--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

นปช.โคราชใช้แผนขอนแก่นโมเดลกัดทหาร-ตร.

นายเขื่อนเพชร โพนรัมย์ แกนนำกลุ่มอีสาน ล้านนา ผู้ประสานงานกลุ่มคนเสื้อแดงหลานย่าโม กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลจากทหารแตงโม และตำรวจมะเขือเทศ ที่ระบุ มีคำสั่งให้ จนท.ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมฝูงชน เตรียมพร้อมในที่ตั้ง เพื่อที่จะเดินทางไป กทม. เป็นการปฏิบัติภารกิจสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกระแสข่าวที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างน่าเชื่อถือ หากเราทราบความเคลื่อนไหว มีการระดม กำลัง จนท.ทหาร และตำรวจ เข้า กทม. ก็จะมีมวลชนคนเสื้อแดง ปิดกั้น และขัดขวางการเดินทางทันที โดยจำลองรูปแบบมาจาก " ขอนแก่น โมเดล " เท่าที่ทราบ รัฐบาล ได้สั่งเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางที่จะมุ่งหน้าเข้า กทม. เดิม จะใช้ ถ.มิตรภาพ จึงมีการเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นแทน ทำให้ตลอดทั้งคืนที่พวกเราเตรียมพร้อม จึงไม่พบการขนกำลังเข้า กทม.เลย


แกนนำ กลุ่มอีสาน ล้านนา กล่าวว่า ในส่วนความเคลื่อนไหว ในเขตหัวเมืองใหญ่ จะมีการร่วมมือ ร่วมใจ ของภาคีเครือข่าย คนเสื้อแดง 23 องค์กร จัดกิจกรรมเวทีคู่ขนาน ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ( ย่าโม )เขตเทศบาลนคร นครราชสีมา ทุกวัน นอกจากนี้จะใช้เป็นจุดรับบริจาค สิ่งของ และเงิน รวมทั้งเป็นสถานที่นัดหมาย นำมวลชนไปร่วมชุมนุมที่ กทม. หากรัฐบาล ใช้ความรุนแรงก็จะมีมวลชนรวมตัวปิดศาลากลางจังหวัด และอีกส่วนหนึ่งจะลงไปปิดถนนมิตรภาพ ให้การจราจรเข้าสู่อีสานเป็นอัมพาตทันที

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสังเกตการณ์ ที่จุดตรวจบูรณาการ ตั้งอยู่ ด้านขาเข้า กทม. ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 44-45 ถ.มิตรภาพ บริเวณหน้าหมวดการทางที่ 2 ต.กลางดง อ.ปากช่อง นครราชสีมา เมื่อช่วงสายวันที่ 26 เม.ย พบ จนท.ตำรวจ สนง.ตำรวจภูธร ภาค 3 พร้อม จนท.ทหาร กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี ยังคงสนธิกำลัง ตรวจสอบยานพาหนะทุกคันที่แล่นมุ่งหน้าเข้า กทม.


ที่มา.เนชั่น
*****************************************

เสื้อแดงแปดริ้วปิดถนน สกัดตร.เข้ากรุง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 เมษายน 2553 ที่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน นำรถยนต์โดยสารสองแถวจำนวน 15 คัน พร้อมรถจักรยานยนต์จำนวนหนึ่งไปปิดประตูทางเข้าออกทั้ง 3 ด้านเอาไว้ พร้อมทั้งมีการกล่าวปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล ที่มีการใช้อาวุธทำร้ายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน และการนำกลุ่มคนมาปิดทางเข้าออก เพราะไม่ต้องการเห็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้กำลังปราบปรามประชาชน โดยเฉพาะชุดปราบจลาจลของตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่กำลังจะส่งกำลังจำนวน 2 กองร้อย รวม 300 คน เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อทำการสลายฝูงชนที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ โดยจะปักหลักชุมนุมปิดทางเข้าออกตลอดไปจนกว่ารัฐบาลจะลาออก

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา พล.ต.ต.มณฑล มีอนันต์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เรียกตำรวจชุดปราบจลาจลหรือ ปจ.เข้าหารือ เพื่อหาแนวทางและการแก้ไขเพื่อให้กำลังสามารถเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครได้ โดยการประชุมไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพและทำข่าว

ขณะเดียวกัน มีการนำตะปูเรือใบไปโรยตามจุดต่างๆ หลายแห่ง เช่น ที่บริเวณถนนสายฉะเชิงเทรา - กบินทร์บุรี (304) สายเลี่ยงเมือง ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางเข้ากทม. รวมทั้งการเกิดเพลิงไหม้หญ้าอย่างผิดปกติตามริมถนนถึง 5 แห่งพร้อม ๆ กัน ซึ่งตำรวจได้จัดกำลังสายตรวจออกตรวจสอบแต่ไม่พบผู้ประทำผิด


ที่มา.เนชั่น
************************************************

ตชด.31ฝ่าม็อบเสื้อแดง-พร้อมเคลื่อนพลเข้ากทม.สำเร็จ

เมื่อเวลา 12.50 น . วันที่ 26 เม.ย.53 ที่บริเวณทางเข้าค่ายเจ้าพระยาจักรี กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 ( กก.ตชด.31) ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก หลังจากถูกปิดล้อมเป็นเวลาร่วม 5 ชั่วโมง ในที่สุด กองร้อยควบคุมฝูงชนของกก . ตชด .31 ได้ตัดสินใจที่จะฝ่าม็อบเสื้อแดงพิษณุโลก ที่ปิดทางเข้าออกหน้าค่ายฯไว้ โดยค่อย ๆ เคลื่อนขบวนรถบรรทุก ที่ขนกองร้อยควบคุมฝูงชนจำนวน 150 นาย ออกจากหน้าประตูค่าย ผ่านถนน มุ่งเข้าสู่ฝูงชนเสื้อแดงพิษณุโลกที่มีจำนวนประมาณ 100 คน ทันทีที่เห็นรถของ กก.ตชด.31 เคลื่อนออกมาจากประตูค่าย เสื้อแดงพิษณุโลก ได้นำสิ่งของทั้งไม้ ก้อนหิน มาขวางถนนไว้ แต่รถของตำรวจตระเวนชายแดนก็ยังเคลื่อนเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงระยะ 100 เมตร ตำรวจฯได้ลงจากรถ พร้อมไม้กะบอง เดินนำหน้าขบวนรถ ขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงว่า จำต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่สับเปลี่ยนกำลังที่กรุงเทพฯ แต่กลุ่มเสื้อแดงไม่ยอม ทำให้แนวหน้าเกิดการปะทะกัน เสื้อแดงใช้ผู้หญิงเป็นแนวหน้า มีผู้ชายถือไม้กันแนวหลัง ใช้ก้อนหินและไม้ข้วางใส่ตำรวจ แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นขบวนของตำรวจตระเวนชายแดนได้ ตำรวจชกะบอกป้องกันตนเอง มีการปะทะกันได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง เสื้อแดงจำนวนหนึ่ง พยายามที่จะปล่อยลมยางรถเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ถูกเจ้าหน้าที่สกัดไว้ และใช้เวลาประทะกันประมาณ 10 นาที ขบวนของกองร้อยควบคุมฝูงชนก็สามารถฝ่าด่านเสื้อแดงออกมาได้ เดินทางเข้าสู่ถนนสายพิษณุโลก - นครสวรรค์ เพื่อไปสับเปลี่ยนกำลังที่กรุงเทพฯ

หลังจากตำรวจผ่านไปได้ กลุ่มเสื้อแดงต่างมีอารมณ์โกรธแค้น นางสุดาพร จันทรมณี แกนนำเสื้อแดง กล่าวว่าที่กลุ่มเสื้อแดงพิษณุโลกมาครั้งนี้ อ้างว่ามาป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนไปได้รับอันตรายจากการปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพฯ แต่กลับมาถูกเจ้าหน้าที่ทำร้าย ทั้งนี้ หลังจากกองร้อยควบคุมฝูงชนฝ่าด่านออกไปได้แล้ว กลุ่มเสื้อแดงพิษณุโลกยังคงปักหลักอยู่ ณ จุดเดิม ได้ประชุมเพื่อประเมินการเคลื่อนไหวต่อไป โดยมีโทรศัพท์แจ้งให้เสื้อแดงนครสวรรค์สกัดขบวนรถของกก . ตชด .31 ด้วย และมีส่วนหนึ่งได้เคลื่อนตัวไปที่สถานีตำรวจชุมนนมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อแจ้งความว่าถูก ตชด.ทำร้ายร่างกาย ขณะที่บริเวณทางเข้าค่ายเจ้าพระยาจักรีฯ กลุ่มเสื้อแดงได้สลายตัวไปแล้ว


ที่มา.เนชั่น
************************************************

“พท.”อัดอภิสิทธิ์-อนุพงษ์

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ตนจะพาญาติผู้ที่เสียชีวิตเมื่อ 10 เม.ย. 53 จะไปยื่นกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และผู้บังคับบัญชาทหาร ที่ใช้กำลังและสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามล้อมปราบ และสลายการชุมนุมประชาชนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้การที่กลุ่ม นปช. เสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาใน 30 วัน และเป็นรักษาการอีก 2 เดือน รวมแล้ว 3 เดือน แต่นายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาปฏิเสธ ถือเป็นการปฏิเสธที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี

“การที่นายอภิสิทธิ์ ออกรายการทีวีกับ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นการชี้ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ กำลังแสดงให้ประชาชนทั้งประเทศและผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลและกองทัพจะแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ โดยใช้การ ทหารนำหน้าการเมืองแทนที่จะแก้ด้วยการเมือง จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ ทบ ทวนบทบาทตนเองว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาล พร้อมขอให้ทบทวนนโยบายทหารควรถอยออกจากการเมือง และวางตัวเป็นกลาง” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า กรณีตำรวจถูกทหารข่มขู่นั้น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ควรออกมาปกป้องศักดิ์ศรีลูกน้องด้วย

กก.สอบเหตุ10เม.ย.ไม่เป็นกลาง

ส่วนการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อพิจารณาตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง เมื่อ 10 เม.ย. 53 โดยมีนางอัมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธาน ขอตั้งข้อสังเกตว่าคณะอนุกรรมการน่าจะไม่มีความเป็นกลาง ทำให้มองได้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนน่าจะถือหางฝ่ายรัฐบาล ควรให้ศาลดำเนินการตามที่ญาติร้องขอ


ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************

พร้อมพงศ์ จี้กองทัพตรวจสอบอาวุธถูกขโมย

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบวิถีการยิงเอ็ม 79 ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงของพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.นิติวิทยาศาสตร์ และกรรมการศอฉ. พบว่า รอยยิงเอ็ม 79 ที่ใช้แค่บางหน่วยงานเท่านั้น ซึ่งก็ตรงกับแหล่งข่าวของหน่วยความมั่นคงที่ให้ข้อมูลว่าอาวุธที่ยิงที่สีลมกับที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ร. 1 รอ.เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 53 น่าจะเป็นชนิดเดียวกันคือเอ็ม 32 ที่บรรจุกระสุนเอ็ม 79 ได้ครั้งละ 6 นัด แบบเหมือนลูกโม่ ซึ่งมีอยู่ประจำการในหน่วยรบพิเศษเท่านั้น หน่วยทหารปกติทั่วไปไม่มีใช้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธเหล่านี้หลุดออกมาได้อย่างไร ผบ.ทบ.ต้องตรวจสอบว่าอาวุธร้ายแรงหลุดมาก่อเหตุจากหน่วยไหน ใครเป็นคนสั่งทำให้เกลือเป็นหนอน และต้องนำคนผิดมาลงโทษได้ไม่ยาก ว่าใครเป็นไอ้โม่งที่คอยสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดความรุนแรงขณะนี้


ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*********************************************

‘สุชาติ’ปูดนักการเมืองขนคนใต้

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ได้รับโทรศัพท์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งมีภรรยาเป็นชาวจ.สุราษฎร์ธานี แจ้งว่ามีนักการเมืองใหญ่ระดมคนจากจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สุราษฎร์ฯและ จ.ภูเก็ต มายัง กทม. ซึ่งเริ่มเดินทางเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (25 เมษายน) อีกทั้งยังมีการใช้หน่วยงานภายใต้สังกัดรัฐ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ไประดมคนจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศรวมถึงจาก กทม. เพื่อมาชุมนุมต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง ตามแผนการมวลชนปะทะมวลชน เนื่องจากที่ผ่านมาใช้กำลังทหารตำรวจไม่ได้สำเร็จ ในกรณีเกิดการปะทะกันและหากสถานการณ์รุนแรง ทหารจะใช้เป็นเหตุยึดอำนาจหรือรัฐประหารเพื่อให้มีอำนาจเต็มดำเนินการ

ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************

ปธ.วุฒิยันไม่ลาออกแล้ว หวั่นไร้คนทำงาน

นายประสพสุข บุญเดช รับตอนแรกตั้งใจจะยื่นใบลาออก 1 พ.ค.นี้ แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง จึงอยู่ต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยอมรับว่า ในตอนแรก ตนตั้งใจจะยื่นใบลาออก ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ แต่เนื่องด้วย สถานการณ์ปัจจุบัน บ้านเมืองเกิดความไม่ปกติ และมีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่าย ก็แนะนำตนว่า หากนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชี เกิดตัดสินใจยุบสภาขึ้นมาในช่วงนี้ จะทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ และไม่มีใครปฏิบัติหน้าที่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ดังนั้นทำให้ตนเองจำเป็นเปลี่ยนความตั้งใจไม่คิดจะลาออก ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าบ้านเมืองจะกลับเข้าสู่ปกติ ถึงจะคิดเรื่องการลาออกอีกครั้ง

ส่วนหากเมื่อลาออกแล้ว จะตัดสินใจลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานวุฒิสภา อีกครั้งหรือไม่นั้น นายประสพสุข กล่าวว่า ก็คงต้องแล้วแต่บรรดาเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา หากส่วนใหญ่ยังสนับสนุนตนก็ต้องลงสมัครอีกครั้ง


ที่มา.VOICE TV
*****************************************************

เลื่อนฟันป้ายเถื่อน-รอม็อบแดงเลิก กทม.อ้างเหตุเจ้าหน้าที่รื้อป้าย"ยุบสภา"ถูกฮือล้อม

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดเก็บป้ายโฆษณาผิดกฎหมายว่า จากที่ตนตั้งเป้าว่าจะมีการจับปรับจริงหลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงหมดฤดูกาลเสียภาษีแล้ว แต่เกิดปัญหาซึ่ง กทม.คงต้องเลื่อนจัดเก็บดังกล่าวออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด หรือจนกว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะยกเลิกไป เนื่องจากหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการเขตลงพื้นที่ เพื่อสำรวจป้ายผิดกฎหมายและจัดเก็บภาษีป้าย แต่มีปัญหาในส่วนของป้ายของกลุ่มเสื้อแดงที่มีการติดป้ายยุบสภา หรือป้ายอื่นๆ ของกลุ่มซึ่งเข้าข่ายเป็นป้ายผิดกฎหมาย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เขตลงพื้นที่เพื่อเก็บป้าย ทางกลุ่ม นปช.จะเข้ามาขัดขวางการทำงานและล้อมผู้อำนวยการเขตและเจ้าหน้าที่ไม่ให้ดำเนินการ กทม.จึงยังไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่าป้ายผิดกฎหมายที่ยังไม่มีการเสียภาษีก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการเก็บป้ายออกไปแล้วก่อนหน้านี้

นายธีระชนกล่าวต่อว่า ขณะนี้ทางเขตสามารถจัดเก็บภาษีป้ายได้แล้วประมาณ 300,000 ป้าย รวมทั้งได้ติดสติ๊กเกอร์เพื่อให้ทราบว่าป้ายใดที่มีการเสียภาษีแล้ว และกำลังบันทึกข้อมูลการเสียภาษีให้เป็นระบบ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ทั้งนี้ แม้จะมีการเลื่อนการจับปรับออกไปก่อน แต่ตนจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดป้ายทับว่าเป็นป้ายเถื่อนตามปกติ จากนั้นหากพร้อมก็จะดำเนินการจับปรับทันที

ที่มา.ข่าวสดรายวัน

"แกนนำนปช."สั่งแดงทั่วปท.ขวางทหาร-ตร.เข้ากรุง

นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงท่าทีการเคลื่อนไหวของทหารและตำรวจว่า ทราบข่าวมีการวางกำลังตำรวจเพื่อเข้ามาสลายการชุมนุมในช่วงเที่ยงวันนี้ ดังนั้นนปช.จึงมีมติเปิดเกมรุกและตอบโต้รัฐบาลโดยสันติวิธีด้วยการให้คนเสื้อแดงทั่วประเทศวางกำลังสกัดกั้นทหาร-ตำรวจ ไม่ให้เข้ามาเสริมกำลังที่ราชประสงค์ ขณะนี้มีหลายจังหวัดที่เตรียมพร้อมแล้ว อาทิ พิษณุโลก นครสวรรค์ หลายจังหวัดในภาคกลาง ขณะที่โรงกษาปณ์นั้นทราบว่าคนเสื้อแดงรังสิตได้นำกำลังตำรวจกลับเข้าที่ตั้งเป็นที่เรียบร้อย

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กองทัพหยุดส่งหน่วยทหารไล่ล่าติดอาวุธสงครามขับขี่มอเตอร์ไซต์ไปทั่วกทม.ถ้ายังไม่หยุดเราจะส่งหน่วยมอเตอร์ไซต์สันติวิธีของคนเสื้อแดงตระเวนสกัดกั้นทุกจุดเพื่อขอร้องให้ทหารนำอาวุธสงครามกลับเข้ากรมกอง นอกจากนี้อยากให้นายอภิสิทธิ์ มีความละอายต่อบาปหลังจากที่นางอองซานซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เปรียบเทียบว่ารัฐบาลไทยมีความเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญมาจากทหาร ควรจะละอายแล้วตัดสินใจยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน “ ขอเรียกร้องข้าราชการประจำทุกท่านตั้งแต่ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการฯ ให้เลิกรับใช้รัฐบาลนี้ เพราะในเร็วๆนี้นายกฯต้องยุบสภาอย่างแน่นอน หรือไม่เช่นนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกยุบ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกตัดสิทธิ์ ไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้ ถ้าข้าราชการคนไหนยังรับใช้รัฐบาล และถ้าคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะจะต้องรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมายอย่างสาสม” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า เช้าวันนี้มีตำรวจจราจร 2 นายมาแจ้งให้ตนทราบที่หลังเวทีว่าขณะนี้มอเตอร์ไซต์สีส้ม-ขาวของตำรวจจราจร 2 พันคัน ถูกนำไปส่งที่ราบ 11 เพื่อให้ทหารปลอมตัวเป็นจราจรเข้ามายังพื้นที่การชุมนุม โดยตำรวจเตือนว่าอาจจะมาวางระเบิดคาร์บอม ดังนั้นขอให้การ์ดเข้มงวดในการตรวจตรามอเตอร์ไซต์ที่เข้าออกที่ชุมนุม และในเร็วๆนี้ตนจะเปิดคลิปวิดิโอที่ชี้ให้เห็นว่าไอ้โม่งคนที่ยิงประชาชนในเหตุการณ์ 10 เม.ย.เป็นใคร

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กรณีที่มีการ์ดและผู้ชุมนุมนปช.ติดหวัด 2009 นั้นตนไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะคนกลุ่มนี้เข้ารักษาพยาบาลได้ 1 สัปดาห์แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวก็ไม่พบผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเพิ่มเติม แสดงว่าเชื้อจำกัดเฉพาะคนกลุ่มนั้น ไม่มีการขยายวงออกไป ยืนยันว่าที่ราชประสงค์นั้นเป็นที่โล่งแจ้งมีอุณหภูมิสูง เป็นปฎิปักษ์ต่อเชื้อหวัด 2009 ขอเตือนรัฐบาลว่าใช้เรื่องนี้เป็นเกมทำลายคนเสื้อแดง นอกจากนี้ การอ้างว่าราชประสงค์ซ่องสุมอาวุธแล้วเข้ามาสลายการชุมนุมนั้นเป็นข้ออ้างผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มีความผิดอาญาตามแนวทางของศาลอาญาระหว่างประเทศ



ที่มา.เนชั่น
******************************************

แดงพิษณุโลกปิดค่ายเจ้าพระยาจักรีกัน ตชด.เข้ากรุง

นายภาณุกฤษ พัชรอารีย์ แกนนำเสื้อแดงพิษณุโลก นำมวลชนคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน มาปิดทางเข้าออกค่ายเจ้าพระยาจักรี กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 (กก.ตชด.31) ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยมวลชนเสื้อแดงได้ยืนขวางปิดทางเข้าออกค่ายที่มีเพียงทางเดียว ไม่ยอมให้กองร้อยตชด.ชุดควบคุมฝูงชนของ กก.ตชด .31 เดินทางออกไปได้ ขณะนี้ภายในค่ายฯ ตำรวจตระเวนชายแดนได้เตรียมกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน 1 กองร้อย หรือ 150 นาย ใช้รถบรรทุก 7 คัน เตรียมพร้อมนำกำลังไปสับเปลี่ยนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายภาณุกฤษ กล่าวว่า ไม่ต้องการให้ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสลายฝูงชนในกรุงเทพฯ จึงต้องมาขัดขวาง โดยจะยอมเปิดทางให้ประชาชนที่สัญจรผ่านได้ แต่ตำรวจผ่านไม่ได้

ขณะที่ พ.ต.ท.สมหวัง คำทอง รอง ผกก.กก.ตชด .31 ได้เข้ามาเจรจากับกลุ่มเสื้อแดง ยืนยันว่าจำเป็นต้องส่งกองร้อยชุดควบคุมฝูงชนไปสับเปลี่ยนกำลังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ



ที่มา.เนชั่น
******************************************

ทำไมต้องยุบสภา

อนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) อธิบายว่าทำไมต้องแก้ปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ด้วยการยุบสภา

วันนี้หลายคนชอบตั้งคำถามว่ายุบสภาแล้วจะได้อะไร? เพราะทุกคนไม่ว่าจะสีไหน ก็ดูเหมือนจะรู้แก่ใจกันดีอยู่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังยุบสภา เดี๋ยวพันธมิตรก็ออกมาอีก แล้วเรื่องก็จะไม่จบ ดูเหมือนจะไม่มีตรรกะอื่นนอกเหนือจากนี้ และทุกคนที่มองเห็นตรรกะเช่นนี้ก็จะไม่ยอมรับการยุบสภาว่าเป็นทางแก้ปัญหา (แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบ ได้ว่าจะเดินไปอย่างไรต่อไป หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ ไหม?)

ยุบสภาคือคำตอบที่ดีที่สุด ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ทำไมพอมาถึงเมืองไทย คนหลายคนในเวลานี้กลับบอกว่าไม่ใช่? ก็เป็นเพราะตรรกะวิธีคิดแบบข้างบน ว่าต้องมีคนออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก แล้วทำไมแทนที่จะตั้งคำถามว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" ทำไมเราไม่ถามแทนว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง?"

ปัญหาทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากการไม่ยอมเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้พูดปาวๆ กันแทบตาย ทุกฝ่ายหมดแล้ว ต่างคนต่างมีสื่อทางเลือกของตนเองที่หาซื้อได้ในท้องตลาดเต็มไปหมดในราคาถูกๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ทั่วไป หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เนชั่น ความจริงวันนี้ กระทั่งจานดาวเทียมที่ดู ASTV ได้ ก็สามารถดูของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน ปัญหาวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการขาดข้อมูลหรือการไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตารับฟังฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายตน ทุกอย่างจากนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกๆ คนแล้ว สภาพการณ์ของทุกวันนี้คือทุกคนต่าง "อิ่ม" ในข้อมูลแล้ว และได้ทำการย่อยจนอยาก "ถ่าย" ออกมาแล้ว และการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็คือการเปิดทางให้พวกเขาได้ "ถ่าย" ข้อมูลที่พวกเขาย่อยแล้ว สรุปออกมาเป็นปัญหาและความต้องการ ให้พวกเขาได้พูดว่าอะไรคือปัญหา ของบ้านเมืองในเวลานี้ และได้เลือกทางเดินของพวกเขาเอง

ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นจากการที่คนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับผลการตัดสินใจจากคนส่วนมาก ซึ่งทำกันเช่นนี้มาตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยาฯ แล้ว และต่อเนื่องมาสู่พันธมิตรฯ ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางข้ามหัวคนส่วนใหญ่ ผูกขาดความถูกต้องไว้กับตัวเอง คนเดียว ใช้ตรรกะข้ออ้างว่าพวกตนคนส่วนน้อยคือคนที่รู้ดีที่สุด คือ "คนดี" "มีความรู้" และด่าทอคนส่วนมากที่ยากจนว่า "โง่" "ขาดข้อมูล" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ และใช้ข้ออ้างเหล่านี้ผูกขาดความ ถูกต้องไว้กับตัวเอง ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ ข้ามหัวคนส่วนใหญ่ รัฐประหาร ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตุลาการวิบัติ ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา

วันนี้คนเสื้อแดงคือคนส่วนมากของประเทศ คือคนที่เลือกรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และเพื่อไทย และคนที่รักประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ ที่ยอมรับกระบวนการรัฐประหารและสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ได้ ผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนได้เสียงส่วนใหญ่ จากจำนวนผู้ลงคะแนนคิดเป็นแบบแบ่งเขต 26 ล้านคน คิดเป็นแบบสัดส่วน 12 ล้านคน (จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44 ล้านคน) พวกเขาเลือกรัฐบาลของเขามาด้วยวิจารณญาณและเจตจำนงของเขาเอง แต่สิทธิเหล่านี้ถูกทำลาย ข้ามหัวและช่วงชิงเอาไปตลอดเวลาด้วยข้อหาว่าพวกเขา "ถูกหลอก" "ถูกใช้เป็นเครื่องมือ" "ถูกซื้อ" ฯลฯ วันนี้พวกเขามาทวงคืนสิงที่ถูกขโมยไปเท่านั้นเอง

และอีกความจริงที่คนจำนวนมากไม่เห็นก็คือพวกเขาไม่ได้มาเพราะถูกจัดจ้างจัดตั้งจากนักการเมือง พวกเขามาด้วยหัวใจของเขาเอง จิตสำนึกของพวกเขาถูกปลุกให้ตื่น จากการถูกกระทำย่ำยีหนักหน่วง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วันนี้พวกเขามาเอง เขาไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยนักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว

นักการเมืองอาจจะมีวาระของตนเองในการเข้าร่วมขบวนการกับมวลชน หรือชักนำมวลชนออกมาสู้ แต่ความจริงก็คือไม่ใช่เพียงนักการ เมืองเท่านั้นที่มีวาระ แต่ทว่ามวลชนก็มีของตัวเองเหมือนกัน วันนี้มวลชนก็กำลังใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือของตนเองเหมือนกัน

เพราะนับแต่มีนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ทำได้สำเร็จจริงหลายๆ ประการ แม้จะเต็มไปด้วยปัญหาบ้าง แต่อย่างน้อยการที่นักการเมืองได้ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ได้จริง มันก็ได้พัฒนาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจแล้ว ว่าประชาธิปไตยหรือ "สิทธิที่จะเลือก" นักการเมืองพร้อมชุดนโยบายที่พวก เขาต้องการ คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ มันคือกลไกในการดึงเอาทรัพยากรลงมาสู่พวกเขาในรูปแบบที่พวกเขาต้องการได้ เขาสำนึกแล้วว่าวันนี้ประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้เขามี สิทธิเลือกตัวเลือกที่ถูกใจ ที่สุดในการพัฒนาชีวิตของพวก เขา ถ้านักการเมืองทำได้ดีจริง พวกเขาก็จะเลือกต่อไป ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เลือกต่อไป สิ่งนี้ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความต้องการของประชาชนตลอดเวลา ทำให้นักการเมืองถูกกดดันที่จะต้องทำให้ประชาชนพอใจ มิเช่นนั้น มันอาจหมายถึงการดับสูญของอนาคตทางการเมืองของพวกเขาได้

เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ได้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการได้มาซึ่งคะแนนเสียงและตำแหน่งเท่านั้น นักการเมืองวันนี้ กลับกลายมาเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการดึงการพัฒนามาสู่ ชุมชนและชีวิตของพวกเขาด้วย เช่นกัน มันคือการแลกเปลี่ยนกันผ่านกลไก การเลือกตั้ง มันเป็นเหมือนการยื่นหมูยื่นแมว หากฝ่ายการเมืองไม่ได้ยื่นสิ่งที่ประชาชนต้องการให้แก่ประชาชน ประชาชนก็จะไม่ยื่นในสิ่งที่นักการเมืองต้องการให้แก่นักการเมือง

ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ผลประโยชน์ของนักการเมือง จะสามารถสอดคล้องและไปด้วยกันกับผลประโยชน์ของประชาชนได้เช่นนี้ ซึ่งนี่เป็นกลไกปกติที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ในบ้านเมืองนี้ ซึ่งเผด็จการไม่สามารถมีให้ได้ วันนี้พวกเขาเลือกนักการเมืองด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ พวกเขามาด้วยจิตสำนึกเช่นนี้

เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามที่ดูไม่ใช่คำถามของคน ที่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ทำไมแทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของ คนส่วนมาก แทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของพวก เขาอย่างแข็งขัน แทนที่เราจะยืนยันเพื่อที่จะเคารพสิทธิของพวกเขา และเชื่อในวิจารณญาณของพวกเขา แทนที่เราจะยืนยันในหลักการประชาธิปไตย ที่ให้เสียงข้างมากได้ ชี้ขาด และให้เสียงข้างน้อยได้พูดโน้ม น้าว เรากลับไปยืนยันสิทธิของคนส่วน น้อยที่จะเอาอย่างที่กูต้อง การให้ได้โดยไม่สนวิถีทาง

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะตราบใดที่เราให้น้ำหนักแก่ความเอาแต่ใจของเสียงข้างน้อยที่จะทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ให้น้ำหนักถึงขั้นที่ว่าเราไม่ กล้าที่จะยืนยันความชอบธรรม ของเสียงข้างมาก ด้วยตรรกะประเภทที่ว่า "ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะพันธมิตรจะกลับมาล้มรัฐบาล อีก" หลายคนอาจพูดด้วยความรู้สึกเป็น กลาง แต่หารู้ไม่เลยว่าการพูดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับให้พันธมิตร กลับมาได้ เพราะเป็นการยืนยันว่าเสียงข้าง น้อยอย่างพันธมิตรมีสิทธิ ที่จะทำตามใจชอบได้ แทนที่จะยืนยันในสิทธิของเสียงข้างมาก

แล้วคำถามก็คือทำไมเราต้องยอม ให้พันธมิตรกลับมาล้มรัฐบาลล่ะ? ทำไมเรายังคงยืนยันให้พันธมิตรกลับมาได้แทนที่จะต่อต้านอย่างแข็งขันล่ะ ทำไมแทนที่เราจะยอมรับประชาชนคนส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย เรากลับไปยอมรับว่าพันธมิตรสามารถกลับมาล้มรัฐบาลได้? ไม่ใช่ว่าพันธมิตรไม่มีสิทธิออก มาเคลื่อนไหวเลย แต่พันธมิตรมีสิทธิที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายในการ "โน้มน้าว" ใจคนส่วนใหญ่ให้เชื่ออย่างที่ตน เห็นว่าจริง เพื่อนำเอาประชาชนส่วนใหญ่ไปล้มรัฐบาลตามวิถีประชาธิปไตย แต่ทว่าที่ผ่านมา พันธมิตรฯกลับเคลื่อนไหวในแนวทาง ของการ "จะเอาให้ได้" ตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยสามารถกินใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ได้เลย ซึ่งไม่ใช่หลักการใช้เสียข้างน้อยที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย

ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว หากเสียงข้างน้อยทำไม่สำเร็จในการโน้มน้าวใจคน นั่นก็คือความล้มเหลวของเสียง ข้างน้อยเอง ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตนเองได้ ไม่ว่าจะด้วยการที่ไม่พยายามมาก พอ หรือไม่พยายามเลย กระทั่งมีความอดทนไม่มากพอ หรือแม้แต่การที่ความเชื่อของพวกเขานั้นผิดและไม่สามารถสอดคล้องไปกับความต้องการของมวลชนที่แท้จริงได้

แต่วันนี้กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก ที่เสียงข้างน้อยที่ล้มเหลวในการกินใจประชาชนอย่างขบวนการพันธมิตรฯ กลับไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง กลับไปโทษว่าเป็นความผิดของชาวบ้านที่ "งมงาย" หรือ "ขาดข้อมูล" ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย (อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ข้อมูลข่าวสารในท้องตลาดของทุกฝ่าย มีออกมาในราคาถูกพอหาซื้อได้เต็มไปหมด) น่าเสียใจที่ขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีคนเป็น "สหาย" เก่าในขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ไม่สามารถจะซึมซับเอาวิธีการบทเรียนแห่งความอดทนของพรรคมาใช้ได้

ในอดีต ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำงานด้วยความอดทนในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อพยายามโน้มน้าวมวลชนให้ได้ พวกเขาใช้เวลานับสิบปี ยี่สิบปี พยายามทำให้สำเร็จ แม้จะล้มเหลวก็ตามทีในบั้นปลาย ด้วยความพ่ายแพ้ป่าแตก แต่วันนี้มวลชนจำนวนมากในชนบทที่เคยผ่านการใช้ความพยายามของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลงไปทำงานความคิดกับพวกเขา กลับยังคงเชื่อมั่นและนับถือพรรค ที่เคยต่อสู้เพื่อพวกเขา และหลายคนยังคงรอวันพรรคกลับมาอยู่ด้วยซ้ำไป พวกเขาก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดและสำเร็จในขั้นหนึ่งในการกินใจประชาชน แม้จะล้มเหลวในการเปลี่ยนประเทศ นี้ก็ตามที

ต่างกับพันธมิตรที่ไม่เคยใช้ความพยายามเหล่านี้เลย ความพยายามที่พวกเขาใช้มาตลอดเวลา กลับกลายเป็นความพยายามในการผลักมวลชนและแนวร่วมออกไปไกลยิ่งขึ้น ด้วยการด่าทอพวกเขาว่า "โง่" "งมงาย" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ

สิ่งที่เราควรจะสื่อสารถึงทุกฝ่าย ในวันนี้ควรจะเป็นว่า 1. คุณมีสิทธิแสดงความคิดเห็น และใช้โอกาสนั้นโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ให้เห็นด้วยกับคุณให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณล้มเหลวเอง 2. คุณต้องยอมรับผลของการเลือกตั้ง จากคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะพันธมิตรในนามพรรคการเมืองใหม่ ฝ่ายเนวิน ประชาธิปัตย์ หรือใครๆ ก็ตามล้วนแต่มี 1 คน 1 เสียงเท่ากัน

ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่ายุบสภาแล้วไม่จบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าการยุบสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันไม่จบเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อย แต่กดขี่ข่มเหงคนส่วนมากตลอดเวลา ขโมยสิทธิของเขาตลอดเวลาและไม่ยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย

วันนี้คนเสื้อแดงแค่มาทวงในสิ่งที่เป็นของตนเองอย่างชอบธรรมกลับคืนเท่านั้นเอง พวกเขาถูกขโมยไปอย่างหน้าด้านๆ เมื่อครั้ง 19 กันยาฯ พวกเขาถูกปฏิเสธเมื่อครั้งพันธมิตรชุมนุม และรัฐบาลทุกวันนี้ก็ไม่ใช่รัฐบาลที่พวกเขาเลือก

ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ว่าไม่ถูกต้อง ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อครั้งพันธมิตรฯ มาล้มรัฐบาลเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ร่วมกับทหาร และตุลาการวิบัติ ทำไมเรายืนยันนั่งยันนอนยันให้ พวกเขาถูกกดขี่เหยียดหยามช่วงชิงขโมยสิทธิตลอดเวลาด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร

ทำไมเราไม่ออกมาปกป้องสิทธิของคนส่วนมาก จะไม่พูดก็ได้ไม่เป็นไรหรอก จะอยู่เฉยๆ ไปตลอดก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เวลาตัวเองไม่เดือดร้อน แต่มาโวยวายเวลาตัวเองเดือดร้อน โดยไม่เคยคิดถึงเลยว่าสิ่งที่เขา ถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอดเวลา หลายปี เขาเดือดร้อนมายาวนานมากพอแล้ว และพวกเขาต้องทนเดือดร้อนอย่าง นั้นอยู่หลายปี ก็เพราะไม่มีใครออกมาปกป้องช่วยพวกเขาตอนถูกปล้นอำนาจไปเลย ด้วยการอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิต "ปกติ" ให้พวกเขาถูกกดขี่ตาม "ปกติ" ต่อไป หลายครั้งรวมถึงการยินดีชมชอบกับการรัฐประหารและสิ่งพวกนี้ด้วยซ้ำ

ทุกๆ อย่างมันจะไม่แย่ลงๆ ถ้าเรายอมรับในเสียงข้างมาก และเข้าใจหลักประชาธิปไตยที่ให้เสียงข้างมากชี้ขาด และเสียงข้างน้อยได้พูด (ซึ่งได้พูดกันมากมายบานตะไทอยู่แล้ว เต็มตลาดแผงหนังสือและสัญญาณจานดาวเทียมที่มีมากมายเต็มไปหมด) แต่มันจะแย่ลงก็เพราะคนจำนวนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยแต่จะเอาอย่างที่ต้องการให้ได้ต่างหาก แทนที่จะจี้คนเสื้อแดงให้หยุดการเคลื่อนไหวยุบสภา ทำไมเราไม่ไปจี้ไอ้พวกเสียงข้างน้อยพวกนั้นให้หยุดการกระทำย่ำยีคนส่วนมากตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนติดต่อมาถึงทุกวันนี้ล่ะ ปัญหามันเกิดจากคนพวกนั้นต่างหาก

การยุบสภาคือการแก้วิกฤติที่ดีที่สุด วันนี้ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างว่ายุบสภายังไม่ได้ เพราะยังมีวิกฤติความขัดแย้งที่ต้องแก้ แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาวิกฤติทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการที่เสียงข้างน้อยไม่ได้เป็นเสียงข้างน้อยที่ดีตามระบอบประชาธิปไตยต่างหาก แนวทางการแก้ปัญหาวันนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะคืนสิ่งที่เป็นของประชาชนโดยชอบธรรมคืนให้แก่ประชาชน


โดย.อนุธีร์ เดชเทวพร
ที่มา.ประชาไท
**********************************************

ความพ่ายแพ้ของสันติวิธี?

ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน จนนำไปสู่ยอดการเสียชีวิตกว่า 25 ศพและมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 865 ราย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนวันที่ 22 เมษายน เมื่อระเบิด M79 จำนวน 5 ลูกถูกยิงไปตกที่แยกสีลม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและบาดเจ็บอีกหลายสิบ นับเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงอันเลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งในรอบ 18 ปี ผู้คนจำนวนมาก (กว่าร้อยละ 60 จากผลสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย และอีกไม่น้อยถึงกับสรุปว่านี่คือความพ่ายแพ้ของสันติวิธี แต่จริงหรือที่ว่าสันติวิธีไม่มีที่ทางในสังคมนี้อีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสังคมไทยมีทางเลือกอื่นใด และทางเลือกนั้นจะนำพาสังคมของเราให้เป็นอย่างไร

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายอ้างความชอบธรรมของตนผ่านวิถีทางที่เรียกว่าสันติวิธี ทว่าแต่ละกลุ่มกลับมีนิยามของคำนี้แตกต่างกันไป แม้ว่าสันติวิธีจะไม่ได้มีคำจำกัดความที่ตายตัว หากก็คงไม่ได้หมายถึงอะไรก็ได้ ตามแต่ใครอยากจะเลือกนิยาม ในระดับพื้นฐานที่สุด สันติวิธีคือการไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นในทางกายภาพ หากพิจารณาตามหลักการเบื้องต้นนี้ จะพบว่าก่อนเหตุการณ์การปะทะกันในวันที่ 10 เมษายน หลายฝ่ายพยายามยึดมั่นในหลักการสันติวิธีอยู่ไม่น้อย ทั้งการชุมนุมแสดงพลังโดยปราศจากอาวุธของกลุ่มต่างๆ ควบคู่ไปกับการอำนวยการจากภาครัฐ คงยากจะปฏิเสธว่าพลังแห่งสันติวิธีนี้มีส่วนสำคัญให้คู่ขัดแย้ง ได้แก่ ตัวแทนจากรัฐบาลและแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. สามารถนั่งร่วมโต๊ะเจรจากันได้ ถึงแม้การเจรจาระหว่างสองฝ่ายจะไม่อาจนำไปสู่ข้อยุติของความขัดแย้ง แต่ภาพการเจรจาดังกล่าวก็ได้จุดประกายความหวังให้แก่สังคม อีกทั้งยังเป็นอีกหมุดหลักสำคัญในเส้นทางสันติวิธีและประชาธิปไตยไทย

ต่อมาไม่นาน ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดที่สุดของคืนวันที่ 10 เมษายน ขณะเจ้าหน้าที่ทหารกำลังถอนกำลังที่สี่แยกคอกวัว ชายฉกรรจ์คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งพากันรุกคืบเข้าไปหา ชายหนุ่มซึ่งไม่มีอาวุธในมือแม้แต่ชิ้นเดียว ตัดสินใจเข้าไปยืนขวางระหว่างคนสองกลุ่มเพื่อพยายามห้ามปราม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ยอมรับฟังและหยุดอยู่กับที่ ไม่มีใครรู้ว่าหากเหตุการณ์ในมุมเล็กๆ ไม่ได้คลี่คลายไปเช่นนั้น จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าไร สำหรับหลายคน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าการใช้สันติวิธีในมุมเล็กๆ โดยคนธรรมดาคนหนึ่งสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แม้เพียงชีวิตเดียว ก็อาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สำคัญยิ่งแล้วไม่ใช่หรือ

แม้ในปัจจุบันที่สถานการณ์ตึงเครียด มีการแบ่งฝ่ายและหวาดระแวงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เชื่อมั่นในสันติวิธีอย่างไม่ลดละ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ในฐานะ “สันติอาสาสักขีพยาน” เพื่อบันทึกความเป็นไปในพื้นที่ชุมนุม กระทั่งต้องยอมเสี่ยงอันตรายสวมบทบาทเป็นผู้ร่วมไกล่เกลี่ยคลี่คลายสถานการณ์ระหว่างคู่ขัดแย้งในบางเวลา ผู้คนอีกกลุ่มรวมตัวกันในนาม “เพื่อนรับฟัง” เดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจและฟังความทุกข์จากบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยไม่แบ่งฝักฝ่าย ขณะที่อีกหลากหลายองค์กรภาคประชาชนยืดหยัดเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีและการเจรจาในการยุติข้อขัดแย้ง คุณยายวัย 60 ปีคนหนึ่งกล่าวว่าเธอออกมาร่วมแสดงพลังกับกลุ่มเหล่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้

ในบรรดาเสียงเรียกร้องที่ยังคงมีมาจากหลายฝ่าย ให้คู่ขัดแย้งกลับมาร่วมโต๊ะเจรจากันเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี กลุ่มที่สังคมไทยควรรับฟังมากที่สุดน่าจะเป็นเสียงของบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงในคืนวันที่ 10 เมษายนนั่นเอง ทั้งพลทหารและสมาชิกกลุ่ม นปช. ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความรุนแรง ต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ขึ้นกับใครอีก

ในวันนี้ที่ความอดกลั้นของผู้คนในสังคมดูจะลดน้อยลงเรื่อยๆ กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะยกระดับการกดดันให้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็มีแนวโน้มจะ “ขอพื้นที่คืน” จากกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง และหลากหลายกลุ่มเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดเสียที กระทั่งทยอยกันออกมาเคลื่อนไหวและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ด้วยตนเอง สังคมไทยเริ่มเห็นความรุนแรงเป็นวิธีการ “อันหลีกเลี่ยงไม่ได้” แต่คำถามสำคัญประการหนึ่งที่คนในสังคมอาจจำเป็นต้องช่วยกันตอบได้ให้ก่อน คือ เป็นไปได้จริงหรือที่จะสามารถมีสังคมสงบสันติ โดยก่อร่างสร้างขึ้นมาจากวิธีการรุนแรงท่ามกลางความเกลียดชังกันและกัน

สำหรับอีกหลายคนที่เรียกร้องให้ความขัดแย้งครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะโดยวิธีการอะไร อาจลองพิจารณาย้อนไปถึงรัฐประหารเมื่อปี 2549 ในฐานะวิธีการ “อะไรก็ได้” เพื่อให้ปัญหาจบไปโดยเร็ว ในเวลานี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าไม่เพียงวิธีการอะไรก็ได้นั้นไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งในสังคมยุติหรือบรรเทาลง หากยังพอกพูนให้ปัญหามีความสลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก และส่งผลกระทบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยเลือกจะยุติปัญหาด้วยความรุนแรงควรจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวันนี้ การที่คนไทยลุกขึ้นมาฆ่ากันเองทำให้เราบอบช้ำและยังคงต้องจ่ายราคาให้กับบาดแผลในอดีตกันไม่พออีกหรือ หลายคนจึงเรียกร้องให้เลือกความรุนแรงเป็นวิธีในการยุติปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้อีกครั้ง

แม้สันติวิธีจะไม่เคยรับประกันว่าผู้ใช้สันติวิธีจะไม่เผชิญกับความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม แต่ความตั้งใจให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าต่อผู้ใดฝ่ายใดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็คงไม่อาจถือเป็นชัยชนะของสันติวิธีไปได้ เป็นไปได้ไหมว่าในวันนี้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายจะนิยามชัยชนะแห่งสันติวิธีของตนเสียใหม่ สำหรับฝ่ายรัฐบาล อาจหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงและการสูญเสีย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโดยไม่ใช้อาวุธและกระทำต่อผู้ชุมนุมในฐานะเพื่อนร่วมสังคม ส่วนชัยชนะแห่งสันติวิธีสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดง อาจหมายถึงการแสดงพลังเพื่อกดดันรัฐบาลและสังคม จนกลายมาเป็นตัวแสดงสำคัญในทางการเมือง ทว่าพลังทางการเมืองโดยลำพังย่อมไม่ใช่จุดมุ่งหมายในตัวของมันเอง วันนี้โจทย์สำคัญสำหรับคนเสื้อแดงจึงอาจไม่ใช่การกดดันยืดเยื้อและมุ่งสร้างความเกลียดชัง โดยไม่สนใจว่าจะมีความสูญเสียใดตามมา หากแต่จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเรียกร้องของกลุ่ม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือยังคงรักษาชีวิตของมวลชนเอาไว้ได้

วันนี้ไม่ว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายใดหรือเห็นว่าสังคมการเมืองไทยควรดำเนินต่อไปในทิศทางไหน หากเราเห็นตรงกันว่าอยากให้อนาคตของสังคมไทยยังคงเป็นสังคมแห่งความสงบสุขสันติ อาจถึงเวลาแล้วที่ผู้คนในสังคมจะหันมายึดมั่นกับสันติวิธีอย่างจริงจังในฐานะวิถีทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ที่มา.ประชาไท
********************************************