชการเกียร์ว่าง"

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มองการเมืองไทย ทะลุมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 เขามองปรากฎการณ์ของ ไพร่ อำมาตย์ และทหาร ได้ลึกกว่าใคร "บทสัมภาษณ์ ดร. ชาญวิทย์ ในบรรยากาศอึมครึมก่อนมีพายุใหญ่
@แนวโน้มเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ภาพรวมคิดว่า น่าจะจบด้วย 1) นายกฯยุบสภาหรือลาออก 2) นองเลือดแล้ว หลังจากนั้น ขบวนการเสื้อแดงมุดลงดินกับขึ้นไปในโลกไซเบอร์ และ 3) เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยมองเรื่อง “กฤษดาภินิหาร” อย่างเช่นหนังสือที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ “กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของกรมพระนเรศ” (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเศรวรวรฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์บวรเดช เจ้าอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานล้มล้างการปกครองของรัฐบาล อันเป็นเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476)
@ เท่ากับว่าพัฒนาการประชาธิปไตยไม่คืบหน้าหรือเปล่า
มันอยู่ที่คนกลุ่มไหนเป็นคนมอง บางคนอาจหมดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่บางคนก็อาจจะมองว่ามันกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าถึงจุดที่ดีกว่าเดิม เป็นที่มาของประโยคประเภทที่ว่า “กลียุคเป็นบ่อเกิดแห่งเสรีภาพ”
@ ฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน
มองยากว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะบางคนก็คิดว่าถึงทางตัน แต่ความจริงแล้วสังคมก็เดินของมันไป
@ ขณะนี้รัฐบาลเตรียมจัดการกับผู้ก่อการร้าย
ผู้ก่อการร้ายเป็นวาทกรรมที่ซับซ้อนมากๆ ภาษาไทยแปลมาจากคำในสมัยยุค sixty-seventy (ยุคค.ศ.1960 ค.ศ. 1970) ในสมัยสงครามเย็น สมัยความขัดแย้งของลัทธิ เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างมาต่อต้านคอมมิวนิสต์ เป็น insurgency หรือ insurgent ซึ่งหมายถึงคน ผู้ก่อการร้ายสมัยสงครามอินโดจีนสมัยไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับอเมริกา
แต่คำว่าผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันน่าจะหมายถึง terrorist หมายถึงคนที่เป็นผู้ก่อการร้าย กับคำว่า terror อันนี้เป็นศัพท์ที่มาจากความขัดแย้งของโลกตะวันตกกับโลกมุสลิม มาจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด ใน ค.ศ. 2001 แปลว่าเป็นเรื่องระดับสากลมากๆ ฉะนั้น การที่รัฐบาลใช้คำนี้เป็นการใช้คำที่กำกวมและเกินเลยต่อสภาพของความเป็นจริง เป็นการใช้ในความหมายแบบเก่าครึ่งหนึ่ง หมายถึงผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีนัยยะครอบคลุมคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายเก่าในยุคหลัง 6ตุลา 2519 และใช้ในความหมายที่คลุมไปถึงการก่อการร้ายในปัจจุบันคือเรื่อของการถล่มตึกเวิลด์เทรด เรื่องของประเทศอิรัก เรื่องบินลาเดน เรื่องของอัฟกานิสถาน รวมทั้งนัยยะของเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในด้านหนึ่งเป็นการยกสถานะความขัดแย้งจากถนนราชดำเนิน หรือแยกราชประสงค์ให้เป็นระดับอินเตอร์ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ แต่ผมคิดว่าปัญหาของเรามัน local มากกว่า มันเป็นเรื่องท้องถิ่นมากๆ ฝ่ายแดงมีปลาร้า โคมลอย ทอดแห ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟ แม้เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. จะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการปะทะกันนั้นมีอาวุธร้ายแรง แต่โดยภาพรวมของฝ่ายแดงมันก็ดู local อยู่ดี
@ เชื่อว่าใช้คำแบบนี้เพื่อพร้อมปราบปราม
แน่นอน เพราะคำว่าผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่ามาแล้ว สร้างความชอบธรรมให้การประหัตประหาร
@ ปัญหาของการใช้คำกำกวม
วาทกรรมของรัฐบาลอาจไม่ได้ผล เพราะคำเช่นนี้เคยใช้ในสมัย 14 ตุลา 2516 พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ผล ใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ บ่อนทำลายประเทศชาติ ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ตรงกลาง(ระหว่างคนที่พร้อมจะเชื่อรัฐบาลกับคนที่ไม่เชื่อรัฐบาล) เชื่อรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งคนพวกนี้มีจำนวนมาก และการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น ไทยรัฐหน้า 3 และการ์ตูนการเมือง เกาเหลาชามเล็กในมติชน ก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลก ทำให้ความขลังของอำนาจ(รัฐบาล)พังพินาศลงถูกหัวเราะ แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า การปราบปรามจะสำเร็จไหม หรือจะเป็นบูมเบอแรงเหมือนวันที่ 10 เมษา หรือไม่ เช่น แม่ทัพถูกเด็ด อาวุธยุทธโธปกรณ์ถูกทำลาย
@ หลังวันที่ 10 เม.ย. ก็ไม่ได้สะเทือนอำนาจของรัฐบาล
- ผมคิดว่าสะเทือน มันถึงได้คาราคาซังไง จากวันที่ 10 เมษา มาถึงวันนี้ กว่า 10 วัน ไม่มีอะไรคืบหน้า มันเหมือนกับเป็น “เกมรอ” เป็น “waiting game” เกมมันลากยาวมากเพราะสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่แท้จริงแต่มันยันกันอยู่หมดเลย ไม่งั้นมันจบเร็วๆไปแล้ว แต่ความจริงคือมันยังยันกันอยู่
@ การที่รัฐบาลยังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ได้แปลว่าชนะ
ผมกลับมองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในฐานะลำบากมาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหาทางจบเกมไม่ได้ ณ เวลานี้นะครับ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ณ เวลาที่ฝุ่นตลบ อีก 1 ชั่วโมงสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปก็ได้ พูดยากมาก
@ การชุมนุมตึงเครียดมีความหวาดระแวง
ม็อบยังไม่ชนะหรอกครับ แต่การชุมนุมมาเดือนกว่านี้ ฝ่ายเสื้อแดงเก็บคะแนนมาตลอด เพียงแต่ถูกตัดแขนขา เพราะต้องต่อสู้กับผู้กุมอำนาจรัฐประกอบด้วยตำรวจ ทหาร เผลอๆ มีตุลาการอีกด้วย แถมยังมีกองกำลังเสริม(ฝ่ายรัฐบาล)อยู่เป็นระยะๆ แต่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐและผู้สนับสนุนก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้
@ ปัญหาทหารตำรวจเกียร์ว่าง เพราะไม่แน่ใจว่าอำนาจจะพลิกไปทางไหน
ผมว่าในยุคที่การเมืองเสื้อเหลืองออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีข้าราชการเกียร์ว่าง แต่มันไม่ชัดเจนเท่าคราวนี้ ที่เสื้อแดงต่อต้านรัฐบาลแล้วกลไกของรัฐนั้นกลายเป็นง่อยไปเลย เป็นปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะปกติกลไกรัฐต้องทำตามเจ้านายสั่ง แต่คราวนี้เจ้านายไม่สามารถจะสั่งได้ เหมือนกับ ผู้นำทหารจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลนายสมัคร รัฐบาลนายสมชายสั่ง เขาก็ไมทำ ส่วนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่ง เขาก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าคุณมีambition สูง(ความทะเยอทะยาน) อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ถ้าทหารยึดอำนาจแล้วก็ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วจะไปยึดอำนาจทำไม(หัวเราะ) ยึดอำนาจแล้วก็ซวยถูกด่าอีกต่างหาก รัฐบาลมาก็เปลี่ยนตัว แต่สถาบันตำรวจทหารนั้น มันขึ้นอยู่กับผู้คุมสถาบันทหารตำรวจจะเอาตัวเข้าแลกหรือเปล่า
ในสมัยอยุธยา มีไพร่ ใช้วิธีการต่อสู้โดยการ “เฉื่อยงาน” เช่นว่า ไพร่ถูกเกณฑ์มาขุดคลอง ถางหญ้า สร้างกำแพง มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ มันก็เฉื่อยงาน มันทำให้งานช้า งานไม่สำเร็จ การเฉื่อยงานเป็นเรื่องปกติในสังคมโบราณ ซึ่งเกิดในระดับล่างของคนที่เป็นไพร่ เป็นทาส แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับไปเกิดในกลุ่มข้าราชการของรัฐ “เกียร์ว่าง” ซึ่งเป็นคำศัพท์ใหม่ ก็คือ “เฉื่อยงาน” ซึ่งเป็นคำศัพท์สมัยเก่า
ตอนที่รัฐบาลนายสมัคร-นายสมชาย หรือรัฐบาลปัจจุบันสั่งให้ ผบ.ทบ.ทำ...ก็ไม่ทำ เป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่ข้าราชการเฉื่อยงานตามแบบของพวกไพร่ในสมัยอยุธยา
ในพงศาวดารอยุธยา หรือในพงศาวดารจีน ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ กลุ่มต่างๆ ก็ช่วงชิงความได้เปรียบ เหมือนว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดช่องว่างทางอำนาจ หรืออีกด้านหนึ่งคือ “ไม่มีใครมีอำนาจอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัด”
@ความแตกแยกในกองทัพ
สิ่งที่น่าเสียดาย คือในวงวิชาการไม่มีนักวิชาการที่รู้เรื่องกองทัพการทหาร ทำให้ไม่สามารถอธิบายการเมืองไทยได้ อาจจะมีคนเดียวคือ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องกองทัพ หรืออาจจะมีนักข่าวที่รู้อย่างคุณวาสนา นาน่วม แต่สิ่งที่นักรัฐศาสตร์ไทย “กลวง” คือ ไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใครในกองทัพ ไม่มีการทำงานวิจัยจริงจัง คณะรัฐศาสตร์จุฬา-ธรรมศาสตร์ล้าหลัง เพราะการจะเข้าใจการเมืองประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ต้องเข้าใจว่าสถาบันองค์กรเหล่านั้นเป็นอย่างไร งานวิจัยจริงจังมีน้อยมาก ทำให้นักวิชาการนักรัฐศาสตร์ใช้แต่คอมมอนเซนส์
กรณีที่เกิดขึ้นกับนายทหารระดับสูง(ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ) ในวันที่ 10 เม.ย. เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไม่คิดว่าจะมีปรากฏการณ์อันนี้กลางกรุงด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเราก็มึนงง ถ้าเราดูจากสื่อกระแสหลัก ทีวี โทรทัศน์ เราจะไม่มีทางเข้าใจ เรื่องที่เกิดขึ้นกับระดับพันเอก เป็นเรื่องที่น่าตกใจ อีกด้านเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า ความขัดแย้งต้องสูงมาก เรื่องแบบนี้พลเรือนโดยทั่วๆ ไป ทำไม่ได้หรอก เพราะเป็นเรื่องเทคนิค การสงคราม อาวุธยุทโธปกรณ์ระดับสูง เหตุการณ์มันเกินเลยจินตนาการของเรา ว่าจะเป็นอย่างงี้ แต่มันก็เป็น ฉะนั้น สิ่งที่คนจำนวนมากพูดถึงสงครามกลางเมือง พูดถึงกาลียุค ก็อาจจะเป็นไปได้ ฉะนั้น เป็นสัญญาณหนึ่ง ลางบอกเหตุ
@ กรณีอดีต 2 นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แถลงแนวทาง “ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเพื่อคลี่คลายปัญหา”
ผมไม่ค่อยคิดว่าเป็นปัญหานั้น เพราะถ้าเรามองกลับไปมีตัวอย่างที่เห็นชัด ทำไม “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” (ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516) เคลื่อนขบวนจากพระบรมรูปทรงม้าไปสวนจิตรลดา ในประวัติของ 14 ตุลาฯ ใช้คำว่า “เพื่อไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง” แสดงว่า คุณชวลิต(พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) กับคุณสมชาย นี่ทำตามตามแบบ “เสกสรรค์” ปี 2516 เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง ผมก็เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ 2 อดีตนายกฯ ไปขอเข้าเฝ้าฯ
@ ไม่คิดว่าขัดแย้งในแง่การอธิบายความคิดทางการเมืองเพราะฝ่ายนี้เคยแสดงความไม่เห็นด้วยเมื่อครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอพระราชทานนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7
ไม่หรอกครับ เพราะภาษาไทยมีคำที่ผมชอบและไม่รู้จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร คำที่ว่า “คนละเรื่องเดียวกัน”
@ เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าการเมืองไทยซับซ้อนมาก
ซับซ้อนครับ ถึงจบได้ยาก ลงตัวได้ยาก ต่อให้ยุบสภาก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้ลาออกก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้นองเลือดก็ไม่จบง่ายๆ เกมนี้ยาวมากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ยาวมากกินเวลาเป็น100ปี ตัวอย่างที่สำคัญคือ ปี ค.ศ. 1776 เกิดการปฏิวัติอเมริกา ให้เป็น democracy เพื่อต่อสู้กับ monarchy ของอังกฤษ จบด้วยdemocracy American ชนะ เมื่อแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ กลายเป็นกระแสใหญ่ระบาดไปทั่วโลก ถ้าจะเข้าใจปรากฏการณ์สังคมไทยต้องเข้าใจ “ชาติกับชาตินิยม” “ชาติกับประชาธิปไตย” เป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเก่าไปสู่สังคมสมัยใหม่ จาก traditional society ไปสู่ modern society ถ้าปรับตัวได้ก็จะทำให้ทั้ง 2 อย่างกลมกลืนไปอย่างประเทศอังกฤษ แต่ขณะที่ในประเทศฝรั่งเศสมันแตกหัก ตรงนี้สำคัญเพราะเมืองไทยกำลังพิสูจน์ว่าเราจะสร้างสังคมใหม่โดยมีประเพณีเก่าไปด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน
@ ถ้าเกิดเหตุคล้ายๆ 6ตุลาฯ หรือพฤษภา35 เราจะย่ำอยู่กับที่แบบนั้นไหม
ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เวลาเราพูดถึง พฤษภา35 ตอนนั้นอินเตอร์เนทก็ยังไม่แพร่หลายเลย เพราะยุคพฤษภา ก็มีแต่กล้องวีดีโอกับแฟกซ์ ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ราคาเป็นแสนบาท คนที่มีโทรศัพท์มือถือก็มีไม่กี่คน แต่วันนี้คนที่มาจากต่างจังหวัดก็มีมือถือใช้แล้ว ณ ปัจจุบัน เราต้องคิดถึงอินเตอร์เนท โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซต์ ส่วน 14 ตุลาฯ กับ 6 ตุลาฯ นักศึกษาที่ต่อสู้ ยังต้องใช้กระป๋องนมผูกเชือกส่งข้อมูลให้กันจากตึก อมธ.(องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่เดี๋ยวนี้มีตัวเปลี่ยนโลก คือ 1) อินเตอร์เนท 2) โทรศัพท์มือถือและ 3) มอเตอร์ไซต์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่า “เดินขบวน” แต่ใช้คำว่า “เคลื่อนขบวน” ไปแป๊บเดี๋ยวถึง ราบ11 ไปแป๊บเดียวถึงราชประสงค์ ส่วนผู้ดีมีสกุลอยากดูการชุมนุมก็ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไป โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ
@ แม้จะมีสงครามคลิป แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่ทุกฝ่ายต่างช่วงชิงอธิบายว่าอะไรคือความจริง
การช่วงชิงอธิบายความจริง ในโลกปัจจุบันนี้ รัฐและผู้คุมอำนาจรัฐ ไม่สามารถผูกขาดข้อมูลได้อีกต่อไปแล้ว
@ มีสติ๊กเกอร์ที่ยังไม่รู้ว่าใครทำข้อความ “รัฐไทยใหม่” “ประธานาธิบดีทักษิณ”
มันอาจจะใช้สติ๊กเกอร์แบบใหม่ แต่ message ข้อความ ยังเป็นแบบเก่า เหมือนจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ก็แบบเดียวกัน คนที่เชื่อก็เชื่ออยู่แล้ว แต่คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ตอนนี้จึงอยู่ที่การวัดดวง!!!
การผูกขาดข้อมูลทำไม่ได้อีกแล้ว ถ้า elite ไม่สามารถเจรจาตกลงเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็จะทำให้เหตุการณ์ไปไกลถึงปราบปรามนองเลือด แล้วหลังจากนั้น เสื้อแดงส่วนหนึ่งก็จะลงใต้ดินหรือขึ้นไปในโลกไซเบอร์ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างจีน ปักกิ่งยังไม่สามารถปิดการใช้อินเตอร์เนทได้เลย ถ้ากลายเป็น “นักรบในไซเบอร์สเปซ” จะน่ากลัว เพราะไม่จำเป็นต้องจับปืนจับอาวุธ แต่อยู่ที่ข้อมูลข่าวสารสร้างวาทกรรมให้คนเชื่ออะไร ผมว่าสำคัญมาก
@ สรุปแล้วหากคุณทักษิณสามารถเกี้ยเซี๊ยกับอีกฝ่ายหนึ่ง จะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
โดยปกติคนที่อยู่ชั้นนำของสังคม กลุ่ม elite มักจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันประสานผลประโยชน์กันแบ่งกันกิน แต่ถ้าฝ่ายใดจะเอาหมดมันก็ทะเลาะกัน เอาเข้าจริงตรงนี้ elite มันฟัดกันทะเลาะกัน มันรบกันก็ไปหาพวก โดยที่พวกหนึ่งก็ไปหาพวกใส่เสื้อสีเหลือง พวกหนึ่งไปหาเสื้อสีแดง อีกพวกไปหาพวกเสื้อสีชมพู ถ้าไม่ประนีประนอมเกี้ยเซี๊ย ก็ต้องรบกัน โดยธรรมชาติ elite มักจะยอมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกันและกัน
@ ถ้าอย่างงั้นมวลชนที่ถูกปลุกอารมณ์มาเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องผิดหวัง
- ก็เป็นธรรมชาติ เพราะเขาต้องหาพวก แต่ละพวกก็ต้องหาพวก ทีนี้ถ้าหาพวกแล้วสามารถต่อรองกันได้ ก็จบ แต่ ณ จุดนี้ ดูเหมือนกับเขาไม่อยากต่อรองเพราะต่างฝ่ายต่างเอาจุดตัวเอง... การเมืองมันคล้ายๆกับการช๊อปปิ้ง มีคนซื้อ-คนขาย ถ้ามันอยากซื้อจริงๆ มันก็ต้องยอมจ่าย หรือคนอยากขายก็ต้องยอมลดราคา แต่ถ้าจะเอาที่ตัวเองตั้งราคาเท่านั้น ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ แต่สิ่งแตกต่างกันคือในการเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองคน เพราะมันกลายเป็นคนอื่นเดือดร้อนอีกต่างหาก
@ มวลชนบางส่วนอยากจะ “แตกหัก” แต่ถ้าชนชั้นนำเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็กลายเป็น “อกหัก”ไหม
ในการเมือง มีคน “อกหัก” อยู่เรื่อยๆ(หัวเราะ) ผมเห็นเพื่อนนักวิชาการของผมก็อกหักกันเยอะแยะ ตั้งแต่ 14 ตุลา 6ตุลา พฤษภาฯ อกหักกันเยอะเลย มีคำถามว่า เอ๊ะ! ทำไมคนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการโน้นกรรมการนี่ คนนี้ได้เป็นบอร์ดไอ้โน่นบอร์ดไอ้นี่ มีนักวิชาการในหมู่ของผม ผมอยากให้เขียนลงไปด้วย มันตกรถไฟเยอะเลยครับ พยายามขึ้นรถไฟมันก็ตกรถไฟ น่าสงสารมาก บางคนตกรถไฟตลอดเพราะขึ้นไม่ทัน หรือรถไฟมันมาไม่ถึงหน้าบ้าน ดอกเตอร์ทั้งหลายตกรถไฟไปเยอะเลย ไม่ได้(ตำแหน่ง)อะไรตั้งแต่ 14 ตุลาฯจนถึง 19 กันยาฯ กูก็ไม่ได้อีก..โอ้...น่าสงสาร(หัวเราะ) บางคนแก่จะตายก็ยังไม่ยอมเลิก น่าสงสารนะคนที่มันทะเลาะกัน เผลอๆ อายุ70 up เป็นขิงแก่ทั้งนั้น
@ อาจารย์มองทุกเรื่องแบบปลงได้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป
ผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ผมอยากทำ ผมก็ทำมาหมดแล้ว ผมไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมอยากเรียกร้อง ผมก็ได้เรียกร้องไปแล้ว เหมือนครั้งนี้ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภา ต่อไปเขาอาจจะมาคิดย้อนหลังว่านี่เป็นความผิดพลาด เมื่อครั้งที่ผมลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมแพ้ ผมกลับคิดว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นและรู้สึกเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ และผมสามารถมองตาทุกคนได้โดยไม่ต้องหลบตา
@ การที่ผู้ชุมนุมยึดราชประสงค์ ขณะนี้
เหมือนไปกุมคอหอยลูกกระเดือก ผมก็ไม่นึกมาก่อน ว่าเขาจะไปยึดราชประสงค์ ผมเคยอยู่ซอยสารสินแต่ก่อนเป็นชานเมือง ตั้งแต่เล็กจนโตก่อนไปซื้อบ้านของตัวเอง... แต่เมื่อ 2 คืนก่อน ผมกลับไปบ้านที่ซอยสารสิน พบว่าเต็มไปด้วย คนอีสานไปตากผ้าโสร่ง กางเกงใน แถวๆบ้านเรา เออ ตรงนี้ก็แปลก หน้าสยามพารากอน ก็มีนุ่งโสร่งไปอาบน้ำ เอากางเกงในไปตาก เป็นภาพที่ประหลาดมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ในเมืองไทยของเรา ในกรุงเทพฯ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ส่วนอะไรที่เราเคยได้เห็นมาตลอดชั่วชีวิต ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*********************************************************
การเมืองของเสื้อแดง
ดังที่เห็นกันอยู่แล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มาก มีประโยชน์ทั้งต่อหีบบัตรเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ จึงไม่แปลกอะไรที่มีคนหลากหลายประเภท กระโดดเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในบัดนี้ ก็ยอมรับกันแล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เป็น "เนื้อเดียวกัน" กล่าวคือ ประกอบด้วยคนที่มีความฝันทางการเมือง, ความต้องการ, วัตถุประสงค์, ปูมหลัง ฯลฯ หลากหลาย การแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนอาจต้องการการวิจัย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยอมรับได้ว่าขบวนการเสื้อแดงไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน"
นอกจากไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน" แล้ว ขบวนการเสื้อแดงยังไม่ "สถิต" อีกด้วย หมายความว่ามีการเปลี่ยนแนวทาง, เป้าหมาย, ขยายตัว, หดตัว, การจัดองค์กร, การนำ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนขบวนการทางสังคมและการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาของแกนนำ
เพราะขาดข้อมูลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ผมจึงไม่ต้องการจะชี้ว่า มีใครบ้างที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ แต่ผมอยากเสนอแนะให้เห็นว่า มีใครบ้างที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ เพราะนั่นพอจะมองเห็นได้ง่ายกว่า ทั้งจากเวทีเสื้อแดง, อุบัติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น, และเวทีของฝ่ายรัฐบาล
1/ คุณทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้นหลังการรัฐประหาร ก่อนที่คุณทักษิณจะมีโทษทางอาญาติดตัว การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงย่อมเป็นฐานคะแนนเสียงที่ดีของคุณทักษิณ จนกระทั่งปฏิปักษ์ของคุณทักษิณย่อมเลือกจะประนีประนอมกับคุณทักษิณ มากกว่าหักกันจนพินาศไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากคุณทักษิณถูกพิพากษาให้จำคุกแล้ว ขบวนการเสื้อแดงจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่คุณทักษิณได้ ขบวนการต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ พอที่จะเปิดช่องให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะจะนั่งรอให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลังการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว
ที่เหนือกว่าเงินของคุณทักษิณ คือความนิยมอย่างล้นเหลือที่คุณทักษิณได้รับจากประชาชนในชนบท และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงกลายเป็นบันไดสำหรับไต่เข้าสู่วงการเมืองที่ดี โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพรรค ทรท.ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองแล้ว จึงมีนักการเมืองหลายระดับเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่อชูคุณทักษิณสำหรับการเลือกตั้ง
แต่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดเอาผู้คนเข้ามาร่วมอีกมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่ใส่ใจว่าคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจหรือไม่ รวมแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ชื่นชอบคุณทักษิณเองด้วย และดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในที่อื่นแล้วว่า คนเหล่านี้คือคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเลิกเป็นเกษตรกรรายย่อยไปนานแล้ว ฐานการผลิตของเขาอยู่ในตลาดเต็มตัว มีความจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะทุกระดับ แต่มาพบตัวเองอยู่ในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งก็ถูกทำให้เป็นหมันไปเสียอีก เพราะการรัฐประหารหรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร)
ผมอยากเดาว่านี่คือกลุ่มคนที่ใหญ่สุดในขบวนการเสื้อแดง ไม่ใช่ "คนจน" ดักดานที่เป็นแรงงานรับจ้างภาคการเกษตร หรือแรงงานรับจ้างรายวันที่ไม่มีงานทำตลอดปี และไม่ใช่ซาเล้งที่ซุกตัวอยู่ตามสลัมในเมืองใหญ่
และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงมีลักษณะ "ปฏิวัติ" มากขึ้น จนกระทั่งหากคุณทักษิณเป็นนายกฯอยู่เอง ก็คงร้องไอ๊หยาเหมือนกัน "ประชาธิปไตย" ที่เขาเรียกร้องจึงแตกต่างจาก "ประชาธิปไตย" ของนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ และง่ายที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ในขณะเดียวกัน ชื่อของ "ทักษิณ" ก็กลายความหมายจากคนหน้าเหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่อาทรต่อคนเล็กๆ มากขึ้น และไม่ใช่อาทรในลักษณะสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นความอาทรในลักษณะรัฐสวัสดิการ กล่าวคือเป็นสิทธิ ไม่ใช่ความน่าสงสาร
2/ ในฐานะทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะมีการช่วงชิงการนำกันอย่างอุตลุด ความแตกร้าวระหว่างกลุ่ม "สามเกลอ" กับ "สายเหยี่ยว" เป็นที่รู้กันดี
ความสำเร็จในการนำการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ "สามเกลอ" พ้นสภาพความเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เขากลายเป็นพลังทางการเมืองในตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก นำความวิตกแก่คนอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้มากขึ้น แม้แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้องหมั่นโฟนอินเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็น (และไม่เป็นผลดีต่อการประท้วงนัก) เพราะคุณทักษิณเองก็เกรงว่าทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะหลุดมือตนไปเหมือนกัน
กลุ่ม "สายเหยี่ยว" ซึ่งเคยปรามาสไว้ว่า "สันติวิธี" จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ คงรู้สึกเหมือนกันว่า หากการประท้วงนำไปสู่การยุบสภาได้ ทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะยิ่งหลุดจากมือของตนมากขึ้น จึงต้องพยายามหาบทบาทบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
ในขณะเดียวกัน ความขาดเอกภาพในกองทัพและตำรวจ ทำให้การปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างลังเล นับตั้งแต่การผ่อนปรนมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ไปจนถึงอาจจะแทรกเข้ามาเป็น "มือที่สาม" ด้วย
3/ นักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเกาะชื่อของคุณทักษิณอย่างเหนียวแน่น คงมาพบด้วยความประหลาดใจว่า ชื่อคุณทักษิณมีความหมายน้อยลงในขบวนการเสื้อแดงที่ทำการประท้วงขณะนี้ จึงเรียงหน้ากันขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างหนาแน่นกว่าทุกครั้ง ขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่สำคัญกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะอึกๆ อักๆ ในการปราศรัย เพราะจับอารมณ์ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ได้
เพราะไม่ใช่ภาพที่ตัวเข้าใจตลอดมา
4/ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับขบวนการเสื้อแดง คงยอมรับว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มหึมา อย่างที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน อย่านึกแต่จำนวนคนที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงกองหลังนับตั้งแต่ลูกเมีย (ผัว) ที่อยู่ข้างหลัง เงินและเสบียงกรังที่ส่งลงมาเสริมตลอดเวลา ตลอดจนแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดของคนอีกจำนวนมาก
แม้จะถูกสลายการชุมนุมลงได้ในที่สุด (ด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรงก็ตาม) ทรัพยากรการเมืองนี้ก็จะไม่สลายตัวลง
ปัญหาคือจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง หรือผ่านการโบกธง
น่าประหลาดที่ชนชั้นนำไทยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำตามจารีต หรือชนชั้นนำในระบบทุน มองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรนี้เลย กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างลงด้วยทรัพยากรที่มีในมือ นับตั้งแต่การใช้สื่อ, การใช้อำนาจรัฐควบคุมสื่อ, การปลุกม็อบขึ้นต่อต้าน, การอ้างอุดมการณ์เดิม (ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์) ซึ่งแม้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อาจตีความไปได้หลายแง่หลายมุม โดยไม่สำนึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น แม้ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตีความอุดมการณ์ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ว่าเฉพาะนักการเมืองทั้งในซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้น เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ทัน และด้วยเหตุดังนั้นจึงคิดว่าขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "สถิต" เหมือนกัน ฝ่ายค้านเกาะชื่อทักษิณเพื่อนำไปสู่หีบบัตรเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปัตย์เกาะชื่อทักษิณ เพื่อเก็บความรังเกียจทักษิณเอาไว้เป็นคะแนนเสียงของตน
อันที่จริง หากมองขบวนการเสื้อแดงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สลับซับซ้อน และเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจขจัดขบวนการนี้ลงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีอื่น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้
จริงอย่างที่นักสันติวิธีชอบพูดคือ เราต้องฟังกันให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแกนนำ หากต้องฟังประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งแดงและเหลือง เราก็จะสามารถจับสำนึกทางการเมืองใหม่ๆ ที่ผลักพวกเขาเข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่แกนนำปราศรัย เราก็จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อคนต่างกลุ่มไม่เหมือนกัน แล้วเราก็จะสามารถจัดระบบให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน ระหว่างความต้องการที่แตกต่างได้โดยสงบ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
**************************************************
ในบัดนี้ ก็ยอมรับกันแล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เป็น "เนื้อเดียวกัน" กล่าวคือ ประกอบด้วยคนที่มีความฝันทางการเมือง, ความต้องการ, วัตถุประสงค์, ปูมหลัง ฯลฯ หลากหลาย การแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนอาจต้องการการวิจัย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยอมรับได้ว่าขบวนการเสื้อแดงไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน"
นอกจากไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน" แล้ว ขบวนการเสื้อแดงยังไม่ "สถิต" อีกด้วย หมายความว่ามีการเปลี่ยนแนวทาง, เป้าหมาย, ขยายตัว, หดตัว, การจัดองค์กร, การนำ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนขบวนการทางสังคมและการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาของแกนนำ
เพราะขาดข้อมูลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ผมจึงไม่ต้องการจะชี้ว่า มีใครบ้างที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ แต่ผมอยากเสนอแนะให้เห็นว่า มีใครบ้างที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ เพราะนั่นพอจะมองเห็นได้ง่ายกว่า ทั้งจากเวทีเสื้อแดง, อุบัติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น, และเวทีของฝ่ายรัฐบาล
1/ คุณทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้นหลังการรัฐประหาร ก่อนที่คุณทักษิณจะมีโทษทางอาญาติดตัว การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงย่อมเป็นฐานคะแนนเสียงที่ดีของคุณทักษิณ จนกระทั่งปฏิปักษ์ของคุณทักษิณย่อมเลือกจะประนีประนอมกับคุณทักษิณ มากกว่าหักกันจนพินาศไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากคุณทักษิณถูกพิพากษาให้จำคุกแล้ว ขบวนการเสื้อแดงจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่คุณทักษิณได้ ขบวนการต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ พอที่จะเปิดช่องให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะจะนั่งรอให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลังการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว
ที่เหนือกว่าเงินของคุณทักษิณ คือความนิยมอย่างล้นเหลือที่คุณทักษิณได้รับจากประชาชนในชนบท และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงกลายเป็นบันไดสำหรับไต่เข้าสู่วงการเมืองที่ดี โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพรรค ทรท.ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองแล้ว จึงมีนักการเมืองหลายระดับเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่อชูคุณทักษิณสำหรับการเลือกตั้ง
แต่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดเอาผู้คนเข้ามาร่วมอีกมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่ใส่ใจว่าคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจหรือไม่ รวมแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ชื่นชอบคุณทักษิณเองด้วย และดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในที่อื่นแล้วว่า คนเหล่านี้คือคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเลิกเป็นเกษตรกรรายย่อยไปนานแล้ว ฐานการผลิตของเขาอยู่ในตลาดเต็มตัว มีความจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะทุกระดับ แต่มาพบตัวเองอยู่ในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งก็ถูกทำให้เป็นหมันไปเสียอีก เพราะการรัฐประหารหรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร)
ผมอยากเดาว่านี่คือกลุ่มคนที่ใหญ่สุดในขบวนการเสื้อแดง ไม่ใช่ "คนจน" ดักดานที่เป็นแรงงานรับจ้างภาคการเกษตร หรือแรงงานรับจ้างรายวันที่ไม่มีงานทำตลอดปี และไม่ใช่ซาเล้งที่ซุกตัวอยู่ตามสลัมในเมืองใหญ่
และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงมีลักษณะ "ปฏิวัติ" มากขึ้น จนกระทั่งหากคุณทักษิณเป็นนายกฯอยู่เอง ก็คงร้องไอ๊หยาเหมือนกัน "ประชาธิปไตย" ที่เขาเรียกร้องจึงแตกต่างจาก "ประชาธิปไตย" ของนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ และง่ายที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ในขณะเดียวกัน ชื่อของ "ทักษิณ" ก็กลายความหมายจากคนหน้าเหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่อาทรต่อคนเล็กๆ มากขึ้น และไม่ใช่อาทรในลักษณะสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นความอาทรในลักษณะรัฐสวัสดิการ กล่าวคือเป็นสิทธิ ไม่ใช่ความน่าสงสาร
2/ ในฐานะทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะมีการช่วงชิงการนำกันอย่างอุตลุด ความแตกร้าวระหว่างกลุ่ม "สามเกลอ" กับ "สายเหยี่ยว" เป็นที่รู้กันดี
ความสำเร็จในการนำการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ "สามเกลอ" พ้นสภาพความเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เขากลายเป็นพลังทางการเมืองในตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก นำความวิตกแก่คนอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้มากขึ้น แม้แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้องหมั่นโฟนอินเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็น (และไม่เป็นผลดีต่อการประท้วงนัก) เพราะคุณทักษิณเองก็เกรงว่าทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะหลุดมือตนไปเหมือนกัน
กลุ่ม "สายเหยี่ยว" ซึ่งเคยปรามาสไว้ว่า "สันติวิธี" จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ คงรู้สึกเหมือนกันว่า หากการประท้วงนำไปสู่การยุบสภาได้ ทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะยิ่งหลุดจากมือของตนมากขึ้น จึงต้องพยายามหาบทบาทบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
ในขณะเดียวกัน ความขาดเอกภาพในกองทัพและตำรวจ ทำให้การปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างลังเล นับตั้งแต่การผ่อนปรนมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ไปจนถึงอาจจะแทรกเข้ามาเป็น "มือที่สาม" ด้วย
3/ นักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเกาะชื่อของคุณทักษิณอย่างเหนียวแน่น คงมาพบด้วยความประหลาดใจว่า ชื่อคุณทักษิณมีความหมายน้อยลงในขบวนการเสื้อแดงที่ทำการประท้วงขณะนี้ จึงเรียงหน้ากันขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างหนาแน่นกว่าทุกครั้ง ขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่สำคัญกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะอึกๆ อักๆ ในการปราศรัย เพราะจับอารมณ์ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ได้
เพราะไม่ใช่ภาพที่ตัวเข้าใจตลอดมา
4/ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับขบวนการเสื้อแดง คงยอมรับว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มหึมา อย่างที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน อย่านึกแต่จำนวนคนที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงกองหลังนับตั้งแต่ลูกเมีย (ผัว) ที่อยู่ข้างหลัง เงินและเสบียงกรังที่ส่งลงมาเสริมตลอดเวลา ตลอดจนแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดของคนอีกจำนวนมาก
แม้จะถูกสลายการชุมนุมลงได้ในที่สุด (ด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรงก็ตาม) ทรัพยากรการเมืองนี้ก็จะไม่สลายตัวลง
ปัญหาคือจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง หรือผ่านการโบกธง
น่าประหลาดที่ชนชั้นนำไทยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำตามจารีต หรือชนชั้นนำในระบบทุน มองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรนี้เลย กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างลงด้วยทรัพยากรที่มีในมือ นับตั้งแต่การใช้สื่อ, การใช้อำนาจรัฐควบคุมสื่อ, การปลุกม็อบขึ้นต่อต้าน, การอ้างอุดมการณ์เดิม (ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์) ซึ่งแม้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อาจตีความไปได้หลายแง่หลายมุม โดยไม่สำนึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น แม้ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตีความอุดมการณ์ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ว่าเฉพาะนักการเมืองทั้งในซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้น เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ทัน และด้วยเหตุดังนั้นจึงคิดว่าขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "สถิต" เหมือนกัน ฝ่ายค้านเกาะชื่อทักษิณเพื่อนำไปสู่หีบบัตรเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปัตย์เกาะชื่อทักษิณ เพื่อเก็บความรังเกียจทักษิณเอาไว้เป็นคะแนนเสียงของตน
อันที่จริง หากมองขบวนการเสื้อแดงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สลับซับซ้อน และเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจขจัดขบวนการนี้ลงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีอื่น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้
จริงอย่างที่นักสันติวิธีชอบพูดคือ เราต้องฟังกันให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแกนนำ หากต้องฟังประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งแดงและเหลือง เราก็จะสามารถจับสำนึกทางการเมืองใหม่ๆ ที่ผลักพวกเขาเข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่แกนนำปราศรัย เราก็จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อคนต่างกลุ่มไม่เหมือนกัน แล้วเราก็จะสามารถจัดระบบให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน ระหว่างความต้องการที่แตกต่างได้โดยสงบ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
**************************************************
ทนายนปช.ยื่นค้านศอฉ.ออกหมายจับกลุ่มหนุนแดงเมินรายงานตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 27 เมษายน ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการณ์แห่งชาติ (นปช.) ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือ ขอให้ใช้ดุลยพินิจในการออกหมายจับ บุคคล กรณีหากเจ้าหน้าที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะมาขออำนาจศาลออกหมายจับ บุคคลที่มีรายชื่อตามหมายเรียกของ ศอฉ.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่ไม่ยอมเข้าให้ถ้อยคำตามหมายเรียก เนื่องจากเห็นว่าอาจไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะบางรายยังไม่ได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.
สำหรับ บุคคลที่อ้างว่ายังไม่ได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.ตามคำร้องของ ทนาย นปช.มีทั้งหมด 13 คน อาทิ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีต รมว.กระทรวงพาณิชย์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล
ที่มา. มติชนออนไลน์
****************************************************
สำหรับ บุคคลที่อ้างว่ายังไม่ได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.ตามคำร้องของ ทนาย นปช.มีทั้งหมด 13 คน อาทิ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีต รมว.กระทรวงพาณิชย์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล
ที่มา. มติชนออนไลน์
****************************************************
รถตู้ฉุนม็อบแดงพัทยาชักปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า
พ.ต.ท.กฤศกร ทองอินทร์รอง ผกก.(ปป.)สภ.เมืองพัทยา นำกำลังออกปฏิบัติหน้าที่ในเขตรับผิดชอบ รับแจ้งเหตุคนใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าที่หน้าบริเวณหน้าที่ทำการเมืองพัทยา ถนนพัทยาเหนือ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ห่างจากกลุ่มนปช. ประมาณ 5 เมตร สอบถามนายทวีพล สรอยสาริกา อายุ 29 ปี การด์ นปช. ทราบว่าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม ประมาณ 200 กว่าคน นั่งชมการถ่ายทอดสดการปราศัยจากเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปลักหลักอยู่ที่ราชประสงค์ได้มีรถตู้สีขาว ทะเบียน นค 7194 ชลบุรี ขับผ่านหน้าบริเวณเต็นท์ที่กลุ่มเสื้อแดงตั้งชุมนุมประมาณ 5 เมตรและใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัดแล้วขับรถหลบหนีมุ่งหน้าลงชายหาดเมืองพัทยา
จากการตรวจที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 1 ปลอก ตกอยู่ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐานและประสานงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวแต่ก็ไร้วี่แวว เจ้าที่ตำรวจจึงจะประสานงานกับเมืองพัทยาเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดตามสี่แยกถนนพัทยาเหนือที่คนร้ายใช้หลบหนีต่อไป เบื้องต้นสันนิฐานว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่พอใจกลุ่มนปช.ที่มาชุมนุมกัน ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวหาผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
*************************************************
จากการตรวจที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 1 ปลอก ตกอยู่ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐานและประสานงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวแต่ก็ไร้วี่แวว เจ้าที่ตำรวจจึงจะประสานงานกับเมืองพัทยาเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดตามสี่แยกถนนพัทยาเหนือที่คนร้ายใช้หลบหนีต่อไป เบื้องต้นสันนิฐานว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่พอใจกลุ่มนปช.ที่มาชุมนุมกัน ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวหาผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
*************************************************
ตชด.ภ.1คุม11เสื้อแดงปทุมฝากขังศาลธัญบุรี
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง คุมกลุ่มนปช. 11 คน ขึ้นรถหกล้อลูกกรงเหล็ก โดยมีรถนำขบวนและรถคุ้มกันตามหลัง เดินทางออกจาก ตชด.ภ.1 เพื่อนำตัวผู้ต้องหากลุ่มนปช.ทั้ง 11 คน ส่งฝากขังศาลธัญบุรี อ.ธัญบุรี เพื่อให้พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังถูกควบคุมตัวไว้ได้ จากเหตุเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าทำการสลายม็อบกลุ่มนปช.ที่ปิดถนนบริเวณหน้าปากทางเข้าถนนสีขาว เข้าวัดธรรมกาย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวงเมื่อช่วงเย็นวาน บรรยากาศโดยรอบด้านหน้าตชด.ภ.1 สถานการณ์เป็นปกติ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจล สภ.คลองห้า ได้เตรียมกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อยระหว่างนำตัวออกจาก ตชด.ภ.1 แต่ยังไม่มีกลุ่มแกนนำหรือกลุ่มนปช.มีเพียงผู้สื่อข่าวเข้าบันทึกภาพด้านหน้าประตูป้อมเท่านั้น
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
**********************************************
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
**********************************************
'ชวลิต' ประณาม 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' เป็นอาชญากร
'ชวลิต' ย้ำไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายและมีสัมพันธ์กับทหารนอกราชการ แต่ต้องการหาทางออกทางการเมืองอย่างสันติ
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธเผยว่า การที่รัฐบาลแถลงข่าวว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายหรือมีสัมพันธ์กับทหารนอกราชการอย่างเสธ. แดง ทั้งที่ตนเองช่วยพยายามหาทางออก และยังคงยืนยันว่าสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงประมาณหนึ่งเท่านั้น เพราะต่างคนต่างเดินแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
นอกจากนั้นพลเอกชวลิต ยงใจยุทธได้ประนาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่าเป็นอาชญาการที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน โดยส่วนตัวเชื่อว่าญาติผู้เสียชีวิตจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายกฯได้รับผลการกระทำ ซึ่งแท้จริงแล้ววิกฤตการเมืองครั้งนี้สามารถแก้ปัญหาได้ในชั่วข้ามคืน หากทำไม่ได้ก็ให้ออกไป เดี๋ยวตนเองจะทำให้ดู
Content by VoiceTV
***************************************************
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธเผยว่า การที่รัฐบาลแถลงข่าวว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายหรือมีสัมพันธ์กับทหารนอกราชการอย่างเสธ. แดง ทั้งที่ตนเองช่วยพยายามหาทางออก และยังคงยืนยันว่าสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงประมาณหนึ่งเท่านั้น เพราะต่างคนต่างเดินแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
นอกจากนั้นพลเอกชวลิต ยงใจยุทธได้ประนาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่าเป็นอาชญาการที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน โดยส่วนตัวเชื่อว่าญาติผู้เสียชีวิตจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายกฯได้รับผลการกระทำ ซึ่งแท้จริงแล้ววิกฤตการเมืองครั้งนี้สามารถแก้ปัญหาได้ในชั่วข้ามคืน หากทำไม่ได้ก็ให้ออกไป เดี๋ยวตนเองจะทำให้ดู
Content by VoiceTV
***************************************************
"นปช."เปิดเกมรุกจัดทัพ"ตะลุยด่านทหาร"เริ่มพรุ่งนี้
นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำนปช. แถลงถึงกรณีที่ที่ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ระบุว่าแกนนำนปช.หลายคนอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ว่า ยืนยันว่าพวกตนไม่รู้เรื่อง และไม่มีใครมีความคิดจะล้มเจ้าทั้งสิ้น เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง รัฐบาลและกองทัพเชื่อมโยงข้อมูลจากสามส่วนคือนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เชื่อมโยงกับคนที่ผลิตสื่อที่แสดงจุดยืนตรงข้ามรัฐบาล บวกกับจินตนาการขั้นสูงสุดเหมารวมว่าเราเป็นกลุ่มล้มเจ้า นปช.ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายแจ้งความดำเนินคดีกับศอฉ.ในข้อหาหมิ่นประมาท กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงว่าเหตุใดจึงเรียกพวกเราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่กลุ่มโจร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีพฤติกรรมโหดเหี้ยม ฆ่าพระ ฆ่าทหาร ตำรวจ ยังถูกเรียกแค่ผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น โดยฝ่ายกฎหมายได้รวบรวมว่าใครเป็นคนกล่าวหาเราเป็นผู้ก่อการร้ายบ้างจะแจ้งความหมิ่นประมาททุกคน ในเบื้องต้นมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และยังมีคนที่อยู่ในเครือข่ายรัฐบาลอีกหลายคน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ปฎิบัติการสกัดกั้นทหารตำรวจ 2 วันที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งนำทหารกลับกรมกองได้ 2 พันนาย และในสิ้นเดือนนี้จะมีทหารอีก 5 หมื่นนายปลดประจำการกลับภูมิลำเนา ดังนั้นด่านสกัดต่างๆของคนเสื้อแดงหลังจากนี้จะมีน้อยลง แต่ละด่านจะกระชับมากขึ้น วันนี้จะประกอบกำลังเป็นชุดปฎิบัติการเคลื่อนที่เร็วราวพันคน เพื่อออกจากราชประสงค์ไปอธิบายความจริงกับประชาชน แจกใบปลิว ซีดีเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. หากมีด่านทหาร ตำรวจจะทำการเปิดด่านให้ประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ จะสลายพวกเราก็ต้องถามว่าเหตุใดจึงไม่สลายกลุ่มเสื้อหลากสีด้วยเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเคลื่อนที่ไปรณรงค์คู่ขนานกับคนเสื้อหลากสี โดยจะติดตั้งเครื่องขยายเสียงปราศรัยใช้เวลา 3 - 4 ชั่วโมง ถ้าคนเสื้อหลากสีชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราจะชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ้าเสื้อหลากอยู่ที่สวนจตุจักร เราจะอยู่ที่สวนลุมพินี แสดงให้เห็นว่าถ้าเสื้อหลากสีทำได้เราก็ทำได้ ” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ที่มา.เนชั่น
***************************************************
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ปฎิบัติการสกัดกั้นทหารตำรวจ 2 วันที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งนำทหารกลับกรมกองได้ 2 พันนาย และในสิ้นเดือนนี้จะมีทหารอีก 5 หมื่นนายปลดประจำการกลับภูมิลำเนา ดังนั้นด่านสกัดต่างๆของคนเสื้อแดงหลังจากนี้จะมีน้อยลง แต่ละด่านจะกระชับมากขึ้น วันนี้จะประกอบกำลังเป็นชุดปฎิบัติการเคลื่อนที่เร็วราวพันคน เพื่อออกจากราชประสงค์ไปอธิบายความจริงกับประชาชน แจกใบปลิว ซีดีเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. หากมีด่านทหาร ตำรวจจะทำการเปิดด่านให้ประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ จะสลายพวกเราก็ต้องถามว่าเหตุใดจึงไม่สลายกลุ่มเสื้อหลากสีด้วยเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเคลื่อนที่ไปรณรงค์คู่ขนานกับคนเสื้อหลากสี โดยจะติดตั้งเครื่องขยายเสียงปราศรัยใช้เวลา 3 - 4 ชั่วโมง ถ้าคนเสื้อหลากสีชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราจะชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ้าเสื้อหลากอยู่ที่สวนจตุจักร เราจะอยู่ที่สวนลุมพินี แสดงให้เห็นว่าถ้าเสื้อหลากสีทำได้เราก็ทำได้ ” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ที่มา.เนชั่น
***************************************************
ยุกติ มุกดาวิจิตร : การเมืองของการฆาตกรรมรวมหมู่
หากการเมืองบนท้องถนนคือหนึ่งในศาสตราของผู้ด้อยอำนาจ (weapons of the weak) การฆาตกรรมรวมหมู่คือหนึ่งในศาสตราของผู้มีอำนาจมั่งคั่ง (weapons of the wealth) ชนชั้นนำทั่วโลกใช้การฆาตกรรมรวมหมู่อยู่เสมอๆ หากแต่เงื่อนไขที่ทำให้รัฐประสบผลสำเร็จหรือประสบภาวะล้มเหลวจากการใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ เกิดจากปัจจัยของโครงสร้างอำนาจที่แตกต่างกันไป ผู้เขียนเชื่อว่าการถกเถียงทำความเข้าใจการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ อาจช่วยหาหนทางคลี่คลายวิกฤติในขณะนี้ได้บ้าง
รัฐไทยใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ในการปกครองมาโดยตลอด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยหลายต่อหลายครั้งมิได้ส่งผลต่อผู้มีอำนาจในทิศทางเดียวกันเสมอไป คำถามคือ เงื่อนไขใดที่ทำให้การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล เงื่อนไขใดที่การฆาตกรรมรวมหมู่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งสังคม และทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงยังคงอยู่ในอำนาจได้ แม้จะก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง
ประโยคที่ว่า “รัฐบาลอยู่ไม่ได้หากมีผู้ชุมนุมตาย” เคยเป็นเสมือนทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนในสังคมไทยมาช้านาน ผู้ที่ยึดมั่นในทฤษฎีนี้มักจะอ้างการเปลี่ยนแปลงหลังจากการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 (ซึ่งหลายคนยังคงตั้งข้อสังเกตว่า การบาดเจ็บล้มตายในเหตุการณ์นั้นอาจจะเกิดขึ้นจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย) การตายในการชุมนุมทางการเมืองที่ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลครั้งต่อๆ มาคือการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 และการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์พฤษภาฯ 35
จนในที่สุดหลายคนปักใจเชื่อกันไปแล้วว่า หากเกิดการตายในการชุมนุมทางการเมือง จะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล การเร่งเร้าให้เกิดการฆาตกรรมรวมหมู่ (ไม่ว่าจะจากฝ่ายใด) กลายเป็นทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนที่เหมือนกับจะเชื่อกันว่า “ต้องเสี่ยงให้มากที่สุด จึงจะได้ชัยชนะ”
แต่คงไม่ลืมกันว่า ในการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลคราวรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551 (แม้จะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นการฆาตกรรมรวมหมู่อย่างชัดเจน เพราะกำลังตำรวจในวันนั้นไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม) การตายของผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ตุลาคม 2553 ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด และเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 การตายของผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. (ที่เป็นผลมาจากการใช้อาวุธสงคราม ด้วยกำลังทหารอย่างชัดเจน) ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด
การที่การฆาตกรรมรวมหมู่จะนำไปสู่เปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองในประเทศไทยได้หรือไม่ น่าจะต้องพิจารณาเงื่อนไขสามประการคือ
ประการแรก ผู้ตายต้องมีค่าทางการเมือง ต้องเป็นการตายที่มีศักดิ์ศรีเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจ (รวมทั้งชนชั้นกลางกระแสหลักในสังคมไทย ที่พร้อมร่วมฆ่ารวมหมู่ทั้งโดยวาทกรรมและโดยกายกรรม) การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งจึงไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลทุกกรณีไป เพราะคนที่ตายไม่ได้ถูกให้ค่าเท่ากันทุกกรณี ความตายของคนจึงมีค่าไม่เท่ากัน การฆาตกรรมรวมหมู่ในรัฐไทยแต่ละครั้งจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่แตกต่างกัน
สำหรับชนชั้นนำและชนชั้นกลางกระแสหลัก หากคนที่ตายไปเป็นคนไร้ค่า เป็นขี้ข้า เป็นเนื้อร้าย เป็น“ญวน” เป็นผู้ทำลายระเบียบสังคม เป็นคนบ่อนทำลายชาติ เป็นคนมุ่งล้มล้างสถาบัน เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นศัตรูของชาติ เป็นผู้ก่อการร้าย การฆาตกรรมแม้จะใจกลางเมืองหลวงก็จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใดๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีพลับพลาไชย กรกฎาคม 2517 หรือที่ไกลศูนย์กลางคือกรณีตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2547
ในกรณีของผู้ชุมนุม นปช. แม้ว่าคนเหล่านี้จะถูกตีตราให้ด้อยค่าด้วยวาทกรรมเหล่านั้นทั้งหมด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่ก็ไม่ได้รับการรับรองว่าชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ผิดกับกรณีตากใบเมื่อปี 2547 ที่การตายของคนเหล่านั้นไม่ได้มีคุณค่าเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำและชนชั้นกลาง
ประการที่สอง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ อำนาจที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการดำเนินการของอำนาจพิเศษในสภาวะยกเว้นจากการใช้กฎหมาย งดเว้นจากหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่จะถูกอำนาจพิเศษชนิดนี้จัดการ เช่น เกิดการรัฐประหาร หรือเกิดนาฏรัฐแสดงอำนาจบารมีพิเศษบนจอโทรทัศน์
กรณี 14 ตุลา 16 และพฤษภา 35 อำนาจพิเศษทำงานด้วยการหยุดยั้งคู่กรณี แล้วถ่ายโอนอำนาจจากผู้นำทางการเมืองคนเก่าไปสู่ผู้นำทางการเมืองคนใหม่ ที่ก็ยังอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำเดิม จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการประชาธิปไตยแบบปกติใหม่ กรณี 6 ตุลา 19 การรัฐประหารหลังเหตุการณ์ฆาตกรรมรวมหมู่ที่ธรรมศาสตร์เป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจที่เป็นการงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน เพียงแต่การงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยนั้นต่อเนื่องยาวนานกว่าสองกรณีข้างต้น
ที่สำคัญคือ หากการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายในศูนย์กลางอำนาจ ขั้วอำนาจเก่ายังอยู่ แต่เปลี่ยนเฉพาะตัวแสดง จึงไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โครงสร้างอำนาจทางการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิม ดังปรากฏว่าผู้นำที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่ก็ไม่เคยถูกลงโทษแต่อย่างใด แถมบางคนยังได้รับการยกย่องในสังคมด้วยซ้ำ
ประการที่สาม กรณีที่เกิดการตายอย่างมีศักดิ์ศรี มีค่าทางการเมือง แต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด อาจเพราะเกิดความแตกแยกอย่างร้าวลึกในชนชั้นนำทางอำนาจเอง แสดงว่าในขณะนั้น สังคมการเมืองไทยไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ในอันที่จะใช้สภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยมาดำเนินการกับผู้ก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ได้ อำนาจพิเศษไม่อาจทำงานได้ก็เพราะไม่มีอำนาจยกเว้นที่สูงสุด
ที่เห็นได้ชัดคือกรณี การบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐในวันที่ 10 เมษายน 2553 ทั้งสองเหตุการณ์นั้นกระทำโดยรัฐบาลที่มาจากคนละขั้วขัดแย้งทางการเมืองภายในระยะเวลาต่างกันไม่นานนัก ความตายในทั้งสองกรณีก็ “มีค่าทางการเมือง” ในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจในแต่ละฝ่ายไม่น้อยไปกว่ากัน
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 อาจนับได้ว่ามีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย เพราะการตายของผู้ชุมนุมได้รับการยกย่องจากชนชั้นนำทางอำนาจว่าเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงอาจส่งผลให้เกิดการเร่งรัดให้ดำเนินการยุบพรรครัฐบาลอย่างกระทันหัน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551
แต่สำหรับกรณีของสถานการณ์ทางเมืองในปัจจุบัน การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 10 เมษา 53 อาจไม่ได้มีค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจเทียบเท่ากับกรณี 7 ตุลา 51 อำนาจพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างสภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเพื่อเข้ามาแทรกแซงด้วยวิธีพิเศษ แม้กระนั้น การตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็มิได้ด้อยค่าจนไร้อำนาจต่อรองดังกรณีพลับพลาไชยปี 17 หรือกรณีตากใบปี 47
เป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับกรณี 6 ตุลา 19 ซึ่งผู้ถูกฆาตกรรมรวมหมู่กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจ แต่ยังคงมีค่าพอแก่การเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองโดยไม่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ด้วยการรัฐประหารหรือวิธีการอื่นใดที่แยบยลยิ่งกว่า แต่การเลือกเดินทางนั้นก็อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับชนชั้นนำที่กุมอำนาจในขณะนี้อยู่ เนื่องจากภายในชนชั้นนำเองอาจจะไม่ได้มีเอกภาพในการยอมรับสภาวะยกเว้นนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
หนทางที่ยังเหลืออยู่ในออกจากเส้นทางที่จะนำไปสู่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้มีไม่มาก
หนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลปัดข้อเสนอเชิงประนีประนอมของผู้ชุมนุม นปช. แล้ว ผู้ชุมนุมและรัฐบาลอาจยื้อกันไปเรื่อยๆ เพื่อรอผลคดียุบพรรค แต่ในระหว่างนี้ สายเหยี่ยวของทั้งสองฝ่ายอาจเร่งเกมด้วยการเพิ่มระดับความรุนแรงของการกดดัน ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วด้วยการก่อวินาศกรรมสถานที่และชีวิตผู้คน ที่รุนแรงที่สุดคือเมื่อ 22 เมษายนที่ผ่านมา
สอง แต่หากในระหว่างรอผลการตัดสินอยู่นี้ รัฐบาลยังดื้อดึงที่จะใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ ความตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็อาจจะไร้ค่าเพียงพอที่ชนชั้นนำทางอำนาจจะนิ่งดูดายได้ ทั้งนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจแบบเดิมไว้ การเลือกของผู้ชุมนุมที่จะถูกฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทย ด้วยความหวังที่จะพลิกศาสตราของผู้มีอำนาจให้กลายเป็นศาสตราของผู้ด้อยอำนาจ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจหลังการฆาตกรรมรวมหมู่ ก็อาจจะเป็นการคาดเดาที่ผิดพลาด
สาม เมื่อเริ่มเห็นอยู่รำไรว่าความตายของผู้ชุมนุมจะไร้ราคาแก่การต่อรอง การยุติการชุมนุมโดยสมัครใจของผู้ชุมนุมนปช.และการมอบตัวของแกนนำอาจเป็นอีกหนทางหนึ่งของชัยชนะเหนือการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ ด้วยวิธีการอันสันติ เพื่อผลแห่งการเปลี่ยนแปลงการฆาตกรรมอย่างแท้จริงในระยะยาว
โดย.ยุกติ มุกดาวิจิตร
ที่มา.ประชาไท
****************************************************
รัฐไทยใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ในการปกครองมาโดยตลอด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยหลายต่อหลายครั้งมิได้ส่งผลต่อผู้มีอำนาจในทิศทางเดียวกันเสมอไป คำถามคือ เงื่อนไขใดที่ทำให้การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล เงื่อนไขใดที่การฆาตกรรมรวมหมู่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งสังคม และทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงยังคงอยู่ในอำนาจได้ แม้จะก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง
ประโยคที่ว่า “รัฐบาลอยู่ไม่ได้หากมีผู้ชุมนุมตาย” เคยเป็นเสมือนทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนในสังคมไทยมาช้านาน ผู้ที่ยึดมั่นในทฤษฎีนี้มักจะอ้างการเปลี่ยนแปลงหลังจากการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 (ซึ่งหลายคนยังคงตั้งข้อสังเกตว่า การบาดเจ็บล้มตายในเหตุการณ์นั้นอาจจะเกิดขึ้นจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย) การตายในการชุมนุมทางการเมืองที่ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลครั้งต่อๆ มาคือการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 และการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์พฤษภาฯ 35
จนในที่สุดหลายคนปักใจเชื่อกันไปแล้วว่า หากเกิดการตายในการชุมนุมทางการเมือง จะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล การเร่งเร้าให้เกิดการฆาตกรรมรวมหมู่ (ไม่ว่าจะจากฝ่ายใด) กลายเป็นทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนที่เหมือนกับจะเชื่อกันว่า “ต้องเสี่ยงให้มากที่สุด จึงจะได้ชัยชนะ”
แต่คงไม่ลืมกันว่า ในการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลคราวรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551 (แม้จะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นการฆาตกรรมรวมหมู่อย่างชัดเจน เพราะกำลังตำรวจในวันนั้นไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม) การตายของผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ตุลาคม 2553 ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด และเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 การตายของผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. (ที่เป็นผลมาจากการใช้อาวุธสงคราม ด้วยกำลังทหารอย่างชัดเจน) ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด
การที่การฆาตกรรมรวมหมู่จะนำไปสู่เปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองในประเทศไทยได้หรือไม่ น่าจะต้องพิจารณาเงื่อนไขสามประการคือ
ประการแรก ผู้ตายต้องมีค่าทางการเมือง ต้องเป็นการตายที่มีศักดิ์ศรีเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจ (รวมทั้งชนชั้นกลางกระแสหลักในสังคมไทย ที่พร้อมร่วมฆ่ารวมหมู่ทั้งโดยวาทกรรมและโดยกายกรรม) การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งจึงไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลทุกกรณีไป เพราะคนที่ตายไม่ได้ถูกให้ค่าเท่ากันทุกกรณี ความตายของคนจึงมีค่าไม่เท่ากัน การฆาตกรรมรวมหมู่ในรัฐไทยแต่ละครั้งจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่แตกต่างกัน
สำหรับชนชั้นนำและชนชั้นกลางกระแสหลัก หากคนที่ตายไปเป็นคนไร้ค่า เป็นขี้ข้า เป็นเนื้อร้าย เป็น“ญวน” เป็นผู้ทำลายระเบียบสังคม เป็นคนบ่อนทำลายชาติ เป็นคนมุ่งล้มล้างสถาบัน เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นศัตรูของชาติ เป็นผู้ก่อการร้าย การฆาตกรรมแม้จะใจกลางเมืองหลวงก็จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใดๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีพลับพลาไชย กรกฎาคม 2517 หรือที่ไกลศูนย์กลางคือกรณีตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2547
ในกรณีของผู้ชุมนุม นปช. แม้ว่าคนเหล่านี้จะถูกตีตราให้ด้อยค่าด้วยวาทกรรมเหล่านั้นทั้งหมด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่ก็ไม่ได้รับการรับรองว่าชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ผิดกับกรณีตากใบเมื่อปี 2547 ที่การตายของคนเหล่านั้นไม่ได้มีคุณค่าเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำและชนชั้นกลาง
ประการที่สอง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ อำนาจที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการดำเนินการของอำนาจพิเศษในสภาวะยกเว้นจากการใช้กฎหมาย งดเว้นจากหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่จะถูกอำนาจพิเศษชนิดนี้จัดการ เช่น เกิดการรัฐประหาร หรือเกิดนาฏรัฐแสดงอำนาจบารมีพิเศษบนจอโทรทัศน์
กรณี 14 ตุลา 16 และพฤษภา 35 อำนาจพิเศษทำงานด้วยการหยุดยั้งคู่กรณี แล้วถ่ายโอนอำนาจจากผู้นำทางการเมืองคนเก่าไปสู่ผู้นำทางการเมืองคนใหม่ ที่ก็ยังอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำเดิม จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการประชาธิปไตยแบบปกติใหม่ กรณี 6 ตุลา 19 การรัฐประหารหลังเหตุการณ์ฆาตกรรมรวมหมู่ที่ธรรมศาสตร์เป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจที่เป็นการงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน เพียงแต่การงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยนั้นต่อเนื่องยาวนานกว่าสองกรณีข้างต้น
ที่สำคัญคือ หากการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายในศูนย์กลางอำนาจ ขั้วอำนาจเก่ายังอยู่ แต่เปลี่ยนเฉพาะตัวแสดง จึงไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โครงสร้างอำนาจทางการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิม ดังปรากฏว่าผู้นำที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่ก็ไม่เคยถูกลงโทษแต่อย่างใด แถมบางคนยังได้รับการยกย่องในสังคมด้วยซ้ำ
ประการที่สาม กรณีที่เกิดการตายอย่างมีศักดิ์ศรี มีค่าทางการเมือง แต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด อาจเพราะเกิดความแตกแยกอย่างร้าวลึกในชนชั้นนำทางอำนาจเอง แสดงว่าในขณะนั้น สังคมการเมืองไทยไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ในอันที่จะใช้สภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยมาดำเนินการกับผู้ก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ได้ อำนาจพิเศษไม่อาจทำงานได้ก็เพราะไม่มีอำนาจยกเว้นที่สูงสุด
ที่เห็นได้ชัดคือกรณี การบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐในวันที่ 10 เมษายน 2553 ทั้งสองเหตุการณ์นั้นกระทำโดยรัฐบาลที่มาจากคนละขั้วขัดแย้งทางการเมืองภายในระยะเวลาต่างกันไม่นานนัก ความตายในทั้งสองกรณีก็ “มีค่าทางการเมือง” ในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจในแต่ละฝ่ายไม่น้อยไปกว่ากัน
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 อาจนับได้ว่ามีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย เพราะการตายของผู้ชุมนุมได้รับการยกย่องจากชนชั้นนำทางอำนาจว่าเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงอาจส่งผลให้เกิดการเร่งรัดให้ดำเนินการยุบพรรครัฐบาลอย่างกระทันหัน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551
แต่สำหรับกรณีของสถานการณ์ทางเมืองในปัจจุบัน การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 10 เมษา 53 อาจไม่ได้มีค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจเทียบเท่ากับกรณี 7 ตุลา 51 อำนาจพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างสภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเพื่อเข้ามาแทรกแซงด้วยวิธีพิเศษ แม้กระนั้น การตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็มิได้ด้อยค่าจนไร้อำนาจต่อรองดังกรณีพลับพลาไชยปี 17 หรือกรณีตากใบปี 47
เป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับกรณี 6 ตุลา 19 ซึ่งผู้ถูกฆาตกรรมรวมหมู่กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจ แต่ยังคงมีค่าพอแก่การเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองโดยไม่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ด้วยการรัฐประหารหรือวิธีการอื่นใดที่แยบยลยิ่งกว่า แต่การเลือกเดินทางนั้นก็อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับชนชั้นนำที่กุมอำนาจในขณะนี้อยู่ เนื่องจากภายในชนชั้นนำเองอาจจะไม่ได้มีเอกภาพในการยอมรับสภาวะยกเว้นนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
หนทางที่ยังเหลืออยู่ในออกจากเส้นทางที่จะนำไปสู่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้มีไม่มาก
หนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลปัดข้อเสนอเชิงประนีประนอมของผู้ชุมนุม นปช. แล้ว ผู้ชุมนุมและรัฐบาลอาจยื้อกันไปเรื่อยๆ เพื่อรอผลคดียุบพรรค แต่ในระหว่างนี้ สายเหยี่ยวของทั้งสองฝ่ายอาจเร่งเกมด้วยการเพิ่มระดับความรุนแรงของการกดดัน ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วด้วยการก่อวินาศกรรมสถานที่และชีวิตผู้คน ที่รุนแรงที่สุดคือเมื่อ 22 เมษายนที่ผ่านมา
สอง แต่หากในระหว่างรอผลการตัดสินอยู่นี้ รัฐบาลยังดื้อดึงที่จะใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ ความตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็อาจจะไร้ค่าเพียงพอที่ชนชั้นนำทางอำนาจจะนิ่งดูดายได้ ทั้งนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจแบบเดิมไว้ การเลือกของผู้ชุมนุมที่จะถูกฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทย ด้วยความหวังที่จะพลิกศาสตราของผู้มีอำนาจให้กลายเป็นศาสตราของผู้ด้อยอำนาจ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจหลังการฆาตกรรมรวมหมู่ ก็อาจจะเป็นการคาดเดาที่ผิดพลาด
สาม เมื่อเริ่มเห็นอยู่รำไรว่าความตายของผู้ชุมนุมจะไร้ราคาแก่การต่อรอง การยุติการชุมนุมโดยสมัครใจของผู้ชุมนุมนปช.และการมอบตัวของแกนนำอาจเป็นอีกหนทางหนึ่งของชัยชนะเหนือการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ ด้วยวิธีการอันสันติ เพื่อผลแห่งการเปลี่ยนแปลงการฆาตกรรมอย่างแท้จริงในระยะยาว
โดย.ยุกติ มุกดาวิจิตร
ที่มา.ประชาไท
****************************************************
“ยุทธศาสตร์พท.”เตรียมยื่น"ซักฟอก"
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคแถลง ภายหลังประชุมคณะยุทธศาสตร์ของพรรคว่า จากกรณีที่รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แสดงว่ารัฐบาลกำลังหลงในอำนาจรัฐ ที่ประชุมจึงหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวและมีมติว่า
1.ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมือง
2.ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ ขาดความชอบธรรมในการบริหารราชการอย่างร้ายแรง
3.ที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯ จึงต้องยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
4.จะนำข้อเสนอของคณะยุทธศาสตร์ เข้าสู่การหารือเพื่อขอมติอีกครั้งในการประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 27 เม.ย.นี้
“เรื่องนี้ถือเป็นมติของที่ประชุมยุทธศาสตร์ ไม่ได้หารือกับกลุ่มคนเสื้อแดง ฉะนั้นการยื่นญัตติของพรรคยังอยู่ในกรอบเวลา 1 เดือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอให้ยุบสภา จึงไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ขัดแย้งกัน”
ส่วนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะขัดแย้งกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่นั้น พรรคไม่ได้หารือกับคนเสื้อแดงแต่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ หากพรรคยื่นญัตติไม่ไว้วางใจจะใช้เวลาในการรอการบรรจุญัตติภายใน 15 วันเท่านั้น ซึ่งอยู่ในกรอบระยะเวลายุบสภาภายใน 1 เดือน ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดอะไรกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง สำหรับประเด็นที่พรรคจะเน้นในการอภิปรายครั้งนี้ มีด้วยกัน 6 ข้อ คือ 1.การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีความชอบธรรมหรือไม่ 2.การนำอาวุธเข้ามาปราบปรามประชาชน3.การปิดและคุกคามสื่อสารมวลชน 4.การคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน 5.การยุยงให้ประชาชนมีความเกลียดชังคนเสื้อแดง และ 6.การกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการยื่นอภิปรายนั้นตนได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามขอร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่าทำร้ายประชาชนอีกเลย ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียอีก
ขึ้นบัญชี3รมต.-นายกฯเบอร์1
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร กล่าวว่า หากพรรคมีมติให้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนั้น พท.ก็ยังคงจะยึดรัฐมนตรีรายบุคคล 3 คนก่อนหน้านี้คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 2.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 3.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บุคคลอื่นอาจหมายรวมถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้นขึ้นอยู่กับการเสนอของที่ประชุม ส.ส.ของพรรค
"เรื่องระยะเวลาไม่มีปัญหา เพราะการยื่นญัตติครั้งที่ผ่านมา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาได้บรรจุญัตติเข้าสู่การพิจารณาอย่างรวดเร็ว และอย่างช้าที่สุดคือ ไม่เกิน 15 วันนับจากวันญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถอภิปรายได้ทันก่อนปิดสมัยประชุมอย่างแน่นอน และหากที่ประชุมมีมติในวันที่ 27 เมษายน พรรคเพื่อไทย ได้พร้อมที่จะยื่นญัตติทันทีในวันที่ 28 เมษายน" นายพีรพันธุ์กล่าว
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************
1.ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมือง
2.ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ ขาดความชอบธรรมในการบริหารราชการอย่างร้ายแรง
3.ที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯ จึงต้องยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
4.จะนำข้อเสนอของคณะยุทธศาสตร์ เข้าสู่การหารือเพื่อขอมติอีกครั้งในการประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 27 เม.ย.นี้
“เรื่องนี้ถือเป็นมติของที่ประชุมยุทธศาสตร์ ไม่ได้หารือกับกลุ่มคนเสื้อแดง ฉะนั้นการยื่นญัตติของพรรคยังอยู่ในกรอบเวลา 1 เดือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอให้ยุบสภา จึงไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ขัดแย้งกัน”
ส่วนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะขัดแย้งกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่นั้น พรรคไม่ได้หารือกับคนเสื้อแดงแต่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ หากพรรคยื่นญัตติไม่ไว้วางใจจะใช้เวลาในการรอการบรรจุญัตติภายใน 15 วันเท่านั้น ซึ่งอยู่ในกรอบระยะเวลายุบสภาภายใน 1 เดือน ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดอะไรกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง สำหรับประเด็นที่พรรคจะเน้นในการอภิปรายครั้งนี้ มีด้วยกัน 6 ข้อ คือ 1.การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีความชอบธรรมหรือไม่ 2.การนำอาวุธเข้ามาปราบปรามประชาชน3.การปิดและคุกคามสื่อสารมวลชน 4.การคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน 5.การยุยงให้ประชาชนมีความเกลียดชังคนเสื้อแดง และ 6.การกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการยื่นอภิปรายนั้นตนได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามขอร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่าทำร้ายประชาชนอีกเลย ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียอีก
ขึ้นบัญชี3รมต.-นายกฯเบอร์1
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร กล่าวว่า หากพรรคมีมติให้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนั้น พท.ก็ยังคงจะยึดรัฐมนตรีรายบุคคล 3 คนก่อนหน้านี้คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 2.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 3.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บุคคลอื่นอาจหมายรวมถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้นขึ้นอยู่กับการเสนอของที่ประชุม ส.ส.ของพรรค
"เรื่องระยะเวลาไม่มีปัญหา เพราะการยื่นญัตติครั้งที่ผ่านมา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาได้บรรจุญัตติเข้าสู่การพิจารณาอย่างรวดเร็ว และอย่างช้าที่สุดคือ ไม่เกิน 15 วันนับจากวันญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถอภิปรายได้ทันก่อนปิดสมัยประชุมอย่างแน่นอน และหากที่ประชุมมีมติในวันที่ 27 เมษายน พรรคเพื่อไทย ได้พร้อมที่จะยื่นญัตติทันทีในวันที่ 28 เมษายน" นายพีรพันธุ์กล่าว
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************
‘พท.’ชงที่ประชุม ส.ส.ตัดสินชี้ขาด
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะประธานคณะกรรม การประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ข้อเสนอที่ทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์แจ้ง จะต้องนำไปหารือในพรรคต่อไป เนื่องจากขณะนี้มีประเด็นเรื่องความผิดร้ายแรงที่รัฐบาลได้กระทำ และขณะนี้เป็นช่วงสุดท้ายก่อนจะปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปในวันที่ 20 พ.ค.นี้
ดังนั้นการตัดสินใจจะยื่นญัตติหรือไม่นั้นจึงไม่เกี่ยวกับกระบวนการความคิดเห็นอย่างเดียว เพราะสถานะของรัฐบาลอาจยุติลง ไม่ว่าจะด้วยข้อเรียกร้องของกลุ่ม นปช.ก็ดี ทุกอย่างมีห้วงเวลา เพราะดูได้จากการทำงานของรัฐบาล ขณะนี้คนที่ทำงานเห็นว่ามีแค่นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น
ชี้ไม่ยุบต้องใช้ยุทธศาสตร์พรรค
นายวิทยา กล่าวว่า พรรคการเมืองถือเป็นสถาบัน เป็นศูนย์รวมของ ส.ส. ซึ่งกรรมการยุทธศาสตร์จึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการเรื่องนี้อีกครั้ง แต่พรรคต้องหารืออย่างรอบคอบ ประกอบกับก็เห็นกันอยู่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เลย จึงฉุกคิดได้ว่าพรรคการเมือง ควรจะดำเนินการหาทางอย่างใดอย่างหนึ่ง เปิดข้อมูลให้สังคมรับรู้ เพราะปัจจุบันมีการปิดกั้นสื่อสารมวลชนจำนวนมาก อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้สำนึก
เมื่อถามว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะดำเนินการยื่นถอดถอนด้วยไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแต่ต้องหารือในที่ประชุม ส.ส.อีกครั้ง เมื่อถามว่าจะต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับกลุ่ม นปช.หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า คิดว่าทุกคนต้องเคารพกติกาอยู่แล้ว ก็อาจมีสัญญาณที่เขาคงรับทราบกันได้ ในส่วนของพรรคก็คงพูดคุยสัญญาณที่คณะทำงานพูดคุยกัน
ให้ ส.ส.ร่วมกันรับผิดชอบ
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ในการเสนอยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ยังไม่ใช่บทสรุป แต่จะถาม ส.ส.ถึงข้อเสนอเรื่องนี้หาก ส.ส.เห็นด้วยก็จะยื่นแต่ถ้า ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ประเด็นการยื่นญัตติก็จะตกไปและจะไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ดังนั้น ส.ส.ควรจะเข้ามารับรู้และร่วมกันรับผิดชอบ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
****************************************************
ดังนั้นการตัดสินใจจะยื่นญัตติหรือไม่นั้นจึงไม่เกี่ยวกับกระบวนการความคิดเห็นอย่างเดียว เพราะสถานะของรัฐบาลอาจยุติลง ไม่ว่าจะด้วยข้อเรียกร้องของกลุ่ม นปช.ก็ดี ทุกอย่างมีห้วงเวลา เพราะดูได้จากการทำงานของรัฐบาล ขณะนี้คนที่ทำงานเห็นว่ามีแค่นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น
ชี้ไม่ยุบต้องใช้ยุทธศาสตร์พรรค
นายวิทยา กล่าวว่า พรรคการเมืองถือเป็นสถาบัน เป็นศูนย์รวมของ ส.ส. ซึ่งกรรมการยุทธศาสตร์จึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการเรื่องนี้อีกครั้ง แต่พรรคต้องหารืออย่างรอบคอบ ประกอบกับก็เห็นกันอยู่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เลย จึงฉุกคิดได้ว่าพรรคการเมือง ควรจะดำเนินการหาทางอย่างใดอย่างหนึ่ง เปิดข้อมูลให้สังคมรับรู้ เพราะปัจจุบันมีการปิดกั้นสื่อสารมวลชนจำนวนมาก อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้สำนึก
เมื่อถามว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะดำเนินการยื่นถอดถอนด้วยไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแต่ต้องหารือในที่ประชุม ส.ส.อีกครั้ง เมื่อถามว่าจะต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับกลุ่ม นปช.หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า คิดว่าทุกคนต้องเคารพกติกาอยู่แล้ว ก็อาจมีสัญญาณที่เขาคงรับทราบกันได้ ในส่วนของพรรคก็คงพูดคุยสัญญาณที่คณะทำงานพูดคุยกัน
ให้ ส.ส.ร่วมกันรับผิดชอบ
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ในการเสนอยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ยังไม่ใช่บทสรุป แต่จะถาม ส.ส.ถึงข้อเสนอเรื่องนี้หาก ส.ส.เห็นด้วยก็จะยื่นแต่ถ้า ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ประเด็นการยื่นญัตติก็จะตกไปและจะไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ดังนั้น ส.ส.ควรจะเข้ามารับรู้และร่วมกันรับผิดชอบ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
****************************************************
‘ส.ส.พท.’ประณามนายกฯ
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำพูดของนายกฯถือเป็นการทำลายประเทศ และเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ส่วนที่เรียกประชุมผู้ว่าฯทั่วประเทศให้เฝ้าระวังผู้ก่อการร้ายแฝงตัวไปตามจังหวัดต่างๆนั้น แสดงให้เห็นว่ามีผู้ก่อการร้ายเต็มไปทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้านายอภิสิทธิ์ เคยระบุว่าจะแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 99 วัน แต่วันนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จึงถามว่าคนไทยที่ต้องอยู่ในประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไร ในเมื่อมีผู้ก่อการร้ายเต็มไปหมด
ตนขอประณามคำพูดของนายกฯที่ไม่ยั้งคิด สร้างความเสียหายโดยตรงต่อสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจประเทศ จึงควรที่จะหยุดได้แล้ว แต่ถ้านายฯยังพูดต่อ ก็ขอให้ประชาชนทั้งประเทศออกมาต่อต้าน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอชี้แจงกรณีนายอภิสิทธิ์ พาดพิงไปถึง พล.อ.ชวลิต ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ทั้งที่ท่านยืนยันผ่านแถลงการณ์ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตย มองว่านายกฯ ขาดวุฒิภาวะอย่างมาก และเป็นประเด็นหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากการใช้อำนาจเกินเลย ล้มเหลว จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************
ตนขอประณามคำพูดของนายกฯที่ไม่ยั้งคิด สร้างความเสียหายโดยตรงต่อสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจประเทศ จึงควรที่จะหยุดได้แล้ว แต่ถ้านายฯยังพูดต่อ ก็ขอให้ประชาชนทั้งประเทศออกมาต่อต้าน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอชี้แจงกรณีนายอภิสิทธิ์ พาดพิงไปถึง พล.อ.ชวลิต ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ทั้งที่ท่านยืนยันผ่านแถลงการณ์ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตย มองว่านายกฯ ขาดวุฒิภาวะอย่างมาก และเป็นประเด็นหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากการใช้อำนาจเกินเลย ล้มเหลว จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)